คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Intro
"หลีกทางให้ผมหน่อยครับ"
"ไม่หลีก มีอะไรไหม?" ร่างสูงโปร่งยืนขวางปิดทาง กางแขนจนเต็มประตู ก้มมองคนตรงหน้าด้วยสายตายียวน
"หลีกทางให้ผมเถอะครับ ผมต้องรีบไปเรียน.." เปล่งเสียงนุ่มออกมาอีกครั้งกับประโยคใจความเดิม ในน้ำเสียงมีแวววิงวอน
"ไม่! เข้าสายสักวัน โดดเรียนซักครั้งจะเป็นอะไรไปล่ะหืม? จางอี้ชิงคนเก่ง"
'จาง อี้ชิง'เจ้าของผิวกายขาวจนเกือบซีด ดวงหน้าหวานซึ้งจนเรียกได้ว่าสวย อาจจะมากกว่าผู้หญิงหลายๆคนซะอีกกำลังเม้มปากแน่น เงยหน้าขึ้นมอง มีแต่เพียงใบหน้ากวนๆและสายตายียวนของอีกคนส่งมาให้
"อู๋ฟานเกอเก่อะ หลีกทางให้ผมเถอะนะครับ.."
"อยากให้หลีกเหรอ? ก็ได้.. แต่นายต้องมีค่าผ่านทางให้ฉัน"
"..เท่าไหร่ครับ"
"ไม่ใช่เงิน ค่าผ่านทางเก็บเป็นอย่างอื่น" ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ กวาดสายตามองทั่วเรือนร่างของอีกคนจนเจ้าของหน้าร้อนฉ่า กำมือแน่น
"อี้ฟาน! แกล้งน้องอีกแล้วนะลูก" เสียงมารดาดังขึ้นเมื่อเดินขึ้นบันไดมาเจอเข้ากับเหตุการณ์เดิมๆ
"ม๊า ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกอี้ฟานน่ะครับ ต้องอู๋ฟานสิ!"
"นี่ คุณชายอู๋ ม๊าตั้งชื่อเราว่าอี้ฟานนะ"
"แต่ผมไม่อยากชื่ออี้ฟาน ผมเบื่อ! อะไรก็ไม่รู้ให้ตายเถอะ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆจางอี้ชิง!"
สบถใส่คนที่ยืนก้มหน้านิ่งอย่างไร้เหตุผลแล้วหมุนตัวเดินออกไป คุณนายอู๋ได้แต่มองตามลูกชายที่แสนเอาแต่ใจแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ ปรายตามองร่างขาวซีดอย่างเห็นใจ
"ผมไปเรียนก่อนนะครับคุณน้า"
"หืม! บอกกี่ครั้งแล้วให้เรียกม๊า ยังจะเรียกน้าอีกเด็กคนนี้นี่ ตั้งใจเรียนด้วยลูก" ว่าพลางลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆ ส่งยิ้มอบอุ่นให้
"ครับ" รับคำแล้วค้อมตัวลงเดินผ่านหน้าผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม
คุณนายอู๋ได้แต่มองตามแล้วถอนหายใจ เหนื่อยใจกับลูกชายตัวเองที่มักจะหาเรื่องกลั้นแกล้งจางอี้ชิงอยู่เสมอ ตั้งแต่รู้ว่าจะต้องแต่งงานกับเด็กคนนี้
ตระกูลจางนั้นมีบุญคุณกับตระกูลอู๋มาก เมื่อครั้งที่คุณปู๋ของอู๋อี้ฟานป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายหมดหนทางที่จะ เยียวยารักษา ทุก คนในครอบครัวต่างหมดสิ้นความหวังจนกระทั่งได้ตาของจางอี้ชิงช่วยรักษาจนหาย เป็นปกติ ตระกูลจางมีชื่อเสียงในด้านการรักษาเป็นอย่างมาก ทุกคนสืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ มีเคล็ดลับในการรักษา การปรุงยาแผนโบราณต่างๆนานา หลังจากหายจากอาการเจ็บป่วยคุณปู่และคุณตากลับกลายเป็นเพื่อนรักกัน พร้อมทั้งตกลงกันไว้ว่าลูกที่จะเกิดจากบุตรของตนนั้นจะต้องแต่งงานกันเพื่อรักษาสายใยอันมั่นคงของสองฝั่งตระกูลเอาไว้ ชีวิตของอู๋อี้ฟานและจางอี้ชิงจึงถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดแล้วว่าจะต้องเป็นคู่กัน
ต่อมาหลังจากสองตระกูลสิ้นผู้เป็นบรรพบุรุษได้ไม่นาน ชีวิตของจางอี้ชิงเด็กวัย16ก็ต้องมีอันพลิกเปลี่ยนไป เมื่อทั้งพ่อและแม่เครื่องบินตกจนเสียชีวิตขณะเดินทางกลับจากการท่องเที่ยว ตระกูลอู๋รับมาเลี้ยงดูต่อเพราะอี้ชิงไม่เหลือใครอีกแล้ว อู๋ อี้ฟานโกรธมากและค้านหัวชนฝาเมื่อกลับมาหลังจากเรียนจบม.ปลายที่แคนาดาและพบ ว่าตนจะต้องถูกจับแต่งงานกับจางอี้ชิง จึงตั้งแง่และคอยกลั่นแกล้งคนตัวเล็กเสมอมา แม้แต่ชื่อของตัวเองเขาก็ไม่ให้ใครเรียกเมื่อรู้ว่าชื่อของ'อี้ชิง'นั้นถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้คล้องจองกับชื่อของ'อี้ฟาน'
"เลย์! เลย์! เฮ้!! จางอี้ชิง!!"
