ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : การศึกษาไทย - เยอรมัน แตกต่างกันยังไง?
วันนี้มายาว ขอพูดถึงระบบการศึกษา เปรียบเทียบไทย-เยอรมันหน่อย ขอเอาตามที่รู้แล้วกัน เผื่อใครคิดว่าอยากมาเรียนเยอรม ันจะได้พิจารณาดีๆนะจ๊ะ
ระบบการศึกษาเยอรมัน แบ่งเป็นลำดับดังนี้
1.Kindergrippe (คินเดอร์กริปเพ่อ) หรือเตรียมอนุบาล
2.Kindergarten (คินเดอร์การ์เท่น) หรืออนุบาล
3.Grundschule (กรุนด์ชูเล่อ) หรือโรงเรียนประถม โดยจะมีตั้งแต่ Klasse (Grade) 1-4 หรือ ป.1-4
พอจบ Grundschule ปุ๊บ เหล่าเด็กๆก็ต้องเลือกชะตาชีวิตตัวเอง โดยจะมีแบ่งต่ออีก 4 โรงเรียน ดังนี้
- Hauptschule (เฮ้าพ์ชูเล่อ) ถ้าแปลเป็นไทย ก็ประมาณโรงเรียนสายอาชีพ มีตั้งแต่ Klasse 5-10 เทียบเป็นไทยคือ ป.5-ม.4 โรงเรียนนี้จะเรียนวิชาเน้นปฏิบ ัติ ทฤษฎีไม่เยอะเท่า จบไปก็ฝึกงานในสายอาชีพ
- Realschule (เรอัลชูเล่อ) แปลเป็นไทยคือโรงเรียนเทคนิคเฉพ าะทาง อันนี้เป็นโรงเรียนปัจจุบันเราเ อง โรงเรียนนี้จะเรียนเน้นสายคณิตศ าสตร์ Informatik งี้ มี Klasse 5-10 เท่าเฮ้าพ์ชูเล่อ แต่พอเรียนจบแล้ว ก็จะต่อ Oberschule (โอแบร์ชูเล่อ) Klasse 11-12/13 หรือม.5-ม.6/7 แล้วแต่สายอาชีพ จบแล้วก็ไปฝึกงานจ้า
- Gymnasium (กิมนาซิอุ้ม ไม่ใช่จิมเนเซี่ยม และไม่เกี่ยวกับกีฬา) นี่คือโรงเรียนมัธยมปกติ มีตั้งแต่ Klasse 5-12/13 หรือ ป.5-ม.6/ 7 แล้วแต่คน ก็ไม่รู้ว่าทำไมมี ม.7 ด้วย โรงเรียนนี้คือโรงเรียนเก่าเราที่เมืองเก ่า เรียนเยอะมากกกกกกกกกกกกเว่อวี มีหมดจ้า วิทย์ คณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลิกเรียนประมาณบ่ายสามกว่าๆหลา ยวัน 2-3 วันต่ออาทิตย์ได้มั้งรู้สึก เรียนโหด เด็กที่นี่คือของจริง พวกนางโหด จริงจัง ถึงขนาดว่าไม่มีเวลาไปเที่ยวด้ว ยอะคิดดู 55555555555 แต่เด็กโรงเรียนกิมนาซิอุ้ม รู้สึกว่าจะหน้าตาดีกว่านะ ไม่รู้ทำไม.. #เหตุผลเดียวที่อยากกลับไปกิมนา ซิอุ้ม สายนี้พอจบ Klasse 12/ 13 แล้ว ก็จะสอบสิ่งที่เรียกว่า Abitur (อบิทัวร์) เพื่อนำอบิทัวร์ไปต่อมหาลัย กิมนาซิอุ้มเป็นสายเดียวที่มีสิทธิ์ ต่อมหาลัย หรือที่เรียกว่า Universität (อูนิเวอร์ซิแทท) นะจ๊ะ
