ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ถึงแล้วนะ เยอรมนี
หนึ่งทุ่มสามสิบนาทีของวันที่ 8 สิงหาคม ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ
เราอยู้ในสนามบินแล้วนะ
คือคนเยอะมาก ส่วนมากก็เด็กวายเอฟยูเนี่ยแหละ ที่เยอะว่าเด็กแลกเปลี่ยนคือคนมาส่ง เยอะอลังการงานสร้างมากๆ 555555
เราก็มีเพื่อนมาส่งประมาณเกือบสิบคนค่ะ ไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่ก็อบอุ่นนะ
แปลกมั้ยที่เราไม่เสียน้ำตาซักหยดเลย ในขณะที่คนอื่นดูท่าทางจะเสียไปเยอะมากๆ
ไม่รู้สิ พอคิดว่าอีกแค่ปีเดียว ยังไงเราก็ได้เจอกันอีกแน่นอน ก็เลยไม่เศร้ามากล่ะมั้งคะ..
มีเวลาร่ำลาครอบครัวและเพื่อนๆแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง สองทุ่มครึ่งเราต้องผ่านตม.แล้ว
ตอนผ่านตม. กะว่าจะทำหล่อหันมามองครอบครัวซะหน่อย แต่ดันไม่มีเวลาซะงั้น เออ ไปก็ได้ พี่ยามก็รีบไล่เหลือเกิน
แหม่ เราก็ดันใส่รองเท้าคู่สวย Dr.Martens หุ้มข้อที่ถอดและใส่ยากที่สุดในปฐพีมา โดนสั่งถอดรองเท้าตอนเช็กกระเป๋าจ้า
โอ้ยอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นภาษาเยอรมันแต่ไม่รู้เค้าร้องกันยังไง แล้วต้องใส่กลับ ทรมานหัวใจมาก
โดนพี่ยามเร่งบอกให้รีบไปด้วยนะ แหม่พี่ ให้เวลาหนูใส่รองเท้าหน่อยดิ โห่วววว
สุดท้ายก็เดินแบกกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่อง(Carry On) ไปเงียบๆ เรามีแครี่สองใบค่ะ ใบแรกแบกบนหลัง เป็นเป้ ใส่เสื้อผ้าบางส่วนไว้ แล้วก็หนังสือ อุปกรณ์การเรียนการเขียน
ส่วนอีกใบเป็นสะพายข้าง เป็นโน้ตบุ๊ค หนังสือ เสื้อตัวสองตัว แบบหนักมากกกกกกกก ใบนี้หนักมากๆ หนักไม่ทนจริงๆบอกเลย
ดีนะคะที่ในสนามบินมีรถเข็นให้ เลยรอดตัวไป แฮ่
ระหว่างที่รอเกทเปิดให้เราเข้าไปในเครื่องได้ ก็นั่งรอ เม้า หลับ เรื่อยๆค่ะ
พอถึงเวลา 23.45 เกทก็เปิดแล้ว กรี๊ดดด ตื่นเต้นนิดนึง เข้าเครื่องไปก็รีบเดินหาที่นั่งตัวเอง แอบให้เพื่อนสนิทเปลี่ยนที่มานั่งข้างๆ
แหม่ ก็เค้าให้เปลี่ยนได้อะะะ
ไฟลท์ใช้เวลา 11 ชั่วโมงนิดๆค่ะ
เป็นครั้งแรกที่นั่งเครื่องบินแล้วรู้สึกว่าเวลามันสั้นเหลือเกิน เพราะมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆมั้ง เลยนั่งเม้ารัวๆ หาหนังดู หลับสนิทหลับยาว เลยรู้สึกว่ามันสั้น
รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเวลากินอาหารเช้าก่อนเครื่องแลนดิ้งแล้ว
เออ จะบอกว่าการบินไทยมีชุดแปรงฟันด้วยแหละ ไม่ต้องเตรียมขึ้นไปก็ได้นะคะไอแปรงกะยาสีฟันเนี่ย
บอกแอร์หรือสจ๊วตว่าอยากได้ชุดแปรงฟัน เค้าก็จะจัดมาให้เลยค่ะ เจ๋งฝุดๆ <3
ไม่นานนัก เครื่องก็แลนดิ้งลงที่สนามบินฟรังค์ฟวรต์อย่างนิ่มนวล
ความรู้สึกแรก โคตรง่วงเลย..