"โอ๊ะ!" อี้ชิงตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆหูฟังที่เสียบเอาไว้ก็ถูกดึงออกไปจากหูอย่างไม่รู้ตัว
"ให้ตายเถอะ ฉันเรียกนายเป็นพันครั้งเลยนะ"
'หวงจื่อเถา'หรือเทาบ่นไปหอบไป เอามือกุมหน้าอกไว้หวังจะให้บรรเทาความเหนื่อย
"ขอโทษที พอดีเสียงเพลงมันดังน่ะ" ตากลมใสเงยหน้ามองรุ่นน้องที่ทำตัวสนิทกับเขาเหมือนกับเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน 'เลย์'เป็นชื่อเล่นอีกชื่อของเขาที่เพื่อนๆมักจะเรียกกันมากกว่าชื่อจริงที่ พ่อแม่ตั้งให้อย่างจางอี้ชิง
"เพราะมันดังขนาดนี้หรือเปล่า นายถึงไม่เคยได้ยินเสียงของฉัน เพลงที่นายฟังมันกลบเสียงของฉันหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเรียกหรือว่าเสียงของฉันที่คอยบอกอยู่เสมอว่ารั.."
"จาง อี้ชิง!!!"ยังไม่ทันที่เทาจะพูดได้จบประโยค เสียงเข้มๆเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้น
อู๋อี้ฟานเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามากระชากแขนเล็กของร่างบางลากออกไป คนตัวเล็กได้แต่เดินตามแรงกระชากของร่างสูงเงียบๆโดยไม่ปริปากใดๆ คล้ายชินกับเรื่องแบบนี้ อู๋อี้ฟานผลักประตูห้องชมรมหรูที่ตนมักใช้เป็นสถานที่ส่วนตัวในการพักผ่อน เข้ามาแล้วเตะประตูให้ปิดอย่างไม่สนว่ามันจะพังหรือเปล่า
"ไหนรีบจะมาเรียนนักหนาล่ะฮะ? รีบมาเรียนหรือรีบมาทำอะไรกับใครก่อนเข้าเรียนกันแน่!" ร่างสูงถาม เพิ่มแรงบีบแขนร่างบางแน่นจนอี้ชิงเบ้หน้า
"ผมเปล่า.."
"เปล่าเหรอ!? ก็เห็นๆกันอยู่ ยืนคุยกับผู้ชายอยู่เป็นนานสองนาน จะทำอะไรก็ให้มันดูสถานที่ซะบ้างนะ อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก!"
"ผมทำอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลยนะครับ"
"ยังจะถามอีก! นายเป็นคู่หมั้นฉัน ใครๆก็รู้กันทั่ว! แต่กลับมายืนพลอดรักอยู่กับคนอื่น ร่าน!" จางอี้ชิงสะอึก ความเจ็บแล่นแปล๊บเข้าหัวใจเพราะคำกล่าวหาของอีกฝ่าย สะกด กลั้นน้ำตาและความอ่อนแอให้ทนกับความเจ็บจากลมปากร้ายๆของอี้ฟานที่มีให้ไม่ รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งให้ได้ กลืนก้อนสะอื้นลงคอ หันหน้าไปมองอีกทาง
"ใช่!! ใครๆก็รู้กันว่าผมเป็นคู่หมั้นของอู๋อี้ฟาน แค่คู่หมั้นที่เกอเก้อไม่ต้องการ ถ้าผมร่านแล้วมันทำไมเหรอครับ หรือผมผิดที่ร่านในที่สาธารณะ? งั้นคราวหลังผมจะร่านในที่ส่วนตัวแล้วกันนะครับ พี่จะได้ไม่ต้องเสียหน้า"
"จางอี้ชิง!! เดี๋ยวนี้กล้าพูดกับฉันขนาดนี้แล้วเหรอ!" อี้ฟานตวาดใส่อย่างโมโหเมื่อได้ยินคำประชดประชันของอีกคน อี้ชิงเชิดหน้าเม้มปากแน่นทำใจกล้าทั้งๆที่ภายในอกสั่นริก
"ผมก็แค่ทำตามที่คุณต้องการ คุณไม่ต้องการให้ผมร่านให้ใครเห็น ผมก็จะแอบร่านไงครับ"
********ไม่สามารถลงฉากนี้ได้ขอโทษด้วยค่ะ ทางเราได้รับการตักเตือนจากเว็บมา************
"อี้ชิง กินข้าวหน่อยนะลูก ม๊าทำข้าวต้มมาให้" คุณนายอู๋ว่าพลางวางมือแตะลงบนไหล่บางเบาๆให้อีกคนรู้สึกตัว จางอี้ชิงหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแดงกล่ำด้วยพิษไข้ที่คุกคาม ร่างบางยัดตัวขึ้นช้าๆแต่ก็ต้องทรุดลงไปกับเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
"เอ้าๆ ระวังลูก อี้ฟานมาช่วยพยุงน้องหน่อยสิลูก ยืนดูอยู่ได้!"
"จะ อะไรกันนักหนา ก็แค่สำออย" เอื้อนเอ่ยวาจาร้ายกาจอย่างไม่นึกถึงใจคนฟังแล้วก้าวเดินไปจับหมับเข้าที่ แขนก่อนดึงรั้งให้พักพิงกับพนักของหัวเตียง จางอี้ชิงเม้มปากแน่น ใช้มือเกาะยึดพนักพิงเอาไว้มั่น ที่เขาป่วยก็เพราะพิษจากการร่วมรักอย่างทารุณของร่างสูง แต่ในสายตาเขากลับเป็นเพียงแค่คนเสแสร้งแกล้งสำออยคนนึงใจดวงน้อยรู้สึกเจ็บ ดั่งถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ คำพูดแบบนี้มันเจ็บยิ่งกว่าการถูกทำร้ายทางกาย
หยดน้ำเล็กๆเล็ดลอดออกมาจากตาคู่สวยที่ถูกปิดบังเอาไว้ด้วยเส้นผมสีน้ำตาล อ่อนๆกระทบเข้ากับผ้าห่มสีขาวจนเกิดเป็นรอยด่างที่หาได้รอดพ้นสายตาผู้เป็นแม่บุญธรรมไม่
"อู๋อี้ฟาน!! ทำไมพูดกับน้องแบบนี้ จะจงเกลียดจงชังน้องไปถึงไหน น้องไม่สบายจริงๆ ตัวซีดร้อนฉ่าไปหมดเราก็เห็นอยู่ ลูกคนนี้นี่! ถ้าอยู่แล้วพูดดีไม่ได้ ก็ออกไปซะไป" ผู้เป็นแม่ที่เห็นการกระทำคำพูดต่างๆเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวซะเองแทนเจ้าทุกข์ที่เอาแต่ยอมทน เอ่ยปากดุว่าผู้เป็นลูกชายอย่างเหลือทน นึกสงสารร่างเล็กยิ่งนักที่ต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของลูกชายเอาแต่ใจ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสัญญาของผู้ใหญ่เลย
"เฮอะ! คิดว่าอยากอยู่นักหรือไง ใครสนกัน"
