ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    chequered ดินแดนแห่งเวทมนต์

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 ต้นไม้และใบหญ้า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      21 มี.ค. 47

    เซอรัสกำลังแต่งตัวอย่างพะว้าพวง เขาไม่ได้แต่งชุดนอนเพื่อเข้านอนในราตรีนี้ แต่หากเขามีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ เขานัดเพื่อนที่เขารักที่สุดเพื่อบอกความลับที่เขาได้ปิดบังเอาไว้ เขารู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อต้องคอยหลีกหน้ามอลโลว์เพื่อนของเขาอยู่ตลอดเวลา มันเหมือนเป็น     การทรยศต่อเพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน - - เซอรัสถอนหายใจเฮือกใหญ่ สายตาเหลือบมองดูนาฬิกา… สี่ทุ่มครึ่ง คงทันเวลาสิหน่า ว่าแล้วเขาจึงเดินออกไปจากห้องนอน



    บ้านยังคงเปิดไฟอย่างโอ่อ่า สาวใช้โอเนคกำลังชมรายการโปรดทางโทรทัศน์อยู่ ส่วนคนอื่นๆคงเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว ในบางครั้งเซอรัสก็เคยเห็นเฮนนี่มาเดินเพ่นพ่านตอนกลางคืนอยู่แถวนี้เหมือนกัน ด้วยเหตุที่ว่าเธอท่องหนังสือจนดึกแล้วหิว จึงมาหาอะไรทาน



    เซอรัสและเฮนนี่ไม่ค่อยสนิทกันมากนัก ถึงแม้ว่าทั้งสองจะเป็นพี่น้องแท้ๆกันก็ตาม เฮนนี่เป็นคนที่เรียบร้อย วันหนึ่งๆเธอไม่ค่อยจะพูดคุยกับใคร แม้แต่กับเซอรัสเองหรือพ่อแม่ของเธอ แต่ถึงกระนั้นเฮนนี่ก็ยังคงเป็นที่รักของทุกคนในครอบครัว โดยเฉพาะพ่อของเธอ นายโนเบิล วูช คริซพ์ ที่ดูเหมือนจะชอบเธอมากเป็นพิเศษนอกเหนือจากความอ่อนโยนของเธอ คงเพราะว่าเธอยอมที่จะเลือกเดินเส้นทางที่ท่านวางไว้ ผลการเรียนของเฮนนี่ดีมาก จึงไม่แปลกที่จะเป็นที่ต้องการของพ่อผู้มีความคาดหวังต่อลูกมากขนาดนี้



    เซอรัสเดินไปหยิบกุญแจรถ เสียงหัวเราะของโอเนคที่ดังมาจากหน้าโทรทัศน์แทบทุกวันนั้นกลายเป็นเรื่องที่ปกติมานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงเบนสายตามามองเซอรัสเมื่อเธอเห็นความเคลื่อนไหว



    “จะไปไหนหรือคะ สควีลี” โอเนคชอบเรียกเซอรัสแบบนี้ ด้วยเหตุที่ว่ามันคล้องจองกับ เฮนนี่ดี



    “ฉันจะออกไปข้างนอกสักพักนึง… บอกแม่ว่าฉันนอนอยู่ในห้องนะ”เซอรัสพูดเสียงเบาเกือบจะเป็นเสียงกระซิบ



    “… ค่ะ” โอเนครับคำอย่างเสียไม่ได้ แล้วกลับไปดูโทรทัศน์ต่อ

    เซอรัสเดินอย่างเบาที่สุดมาที่ห้องโถงของบ้าน เขาไม่อยากให้นางแอมมิเกรีย แม่ของเขาตื่นขึ้นมารับรู้สิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้ เพราะเขาเกรงว่าเขาจะไม่ได้ออกไป





    “…พี่กำลังจะไปไหน…” เสียงเฮนนี่ดังขึ้นเมื่อเซอรัสกำลังเดินไปที่ประตู



    เซอรัสสะดุ้งเล็กน้อยแล้วหันกลับมามอง



    “…คือ…เออ เปล่านี่ พี่แค่ออกไปหาอะไรกินนิดหน่อย… แถวนี้เอง” น้ำเสียงของเซอรัสปนความงุนงงอย่างเห็นได้ชัน ในทีแรกเขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าเฮนนี่จะมาถามว่าเขาจะไปไหน มันเป็นครั้งแรกในชีวิต



    เฮนนี่โพล่แต่เพียงใบหน้าออกมาจากมุมกำแพง เธออยู่ในชุดนอน แสดงว่าคืนนี่เธอคงท่องหนังสือจนหิวและออกมาหาอะไรกินอีกแล้ว

    เฮนนี่มองตาเซอรัส นัยน์ตาอ่อนหวานของเธอกำลังจับผิดกิริยาของพี่ชายอยู่ - แต่ชั่วพักหนึ่งเธอก็ละจากที่นั้นหายเข้ามุมไป เสียงฝีเท้า ตึก ตึก บ่งบอกว่าเธอคงเดินขึ้นบันใดไปยังห้องนอนของเธอแล้ว



    เซอรัสถอนหายใจอีกครั้ง  เรื่องเพียงแค่นี้แต่ทำไมเขาถึงมีความรู้สึกว่ากำลังทำความผิดอันร้ายแรงต่อน้องสาว อันที่จริงเขาควรจะนึกแปลกใจมากกว่าว่าทำไมวันนี้เธอถึงทักเซอรัส เพียงแค่เขากำลังจะออกไปข้างนอก ทั้งๆที่เมื่อก่อนเซอรัสๆได้ไปต่างประเทศหลายวัน แต่เธอก็ยังคงทำเป็นไม่สนใจและทำเหมือนเรื่องปกติไม่มีอะไรเกิดขึ้น



    เซอรัสสลัดความคิดเหล่านี้ออกไป ที่จริงในตอนนี้เขาควรคิดว่าจะพูดกับมอลโลว์อย่างไรมากว่า