สนามบินที่นี่เราว่ายังดูโอ่อ่าใหญ่โตไม่เท่าสุวรรณภูมิแฮะ รู้สึกมันเล็กๆ ไม่หรูยังไงไม่รู้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามาถึงเยอรมันแล้วนะ
รอกระเป๋าแป๊บนึง พอหลุดตม.ออกมาได้ ก็พบกับเหล่าอาสาสมัครสาวๆของ YFU ที่มารอรับพวกเรา
กลุ่มเราคือกลุ่ม 2 ค่ะ เพื่อนเรากลุ่ม 1 แต่ด้วยความที่สองกลุ่มนี้อยู่เมืองข้างกัน เลยไปด้วยกันค่ะ เย่!
ก็ลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่างของสนามบิน เพื่อไปรอรถไฟที่จะตรงดิ่งไปยังสถานี Hanover โดยใช้เวลารอประมาณ 1 ชม.
และนั่งรถไฟข้างเพื่อนคนเดิม ใช้เวลา 2 ชม.ก็ไปถึงค่ะ
แอบเสียดายตรงที่พอลงจากรถไฟแล้วไม่ได้ลาเพื่อนเลย เพราะเพื่อนก็ไปกะโฮสต์ตัวเอง โฮสต์มันมารับ T__T
ส่วนเราโฮสต์มาไม่ได้ค่ะ เค้าติดงาน เลยต้องไปที่บ้านของพี่อาสาสมัครที่เค้ามารับเราที่สนามบินค่ะ
แล้วคือไปถึง มัมของพี่อาสาสมัครชวนคุยรัวมาก ดีนะเป็นภาษาอังกฤษ แอบเงิบแดกไปแว้บนึง 55555555555
แต่ก็โอเคค่ะ รอไปชั่วโมงนิดๆ มัมเราก็มารับ
มัมเราเป็นผู้หญิงผมสั้น ดูท่าทางดุๆหน่อย อยากจะบอกว่าแอบกลัวนิดนึง ไม่ค่อยได้คุยกันเลย 5555555555555
แต่พอไปถึงบ้าน บ้านของมัมไม่เชิงบ้านหรอกค่ะ แต่เป็นอพาร์ทเมนท์มากกว่า
อพาร์ทเมนท์กินพื้นที่ชั้นบนสุดของอาคาร ชั้นสองนั่นเอง 555555
ถึงจะไม่ใหญ่มากมาย แต่ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่อึดอัดเลยค่ะ บ้านของมัมน่ารัก เฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะแยะมากมาย ห้องนอนเราก็เล็กๆ แบบพอดีตัว เตียงหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าหนึ่ง ตู้เก็บของเล็กๆหนึ่ง ที่เด่นคือม่านสีแดงจ๋า เวลาที่ปิดม่านแล้วปล่อยให้แดด จะส่องออกมาตามผนังห้องเป็นสีชมพูแดง สวยค่ะ ประทับใจมากๆ
ช่วงเวลาสามอาทิตย์ที่ได้อยู่ที่นี่ ความทรงจำต่างๆเยอะแยะมากมาย
ได้ไปเที่ยวฮันโนเวอร์ ไปปาร์ตี้บ้านเพื่อนโฮสต์ซิส ไปโรงงานโฟลค์สวาเก้นสาขาฮันโนเวอร์ ไปเบรเมนกับเด็กแลกเปลี่ยนบราซิล
แต่ที่ประทับใจที่สุดคือความใจดีของโฮสต์มัม แด๊ด และซิสค่ะ
แด๊ดอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง มัมกับแด๊ดเราเค้าแยกทางกันค่ะ
ทางฝั่งบ้านแด๊ดนั้นก็รับเด็กแลกเปลี่ยน YFU จากบราซิลมาค่ะ ชื่ออิซาเบล
อิซาเบลเป็นคนเฟรนด์ลี่ ฮา น่ารัก ตัวสูง ยิ้มเก่งมากๆ แล้วก็เก่งอังกฤษมากๆเช่นกัน
เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ ถึงช่วงนี้จะไม่ได้ติดต่อกันก็ตาม แต่นางก็น่ารัก เสน่ห์แรงมากๆ ล่าสุดคือคบกับหนุ่มบราซิลอีกคนที่มาด้วยกันแล้ว อิจฉานางรัวๆ
