ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    【FIC EXO】 Yielding Love KrisxLay ft. TaoxHo

    ลำดับตอนที่ #2 : Intro

    • อัปเดตล่าสุด 7 พ.ค. 56


                "หลีกทางให้ผมหน่อยครับ"
                "ไม่หลีก มีอะไรไหม?" ร่างสูงโปร่งยืนขวางปิดทาง กางแขนจนเต็มประตู ก้มมองคนตรงหน้าด้วยสายตายียวน
                "หลีกทางให้ผมเถอะครับ ผมต้องรีบไปเรียน.." เปล่งเสียงนุ่มออกมาอีกครั้งกับประโยคใจความเดิม ในน้ำเสียงมีแวววิงวอน
                "ไม่! เข้าสายสักวัน โดดเรียนซักครั้งจะเป็นอะไรไปล่ะหืม? จางอี้ชิงคนเก่ง"
                'จาง อี้ชิง'เจ้าของผิวกายขาวจนเกือบซีด ดวงหน้าหวานซึ้งจนเรียกได้ว่าสวย อาจจะมากกว่าผู้หญิงหลายๆคนซะอีกกำลังเม้มปากแน่น เงยหน้าขึ้นมอง มีแต่เพียงใบหน้ากวนๆและสายตายียวนของอีกคนส่งมาให้
                "อู๋ฟานเกอเก่อะ หลีกทางให้ผมเถอะนะครับ.."
                "อยากให้หลีกเหรอ? ก็ได้.. แต่นายต้องมีค่าผ่านทางให้ฉัน"
                "..เท่าไหร่ครับ"
                "ไม่ใช่เงิน ค่าผ่านทางเก็บเป็นอย่างอื่น" ดวงตาคมฉายแววเจ้าเล่ห์ กวาดสายตามองทั่วเรือนร่างของอีกคนจนเจ้าของหน้าร้อนฉ่า กำมือแน่น
                "อี้ฟาน! แกล้งน้องอีกแล้วนะลูก" เสียงมารดาดังขึ้นเมื่อเดินขึ้นบันไดมาเจอเข้ากับเหตุการณ์เดิมๆ
                "ม๊า ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเรียกอี้ฟานน่ะครับ ต้องอู๋ฟานสิ!"
                "นี่ คุณชายอู๋ ม๊าตั้งชื่อเราว่าอี้ฟานนะ"
                "แต่ผมไม่อยากชื่ออี้ฟาน ผมเบื่อ! อะไรก็ไม่รู้ให้ตายเถอะ นายนี่มันน่ารำคาญจริงๆจางอี้ชิง!"
                    สบถใส่คนที่ยืนก้มหน้านิ่งอย่างไร้เหตุผลแล้วหมุนตัวเดินออกไป คุณนายอู๋ได้แต่มองตามลูกชายที่แสนเอาแต่ใจแล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ ปรายตามองร่างขาวซีดอย่างเห็นใจ
                "ผมไปเรียนก่อนนะครับคุณน้า"
                "หืม! บอกกี่ครั้งแล้วให้เรียกม๊า  ยังจะเรียกน้าอีกเด็กคนนี้นี่ ตั้งใจเรียนด้วยลูก" ว่าพลางลูบกลุ่มผมนิ่มเบาๆ ส่งยิ้มอบอุ่นให้
                "ครับ" รับคำแล้วค้อมตัวลงเดินผ่านหน้าผู้สูงวัยกว่าอย่างนอบน้อม

