ตอนที่ 4 : คนโปรด?
.
หลังจากเข้าหอ ฉินช่านเฟินไม่ได้พบกับสามีมาสองวันแล้ว ได้ข่าวว่าแม่ทัพคนอื่นๆเองก็ต้องเข้าวังหลวงไปเช่นกัน แต่ดูเหมือนจะกลับมากันวันนี้แหละ พ่อบ้านจิ้งพาเหล่าบ่าวไพร่ในเรือนจัดเตรียมของตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง จนตอนนี้ก็เกือบจะมืด ยังไม่เห็นว่าอี้หานเพ่ยจะกลับมาถึง เขาเองก็ถูกตามให้มานั่งรอรับผู้เป็นสามีอยู่ที่เรือนรับรองพร้อมๆกับอนุคนอื่นอีกสี่คน บรรยากาศตอนนี้ช่างน่าอึดอัดเสียจริง
ฉินช่านเฟินลอบสังเกตอนุคนอื่นๆอย่างเงียบเชียบ อนุหนิงและอนุเล่อแขวะกันไปกันมา หาเรื่องไม่หยุดไม่หย่อน เขาเองก็ขี้คร้านจะฟังความ อนุเว่ยนั้นเขาได้พูดคุยไปบ้าง รู้สึกว่าคนผู้นี้ดูเป็นคนที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้ แต่อนุเติ้งนั้น ไม่แน่ว่าด้วยเหตุใด ถึงแม้นางจะพูดจาดี ปฏิบัติกับเขาก็ไม่ได้แย่ แต่ฉินช่านเฟินกลับรู้สึกว่าต้องระมัดระวังตัว ไม่อาจไว้ใจคนผู้นี้ได้เลย ขอให้มันเป็นเพียงการคิดไปเองของเขาก็คงดี หากต้องมีปัญหากับคนที่เดาทางยากเช่นนี้ เห็นทีเขาคงต้องหาพวกพ้องมาคอยหนุนหลังเสียบ้าง
“ท่านพี่มาแล้ว” อนุเล่อพูดขึ้นมาเสียงดัง พวกเราทั้งห้าคนจึงลุกขึ้นยืนเพื่อทักทายสามี อี้หานเพ่ยนั้นไม่ได้เป็นคนถือยศถืออย่างหรือวางตัวเป็นใหญ่ในบ้านจึงได้แต่โบกมือปัดๆแล้วบอกให้เหล่าอนุนั่งตามสบาย
“เหนื่อยไหมเจ้าคะท่านพี่ ลองชิมชามนี้ ข้าลงครัวทำมาให้ท่านเอง” อนุเติ้งตักอาหารใส่ถ้วยให้สามี จากนั้นก็ให้บ่าวตักให้อนุคนอื่นๆด้วย เขาลองชิมดูก็พบว่ามันรสชาติดีจริงๆ
“อือ รสชาติดี” อี้หานเพ่ยพูดเพียงเท่านั้นก็ไม่ได้ต่อความใดต่อ เขาลงมือกินอาหารอย่างอื่นที่มีอยู่วนสลับกับชามนั้น ไม่ได้มีท่าทีบ่งบอกว่าโปรดปรานมากแต่อย่างใด เมื่อฉินช่านเฟินลอบมองไปที่นาง ก็เห็นสายตาไม่พอใจอยู่เพียงวูบหนึ่ง แต่ก็เท่านั้น นางก็หาเรื่องมาชวนคุยบนโต๊ะอาหารได้อยู่ดี
นางเป็นคนฉลาด ฉินช่านเฟินมั่นใจ มีความรู้ทั้งเรื่องในเรือนและนอกเรือน รู้แม้กระทั่งเรื่องในวังหลวงที่อี้หานเพ่ยไปรับพระราชกิจมา ดุเหมือนว่าเขาจะต้องสืบให้มากกว่านี้เสียแล้ว ตระกูลเติ้งคงจะมีเส้นสายมากมายอยู่ไม่ใช่น้อย ตระกูลฉินเองก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเท่าไหร่นัก หากมีปัญหาขึ้นมาเขาคงไม่สามารถช่วยเหลือท่านแม่ได้ คงต้องวางแผนไว้ก่อน ยามคับขันจะได้ปลอดภัย เรื่องนี้คงต้องปรึกษาน้องชายเสียแล้ว อย่างไรเสียตำแหน่งรองแม่ทัพก็คงทำให้เฉิงลู่มีเส้นสายอยู่บ้าง