พูดทิ้งท้ายก่อนยักไหล่แล้วเดินล้วงกระเป๋าออกไปจากห้อง คุณนายอู๋ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ตอนเล็กๆก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่พอรู้ว่าจะต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกัน อู๋อี้ฟานก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะเจ้าตัวเกลียดการบังคับกักเกณฑ์ยิ่งกว่าอะไร เพียง แค่คำสัญญาที่หลุดปากออกมาจากทนายซึ่งอ่านพินัยกรรมของผู้เป็นปู่ว่าต้อง แต่งงานกับจางอี้ชิงเท่านั้นจึงจะได้เป็นทายาทตระกูลอู๋ต่อไป พี่อี้ฟานที่แสนดีก็หายสาบสูญไปเหลือแต่'คุณคริส'หรือ'อู๋ฟาน'ที่แสนใจร้ายเท่านั้น
"คุณน้าครับ.." เสียงแผ่วๆดังออกมาจากปากคนป่วยหลังจากกินข้าวกินยาเสร็จ ผู้ที่กำลังวุ่นกับการเก็บชามจึงเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงเรียก
"หืม บอกให้เลี้ยงม๊าไงเด็กคนนี้ ไม่คิดจำเลยหรือไงนะ หรือว่ารังเกียจที่จะให้น้าเป็นแม่บุญธรรม" "ป..เปล่าครับ ผม..แค่ยังไม่ชิน"
"เอาล่ะๆ ต่อไปก็ต้องฝึกเรียกให้ชิน แล้วที่เรียกม๊าจะเอาอะไรหรือเปล่าลูก"
"ผม..อยากไปเรียนต่อที่เมืองนอกครับ"
กว่าสี่วันแล้วหลังจากกลับจากทริปทัวร์ไปฮ่องกงกับเพื่อนๆที่อู๋อี้ฟานไม่ เห็นวี่แววของคนที่มักถูกตนกลั่นแกล้งอยู่ประจำ วัน แล้ววันเล่าที่แอบชำเลืองมองไปทางประตูห้องหรือบันไดบ่อยครั้งตอนกินข้าว เช้าก็ไร้เงาของคนที่ตนเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เคยอยากเห็นหน้า ความร้อนรนถูกก่อสุมขึ้นมาในอกทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว
"จางอี้ชิงป่วยตายไปแล้วหรือไงครับ" สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยถามผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังเพราะหยิ่งใน ศักดิ์ศรีที่มีไม่อยากจะให้รับรู้ว่าในวันนี้กลับสนใจความมีอยู่ของคนที่เกลียดชัง แต่ผู้เป็นมารดาหรือจะไม่รู้ทัน คุณนายอู๋แกล้งทำเมินไม่ตอบคำถามของลูกชายเพราะถ้อยคำที่ไม่เสนาะหู ถ้าอยากรู้แล้วไม่ถามดีๆ เรื่องอะไรที่เธอจะต้องบอก!
"ม๊า! ผมถามว่าเค้าตายไปแล้วหรือไงครับ ไม่เห็นเลย"
"หืม! อี้ฟาน ลูกควรจะเรียนมารยาทในการพูดใหม่นะ ถ้าอยากจะรู้ความเป็นไปของใครสักคน ลูกควรจะถามว่า เป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่ตายแล้วหรือไง" คริสคอแข็งขึ้นทันควันเมื่อได้ยินคำสั่งสอนของมารดา มือเรียวคว้าช้อนตักข้าวต้มใส่ปาก หันหน้าไปมองทางอื่นเหมือนไม่ใส่ใจ
"ก็ไม่ได้อยากจะรู้สักหน่อยนี่ครับว่าเป็นยังไง ก็แค่สงสัยว่าตายหรือยังเท่านั้น" คุณนายอู๋ถอนหายใจอย่างระอากับฟอร์มที่มีของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
"ถ้าอยากรู้แค่นั้นม๊าก็จะตอบให้ ว่ายังไม่ตาย"
"ยัง ไม่ตายแล้วไปไหนล่ะครับ ทำไมไม่เห็นเลย" คุณนายอมยิ้มมองลูกชายที่เผลอหลุดความอยากรู้ที่ปกปิดเอาไว้ออกมา อู๋อี้ฟานหลุดปากถามไปแล้วก็ต้องเก๊กหน้าขรึมก้มหน้ากินข้าวหลบสายตาที่รู้ทันของผู้เป็นแม่
"ม๊าส่งน้องไปเรียนต่อที่อังกฤษหลังจากเราไปฮ่องกงได้สองวันแล้ว"
"อะไรนะครับ! ไปเรียนต่อ!! ทำไมไม่มีใครบอกผมสักคำ"
"ก็เราก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ม๊าก็ไม่รู้จะบอกยังไง น้องขอม๊าก็เลยส่งไป"
"ม๊าให้ไปง่ายๆแบบนั้นได้ยังไง อังกฤษไม่เหมือนที่จีนนะครับ!"