- Gesamtschule (เกซัมชูเล่อ) ถ้าแปลเป็นไทยจะเรียกว่าโรงเรีย นบูรณาการณ์ คือรวมสามสายที่ผ่านมาเข้าด้วยก ัน แต่จะเรียนน้อยกว่ากิมนาซิอุ้มน ะ มีถึงเกรด 5-10 แต่ถ้าอยากจะต่อมหาลัยเหมือนเด็ กกิม ต้องเรียนต่ออีก 3 ปีจ้ะ
เท่าที่รู้มา เด็กๆจากกิมนาซิอุ้มและเรอัลชูเ ล่อ เมื่ออยู่ประมาณเกรด 9-10 ต้องไปฝึกงาน หรือที่เรียกว่า Praktikum นะ กิมนาซิอุ้มจะไปตอนเกรด 10 ประมาณสองอาทิตย์ ทุกคนต้องหาสถานที่เพื่อไปฝึกงา นเอง แล้วเขียนรายงานว่าทำอะไรมาบ้าง น่าสนใจหรือไม่ อะไรยังไง ส่วนเรอัลชูเล่อไปตอนเกรด 9 ค่ะ ประมาณสองสัปดาห์ครึ่ง โรงเรียนอื่นไม่รู้ว่ามีมั้ย เราเคยเรียนแค่สองโรงเรียน
ส่วนตัวคิดว่าการแยกสายตั้งแต่เ ด็กอยู่ ป.4 หรืออายุแค่ 9-10 ขวบนี่ โหดนะ เพราะการแยกสายมันเหมือนจะเป็นก ารกำหนดอนาคตเราเลยอะ แอบคิดว่าไวไปหน่อย.. ไม่ได้แยกสายมอปลายเหมือนที่ไทย ด้วย ที่ไทยยังเปลี่ยนสายได้ช้ะ แต่ที่เยอรมันจะเปลี่ยนสายนี่ ยากนะ
แล้วก็ เด็กเยอรมัน เวลาเค้าเข้าโรงเรียน จะเข้าแค่โรงเรียนในเขตของเค้าเ ท่านั้นนะ ห้ามไปโรงเรียนเขตอื่น ยกเว้นว่าจะย้ายบ้าน ดังนั้นไม่มีค่านิยมว่าจบมอต้นแ ล้วไปต่อมหิดล/เตรียมใหญ่/ บดินทร์นะ ดังนั้นเด็กแต่ละคนจะรู้จักกันต ั้งแต่เกิดเลยก็มี พ่อแม่เป็นเพื่อนบ้านกัน เอาลูกมาเป็นเพื่อนกันด้วย รู้จักกันตั้งแต่ประถมเลยอะไรงี ้
อะ ขอแยกย่อยบ้าง ว่าไทยกับเยอรมัน บรรยากาศในโรงเรียนแตกต่างกันยั งไง
1.สภาพโรงเรียน
เยอรมันโรงเรียนค่อนข้างต่างจาก ไทยมาก สภาพโรงเรียนจะเล็กกว่า ประชากรนักเรียนน้อยกว่า ไม่มีโรงอาหารใหญ่ๆ ไม่มีโต๊ะกินข้าว จะมีแค่ร้านขายขนมปังเล็กๆเท่าน ั้น เด็กที่นี่จะกินขนมปังกัน ไม่กิน Warm Essen (อาหารอุ่น,อาหารร้อนที่ทำใหม่ๆ ) อาหารอุ่นเค้าจะกินกันกับครอบคร ัวเป็นส่วนใหญ่ เด็กๆจะเตรียมขนมปังกันตอนเช้า คนละสามสี่แผ่น มีชีส เนย แล้วก็เนื้อที่จะเป็นคล้ายๆเนื้ อรมควัน หน้าตาเหมือนเนื้อสดแต่กินได้เล ย เค็มๆ อร่อยดี แต่เบื่อ หรือบ้างก็ใส่ผัก ใส่อะไรตามใจชอบ แล้วก็สามารถกินได้ตลอดเวลาพัก จะพักทุกคาบ ระหว่างคาบ 1 กับ 2 พัก 5 นาที, คาบ 2 กับ 3 พัก 15-20 นาที, คาบ 3 กับ 4 พัก 5 นาที คือทุกๆสองคาบจะเป็นเบรคใหญ่นั่ นเอง ไม่งงช้ะ?