“ช่านเฟิน ข้ามีธุระกับน้องชายเจ้าวันพรุ่งนี้ เจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมบ้านหรือไม่” อี้หานเพ่ยเอ่ยถาม
“อยากขอรับ” ถึงแม้จะจากบ้านมาเพียงแค่สามสี่วัน แต่ฉินช่านเฟินก็คิดถึงท่านแม่ใจจะขาด ไม่เคยอยู่ห่างแม่นานขนาดนี้มาก่อน
“ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมตัวไว้ ยามซื่อ*(09.00-10.59)ข้าจะไปรับเจ้าที่เรือน”
“ขอรับ” ฉินช่านเฟินมัวแต่ดีใจที่จะได้กลับไปหาท่านแม่ จึงไม่ได้รับรู้ถึงรังสีของความไม่พอใจจากอนุคนอื่นๆ สองสายตาเป็นเพียงความไม่พอใจธรรมดา แต่อีกหนึ่งสายตานั้นเป็นความอิจฉาริษยาที่มาพร้อมความเกลียดชัง
.
“อี๋เหนียงเจ้าคะ อนุเว่ยมาเจ้าค่ะ” วันนี้เป็นอนุคนที่สามสินะ หวังว่านางจะมาดี
“เชิญนางเข้ามา เจ้าไปจัดชา” เขาบอกบ่าวหน้าเรือนให้เชิญนางเข้ามาแล้วจึงสั่งให้อาเป่ยไปเตรียมชามาต้อนรับ
“ไม่ต้องมากเรื่องไปหรอก ข้าเพียงแต่อยากคุยกับเจ้าเท่านั้น” เว่ยฉีโหรวนั่งลงตรงข้ามแล้วยิ้มบางๆมาให้
“มีเพื่อนให้คุยก็ดีทีเดียว ข้าเข้ามาอยู่ได้เพียงสามวันก็วุ่นวายจนไม่ได้พบปะกับผู้ใด” ถึงแม้ว่าอนุเล่อและอนุหนิงจะมาเยี่ยมเยียนถึงที่เรือน แต่หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้พบกับพวกนางอีก ตัวเขาเองก็ขลุกอยู่แต่ในเรือนของตนเอง อ่านตำราที่สนใจ ทำงานบ้านงานเรือนบ้าง ไม่ได้สนใจผู้ใด
“ข้าเองก็รู้มาว่าพวกนางมาโอ้อวดถึงเรือนเจ้าเสียตั้งแต่วันแรก ตอนที่ข้าแต่งเข้ามาก็เป็นเช่นเดียวกัน” นางพูดขำๆ เว่ยฉีโหรวดูคนออก ฉินช่านเฟินเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ แต่ก็ยังไม่พอที่จะสู้กับเติ้งเทียนซินได้ ฝ่ายนั้นมีพ่อเป็นถึงเสนาบดีกรมพระคลังที่เป็นผู้มีอำนาจอยู่มาก อีกทั้งตระกูลฉินเองก็ยังอยู่ใต้ตระกูลเติ้งอีกที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเติ้งเทียนซินน่ากลัวอย่างไร” นางไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบเข้าเรื่องที่นางอยากจะพูดทันที
ฉินช่านเฟินมองนางอย่างสงสัยและไม่ไว้ใจในคราแรก แต่ก็ยอมพูดเรื่องนี้ด้วย พวกเขาได้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต่างคนต่างมีเกี่ยวกับตระกูลเติ้ง ก่อนที่เว่ยฉีโหรวจะกลับไปได้เตือนเขาอีกครั้งทั้งเรื่องในเรือน เรื่องอาหารและเรื่องที่จวนเก่า เขาจึงรับปากอย่างมั่นเหมาะว่าจะรักษาตัวให้ดี ถึงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าทางนั้นจะมาวุ่นวายอะไรกับเขาหรือไม่ เพราะเขาเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นที่โปรดปรานของสามีขนาดนั้นเสียหน่อย