สามอาทิตย์ที่เราอยู่ แด๊ดกับมัมและซิสดีกับเรามากจริงๆค่ะ
ถึงมัมจะไม่เคยไปเที่ยวกับเราเลยเพราะเค้าไม่ค่อยว่าง แต่แด๊ดมักจะพาไปชมเมืองอยู่บ่อยๆ แด๊ดเป็นคนเฮฮาและน่ารักค่ะ ถึงบางครั้งชอบจิกๆกัดๆนิดๆแต่ก็น่ารักนะคะ :-)
Garbsen เป็นเมืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่ก่อนเราจะจากมันไป เราก็พบกับสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันไม่มี
คือเสน่ห์ของเมือง
เมืองนี้คนไม่เยอะค่ะ มีสถานีรถไฟเข้าเมืองฮันโนเวอร์ ห้างเล็กๆห้างนึง มีร้านอาหารเอเชีย และดูเป็นเมืองบ้านนอกๆเมืองนึง
แต่พอวันจะจากไป กลับรู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนนึงก็คงเป็นเพราะโฮสต์เนี่ยแหละค่ะ เพราะเค้าดีกับเราจริงๆ
พูดแล้วก็น่าเศร้านะคะ..
แต่เมื่อเวลามาถึง เราก็ต้องไปจริงๆ
คนที่มาส่งเราที่สถานีรถไฟออกนอกเมือง คือโฮสต์มัมเราค่ะ
ซิสเราไม่ว่างมาส่ง เราก็เลยต้องไปกับมัมสองคน
มัมช่วยเรายกกระเป๋าลงจากอพาร์ทเม้นท์ ยกขึ้นรถ ยกลงรถ ยกขึ้นสถานี ยกขึ้นรถไฟให้เรา เหมือนตอนที่เรามาถึงการ์บเซ่นวันแรกไม่มีผิด
แค่คิดว่าเราต้องจากเค้าไป แล้วจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว น้ำตามันตื้นขึ้นมาปริ่มที่ขอบตา ได้แต่มองรางรถไฟ ไม่ได้พูดอะไรกับโฮสต์เลยค่ะ
พอรถไฟมา มัมก็ช่วยยกขึ้นรถไฟให้
เราอยู่บนรถไฟ มีช่องว่างระหว่างรถไฟกับชานชาลาเล็กๆ ไม่ห่างมากเท่าไหร่
เราบอกลามัมด้วยคำว่า Goodbye ซึ่งเป็นคำที่เราไม่ค่อยใช้กับใครเท่าไหร่.. ไม่รู้สิคะ คำนี้ฟังแล้วเหมือนเป็นการลาจากที่นานเนอะ
มัมยิ้มให้ โบกมือ แล้วบอกลาเราเช่นกัน เราหันหลัง ดึงกระเป๋าเดินไปหาที่นั่งของตัวเอง
หันออกไปมองนอกกระจกเป็นครั้งสุดท้าย มัมยังยืนตรงนั้น โบกมือให้เราเหมือนเดิน
เราโบกมือตอบ
เพียงไม่กี่วินาที ภาพทุกอย่างก็หายไปจากสายตา
ภาพของเมืองเล็กๆอย่าง Garbsen เลือนหายไปในพริบตา
แต่ความทรงจำจะยังคงอยู่ ณ ที่นั้น ตลอดไป
เราอยู้ในสนามบินแล้วนะ
คือคนเยอะมาก ส่วนมากก็เด็กวายเอฟยูเนี่ยแหละ ที่เยอะว่าเด็กแลกเปลี่ยนคือคนมาส่ง เยอะอลังการงานสร้างมากๆ 555555
เราก็มีเพื่อนมาส่งประมาณเกือบสิบคนค่ะ ไม่ได้เยอะมากมายอะไร แต่ก็อบอุ่นนะ
แปลกมั้ยที่เราไม่เสียน้ำตาซักหยดเลย ในขณะที่คนอื่นดูท่าทางจะเสียไปเยอะมากๆ
ไม่รู้สิ พอคิดว่าอีกแค่ปีเดียว ยังไงเราก็ได้เจอกันอีกแน่นอน ก็เลยไม่เศร้ามากล่ะมั้งคะ..