                    คุณนายอู๋ได้แต่มองตามแล้วถอนหายใจ เหนื่อยใจกับลูกชายตัวเองที่มักจะหาเรื่องกลั้นแกล้งจางอี้ชิงอยู่เสมอ ตั้งแต่รู้ว่าจะต้องแต่งงานกับเด็กคนนี้
                    ตระกูลจางนั้นมีบุญคุณกับตระกูลอู๋มาก เมื่อครั้งที่คุณปู๋ของอู๋อี้ฟานป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายหมดหนทางที่จะ เยียวยารักษา ทุก คนในครอบครัวต่างหมดสิ้นความหวังจนกระทั่งได้ตาของจางอี้ชิงช่วยรักษาจนหาย เป็นปกติ ตระกูลจางมีชื่อเสียงในด้านการรักษาเป็นอย่างมาก ทุกคนสืบทอดกันมาเป็นรุ่นๆ มีเคล็ดลับในการรักษา การปรุงยาแผนโบราณต่างๆนานา หลังจากหายจากอาการเจ็บป่วยคุณปู่และคุณตากลับกลายเป็นเพื่อนรักกัน พร้อมทั้งตกลงกันไว้ว่าลูกที่จะเกิดจากบุตรของตนนั้นจะต้องแต่งงานกันเพื่อรักษาสายใยอันมั่นคงของสองฝั่งตระกูลเอาไว้ ชีวิตของอู๋อี้ฟานและจางอี้ชิงจึงถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิดแล้วว่าจะต้องเป็นคู่กัน
                    ต่อมาหลังจากสองตระกูลสิ้นผู้เป็นบรรพบุรุษได้ไม่นาน ชีวิตของจางอี้ชิงเด็กวัย16ก็ต้องมีอันพลิกเปลี่ยนไป เมื่อทั้งพ่อและแม่เครื่องบินตกจนเสียชีวิตขณะเดินทางกลับจากการท่องเที่ยว ตระกูลอู๋รับมาเลี้ยงดูต่อเพราะอี้ชิงไม่เหลือใครอีกแล้ว อู๋ อี้ฟานโกรธมากและค้านหัวชนฝาเมื่อกลับมาหลังจากเรียนจบม.ปลายที่แคนาดาและพบ ว่าตนจะต้องถูกจับแต่งงานกับจางอี้ชิง จึงตั้งแง่และคอยกลั่นแกล้งคนตัวเล็กเสมอมา แม้แต่ชื่อของตัวเองเขาก็ไม่ให้ใครเรียกเมื่อรู้ว่าชื่อของ'อี้ชิง'นั้นถูกตั้งขึ้นมาเพื่อให้คล้องจองกับชื่อของ'อี้ฟาน'

                "
    เลย์! เลย์! เฮ้!! จางอี้ชิง!!"
                "โอ๊ะ!" อี้ชิงตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆหูฟังที่เสียบเอาไว้ก็ถูกดึงออกไปจากหูอย่างไม่รู้ตัว
                "ให้ตายเถอะ ฉันเรียกนายเป็นพันครั้งเลยนะ"
                'หวงจื่อเถา'หรือเทาบ่นไปหอบไป เอามือกุมหน้าอกไว้หวังจะให้บรรเทาความเหนื่อย
                "ขอโทษที พอดีเสียงเพลงมันดังน่ะ" ตากลมใสเงยหน้ามองรุ่นน้องที่ทำตัวสนิทกับเขาเหมือนกับเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน 'เลย์'เป็นชื่อเล่นอีกชื่อของเขาที่เพื่อนๆมักจะเรียกกันมากกว่าชื่อจริงที่ พ่อแม่ตั้งให้อย่างจางอี้ชิง
                "เพราะมันดังขนาดนี้หรือเปล่า  นายถึงไม่เคยได้ยินเสียงของฉัน เพลงที่นายฟังมันกลบเสียงของฉันหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงเรียกหรือว่าเสียงของฉันที่คอยบอกอยู่เสมอว่ารั.."
                "จาง อี้ชิง!!!"ยังไม่ทันที่เทาจะพูดได้จบประโยค เสียงเข้มๆเสียงหนึ่งก็ดังขัดขึ้น