“อันตรายหรือไม่เจ้าคะอี๋เหนียง” อาเป่ยถามขึ้นหลังจากที่ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว
“ข้าเองก็ตอบไม่ได้หรอกนะอาเป่ย ในตอนนี้อี้หานเพ่ยเองก็ไม่ได้ดูสนใจข้าเสียเท่าไหร่ แต่สนใจแล้วอย่างไร ข้าไม่ได้ขอให้เขามาชอบข้าเสียหน่อย ต่อจากนี้ไป เราคงต้องระวังตัวเองกันอย่างดีแล้วล่ะ เจ้าเองก็ต้องดูให้แน่ใจว่าบ่าวไพร่ในเรือนที่เลือกมานั้นไม่ใช่คนของใคร”
“เจ้าค่ะ” จวนนี้และผู้คนในจวนถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับนางทั้งหมด เพื่อความปลอดภัยของตัวนางและคุณชาย นางจะต้องจัดการตรวจสอบทุกสิ่งอย่างให้เรียบร้อยที่สุด อาจจะดูเหมือนงานหนักสำหรับผู้หญิงตัวคนเดียวที่ตามมาดูแลเจ้านาย แต่สักวันหนึ่งนางก็จะชินไปเอง งานหนักดีกว่าถูกลอบกัดแล้วต้องมาตามแก้เสียอีก
.
เมื่อเช้าวันใหม่มาถึง ฉินช่านเฟินแต่งตัวด้วยชุดสีน้ำเงินปักลายดอกเหมยสีขาวดูสะอาดสะอ้าน ปักปิ่นหยกสีขาวให้เข้ากันตามคำแนะนำของอาเป่ย เขาเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วนั่งจิบชารอให้ถึงยามซื่อ* เมื่อใดที่สามีมาถึงเรือน เขาจะได้พร้อมเดินทางทันที ไม่ต้องให้ใครมานั่งรอ
“คุณท่านมาแล้วเจ้าค่ะอี๋เหนียง” เป็นอาเป่ยที่เดินเข้ามาเรียก
“คารวะท่านพี่” เขาทักทายและถามไถ่สามีเล็กน้อยตามมารยาทที่ภรรยาควรมี เมื่อเห็นว่าอี้หานเพ่ยเองก็ไม่ได้มีเรื่องที่อยากจะพูดด้วย พวกเราจึงเดินทางทันที จวนตระกูลฉินนั้นก็ไม่ใช่ว่าจะอยู่ไกล แต่เพราะมาอยู่ใต้การปกครองของสามีแล้ว จะออกไปไหนมาไหนก็จำเป็นที่จะต้องแจ้งพ่อบ้านหรือผู้ปกครองเรือน แม้แต่จะกลับบ้านเดิมก็ควรที่จะบอกกล่าว เขาเองก็เห็นว่ามันไม่นานเท่าไหร่นัก จึงไม่อยากไปขอให้กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านในตลาดว่าแต่งมาไม่ถึงอาทิตย์ก็วิ่งแจ้นกลับบ้านเสียแล้ว
“ธุระของท่านพี่กับเฉิงลู่มีมากหรือไม่ขอรับ หากอยู่นาน ข้าจะได้ช่วยท่านแม่จัดสำรับเที่ยงด้วย”
“คงจะนานอยู่ แต่ไม่ต้องเตรียมอะไรมากมายหรอก ทำตามปกติดีกว่า ข้าไม่อยากให้ที่จวนนั้นลำบาก”