    เขาเดินไปที่ประตู บิดลูกบิดดัง “แกร็ก”…  แต่ทันใดนั้นเอง กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายเขาก็แข็งชาไปหมดแทบจะในทันที ความรู้สึกบางอย่างพุ่งตรงมาจากข้างหลังของเขาอย่างรวดเร็วสะกดความรู้สึกทุกอย่างให้หยุดนิ่ง มันเหมือนมีแรงอาฆาตจากดวงตาคู่หนึ่งส่งมาพร้อมกระแสจิตอันแรงกล้า กระแสจิตที่เต็มไปด้วยความพยาบาท หัวใจของเซอรัสเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เขาอยากจะหันหลังกลับไปมองว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นมานั้นเกิดจากใคร แต่สัญชาตญาณก็บอกกับเขาว่า เมื่อหันหลังกลับไปแล้ว อาจจะเจอกับเรื่องที่ไม่อยากคาดฝัน



    เซอรัสค่อยๆคลายมือจากลูกบิด แล้วหันหลังกลับไปช้าๆ มันเหมือนมีความเงียบครอบงำอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งๆที่ความจริงแล้วเสียงโทรทัศน์ของโอเนคก็แว่วมาให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา



    …เบื้องหน้าของเซอรัสว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่เลยแม้แต่คนเดียว



    นี่คงเป็นบทพิสูจน์อย่างดีแล้วว่า ความรู้สึกของเขานั้นคงเพ้อไปเอง และมันก็ทำให้เขาเสียเวลามาพักหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่ค่อยอยากเชื่อข้อสรุปนี้มากเท่าไร



    เซอรัสมองไปยังตำแหน่งที่เฮนนี่ยืนอยู่เมื่อครู่ เขามีความรู้สึกว่าดวงตาอาฆาตคู่นั้นพุ่งมาจากตรงนั้น แต่มันจะเป็นใครเล่า เฮนนี่ก็ขึ้นข้างบนไปแล้ว ส่วนโอเนคก็คงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะวิ่งกลับไปมาหน้าบ้านหลังบ้านได้รวดเร็วและไร้สุ่มเสียงขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรเขาก็อยากลองพิสูจน์ดู



    เซอรัสเดินตรงเข้าไปในบ้าน บริเวณกำแพงซีกขวาที่ห้องโถงกลางก่อนถึงบันใดเล็กที่เป็นทางขึ้นชั้นสอง ณ ตรงเฮนนี่ได้ยืนคุยกับเซอรัสก่อนหน้านั้นดูปกติดี ส่วนทางด้านในที่โอเนคกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่นั้นก็ไม่มีสิ่งผิดปกติ



    “อ่าว… สควีลียังไม่ไปอีกหรอคะ” โอเนคถามอย่างใคร่รู้เมื่อเธอเห็นเซอรัสมายืนด้อมๆมองๆ



    “เธอนั่งอยู่ตรงนี้ตลอดเวลาเลยใช่มั้ย”เซอรัสถามกลับ โอเนคพยักหน้า



    เซอรัสเชื่อใจเธอ มันพอๆกับที่เขาเชื่อใจเฮนนี่ว่าทั้งคู่คงไม่ใช่แน่ สติของเขาคงบ้าไปเองเสียแล้ว เขาอาจจะตื่นเรื่องที่จะต้องพูดกับมอลโลว์คืนนี้จึงทำให้มีความรู้สึกแปลกๆมาหลอนจิตใจของเขา – เซอรัสสลัดใบหน้าให้หูตาสว่างขึ้น แล้วจึงเดินกลับไป



    ที่หน้าบ้าน เขาลังเลใจเล็กน้อยที่จะสัมผัสลูกบิดประตู มันเหมือนกับว่าสัมผัสนั้นยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ แต่เมื่อเขาคิดย้อนดูแล้ว นี่มันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย ดังนั้น เขาจึงยื่นมือไปจับลูกบิดประตู



    “เซอรัส… ลูกจะออกไปไหน” เสียงนางแอมมิเกรียดังขึ้นเมื่อเซอรัสเพียงแค่สัมผัสลูกบิดประตู คราวนี้ตัวเขากลับสะดุ้งเล็กน้อยพร้อมกับหันหลังกลับมา



    นางแอมมิเกรียอยู่ในชุดนอนสีม่วงอ่อน ปล่อยผมสยายยาว สีหน้างัวเงียเนื่องจากพึ่งลุกจากที่นอนและกำลังมองมาที่เซอรัสจากชั้นลอย

    เซอรัสยืนนิ่งไม่ตอบ นัยน์ตาลงพื้น ไม่สบตากับมารดา ส่วนนางแอมมิเกรียก็เริ่มเขม้นตามาที่ลูกชายคล้ายจะพยายามล้วงความจริงจากดวงตา



    เกิดความเงียบนานอยู่ครู่หนึ่ง  ทั้งคู่ต่างไม่พูดจา



    “แม่บอกกี่ครั้งแล้ว ว่าแม่ไม่อยากให้ลูกเที่ยวกลางคืน” นางแอมมิเกรียเป็นผู้เปิดสนทนาขึ้นก่อน  “แม่ขอร้อง… ทำไมลูกถึงไม่เคยฟังเลย”



    เซอรัสยังคงยืนนิ่ง ทำสีหน้าเรียบเฉย



    “แม่ไม่เคยบังคับเรื่องอื่นๆกับลูก… แม่วางใจลูกทุกอย่าง แม่เกลี้ยกล่อมพ่อหลายเรื่องต่อหลายเรื่องให้ยอมลูกทั้งๆที่เขาไม่มีวันยอม แต่เรื่อง

    นี้แม่ยอมให้ไม่ได้”



    “ยังไงแม่ก็ยังมองผมเป็นเด็ก แม่อย่าเอาผมไปเปรียบกับเฮนนี่” เซอรัสพยายามข่มน้ำเสียงเอาไว้ให้ราบเรียบที่สุด



    “แม่ไม่ได้มองเซอรัสเป็นเด็ก แม่ไม่เคยเปรียบเทียบเซอรัสกับเฮนนี่ เพียงแต่ในเมื่อตอนนี้เซอรัส ไม่ ควรจะทำตัวแบบนี้”



    เซอรัสยังคงไม่พูดอีก คราวนี้ทั้งคู่ก็ต่างนิ่งเงียบกันอีกพักใหญ่



    “…แม่ได้ยินเสียงเฮนนี่”นางแอมมิเกรียเปลี่ยนเรื่อง



    “เธอถามว่าผมไปไหน”



    “เฮนนี่น่ะหรอ” นางแอมมิเกรียอุทานขึ้น ขนาดแม่ของเธอเองก็คงแปลกใจกับเรื่องนี้ไม่น้อย



    เซอรัสเงยหน้าขึ้น มือขวาเลื่อนไปที่ลูกบิดประตูอย่างช้าๆ



    “เซอรัส ลูกยังไม่ตอบแม่เลยนะ ว่าจะไปไหน” รางแอมมิเกรียสังเกตเห็น



    “ผมจะไปไหนมันก็เรื่องของผม แม่อย่ามายุ่งกับชีวิตของผมมากได้มั้ย” เซอรัสเค้นเสียงตอบ



    “ไม่ใช่ว่าแม่อยากยุ่งมากหรอกนะ แต่ตั้งแต่มีเรื่องกับพ่อ ลูกก็น่าจะดูตัวเอง ว่า…ว่าลูกไม่ควรทำอะไรแบบนี้!”