                    อู๋อี้ฟานเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามากระชากแขนเล็กของร่างบางลากออกไป คนตัวเล็กได้แต่เดินตามแรงกระชากของร่างสูงเงียบๆโดยไม่ปริปากใดๆ คล้ายชินกับเรื่องแบบนี้ อู๋อี้ฟานผลักประตูห้องชมรมหรูที่ตนมักใช้เป็นสถานที่ส่วนตัวในการพักผ่อน เข้ามาแล้วเตะประตูให้ปิดอย่างไม่สนว่ามันจะพังหรือเปล่า
                "ไหนรีบจะมาเรียนนักหนาล่ะฮะ? รีบมาเรียนหรือรีบมาทำอะไรกับใครก่อนเข้าเรียนกันแน่!" ร่างสูงถาม เพิ่มแรงบีบแขนร่างบางแน่นจนอี้ชิงเบ้หน้า
                "ผมเปล่า.."
                "เปล่าเหรอ!? ก็เห็นๆกันอยู่ ยืนคุยกับผู้ชายอยู่เป็นนานสองนาน จะทำอะไรก็ให้มันดูสถานที่ซะบ้างนะ อย่าให้มันประเจิดประเจ้อนัก!"
                "ผมทำอะไร ผมยังไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลยนะครับ"
                "ยังจะถามอีก! นายเป็นคู่หมั้นฉัน ใครๆก็รู้กันทั่ว! แต่กลับมายืนพลอดรักอยู่กับคนอื่น ร่าน!"  จางอี้ชิงสะอึก ความเจ็บแล่นแปล๊บเข้าหัวใจเพราะคำกล่าวหาของอีกฝ่าย  สะกด กลั้นน้ำตาและความอ่อนแอให้ทนกับความเจ็บจากลมปากร้ายๆของอี้ฟานที่มีให้ไม่ รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งให้ได้ กลืนก้อนสะอื้นลงคอ หันหน้าไปมองอีกทาง
                "ใช่!! ใครๆก็รู้กันว่าผมเป็นคู่หมั้นของอู๋อี้ฟาน แค่คู่หมั้นที่เกอเก้อไม่ต้องการ ถ้าผมร่านแล้วมันทำไมเหรอครับ หรือผมผิดที่ร่านในที่สาธารณะ? งั้นคราวหลังผมจะร่านในที่ส่วนตัวแล้วกันนะครับ พี่จะได้ไม่ต้องเสียหน้า"
                "จางอี้ชิง!!  เดี๋ยวนี้กล้าพูดกับฉันขนาดนี้แล้วเหรอ!" อี้ฟานตวาดใส่อย่างโมโหเมื่อได้ยินคำประชดประชันของอีกคน อี้ชิงเชิดหน้าเม้มปากแน่นทำใจกล้าทั้งๆที่ภายในอกสั่นริก
                "ผมก็แค่ทำตามที่คุณต้องการ คุณไม่ต้องการให้ผมร่านให้ใครเห็น ผมก็จะแอบร่านไงครับ"      

     

    ********ไม่สามารถลงฉากนี้ได้ขอโทษด้วยค่ะ ทางเราได้รับการตักเตือนจากเว็บมา************


                "อี้ชิง กินข้าวหน่อยนะลูก ม๊าทำข้าวต้มมาให้" คุณนายอู๋ว่าพลางวางมือแตะลงบนไหล่บางเบาๆให้อีกคนรู้สึกตัว จางอี้ชิงหน้าซีดเผือด ริมฝีปากแดงกล่ำด้วยพิษไข้ที่คุกคาม ร่างบางยัดตัวขึ้นช้าๆแต่ก็ต้องทรุดลงไปกับเตียงอย่างไร้เรี่ยวแรง
                "เอ้าๆ ระวังลูก อี้ฟานมาช่วยพยุงน้องหน่อยสิลูก ยืนดูอยู่ได้!"
                "จะ อะไรกันนักหนา ก็แค่สำออย"  เอื้อนเอ่ยวาจาร้ายกาจอย่างไม่นึกถึงใจคนฟังแล้วก้าวเดินไปจับหมับเข้าที่ แขนก่อนดึงรั้งให้พักพิงกับพนักของหัวเตียง จางอี้ชิงเม้มปากแน่น ใช้มือเกาะยึดพนักพิงเอาไว้มั่น ที่เขาป่วยก็เพราะพิษจากการร่วมรักอย่างทารุณของร่างสูง แต่ในสายตาเขากลับเป็นเพียงแค่คนเสแสร้งแกล้งสำออยคนนึงใจดวงน้อยรู้สึกเจ็บ ดั่งถูกแล่ออกเป็นชิ้นๆ คำพูดแบบนี้มันเจ็บยิ่งกว่าการถูกทำร้ายทางกาย