"ก็เจ้าตัวบอกว่าทำเรื่องเอาไว้ตั้งนานแล้ว เหลือแต่ขอม๊า ม๊าเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย ดีซะอีกไปเรียนที่ดีๆ น้องบอกว่าอยู่นานไปกว่านี้ก็มีแต่คนเขาจงเกลียดจงชัง ขอไปเรียนที่ไกลๆให้ห่างจากสายตาเขาดีกว่าจะได้สบายใจ ม๊าก็เห็นด้วยอย่างที่น้องพูด ไม่มีอะไรจะแย้งถึงได้ยอมให้ไป"
อู๋อี้ฟานได้แต่นิ่งงันกับคำบอกเล่าของผู้เป็นแม่ ลำคอตื้อตันไปซะดื้อๆ ผุดลุกจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวเท้าเดินขึ้นห้องไปทันที
"ผมอิ่มแล้วครับ"
ภายในห้องที่ประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอโทนสีเทาขาว ปรากฏร่างสูงนอนทอดตัวยาวอยู่บนโซฟา ดวงตาเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานฝ้าขาวที่แปะดาวเรืองแสงเอาไว้หลากหลายดวง 'เขา' ที่อี้ชิงว่า ทำไมอู๋ฟานจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวหมายถึงใคร มือหนาที่ใช้หนุนหัวเอาไว้เผลอกำแน่น รู้สึกชาวาบในหัวใจ กาย เบาหวิวโหวงเหมือนดั่งมีบางสิ่งบางอย่างได้หลุดลอยหายไปตั้งแต่รับรู้ว่าใคร บางคนไม่อยากทนกับการกลั่นแกล้งและท่าทีเกลียดชังที่เขาคอยมอบให้อีกต่อ ไปแล้ว หัวใจพาลกระหวัดนึกไปถึงยามที่กกกอดร่างขาวนวลไว้แล้วดึงรั้งกระแทกกระทั้น เข้าหาตัวอย่างเอาแต่ใจไร้ความปราณีด้วยความต้องการที่ดิบเถื่อน ตอนนี้ตัวเขาเองกลับไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้เลยว่าโหยหาเจ้าของร่างบอบบาง นั้นเหลือเกิน กลิ่นหอมจากเนื้ออุ่นยามฝังจมูกลงสูดดมอย่างหนำใจและสร้างรอยตีตราเอาไว้ ความรู้สึกยามที่ถูกตอดรัดแน่นจนสะท้าน เสียงเรียกชื่อของเขาที่มักหลุดรอดออกมาจากปากสวยอย่างอ้อนวอนขอให้ผ่อนแรง แม้จะหลอกใครๆได้กี่คนว่าไม่เคยใส่ใจ แต่ไม่ว่าอยู่คนเดียวทีไรก็กลับต้องคิดถึงคนๆนั้นทุกๆที
"เห๊อะ! บ้าชะมัด น่ารำคาญสิ้นดี ไปให้ไกลๆซะได้ก็ดี ขวางหูขวางตา"
อู๋อี้ฟานสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปอย่างไม่ยอมรับ แล้วลุกขึ้นทิ้งตัวลงข่มตานอนบนเตียงหนานุ่ม
2ปีต่อมา..
จางอี้ชิงนั่งกอดเข่าอยู่ที่ระเบียง ดวงตาคู่สวยเงยหน้ามองดูดาวประกายพฤกษ์ที่ส่องสว่างที่สุดอยู่บนท้องฟ้า สำหรับเขาแล้ว ดาวศุกร์ ดาวประกายพฤกษ์หรือดาวประจำเมือง ดาวพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอู๋อี้ฟาน ส่อง สว่างและโดดเด่นที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในหมู่ดาวด้วยกันเองมากมาย แต่ต่อให้ต่อบันไดสูงขึ้นไปสักพันไมล์ก็ยังไม่สามารถจะคว้ามาเก็บไว้ได้อยู่ ดี คนที่คู่ควรกับดาวดวงนี้ก็คือพระจันทร์ที่โดดเด่นและสวยงามเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่จางอี้ชิงที่เป็นแค่ดาวฤกษ์ที่ทำได้แค่เพียงทอแสงเล็กๆให้รู้ว่ามีตัว ตนแต่ไม่อาจเทียบเทียม เฝ้ามองแสงเด่นจากดาวที่สง่าที่สุดแบบนี้อยู่ไกลๆอย่างรู้ในฐานะ เป็นได้แค่นี้.. แค่นี้จริงๆ..INTRO ตอนนี้คุ้นๆไหม?
มันคือSF ที่แต่งไว้ในWAR OVER LIE นั่นเองค่ะ
ครุคริ
เดี๋ยวลงตอนที่หนึ่งให้ค่า -3-
Duck- Fly
ความคิดเห็น