ประชากรนักเรียนจะมีห้องละประมา ณ 20 คน มีประมาณ 4 ห้องต่อ 1 เกรด เช่น 9a 9b 9c 9d แค่นี้ หนึ่งเกรดก็จะประมาณ 80 คน ถ้านับตั้งแต่เกรด 5 จนถึงเกรด 12 หรือโรงเรียนระดับกิมนาซิอุ้มแล ะเกซัมชูเล่อ ก็จะประมาณ 600-700 คนได้ น้อยมาก ที่ไทยนี่ประมาณ 3000 คนเนาะ
ห้องเรียนจะมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ ่นะ แต่โต๊ะเรียนจะใหญ่มาก นี่ถ้าได้โต๊ะแบบนี้ที่ไทยจะนอน แม่งเลย วางของใด้ครบ ไม่มีเบียดเสียดแน่นอน ห้องเรียนสะอาด ใช้กระดานดำ โรงเรียนหรูๆก็ใช้กระดานดำ เหตุผลคือมันไม่มีสารเคมี อันตรายน้อยกว่า แล้วก็ไม่มีปัญหาเหมือนไวท์บอร์ ดเวลาแสงกระทบแล้วมันบลิ๊งๆ แสบตา อ่านไม่ออก ไม่มีปัญหาเรื่องผงชอล์กเพราะเค ้าใช้ที่ลบกระดานเป็นก้อนฟองน้ำ ใหญ่ๆ มันจะซับผงชอล์กออกหมด โรงเรียนที่ไทย ยิ่งหรูยิ่งใช้ไวท์บอร์ดนะ.. นี่คือความแตกต่าง
แล้วก็ในห้องจะมีอุปกรณ์บางอย่า ง นึกถึงเวลาไปเรียนพิเศษคอร์สวิด ิโอ ครูจะเอากระดาษวางบนเรื่อง แล้วมันจะฉายขึ้นทีวีช้ะ แต่ที่นี่มันจะฉายขึ้นกำแพง โดยใช้แค่ระบบแสงกับการสะท้อนกร ะจก แผ่นกระดาษจะเป็นกระดาษพลาสติกใ สๆ เหมือนปกรายงานอะ แล้วก็เขียนเอา แสงจะฉายขึ้นบนกำแพงทำให้อ่านได ้ทั่วถึงนะ
แล้วอีกอย่างที่ประทับใจเรามาก คือเครื่องโปรเจคเตอร์ของห้องเร ียน จะมีแค่พวกห้องเรียนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ พวกห้องเรียนหมวดๆงี้ มันจะเป็นแผ่นบอร์ดใหญ่ๆ แล้วโปรเจคเตอร์จะฉายบนบอร์ดช้ะ บอร์ดเลื่อนขึ้นลงได้ แล้วประเด็นคือ เค้าใช้กันแทนกระดานเว้ย คือมันจะมีปากกาพิเศษ ที่เขียนผ่านโปรเจคเตอร์ได้เลย เห้ยนี่มันเก๋มากเลยนะ! นี่มันเม้าส์ปากกา!! นี่ว้อนมาก อยากเอาไปให้ครูที่ไทยใช้ ครูจะได้ไม่ต้องลงทุนทำ Powerpoint นะคะ
แล้วก็โรงเรียนจะมีระบบคอมพิวเต อร์นะ แบบนักเรียนทุกคนจะมี User เป็นของตัวเอง ถ้าจะใช้คอมพิวเตอร์ต้องล็อกอิน ด้วยยูสตัวเอง เวลาส่งงาน หรือดูงานของตัวเองก็จะมีในยูสต ัวเอง อันนี้ดี น่าประทับใจสุดๆ ดูหรูหรา
ที่ส่วนล็อบบี้ของโรงเรียน จะมีทีวีเครื่องนึงที่จะบอกว่า วันนี้ห้องไหนไม่มีเรียนคาบอะไร บ้าง, ครูอะไรจะเข้ามาแทน, ครูคนไหนป่วย อันนี้คือดี ชอบมาก