                    หยดน้ำเล็กๆเล็ดลอดออกมาจากตาคู่สวยที่ถูกปิดบังเอาไว้ด้วยเส้นผมสีน้ำตาล อ่อนๆกระทบเข้ากับผ้าห่มสีขาวจนเกิดเป็นรอยด่างที่หาได้รอดพ้นสายตาผู้เป็นแม่บุญธรรมไม่
                "อู๋อี้ฟาน!! ทำไมพูดกับน้องแบบนี้  จะจงเกลียดจงชังน้องไปถึงไหน น้องไม่สบายจริงๆ ตัวซีดร้อนฉ่าไปหมดเราก็เห็นอยู่ ลูกคนนี้นี่! ถ้าอยู่แล้วพูดดีไม่ได้ ก็ออกไปซะไป" ผู้เป็นแม่ที่เห็นการกระทำคำพูดต่างๆเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวซะเองแทนเจ้าทุกข์ที่เอาแต่ยอมทน เอ่ยปากดุว่าผู้เป็นลูกชายอย่างเหลือทน นึกสงสารร่างเล็กยิ่งนักที่ต้องมาเป็นที่รองรับอารมณ์ของลูกชายเอาแต่ใจ ทั้งๆที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสัญญาของผู้ใหญ่เลย
                "เฮอะ! คิดว่าอยากอยู่นักหรือไง ใครสนกัน"
                    พูดทิ้งท้ายก่อนยักไหล่แล้วเดินล้วงกระเป๋าออกไปจากห้อง คุณนายอู๋ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ตอนเล็กๆก็ยังเป็นพี่น้องที่ดีต่อกัน แต่พอรู้ว่าจะต้องถูกคลุมถุงชนแต่งงานกัน อู๋อี้ฟานก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเพราะเจ้าตัวเกลียดการบังคับกักเกณฑ์ยิ่งกว่าอะไร เพียง แค่คำสัญญาที่หลุดปากออกมาจากทนายซึ่งอ่านพินัยกรรมของผู้เป็นปู่ว่าต้อง แต่งงานกับจางอี้ชิงเท่านั้นจึงจะได้เป็นทายาทตระกูลอู๋ต่อไป พี่อี้ฟานที่แสนดีก็หายสาบสูญไปเหลือแต่'คุณคริส'หรือ'อู๋ฟาน'ที่แสนใจร้ายเท่านั้น
                "คุณน้าครับ.." เสียงแผ่วๆดังออกมาจากปากคนป่วยหลังจากกินข้าวกินยาเสร็จ ผู้ที่กำลังวุ่นกับการเก็บชามจึงเงยหน้าขึ้นไปมองตามเสียงเรียก
                "หืม บอกให้เลี้ยงม๊าไงเด็กคนนี้  ไม่คิดจำเลยหรือไงนะ หรือว่ารังเกียจที่จะให้น้าเป็นแม่บุญธรรม" "ป..เปล่าครับ ผม..แค่ยังไม่ชิน"
                "เอาล่ะๆ ต่อไปก็ต้องฝึกเรียกให้ชิน แล้วที่เรียกม๊าจะเอาอะไรหรือเปล่าลูก"
                "ผม..อยากไปเรียนต่อที่เมืองนอกครับ"