    “ผมไม่ได้ทำตัวเสียหายแน่”



    “ลูกแน่ใจหรอ”



    “ผมแน่ใจ” เซอรัสกระแทกเสียง นางแอมมิเกรียสะอึกเงียบ สูดหายใจยาวลึกคล้ายกับจะกลืนน้ำตา



    “ทำไมแม่ไม่เคยเชื่อใจผม ทำไมแม่ไม่เคยไว้วางใจผม กับแค่ …แค่เรื่องพรรณนี้น่ะ”



    “…ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เชื่อใจ แต่เซอรัสลูกต้องเขาใจ ลูก… เซอรัส ลูกจะไปไหน กลับมาก่อน” นางแอมมิเกรียตะโกนสุดเสียง แต่สายไปเสียแล้ว เซอรัสเปิดประตูไปที่รถยนต์สีดำหน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว



    “เซอรัส กลับมาเดี๋ยวนี้” นางแอมมิเกรียตะโกนพลางลงบันใดอย่างรวดเร็วมาที่หน้าบ้าน ทันทีที่นางเปิดประตู เซอรัสก็ติดเครื่องยนต์และเหยียบคันเร่งจากไปทันที



    นางแอมมิเกรียยืนงง ไม่คิดว่าลูกของตัวเองจะปฏิบัติกิริยาเช่นนี้ เธอได้แต่มองดูรถของลูกชายตัวเองเลี้ยวหายลับประตูบ้านไป ส่วนเซอรัสก็กระแทกพวงมาลัยรถอย่างหัวเสีย หัวสมองเต็มไปด้วยเรื่องที่ไม่อยากครุ่นคิด แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีสมาธิหลงเหลือพอที่จะให้ครุ่นคิดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นขณะที่เขาขับรถอย่างรวดเร็วไปยังสวนสาธารณะเอาท์บอร์ด โดยที่ทั้งเซอรัสและนางแอมมิเกรียต่างก็ไม่มีใครรู้เลยว่า แท้จริงแล้ว เฮนนี่ยังคงยืนอยู่ที่เดินตลอดเวลาและฟังคำสนทนาของทั้งสองด้วยนัยน์ตาอันเปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นพร้อมกับรอยยิ้มแสยะบนใบหน้าราวกับได้ชัย









    นิมฟ์อยู่ในชุดรัดรูปสีดำ ผมบรอนด์สีทองของเธอถูกม้วยขึ้นไปด้านบนอย่างแข็งแรงราวกับไม่อยากให้มันหลุดรุ่ยมาเกะกะรำคาญการทำงานของเธอ เธอสวมเสื้อคลุมดำยาวอีกทีพลางมองดูตัวเองในกระจก… เธอพลาดมาหลายวันแล้ว และวันนี้เธอจะพลาดอีกไม่ได้



    ดอกไม้หลากสีนอนหลับอย่างเงียบๆใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมาทั่วบริเวณยามราตรี และทันทีที่มีลมอ่อนๆพัดผ่าน มันก็จะเอนไหวน้อยๆคล้อยไปตามกระแส  นิมฟ์เปิดประตูบ้านและมองดูดอกไม้เหล่านั้น ช่างน่าอิจฉามันเหลือเกิน หากว่าเราไม่ต้องมารับภาระอันหนักหน่วงอย่างนี้ เป็นเพียงแค่ดอกไม้ที่คอยหมู่ภุมรินเมื่อยามทิวา และหลับไหลภายในแสงศศิธร ไม่ต้องมาคอยรับรู้เรื่องราวที่ตัวเองไม่อยากรู้ ไม่อยากทำ ไม่อยากได้ยิน เพียงแค่ทำหน้าที่ในวันหนึ่งๆของตนให้สมบูรณ์ก็เพียงพอแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นได้จริงๆ มันคงจะดีไม่น้อย



    เธอรำพึงกับตัวเองอย่างเศร้าสร้อย พลางแหงนใบหน้ามองดวงจันทร์  ดวงจันทร์วันเพ็ญนี้ช่างสวยเหลือเกิน… แต่แล้วขณะที่เธอกำลังเคล้มฝัน

    อยู่นั้น สติของเธอก็ฉุดกลับคืนมา วันนี้เธอต้องทำภาระกิจให้ลุล่วง ไม่เช่นนั้นเธออาจจะต้องรอไปอีกหนึ่งเดือน ในคืนวันเพ็ญเช่นนี้  มันจะต้อง ปรากฏตัวมาอีกแน่



    เธอนำแม่กุญแจคล้องประตูบ้าน พลางลั่นดัง “กริ๊ก” แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่คลายมือจากมัน เธอหลับตาก้มหัวลง จิตใจยังคงคิดถึงแต่เรื่องเก่าๆ



    นิมฟ์ค่อยๆล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมา… เหรียญหินสีนวลขาว ด้านหนึ่งสลักลายพระราชวังองค์หนึ่งดูงดงาม เธอนำมันมากุมไว้กับอก แล้วพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า



    “…ด้วยอำนาจแห่งโอคาร์นีล โปรดจงประทานพรให้แก่ข้า ขอให้คืนนี้ กลาเซียจงปรากฎตัวต่อสายตา และหวนกลับมาสู่นายเดิม ผู้เคยให้คำมั่นว่า จะยอมปฏิบัติตาม…”



    เธอว่าพลางร้องไห้ หยาดน้ำตาใสไหลรินอาบแก้มทั้งสองข้างของเธอ จากนั้นก็ไหลหยดลงบนเหรียญสีขาวอันนั้นของเธอ  ช่วงเวลาหนึ่งที่มันได้สัมผัสกับน้ำตาพร้อมกับต้องแสงจันทรานั้น ดูเหมือนกับว่ามันเปร่งแสงประกายขึ้นมา ลายราชวังด้านหลังก็ส่องแสงสีทองอำไพดั่งดวงมณี แต่ทันทีที่เธอเงยใบหน้าขึ้นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับดูเหมือนเดิม



    นิมฟ์เช็ดน้ำตาก่อนจะเก็บเหรียญใส่กระเป๋า แววตาแห่งความมุ่งมั่นหวนกลับมาอีกครั้ง เธอเดินอย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว แต่เงียบเชียบตรงไปยังจุดหมายปลายทาง – สวนสาธารณะเอาท์บอร์ด









    มอลโลว์ละสายตาจากหนังสือมามองนาฬิกา จะสี่ทุ่มแล้ว อีกเกือบชั่วโมงก่อนถึงกำหนดเวลานัด แต่ตอนนี้เขาเบื่อบรรยากาศอับๆที่บ้านเสียแล้ว



    โดยปกติแล้วหากเป็นเช่นนี้ มอลโลว์มักจะไปหาที่นั่งอ่านหนังสือดีๆ มีบรรยากาศร่มรื่น สงบเงียบและทำให้เขามีสมาธิ ซึ่งที่ที่มักจะได้รับเลือกก็คือ สวนสาธารณะเอาท์บอร์ดหน้าบ้านของเขานั้นเอง



    ไม่รอช้า มอลโลว์เลือกหนังสือเพิ่มเติมอีกสองสามเล่มใส่ย่ามคู่ใจของเขา พลางเดินออกจากบ้าน มอลโลว์ข้ามถนนอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าที่นั้นจะแทบจะไม่มีรถเลยแม้สักคัน คงเป็นเพราะนิสัยเดิมที่ติดตัวเขามากระมั้ง – นิสัยที่ติดมาจากการพร่ำสอนของพ่อแม่ที่ยังคงหลงเหลือทิ้งเอาไว้



    บรรยากาศภายในสวนสาธารณะเงียบสงบ ดวงไฟสีส้มหลายสิบดวงเรียงตัวกันเป็นทางยาวทอดเข้าไปด้านใน ส่วนก้อนอิฐหลากสีก็ถูกปูให้เป็นทางเดินคดโค้งยาวเข้าไปเช่นกัน ที่ข้างทางมีม้านั่งหินสีขาวสะอาดวางอยู่เป็นระยะๆ ต้นไม้นานาพรรณเอนไหวน้อยๆตามแรงลมพลางเสียดสีกันเป็นจังหวะคล้ายกับกำลังบรรเลิงดนตรีเพื่อต้อนรับการเข้ามาของมอลโลว์



    มอลโลว์เดินเข้าไปข้างใน ใบหูเงี่ยฟังเสียงนกร้องเหมือนเคย แต่ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเสียงเหล่านั้นเลย – ในยามค่ำคืนอย่างนี้มันจะมีได้อย่างไรล่ะ คงมีแต่เสียงใบไม้สีกันท่ามกลางแสงจากดวงไฟและดวงจันทร์ ช่วงเวลาราตรีนี้ก็น่าพิศมัยเหมือนกันมิใช่น้อย ทำไมเราถึงไม่เคยมาที่นี้ในตอนกลางคืนเลยสักครั้ง มอลโลว์เดินนึกในใจอยู่คนเดียว พลางสอดส่ายสายตาหาที่เหมาะเพื่อนั่งอ่านหนังสือ



    ที่ม้านั่งบางตัวบริเวณรอบนอก ยังคงมีผู้ที่ต้องการแสวงหาความสุขจากความเงียบอยู่บ้างเหมือนกัน ที่ดูมากก็ดูเหมือนจะเป็นคู่รักหนุ่มสาวที่มานั่งพลอดรักกันเงียบๆไกลแสงไฟ หรือพวกที่เข้ามาพักผ่อนใจกลางทาง โดยทั่วไปแล้ว คนพวกนี้มักจะไม่เข้าไปด้านใน – แต่ไม่เพียงเฉพาะพวกเขาเท่านั้น แทบทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะเดินลึกเข้าไปมากกว่าบึงใจกลางสวน ความวังเวงและบรรยากาศอันน่ากลัวหลอกหลอนจิตใจคนทั้งเมืองนี้ไม่ให้เข้าไป ทั้งๆที่ความจริงแล้วภายในนั้นไม่มีอะไรเลย นอกจากต้นไม้นับร้อยอันหนาแน่นดูรกรุงรังมากกว่าภายนอกเท่านั้น



    มอลโลว์เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ถึงแม้บรรยากาศจะเงียบสงบ แต่เขาก็ยังคงไม่ชอบให้คนเหล่านั้นมาทำลายสมาธิ จนเขาเข้ามาอยู่ในส่วนลึกสุดของสวนสาธารณะ ที่นั้นดูรกร้าง ขาดการดูแล มอลโลว์ปัดเศษใบไม้ที่ร่วงอยู่บนเก้าอี้ที่เขาจะนั่งลง ซึ่งมีอยู่เพียงตัวเดียวคู่กับเสาไฟที่ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ เบื้องหลังของเขาทอดยาวไปไม่กี่สิบเมตร คือรั้วตาข่ายเหล็กเก่าๆที่ขาดการดูแลกั้นพรมแดนระหว่างสวนสาธารณะนี้กับมหาวิทยาลัยของมอลโลว์





    ช่วงเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ความเพลิดเพลินที่หนังสือได้มอบแก่มอลโลว์นั้นทำให้เขาลืมเวลาที่ดูเหมือนจะเดินเร็วกว่าปกติ บรรยากาศที่เป็นใจอย่างนี้ ทำให้เขาผ่านเวลานับชั่วโมงไปได้อย่างไม่รู้เบื่อ สักพักหนึ่งเมื่อเขาอ่านข้อความหนึ่งจบลง เขาก็ละสายตาจากหนังสือมามองที่นาฬิกาข้อมือ



    นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มห้าสิบเก้านาที



    มอลโลว์ตกใจรีบคว้าหนังสือทุกเล่มที่วางอยู่บนเก้าอี้และที่เขาอ่านค้างอยู่ใส่ย่ามอย่างรวดเร็ว นี่ก็เลยเวลานัดไปเกือบชั่วโมงหนึ่งแล้ว เขาลืมไปเสียสนิทเลยว่า ในสถานที่แบบนี้แม้แต่เซอรัสก็คงหาเขาไม่เจอแน่ๆ ความผิดที่ว่าเซอรัสเป็นคนผิดนัดจึงกลายเป็นความผิดของเขาเสียเอง