แล้วก็ เด็ก/ ครูที่นี่จะค่อนข้างตรงเวลา เข้าเรียนต้องตรง ครูเข้าสอนตรงเวลา ถ้าเลทไม่มีสอนเพิ่ม ออดหมดคาบดังคือทุกคนลุก เก็บของ เปลี่ยนห้องเลย ครูก็ต้องออกเหมือนกันนะจ๊ะ ไม่มีสิทธิ์รั้งเด็กให้อยู่ต่อ
2.บุคลากรครู
ครูเป็นหนึ่งในสิ่งที่แตกต่างกั น ครูที่นี่จะไม่ค่อยมีมาดครูเหมื อนที่ไทยเท่าไหร่ ยกเว้นครูแก่ๆ ไม่ใช่ไม่น่านับถือนะ แต่ลุคของเค้าจะค่อนข้างเป็นกัน เอง เข้าหาง่ายกว่า แต่ที่แปลกคือความใกล้ชิดระหว่า งครูอาจารย์กับนักเรียนที่นี่ค่ อนข้างห่างนะ เวลาเดินผ่านครูจะแค่พูดทักแล้ว เดินผ่านเท่านั้น ไม่มีหยุดชวนคุยเยอะแยะเหมือนคร ูไทย นักเรียนไม่มีการกอดครู หยอกล้อกับครู คือเราว่าช่องว่างระหว่างครูไทย กับครูเยอรมันห่างกันตรงนี้ ที่ไทยสอนว่าครูคือผู้ประสิทธิ์ ประสาทวิชา ต้องให้ความสำคัญ แต่ครูเยอ ครูคือผู้สอน จบ แล้วไงต่อ
แต่ครูที่นี่แตกต่างจากครูที่ไท ยตรงที่เค้าเก่ง เค้ามีความรู้จริงๆ ถามอะไรค่อนข้างตอบได้หมด มีความเชี่ยวชาญในสาขาที่สอน มีศิลปะในการสอน เค้าจะไม่เขียนบนกระดานแล้วให้จ ดตาม ส่วนมากเค้าจะแจกชีท ให้นักเรียนอ่านเอง วิเคราะห์เอง อ่านจบก็ให้นักเรียนวิพากษ์วิจา รณ์กัน ที่น่าประทับใจคือครูสามารถจำนั กเรียนในห้องได้หมดด้วย จำได้ทั้งชื่อและนามสกุลเลยทีเด ียว
3.นักเรียน
เด็กเยอรมัน โดยเฉพาะกิมนาซิอุ้ม (จำไม่ได้เลื่อนไปอ่านใหม่) ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเรีย นมาก ป่วยให้ตายมันก็จะมาโรงเรียน ถ้าอยู่ในสภาพมาไหวนะ เวลาเรียนจะคุยกันน้อยมาก ส่วนมากจะกระซิบกระซาบกัน ทุกคนแทบไม่มีลอกงานหรือการบ้าน กัน การบ้านทำเกือบทุกคนจริงๆ มีแค่สองสามคนไม่ทำ เวลาส่งการบ้านเราไม่ต้องส่งโต๊ ะครูนะ ส่งในคาบ เด็กๆที่นี่จะเรียนกันจริงจัง โหดอลังการ แล้วทุกคนค่อนข้างเรียนเก่งกว่า เด็กไทย เพราะเค้าจะมีความรู้ความเข้าใจ ในบทเรียนจริงๆ ส่วนหนึ่งเพราะครูดีด้วย
อีกเรื่องที่น่าประทับใจสำหรับน ักเรียนคือ นักเรียนที่นี่ ทุกคนจะยกมือตอบหมด ครูจะถามเกือบตลอดเวลา นักเรียนส่วนมากจะยกมือตอบ ตอบผิดก็ไม่โดนดุ ตอบถูกก็ชื่นชม ยิ่งตอบเยอะคะแนนจิตพิสัยยิ่งดี ตามไปด้วยนะจ๊ะ