                    กว่าสี่วันแล้วหลังจากกลับจากทริปทัวร์ไปฮ่องกงกับเพื่อนๆที่อู๋อี้ฟานไม่ เห็นวี่แววของคนที่มักถูกตนกลั่นแกล้งอยู่ประจำ วัน แล้ววันเล่าที่แอบชำเลืองมองไปทางประตูห้องหรือบันไดบ่อยครั้งตอนกินข้าว เช้าก็ไร้เงาของคนที่ตนเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอว่าไม่เคยอยากเห็นหน้า ความร้อนรนถูกก่อสุมขึ้นมาในอกทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว
                "จางอี้ชิงป่วยตายไปแล้วหรือไงครับ" สุดท้ายก็ตัดสินใจเอ่ยถามผู้เป็นมารดาด้วยถ้อยคำที่ไม่น่าฟังเพราะหยิ่งใน ศักดิ์ศรีที่มีไม่อยากจะให้รับรู้ว่าในวันนี้กลับสนใจความมีอยู่ของคนที่เกลียดชัง แต่ผู้เป็นมารดาหรือจะไม่รู้ทัน คุณนายอู๋แกล้งทำเมินไม่ตอบคำถามของลูกชายเพราะถ้อยคำที่ไม่เสนาะหู ถ้าอยากรู้แล้วไม่ถามดีๆ เรื่องอะไรที่เธอจะต้องบอก!
                "ม๊า! ผมถามว่าเค้าตายไปแล้วหรือไงครับ ไม่เห็นเลย"
                "หืม! อี้ฟาน ลูกควรจะเรียนมารยาทในการพูดใหม่นะ ถ้าอยากจะรู้ความเป็นไปของใครสักคน ลูกควรจะถามว่า เป็นยังไงบ้าง ไม่ใช่ตายแล้วหรือไง" คริสคอแข็งขึ้นทันควันเมื่อได้ยินคำสั่งสอนของมารดา มือเรียวคว้าช้อนตักข้าวต้มใส่ปาก หันหน้าไปมองทางอื่นเหมือนไม่ใส่ใจ
                "ก็ไม่ได้อยากจะรู้สักหน่อยนี่ครับว่าเป็นยังไง ก็แค่สงสัยว่าตายหรือยังเท่านั้น" คุณนายอู๋ถอนหายใจอย่างระอากับฟอร์มที่มีของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน
                "ถ้าอยากรู้แค่นั้นม๊าก็จะตอบให้ ว่ายังไม่ตาย"
                "ยัง ไม่ตายแล้วไปไหนล่ะครับ ทำไมไม่เห็นเลย" คุณนายอมยิ้มมองลูกชายที่เผลอหลุดความอยากรู้ที่ปกปิดเอาไว้ออกมา อู๋อี้ฟานหลุดปากถามไปแล้วก็ต้องเก๊กหน้าขรึมก้มหน้ากินข้าวหลบสายตาที่รู้ทันของผู้เป็นแม่
                "ม๊าส่งน้องไปเรียนต่อที่อังกฤษหลังจากเราไปฮ่องกงได้สองวันแล้ว"
                "อะไรนะครับ! ไปเรียนต่อ!! ทำไมไม่มีใครบอกผมสักคำ"
                "ก็เราก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ม๊าก็ไม่รู้จะบอกยังไง น้องขอม๊าก็เลยส่งไป"
                "ม๊าให้ไปง่ายๆแบบนั้นได้ยังไง อังกฤษไม่เหมือนที่จีนนะครับ!"
                "ก็เจ้าตัวบอกว่าทำเรื่องเอาไว้ตั้งนานแล้ว เหลือแต่ขอม๊า ม๊าเห็นว่าไม่มีอะไรเสียหาย ดีซะอีกไปเรียนที่ดีๆ น้องบอกว่าอยู่นานไปกว่านี้ก็มีแต่คนเขาจงเกลียดจงชัง ขอไปเรียนที่ไกลๆให้ห่างจากสายตาเขาดีกว่าจะได้สบายใจ ม๊าก็เห็นด้วยอย่างที่น้องพูด ไม่มีอะไรจะแย้งถึงได้ยอมให้ไป"