    ในขณะที่มอลโลว์กำลังลุกจากที่นั่งอยู่นั้น กระจกเงาบานที่เขาเก็บได้เมื่อตอนเย็นก็เลื่อนหลุดจากกระเป๋าตกลงสู่พื้น เขาจึงเอื้อมมือไปเก็บมัน

    ขึ้นมา



    ภาพสะท้อนท้องฟ้าสีดำปรากฏขึ้นบนกระจกเงาบานนั้น ถึงแม้มอลโลว์จะรีบร้อนแค่ไหนก็ไม่อาจละสายตาไปจากมันได้ กลุ่มดาวฤกษ์ในกระจกทอประกายแสงประหนึ่งว่ามันได้แหวกว่ายไปมาอย่างอิสระในห้วงอวกาศ ดวงจันทร์วันเพ็ญกลมโตก็เหมือนกับโคมไฟขนาดมหึมาที่ทำให้กลุ่มดาวน้อยใหญ่แทบจะกลายไปเป็นเพียงหิ่งห้อยธรรมดา แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยความงดงามราวหยาดเพชรนับร้อยที่ห้อมล้อมไข่มุขเม็ดโตในจักรวาลยามราตรี



    มอลโลว์จ้องมองมันอย่างสนเทห์ เขาเห็นว่าแสงสีนวลจากดวงจันทร์นั้นค่อยๆสว่างขึ้นทุกที จนกระทั้ง มันบดบังแสงระยิบประกายของดวงดาวรอบข้างไปเสียสิ้น คงไว้แต่แสงจันทร์ที่สว่างจ้าไปทั้งกระจก ถึงแม้ว่าจะแสบตา แต่มอลโลว์ก็ยังคงไม่ละสายตาออกไปจากมัน



    ในช่วงวินาทีหนึ่ง แสงเหล่านั้นก็ดับหายลับไปในทันที เหมือนมีคนไปดับสวิตช์ไฟของมันลง คราวนี้ภายในกระจกเต็มไปด้วยความมืดมิด แต่หาใช่ความมืดมิดแห่งรัตติกาลไม่ ภาพที่สะท้อนออกมานั้น คล้ายห้วงน้ำมหาสมุทรที่เต็มไปดว้ยพายุและกระแสน้ำวนอันบ้าคลั้ง แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่งมันก็เหมือนแผ่นกระดาษบางเบาที่ฉาบด้วยสีดำเท่านั้น - - แต่ในทันใดนั้นเอง ก็มีสิ่งหนึ่งพุ่งออกมาจากกระจกเงา มันมองคล้ายพุสีดำขนาดย่อมเคื่อนที่ออกมาอย่างรวดเร็วจนแทบมองไม่ทัน สิ่งเดียวที่มอลโลว์รับรู้ได้จากมันก็คือ ความเยือกเย็นที่ยิ่งกว่าหิมะในฤดูหนาวได้วิ่งผ่านเขาขึ้นไปทางด้านบน



    ลูกไฟพุ่งผ่านมอลโลว์ขึ้นไปได้ไม่เท่าไรมันก็แตกออกกระจายเป็นวงกว้าง ที่ตำแหน่งนั้นก็เกิดวงคลื้นขนาดยักษ์สีดำแผ่ออกไปรอบทิศทางเหมือนกับว่าท้องฟ้า ณ ตรงนั้นคือห้วงน้ำที่มองไม่เห็น สักพักเศษแสงลูกไฟนั้นก็พากันหมุนวนรวมตัวกันเป็นแผ่นสีดำขนาดกว้างกว่าหกฟุตลอยตัวขนานกับพื้นดินและส่งเสียงหวีดหวิวราวกับมีพายุอยู่ภายใน



    ลมที่พัดอยู่รอบตัวของมอลโลว์นั้น ค่อยๆพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ จนมอลโลว์ที่ยืนตะลึงงันอยู่ข้างล่างนั้นได้ยินแต่เพียงเสียงลมพัดดังอื้ออึงตลอด ขาของเขาดูเหมือนจะกลายเป็นอัมพาตไปโดยปริยาย แต่ถังอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ยอมละสายตาห่างไปจากแผ่นกลมดำนั้นเลย



    จะเป็นไปด้วยความคิดของเขาเองหรือเป็นความจริงที่ว่า แผ่นกลมดำที่เขามองอย่างไม่ละสายตานั้น ค่อยๆเคลื่อนตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ และถึงตอนนี้เขาจะรู้สึกตัวและเริ่มขยับขาวิ่งหนี มันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพราะแท้จริงก็คือแผ่นกลมดำนั้นยังคงลอยอยู่กับที่ แต่ตัวเขาต่างหางที่กำลังลอยขึ้นไปหามัน



    มอลโลว์รู้สึกได้ถึงลมอันเยียบเย็นที่แผ่ออกมาจากข้างใน ซึ่งไม่ว่าความจริงมันจะเป็นอะไร มันก็ดูอันตรายและน่ากลัวยิ่ง ในช่วงเวลาที่ความกลัวมอลโลว์ถึงขีดสุดนั่น กระจกเงาบานนั้นก็ค่อยๆเลื่อนหลุดจากมือมอลโลว์ตกสู่พื้น



    ทันทีที่กระจกเงานสัมผัสกับพื้นดิน ความมืดในกระจกก็กลับกลายเป็นแสงสว่างดังเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเป็นแสงที่ส่องสว่างร้อนแรงยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ และโดยทันใด ความรวดเร็วกว่าที่มอลโลว์จะสังเกตทัน ลูกไฟอีกดวงหนึ่งก็พุ่งออกมาจากกระจกเงาบานนั้นอีกครั้ง คราวนั้มันเป็นลูกไฟสีขาวส่องสว่างและเต็มไปด้วยความร้อนแรงอยู่ภายใน