มีเวลาร่ำลาครอบครัวและเพื่อนๆแค่ชั่วโมงสองชั่วโมง สองทุ่มครึ่งเราต้องผ่านตม.แล้ว
ตอนผ่านตม. กะว่าจะทำหล่อหันมามองครอบครัวซะหน่อย แต่ดันไม่มีเวลาซะงั้น เออ ไปก็ได้ พี่ยามก็รีบไล่เหลือเกิน
แหม่ เราก็ดันใส่รองเท้าคู่สวย Dr.Martens หุ้มข้อที่ถอดและใส่ยากที่สุดในปฐพีมา โดนสั่งถอดรองเท้าตอนเช็กกระเป๋าจ้า
โอ้ยอยากจะร้องไห้ออกมาเป็นภาษาเยอรมันแต่ไม่รู้เค้าร้องกันยังไง แล้วต้องใส่กลับ ทรมานหัวใจมาก
โดนพี่ยามเร่งบอกให้รีบไปด้วยนะ แหม่พี่ ให้เวลาหนูใส่รองเท้าหน่อยดิ โห่วววว
สุดท้ายก็เดินแบกกระเป๋าที่จะเอาขึ้นเครื่อง(Carry On) ไปเงียบๆ เรามีแครี่สองใบค่ะ ใบแรกแบกบนหลัง เป็นเป้ ใส่เสื้อผ้าบางส่วนไว้ แล้วก็หนังสือ อุปกรณ์การเรียนการเขียน
ส่วนอีกใบเป็นสะพายข้าง เป็นโน้ตบุ๊ค หนังสือ เสื้อตัวสองตัว แบบหนักมากกกกกกกก ใบนี้หนักมากๆ หนักไม่ทนจริงๆบอกเลย
ดีนะคะที่ในสนามบินมีรถเข็นให้ เลยรอดตัวไป แฮ่
ระหว่างที่รอเกทเปิดให้เราเข้าไปในเครื่องได้ ก็นั่งรอ เม้า หลับ เรื่อยๆค่ะ
พอถึงเวลา 23.45 เกทก็เปิดแล้ว กรี๊ดดด ตื่นเต้นนิดนึง เข้าเครื่องไปก็รีบเดินหาที่นั่งตัวเอง แอบให้เพื่อนสนิทเปลี่ยนที่มานั่งข้างๆ
แหม่ ก็เค้าให้เปลี่ยนได้อะะะ
ไฟลท์ใช้เวลา 11 ชั่วโมงนิดๆค่ะ
เป็นครั้งแรกที่นั่งเครื่องบินแล้วรู้สึกว่าเวลามันสั้นเหลือเกิน เพราะมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆมั้ง เลยนั่งเม้ารัวๆ หาหนังดู หลับสนิทหลับยาว เลยรู้สึกว่ามันสั้น
รู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเวลากินอาหารเช้าก่อนเครื่องแลนดิ้งแล้ว
เออ จะบอกว่าการบินไทยมีชุดแปรงฟันด้วยแหละ ไม่ต้องเตรียมขึ้นไปก็ได้นะคะไอแปรงกะยาสีฟันเนี่ย
บอกแอร์หรือสจ๊วตว่าอยากได้ชุดแปรงฟัน เค้าก็จะจัดมาให้เลยค่ะ เจ๋งฝุดๆ <3
ไม่นานนัก เครื่องก็แลนดิ้งลงที่สนามบินฟรังค์ฟวรต์อย่างนิ่มนวล
ความรู้สึกแรก โคตรง่วงเลย..