“ไม่ลำบากหรอกขอรับ ข้าเองก็ชอบลงครัว หากท่านอยากกินอะไรก็บอกข้ามาได้นะขอรับ” ฉินช่านเฟินพูดยิ้มๆ กลับไปหาท่านแม่คราวนี้ เห็นทีเขาต้องขอสูตรอาหารมาไว้ทำกินเองบ้างเสียแล้ว ถึงอาหารที่จวนแม่ทัพอี้จะรสชาติดีมาก แต่ก็ไม่ใช่รสมือที่คุ้นเคย
“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถิด ข้ากินอะไรก็ได้ทั้งนั้น” อี้หานเพ่ยจับช่อผมที่ปลิวหลุดออกมาของฉินช่านเฟินทัดเข้าที่ใบหูเล็กๆ ถึงแม้ว่าภรรยาตัวน้อยจะตกใจในคราแรก แต่ก็ยิ้มรับสิ่งที่เขาทำให้ ดอกเหมยบนชุดช่างเข้ากับอีกฝ่ายเหลือเกิน ฉินช่านเฟินผิวขาวแต่ไม่ถึงกับซีด เมื่อแต่งชุดไม่ว่าชุดอะไรก็ดีเข้ากันไปหมด แก้มมีเลือดฝาดราวกับแต้มชาด หากเอาดอกไม้มาทัดหูคงจะงามไม่น้อยเลย
“ท่านพี่จ้องหน้าข้านานเกินไปแล้วนะขอรับ”
“ไม่ได้หรือ” ฉินช่านเฟินกัดปากเพราะความประหม่า อี้หานเพ่ยที่เห็นแบบนั้นจึงเอื้อมมือไปคลึงปากบางๆของอีกฝ่ายเพราะกลัวว่าจะถูกกัดจนได้เลือด
“ตามใจท่านเถิด อยากจะมองนักก็มองไป” เขาผินหน้าออกไปมองด้านข้างเพราะไม่อยากจะรับรู้สายตาของผู้เป็นสามีอีกแล้ว มองหน้ากันแล้วทำหน้าหลงใหลเสียเต็มประดาขนาดนั้น ใครกล้าสบตากลับก็เก่งกาจเกินไปแล้ว ฉินช่านเฟินเป็นเพียงเกอตัวเล็กๆ เขาไม่อาจะต้านทานสายตาเช่นนั้นได้
“หึๆ ผ่านตลาดมาเช่นนี้ เจ้าไม่มีสิ่งใดที่อยากได้หรือ” อี้หานเพ่ยเอ่ยถาม หากเขามากับอนุคนอื่นๆ คงจะถูกรบเร้าให้ซื้อเครื่องประดับสวยๆหรือผ้าผืนงามให้นางไปแล้ว แต่เขายังไม่เห็นฉินช่านเฟินจะร้องขอให้เขาซื้ออะไรให้แม้แต่อย่างเดียว
“ข้าอยากกินหมานโถว” เขาลอบขำอยู่ในใจ หมานโถวที่อีกฝ่ายพูดนั้นราคาถูกกว่าเครื่องประดับอยู่มากโข อีกทั้งฉินช่านเฟินยังอยากได้เพียงแค่สองลูก ลูกหนึ่งกินเอง อีกลูกหนึ่งแบ่งเขาก้เท่านั้น เป็นคนแบบที่อี้หานเพ่ยไม่เคยพบเจอมาก่อน
“อร่อยมาก ท่านว่าอย่างไร”
“อือ อร่อยสิ” อี้หานเพ่ยยิ้มบางๆให้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกถึงความรู้สึกแบบนี้ นอกจากท่านแม่แล้ว เขาก็ไม่เคยรู้สึกเหมือนเป็นที่โปรดปรานของใครมาก่อน จนกระทั่งวันนี้
#ข้าจะเป็นฮูหยิน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

15 ความคิดเห็น
-
#13 library -_^ (จากตอนที่ 4)วันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 / 01:31ขออนุญาตนะคะ เรารู้สึกว่า คำว่าคุณท่าน น่าจะใช้คำว่านานท่าน น่าจะเหมาะกว่านะคะ เพราะ คุณท่าน เหมือนเป็นคำในปัจจุบันมากกว่าอะค่ะ#130
-
#9 MitsukiCarto (จากตอนที่ 4)วันที่ 28 ตุลาคม 2563 / 00:22ดีๆ ได้เป็นฮูหยินแน่นอนค่ะ!#90