    ลูกไฟพุ่งขึ้นเฉียดศีรษะของมอลโลว์ไปเพียงนิดเดียวก่อนที่จะแตกกระจายเหมือนลูกแรก ณ ตำแหน่งเดิมซึ่งก็คือใจกลางของแผ่นวงกลมดำนั้นเอง ความร้อนของลูกไฟแผดเผาบริเวณหน้าผากของมอลโลว์ โดยอัตโนมัติมอลโลว์นำมือมาคลำบริเวณหน้าผากของเขา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้สัมผัส เขาก็กลับเลื่อนมือของเขาลงมาบังแสงที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อลูกไฟลูกนั้นได้แปรเปลี่ยนแผ่นกลมสีดำนั้นเป็นสีขาวตามวงคลื้นของมัน



    ทุกอย่างกลับกลายเป็นสิ่งตรงข้าม จากความมืดกลายเป็นแสงสว่างที่จ้าจนแสบตา จากไอเย็นกลายเป็นความร้อนที่แผดเผา เขาไม่สามารถแม้แต่จะเผยอเปลือกตาขึ้นมาได้ นอกจากนั้นเขายังต้องทนซึ่งความร้อนรอบตัวที่ทรมานร่างกายอยู่ตลอดเวลา เขาลอยคว้างอย่างไม่รู้ทิศทางโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า เขาได้มาอยู่ในช่องมิติเสียแล้ว





    ที่สวนสาธารณะ ช่องมิติค่อยเลือนหายลับไป โดยทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับมอลโลว์ที่นี้นั้น อยู่ในสายตาของนิมฟ์ตลอดเวลา









    “มอลโลว์”



    เซอรัสร้องเรียกหาเพื่อน คนในสวนสาธารณะค่อยๆเลือนหายกลับไปจนหมดแล้ว และไม่มีวี่แววของคนอยู่ที่นี้เลย



    เซอรัสมองดูนาฬิกา… เที่ยงคืนสิบห้านาที



    เวลานัดห้าทุ่มตรงเลยมาเกินกว่าชั่วโมงหนึ่งแล้ว มอลโลว์หายตัวไปไหนกันแน่ มอลโลว์ไม่ได้ลืมนัดเพราะว่าเมื่อเซอรัสหวนกลับไปที่บ้านของมอลโลวที่อยู่ใกล้ๆนั้นก็พบว่าเขาไม่อยู่ แต่ในอีกขณะหนึ่ง มอลโลว์ก็ไม่อยู่ที่นี้เช่นกัน



    แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่เซอรัสยังไม่เดินเข้าไป บริเวณทางด้านหลังสุดของสวนสาธารณะ ที่ซึ่งทุกคนต่างหวาดกลัว ที่จริงมอลโลว์อาจจะกำลังประสบเหตุอันตรายอยู่จึงมาปรากฏตัวที่นี้ไม่ได้ แต่นั้นเองบางอย่างบอกเซอรัสว่า ไม่ใช่ เซอรัสรู้จักกับมอลโลว์มานาน เขาคิดว่ามอลโลว์อาจจะนั่งอ่านหนังสือเพลินจนลืมเวลาไปก็ได้ เพราะโดยปกติแล้วมันก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด และในครั้งนี้ เขาก็เดาได้ค่อนข้างเยี่ยมเลยทีเดียว





    ในที่สุดเซอรัสก็ยอมตกลงใจเดินเข้าไปด้านใน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำให้เขาดูเหมือนจะมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นสิ่งน่ากลัวไปเสียทั้งหมด  ทั้งๆที่ความจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิมเพียงแต่บรรดาต้นไม้จะมากและดูรกรุงรังมากกว่าเท่านั้น



    ที่ม้านั่งตัวหนึ่ง  ซึ่งเป็นตัวเดียวในบริเวณนี้ เซอรัสสังเกตแต่ไกลมองดูคล้ายมีอะไรบางอย่างเป็นเงาตะคุ้มๆอยู่แถวนั้น เขาจึงรีบวิ่งตรงไป

    หญิงคนหนึ่งกำลังค้นหาสิ่งของอย่างรีบร้อนจนไม่สนใจการมาของเซอรัส เขามองดูผมม้วยของเธออย่างแปลกใจ แล้วจึงถามเป็นมารยาทว่า



    “ทำอะไรหายหรือครับ ให้ผมช่วยหามั้ยครับ”



    หญิงคนนั้นสะดุ้งตกใจ ค่อยๆเงยใบหน้าขึ้นมา - - ในทีแรกเซอรัสจำเธอไม่ได้ แต่ชั่วอึดใจหนึ่ง เขาก็รู้ว่าเธอคือใคร



    “นิมฟ์” เซอรัสอุทาน แล้วกวาดสายตามองเสื้อผ้าของเธออย่างรวดเร็ว… ชุดสีดำรัดรูปพร้อมเสื้อคลุม ใบหน้าที่ปราศจากแว่นตาของเธอทำให้มองดูต่างไปจากเดิมมาก - - เธอค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างประหม่า



    “เธอมาทำอะไรที่นี่” เซอรัสถามอย่างรวดเร็ว



    “…คือ เออ… อย่างที่เห็นนะ คือว่า… ฉันทำของตกนะ ก็เลยกำลังหามันอยู่… แต่ว่า หาเท่าไรมันก็ไม่..พบ..หนะ” นิมฟ์บีบน้ำเสียงให้ดูสมจริงมากที่สุด นี้คงเป็นคำโกหกที่ดีที่สุดเท่าที่คิดได้ในตอนนั้น เพราะโดยปกติแล้ว คำโกหกที่ยิ่งใกล้เคียงความจริงมากเท่าไร มันก็ยิ่งยากต่อการจับผิดมากเท่านั้น



    เซอรัสทำสีหน้าแคลงใจคล้ายกับว่าจะไม่เชื่อ เขาพยายามจับผิดทุกท่าทางและคำพูดของเธอ เพราะถ้าเขาสามารถหาความผิดใส่เธอได้ มันก็เท่ากับเป็นการแก้แค้นในใจของเขาไปในตัว และนั้นเป็นสิ่งกดดันอย่างหนักจนทำให้นิมฟ์ในตอนนี้ไม่กล้าสู้หน้าเซอรัส



    “…เธอ เห็นมอลโลว์มั้ย” เซอรัสเปลี่ยนเรื่องสนทนามาในเรื่องที่เขาต้องการทราบ ขณะนี้ นี่น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา



    “เห็น” นิมฟ์โพล่งพูดออกมาทันทีราวกับไม่ได้คิดเอาไว้ก่อน



    “เธอเห็นเขาเหรอ เขาอยู่ที่ไหน” เซอรัสถามอย่างตื่นเต้น



    “ใช่ฉันเห็นเขา ถ้าเธอจะคิดอย่างนั้น” เธอตอบอย่างยียวน เหมือนว่าเธอเป็นผ่ายคุมเกมได้แล้ว



    “ฉันรู้แล้วว่าเธอเห็น แล้วเธอเห็นเขาที่ไหน แล้วเขาทำอะไรอยู่” คำพูดเซอรัสเรื่มเจือไปด้วยโทสะ ความรู้สึกเดิมที่มีต่อเธอกลับคืนมาอีกแล้ว



    “ฉันไม่รู้” นิมฟ์ตอนน้ำเสียงราบเรียบ



    “โธ่เอ้ย ที่แท้ก็ไม่รู้” เซอรัสเยาะ ทำท่าทีว่ารำคาญที่นิมฟ์มาทำให้เขาเสียเวลา



    “…แต่ฉันรู้ว่าเขาไปไหน…” นิมฟ์พูดโต้กลับอย่างช้าๆ แต่ชัดเจนทุกพยางค์ เซอรัสเขม้นตากลับไปที่เธอ



    “เขาไปไหน” เซอรัสถาม น้ำเสียงของเขาฟังดูซีเรียสมาก  “เขากลับบ้านเหรอ”



    “เปล่า… เขาไม่ได้กลับบ้าน  …เขาไปที่อื่น”



    “ไปที่อื่น…” เซอรัสทวนคำ  “ไปที่ไหน



    “…ที่ไหน…” นิมฟ์กล่าวช้า ดวงตาเธอเหมือกับนึกถึงสถานที่ที่ไกลแสนไกลเหลือเกิน  “… หมายความว่าไง…? ถ้าหมายถึงที่ที่เขาไป ฉันพอรู้… แต่หมายถึงที่ที่เขาอยู่ ฉัน ไม่รู้หรอก”



    “เธอเป็นบ้าอะไร พูดเรื่องไร้สาระไม่เข้าท่าเอาซะเลย” เซอรัสระเบิดอารมณ์รุนแรง กับนิมฟ์แล้วเขาเป็นอย่างนี้ได้ง่ายมาก



    “เขาไปแล้ว…” นิมฟ์พูดคำนี้ออกมา แต่แทนที่เซอรัสจะโมโหเธอมากกว่าเดิม เขากลับใช้ความคิดที่จะตีความหมายคำพูดทั้งหมดของเธอ ซึ่งผิดวิสัยเดิมของเขา ช่วงเวลาหลายเดือนมานี้เขาเปลี่ยนแปลงไปมาก สิ่งหนึ่งสังเกตได้อย่างเด่นชัดก็คือ เขาสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งมอลโลว์



    ขณะนั้นเอง เมื่อเซอรัสกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น สายตาก็พลับเหลือบไปเห็นแสงระยิบหนึ่งสะท้อนมาเข้าตา



    “นั้นอะไรหนะ” เซอรัสมองไปยังแสงระยิบนั้น



    …ด้วยความไวอันรวดเร็ว นิมฟ์พุ่งตรงไปคว้ามันขึ้นมาทันทีที่มองเห็น แล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อทันที



    “…คือ… มันเป็นของฉันเองแหละ ฉันทำมันตกไว้”



    ดวงตาของเซอรัสเปลี่ยนมาจับผิดท่าทางพิรุธของเธออีกครั้ง



    “นี่ก็ดึกมากแล้ว ฉันกลับบ้านก่อนนะ” นิมฟ์พูดพร้อมกับค่อยๆเดินจากไปโดยที่ไม่เปิดโอกาสให้เซอรัสได้เห็นกระจกเงาบานนั้นที่อยู่ในกระเป๋าของเธอเลย









    ตะวันยามเที่ยงกำลังสาดส่องอยู่เหนือร่างของมอลโลว์อันนอนสลบไสลอยู่บนกองหินรูปฟรัสทั่มที่ตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ซึ่งชูยอดสีเขียวอ่อนดูอร่ามตา



    “เกิดอะไรขึ้น” เสียงหนึ่งผุดขึ้นมาในใจของมอลโลว์ขณะที่เขากำลังหลับอยู่



    “ที่นี่ที่ไหน?” มอลโลว์ถามตัวเอง เขาเห็นรอบตัวของเขาเต็มไปด้วยบ้านเรือนที่ดูแปลกๆ บ้านทุกหลังถูกสร้างด้วยไม้ พื้นถนนยังคงเป็นดินแข็งมองดูมีกลิ่นอายของชาวตะวันออก แต่ที่นี่ไม่มีใครอยู่เลย มอลโลว์เดินอยู่คนเดียวอย่างวังเวงในห้วงรัตติกาลอันมืดมิด ประกอบกับหมอกที่ลงจนหนาตาทำให้เขาเหมือนจมอยู่ในโลกมืดมากกว่า แต่นั้นก็ไม่สาหัสเท่ากับความหนาวเหน็บที่รุมเร้าเขาอยู่ในตอนนี้



    มอลโลว์ค่อยๆเดินไปนั่งลงที่ชานบ้านหลังหนึ่ง บ้านนี้เท่าที่ดูนั้นใหญ่โตโอ่อ่ามาก น่าจัพอมีที่พักหรืออาหารให้แก่เขาได้บ้าง ในช่วงเวลาเช่นนี้ นี่คงเป็นเพียงความคิดเดียวของคนที่กำลังไร้ซึ่งหนทาง



    “สวัสดีครับ มีไครอยู่บ้างมั้ยครับ” มอลโลว์ตะโกนด้วยเสียงอันดัง แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ



    “นี่เป็นเมืองร้างรึไง” เขาคิด



    ในขณะที่เขายืนอยู่นั้งเอง เขาก็สังเกตเห็นมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่คนเดียวที่กลางถนน เขาจึงเดินช้าๆเข้าไปหาเธอ แต่ด้วยความหนาวอันโหดร้าย ทำให้มอลโลว์ค่อยทรุดลงกับพื้น



    หญิงคนนั้นค่อยๆดึงมอลโลว์ขึ้นมา จากนั้นเธอก็ยิ้มให้



    ในเวลานี้ คำถามเดียวที่มอลโลว์คิดได้ก็คือ เธอคนนั้นคือใคร และมาทำอะไรอยู่ที่นี่



    “มอลโลว์” หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นก่อนที่มอลโลว์จะอ้าปากถาม เสียงของเธอเยีบเย็นราวกับอากาศที่อยู่รอบตัวของมอลโลว์