อย่างที่เคยบอกว่าเด็กที่นี่บาง คนอาจจะรู้จักกันตั้งแต่เกิดเพร าะบ้านใกล้กัน ทำให้เด็กสนิทกันมากๆ พ่อแม่รู้จักกัน ถึงขนาดว่าพ่อแม่เพื่อนดุเราแทน พ่อแม่เราได้เลยก็มี แต่ทำให้เด็กเกิดสังคมปิด ค่อนข้างจะรับเพื่อนเข้ามาในกลุ ่มยาก กลุ่มนึงมี 2-5 คนเท่านั้น จะไม่มากไปกว่านี้ ในกลุ่มจะเรียกว่าเป็นเพื่อนแท้ จริงๆ สนิทมาก ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ไม่ค่อยเปิดรับคนใหม่ๆเข้ามา และจะไม่สนใจคนอื่นๆเท่าไหร่นัก เพื่อนในห้องมีกันแค่ 20 คน ก็สนิทกันไม่หมดเท่าไหร่ ถ้าให้เทียบ เราว่าสังคมห้องเรียนไทยดูสนุกก ว่า เพราะเด็กไทยมีกิจกรรมทำร่วมกัน เยอะ อย่างกีฬาสีงี้ ต้องใช้ความสามัคคีเยอะมาก แต่เด็กที่เยอรมันความสามัคคีใน ห้องจะน้อยกว่านะ
4.School Spirit ความเป็นหนึ่งเดียวของนักเรียนแ ละโรงเรียน
โรงเรียนสำหรับเด็กเยอรมันนั้น คือที่ที่เอาไว้หาความรู้ เรียน และพบปะเพื่อน โรงเรียนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีว ิต แต่สำหรับนักเรียนไทย โรงเรียนเป็นบ้านหลังที่สอง เป็นสังคมขนาดใหญ่ นักเรียนไทยใช้ชีวิตอยู่ในโรงเร ียนมากกว่าอยู่บ้านในแต่ละวัน มีกฏร่วมกันเยอะแยะ ภายใต้เครื่องแบบและสัญลักษณ์ขอ งโรงเรียน แบกความภาคภูมิใจของโรงเรียนไว้ บนบ่า มีกิจกรรมร่วมกันมากมาย เด็กๆเรียน อยู่ กิน นอน(?) กันที่โรงเรียน ทำให้เกิดความรักและผูกพันกับเพ ื่อน ครูบาอาจารย์ และตัวสถานที่เรียน
สิ่งนี้เองทำให้บรรยากาศในโรงเร ียนของเยอรมันและไทยแตกต่างกันอ ย่างสิ้นเชิง เด็กนักเรียนไทยมีความภาคภูมิใจ ในสถาบันมากกว่าเด็กเยอรมัน ให้ความสำคัญกับชื่อโรงเรียนตัว เองมากกว่า มีความผูกพันระหว่างเพื่อนพี่น้ องร่วมโรงเรียน เพราะเราเชื่อกันว่าเรามีสายเลื อดเดียวกัน เราเป็นพี่น้องกัน และทำให้สังคมโรงเรียนน่าอยู่กว ่าเยอะ
จะว่าไปโรงเรียนเยอรมันและโรงเร ียนไทย มีข้อดีข้อเสียต่างกัน สูสีกันนะ ด้านการศึกษา เยอรมันนำไทยไปเยอะมากๆ เด็กที่นี่เค้าเก่ง มีความรู้จริง แต่บรรยากาศการเรียนที่ไทยค่อนข ้างดีกว่า เพราะสิ่งที่เรียกว่า School Spirit เนี่ยแหละ ต้องเรียกว่าดีกันไปคนละด้านเนอ ะ
แต่ส่วนตัว เราชอบบรรยากาศการเรียนแบบไทยๆม ากกว่า สนุก มีความสุขกว่าเยอะ
ชักภูมิใจในโรงเรียนไทย ยูนิฟอร์มไทย เข็มที่ปักอกซ้ายซะแล้วสิ..