สนามบินที่นี่เราว่ายังดูโอ่อ่าใหญ่โตไม่เท่าสุวรรณภูมิแฮะ รู้สึกมันเล็กๆ ไม่หรูยังไงไม่รู้ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามาถึงเยอรมันแล้วนะ
รอกระเป๋าแป๊บนึง พอหลุดตม.ออกมาได้ ก็พบกับเหล่าอาสาสมัครสาวๆของ YFU ที่มารอรับพวกเรา
กลุ่มเราคือกลุ่ม 2 ค่ะ เพื่อนเรากลุ่ม 1 แต่ด้วยความที่สองกลุ่มนี้อยู่เมืองข้างกัน เลยไปด้วยกันค่ะ เย่!
ก็ลงลิฟท์ไปที่ชั้นล่างของสนามบิน เพื่อไปรอรถไฟที่จะตรงดิ่งไปยังสถานี Hanover โดยใช้เวลารอประมาณ 1 ชม.
และนั่งรถไฟข้างเพื่อนคนเดิม ใช้เวลา 2 ชม.ก็ไปถึงค่ะ
แอบเสียดายตรงที่พอลงจากรถไฟแล้วไม่ได้ลาเพื่อนเลย เพราะเพื่อนก็ไปกะโฮสต์ตัวเอง โฮสต์มันมารับ T__T
ส่วนเราโฮสต์มาไม่ได้ค่ะ เค้าติดงาน เลยต้องไปที่บ้านของพี่อาสาสมัครที่เค้ามารับเราที่สนามบินค่ะ
แล้วคือไปถึง มัมของพี่อาสาสมัครชวนคุยรัวมาก ดีนะเป็นภาษาอังกฤษ แอบเงิบแดกไปแว้บนึง 55555555555
แต่ก็โอเคค่ะ รอไปชั่วโมงนิดๆ มัมเราก็มารับ
มัมเราเป็นผู้หญิงผมสั้น ดูท่าทางดุๆหน่อย อยากจะบอกว่าแอบกลัวนิดนึง ไม่ค่อยได้คุยกันเลย 5555555555555
แต่พอไปถึงบ้าน บ้านของมัมไม่เชิงบ้านหรอกค่ะ แต่เป็นอพาร์ทเมนท์มากกว่า
อพาร์ทเมนท์กินพื้นที่ชั้นบนสุดของอาคาร ชั้นสองนั่นเอง 555555
ถึงจะไม่ใหญ่มากมาย แต่ก็อยู่ได้สบายๆ ไม่อึดอัดเลยค่ะ บ้านของมัมน่ารัก เฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะแยะมากมาย ห้องนอนเราก็เล็กๆ แบบพอดีตัว เตียงหนึ่ง ตู้เสื้อผ้าหนึ่ง ตู้เก็บของเล็กๆหนึ่ง ที่เด่นคือม่านสีแดงจ๋า เวลาที่ปิดม่านแล้วปล่อยให้แดด จะส่องออกมาตามผนังห้องเป็นสีชมพูแดง สวยค่ะ ประทับใจมากๆ
ช่วงเวลาสามอาทิตย์ที่ได้อยู่ที่นี่ ความทรงจำต่างๆเยอะแยะมากมาย
ได้ไปเที่ยวฮันโนเวอร์ ไปปาร์ตี้บ้านเพื่อนโฮสต์ซิส ไปโรงงานโฟลค์สวาเก้นสาขาฮันโนเวอร์ ไปเบรเมนกับเด็กแลกเปลี่ยนบราซิล
แต่ที่ประทับใจที่สุดคือความใจดีของโฮสต์มัม แด๊ด และซิสค่ะ
แด๊ดอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง มัมกับแด๊ดเราเค้าแยกทางกันค่ะ
ทางฝั่งบ้านแด๊ดนั้นก็รับเด็กแลกเปลี่ยน YFU จากบราซิลมาค่ะ ชื่ออิซาเบล
อิซาเบลเป็นคนเฟรนด์ลี่ ฮา น่ารัก ตัวสูง ยิ้มเก่งมากๆ แล้วก็เก่งอังกฤษมากๆเช่นกัน
เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ ถึงช่วงนี้จะไม่ได้ติดต่อกันก็ตาม แต่นางก็น่ารัก เสน่ห์แรงมากๆ ล่าสุดคือคบกับหนุ่มบราซิลอีกคนที่มาด้วยกันแล้ว อิจฉานางรัวๆ
สามอาทิตย์ที่เราอยู่ แด๊ดกับมัมและซิสดีกับเรามากจริงๆค่ะ
ถึงมัมจะไม่เคยไปเที่ยวกับเราเลยเพราะเค้าไม่ค่อยว่าง แต่แด๊ดมักจะพาไปชมเมืองอยู่บ่อยๆ แด๊ดเป็นคนเฮฮาและน่ารักค่ะ ถึงบางครั้งชอบจิกๆกัดๆนิดๆแต่ก็น่ารักนะคะ :-)
Garbsen เป็นเมืองเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรเลย แต่ก่อนเราจะจากมันไป เราก็พบกับสิ่งที่เราเคยคิดว่ามันไม่มี
คือเสน่ห์ของเมือง
เมืองนี้คนไม่เยอะค่ะ มีสถานีรถไฟเข้าเมืองฮันโนเวอร์ ห้างเล็กๆห้างนึง มีร้านอาหารเอเชีย และดูเป็นเมืองบ้านนอกๆเมืองนึง
แต่พอวันจะจากไป กลับรู้สึกโหยหาอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนนึงก็คงเป็นเพราะโฮสต์เนี่ยแหละค่ะ เพราะเค้าดีกับเราจริงๆ
พูดแล้วก็น่าเศร้านะคะ..
แต่เมื่อเวลามาถึง เราก็ต้องไปจริงๆ
คนที่มาส่งเราที่สถานีรถไฟออกนอกเมือง คือโฮสต์มัมเราค่ะ
ซิสเราไม่ว่างมาส่ง เราก็เลยต้องไปกับมัมสองคน
มัมช่วยเรายกกระเป๋าลงจากอพาร์ทเม้นท์ ยกขึ้นรถ ยกลงรถ ยกขึ้นสถานี ยกขึ้นรถไฟให้เรา เหมือนตอนที่เรามาถึงการ์บเซ่นวันแรกไม่มีผิด
แค่คิดว่าเราต้องจากเค้าไป แล้วจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว น้ำตามันตื้นขึ้นมาปริ่มที่ขอบตา ได้แต่มองรางรถไฟ ไม่ได้พูดอะไรกับโฮสต์เลยค่ะ
พอรถไฟมา มัมก็ช่วยยกขึ้นรถไฟให้
เราอยู่บนรถไฟ มีช่องว่างระหว่างรถไฟกับชานชาลาเล็กๆ ไม่ห่างมากเท่าไหร่
เราบอกลามัมด้วยคำว่า Goodbye ซึ่งเป็นคำที่เราไม่ค่อยใช้กับใครเท่าไหร่.. ไม่รู้สิคะ คำนี้ฟังแล้วเหมือนเป็นการลาจากที่นานเนอะ
มัมยิ้มให้ โบกมือ แล้วบอกลาเราเช่นกัน เราหันหลัง ดึงกระเป๋าเดินไปหาที่นั่งของตัวเอง
หันออกไปมองนอกกระจกเป็นครั้งสุดท้าย มัมยังยืนตรงนั้น โบกมือให้เราเหมือนเดิน
เราโบกมือตอบ
เพียงไม่กี่วินาที ภาพทุกอย่างก็หายไปจากสายตา
ภาพของเมืองเล็กๆอย่าง Garbsen เลือนหายไปในพริบตา
แต่ความทรงจำจะยังคงอยู่ ณ ที่นั้น ตลอดไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น