                อู๋อี้ฟานได้แต่นิ่งงันกับคำบอกเล่าของผู้เป็นแม่ ลำคอตื้อตันไปซะดื้อๆ ผุดลุกจากโต๊ะอาหารแล้วก้าวเท้าเดินขึ้นห้องไปทันที
                "ผมอิ่มแล้วครับ"
                    ภายในห้องที่ประดับไปด้วยเฟอร์นิเจอโทนสีเทาขาว ปรากฏร่างสูงนอนทอดตัวยาวอยู่บนโซฟา ดวงตาเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานฝ้าขาวที่แปะดาวเรืองแสงเอาไว้หลากหลายดวง 'เขา' ที่อี้ชิงว่า ทำไมอู๋ฟานจะไม่รู้ว่าเจ้าตัวหมายถึงใคร มือหนาที่ใช้หนุนหัวเอาไว้เผลอกำแน่น รู้สึกชาวาบในหัวใจ กาย เบาหวิวโหวงเหมือนดั่งมีบางสิ่งบางอย่างได้หลุดลอยหายไปตั้งแต่รับรู้ว่าใคร บางคนไม่อยากทนกับการกลั่นแกล้งและท่าทีเกลียดชังที่เขาคอยมอบให้อีกต่อ ไปแล้ว หัวใจพาลกระหวัดนึกไปถึงยามที่กกกอดร่างขาวนวลไว้แล้วดึงรั้งกระแทกกระทั้น เข้าหาตัวอย่างเอาแต่ใจไร้ความปราณีด้วยความต้องการที่ดิบเถื่อน ตอนนี้ตัวเขาเองกลับไม่สามารถปฏิเสธตัวเองได้เลยว่าโหยหาเจ้าของร่างบอบบาง นั้นเหลือเกิน  กลิ่นหอมจากเนื้ออุ่นยามฝังจมูกลงสูดดมอย่างหนำใจและสร้างรอยตีตราเอาไว้  ความรู้สึกยามที่ถูกตอดรัดแน่นจนสะท้าน เสียงเรียกชื่อของเขาที่มักหลุดรอดออกมาจากปากสวยอย่างอ้อนวอนขอให้ผ่อนแรง แม้จะหลอกใครๆได้กี่คนว่าไม่เคยใส่ใจ แต่ไม่ว่าอยู่คนเดียวทีไรก็กลับต้องคิดถึงคนๆนั้นทุกๆที
                "เห๊อะ! บ้าชะมัด น่ารำคาญสิ้นดี ไปให้ไกลๆซะได้ก็ดี ขวางหูขวางตา"
                    อู๋อี้ฟานสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระออกไปอย่างไม่ยอมรับ แล้วลุกขึ้นทิ้งตัวลงข่มตานอนบนเตียงหนานุ่ม

     

                2ปีต่อมา..

                    จางอี้ชิงนั่งกอดเข่าอยู่ที่ระเบียง ดวงตาคู่สวยเงยหน้ามองดูดาวประกายพฤกษ์ที่ส่องสว่างที่สุดอยู่บนท้องฟ้า สำหรับเขาแล้ว ดาวศุกร์ ดาวประกายพฤกษ์หรือดาวประจำเมือง ดาวพวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอู๋อี้ฟาน ส่อง สว่างและโดดเด่นที่สุดไม่ว่าจะอยู่ในหมู่ดาวด้วยกันเองมากมาย แต่ต่อให้ต่อบันไดสูงขึ้นไปสักพันไมล์ก็ยังไม่สามารถจะคว้ามาเก็บไว้ได้อยู่ ดี คนที่คู่ควรกับดาวดวงนี้ก็คือพระจันทร์ที่โดดเด่นและสวยงามเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เขา ไม่ใช่จางอี้ชิงที่เป็นแค่ดาวฤกษ์ที่ทำได้แค่เพียงทอแสงเล็กๆให้รู้ว่ามีตัว ตนแต่ไม่อาจเทียบเทียม เฝ้ามองแสงเด่นจากดาวที่สง่าที่สุดแบบนี้อยู่ไกลๆอย่างรู้ในฐานะ เป็นได้แค่นี้.. แค่นี้จริงๆ..






    INTRO ตอนนี้คุ้นๆไหม?
    มันคือSF ที่แต่งไว้ในWAR OVER LIE นั่นเองค่ะ
    ครุคริ

    เดี๋ยวลงตอนที่หนึ่งให้ค่า -3-

    Duck- ร้านค้าแจกธีมบทความFly
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×