ระบบการศึกษาเยอรมัน แบ่งเป็นลำดับดังนี้
1.Kindergrippe (คินเดอร์กริปเพ่อ) หรือเตรียมอนุบาล
2.Kindergarten (คินเดอร์การ์เท่น) หรืออนุบาล
3.Grundschule (กรุนด์ชูเล่อ) หรือโรงเรียนประถม โดยจะมีตั้งแต่ Klasse (Grade) 1-4 หรือ ป.1-4
พอจบ Grundschule ปุ๊บ เหล่าเด็กๆก็ต้องเลือกชะตาชีวิตตัวเอง โดยจะมีแบ่งต่ออีก 4 โรงเรียน ดังนี้
- Hauptschule (เฮ้าพ์ชูเล่อ) ถ้าแปลเป็นไทย ก็ประมาณโรงเรียนสายอาชีพ มีตั้งแต่ Klasse 5-10 เทียบเป็นไทยคือ ป.5-ม.4 โรงเรียนนี้จะเรียนวิชาเน้นปฏิบ
- Realschule (เรอัลชูเล่อ) แปลเป็นไทยคือโรงเรียนเทคนิคเฉพ
- Gymnasium (กิมนาซิอุ้ม ไม่ใช่จิมเนเซี่ยม และไม่เกี่ยวกับกีฬา) นี่คือโรงเรียนมัธยมปกติ มีตั้งแต่ Klasse 5-12/13 หรือ ป.5-ม.6/
- Gesamtschule (เกซัมชูเล่อ) ถ้าแปลเป็นไทยจะเรียกว่าโรงเรีย
เท่าที่รู้มา เด็กๆจากกิมนาซิอุ้มและเรอัลชูเ
ส่วนตัวคิดว่าการแยกสายตั้งแต่เ
แล้วก็ เด็กเยอรมัน เวลาเค้าเข้าโรงเรียน จะเข้าแค่โรงเรียนในเขตของเค้าเ
อะ ขอแยกย่อยบ้าง ว่าไทยกับเยอรมัน บรรยากาศในโรงเรียนแตกต่างกันยั
1.สภาพโรงเรียน
เยอรมันโรงเรียนค่อนข้างต่างจาก
ประชากรนักเรียนจะมีห้องละประมา
ห้องเรียนจะมีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ
แล้วก็ในห้องจะมีอุปกรณ์บางอย่า
แล้วอีกอย่างที่ประทับใจเรามาก คือเครื่องโปรเจคเตอร์ของห้องเร
แล้วก็โรงเรียนจะมีระบบคอมพิวเต
ที่ส่วนล็อบบี้ของโรงเรียน จะมีทีวีเครื่องนึงที่จะบอกว่า วันนี้ห้องไหนไม่มีเรียนคาบอะไร
แล้วก็ เด็ก/
2.บุคลากรครู
ครูเป็นหนึ่งในสิ่งที่แตกต่างกั
แต่ครูที่นี่แตกต่างจากครูที่ไท
3.นักเรียน
เด็กเยอรมัน โดยเฉพาะกิมนาซิอุ้ม (จำไม่ได้เลื่อนไปอ่านใหม่) ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเรีย
อีกเรื่องที่น่าประทับใจสำหรับน
อย่างที่เคยบอกว่าเด็กที่นี่บาง
4.School Spirit ความเป็นหนึ่งเดียวของนักเรียนแ
โรงเรียนสำหรับเด็กเยอรมันนั้น คือที่ที่เอาไว้หาความรู้ เรียน และพบปะเพื่อน โรงเรียนเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีว
สิ่งนี้เองทำให้บรรยากาศในโรงเร
จะว่าไปโรงเรียนเยอรมันและโรงเร
แต่ส่วนตัว เราชอบบรรยากาศการเรียนแบบไทยๆม
ชักภูมิใจในโรงเรียนไทย ยูนิฟอร์มไทย เข็มที่ปักอกซ้ายซะแล้วสิ..
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น