    มอลโลว์พยายามมองหน้าเธอให้ชัด แต่เขาก็เห็นเพียงชุดเสื้อกางเกงสีแดงของเธอ โดยที่เขาไม่ได้สนใจเลยว่าหญิงคนนั้นทราบชื่อของเขามาได้อย่างไร



    “จงจำไว้ ใช้อำนาจที่อยู่ในมือเจ้าในทางธรรม แล้วมันจะสัมฤทธ์ผล”



    มอลโลว์ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเธออ แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดนั้น เธอก็พูดต่ออีกว่า



    “อีกอย่างหนึ่ง… จงมั่นใจในสหายของคุณ เพราะเขาจะไม่มีวันหักหลังคุณอย่างแน่นอน เราและเซอรัสจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด”



    “…เซอรัสหรอ” มอลโลว์ทวนคำขึ้นในใจและเขาก็มองเห็นว่า แท้จริงแล้วหญิงคนนั้นไม่ได้ยืนอยู่คนเดียว แต่หากมีชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย - - เขาคือเซอรัส



    “เซอรัส” มอลโลว์ร้องเรียก แต่ร่างของทั้งสองกลับค่อยๆเลื่อนหายไปทางด้านหลังอย่างรวดเร็ว มอลโลว์จึงวิ่งตามอย่างอ่อนแรง



    บรรยากาศรอบตัวค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับร่างของคนทั้งสอง บัดนี้ทั้งหมอกและความหนาวเย็บค่อยๆจางไปแล้ว มอลโลว์จึงสามารถมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ดีขึ้น



    ความมืดที่ไร้แม้แต่แสงดาวปกคลุมไปทั่ว มอลโลว์มองเห็นตัวเองยืนอยู่บนพื้นที่เจิงนองไปด้วยน้ำที่ขึ้นมาจาเกือบถึงข้อเท้า และรอบตัวของเขานั้นก็เต็มไปด้วยน้ำทั้งสิ้น ราวกับเขากำลังยืนอยู่ ณ มหาสมุทรอันกว้างใหญ่



    ทันใดนั้นเอง น้ำที่สงนนิ่งอยู่นั้นก็กลับเกิดวงคลื้นเป็นริ้วๆแผ่กระจายรัศมีไปทั่ว สักพักก็มีสิ่งหนึ่งลอยขึ้นมาจากพื้นน้ำ - - กระจกเงาบานที่เขาเก็บได้นั้นเอง แต่ทว่าตัวมันเองนั้นสุกประกายใสกว่าเดิมมาก พร้อมกันนั้นก็ส่องคลื้นพลังสีฟ้าสดขึ้นมารอบตัวเอง เช่นเดียวกับตราพระราชวังทางด้านหลังของมันนั้น ก็ทอแสงสีฟ้าราวกับหลอดไฟที่ขดตัวและส่องแสงออกมา



    มันลอยขึ้นมาหยุดในระดับหนึ่ง ซึ่งอยู่ประมาณระดับสายตาแต่ห่างไกลออกไป มอลโลว์จึงเดินเข้าไปใกล้ และก็พบว่า ข้างของกระจกเงาบาน

    นั้น มีสิ่งหนึ่งลอยอยู่ก่อนแล้ว



    คณโฑอันหนึ่งกำลังลอยคว้างอยู่ในระดับเดียวกัน มันเอียงมาด้านหนึ่งซึ่งมีจะงอยปากรินน้ำออกมาจากตัวมัน มอลโลว์มองดูน้ำประกายใสสีไพฑูรณ์จางๆที่ค่อยๆไหลลงมาจรดผิวน้ำด้านล่างช้าๆโดยที่ไม่มีทีท่าว่าน้ำในนั้นจะหยุดไหลหรือหมดสิ้นไปเลย



    คลื้นไอรัศมีสีทองทอประกายออกจากคณโฑถ้วยนั้นอย่างช้าๆคล้ายกับกระจกเงาบานนั้น ลายเคลือบที่สวยงามของมันสะท้องเงาวาววับสวยงามดั่งแสงสะท้องจากปลายเทียน ในขณะนั้นเอง มอลโลว์ก็สังเกตว่าเบื้องหน้าของเขานั้น ไม่ได้มีเพียงกระจกเงาและคณโฑเท่านั้น แต่หากมีอีกสิ่งหนึ่งลอยคว้างอยู่ข้างๆทางซ้ายของคณโฑ



    ดาบเล่มหนึ่งถูกประดับด้วยอัญมณีมากค่ากำลังส่องคลื้นแสงสีแดงดุจดวงมณีที่ฝังอยู่ใจกลางของมัน ทำให้มองดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นมอลโลว์ยังสังเกตเห็นตราพระราชวังที่เหมือนกับกระจกเงาบานนั้นสลักอยู่บริเวณโคนดาบ ประกายแดงของมันวาวโรจน์ดุจเพลิงมหากาฬแห่งห้วงอเวจี



    ทันใดนั้นเอง วงน้ำก็ค่อยๆลองตรงมายังมองโลว์ บ่งบอกว่ามีใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังสิ่งของทั้งสามค่อยๆเดินตรงมาทางนี้ - - มอลโลว์มองดูวงน้ำที่รัศมีค่อยๆสั้นเข้ามาทุกที พร้อมกันนั้นภาพสะท้อนของแสงทั้งสามก็บิดเบี้ยวไปตามกระแสน้ำที่เคลื้อนไหว



    หญิงคนหนึ่งหยุดยืนอยู่ที่หน้าคณโฑ เธออยู่ในอาภรณ์สีขาวทั้งตัว มีขอบระบายบริเวณช่วงใหล่และบริเวณคอเปดกว้างคล้ายคอกระเช้า เบื้องล่างเป็นชุดยาวลงมามิดขาคล้ายชุดราตรี มอลโลว์สังเกตว่าเท้าของเธอไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นหินแข็งๆข้างล่างแต่เธอกลับกำลังยืนอยู่บนผิวน้ำต่างหาก ทั้งชายกระโปรงขาวของเธอที่ลากไปบนน้ำนั้นก็ไม่ได้เปียกน้ำเลยแม้แต่น้อย ราวกับน้ำที่ไหลมาจากคณโฑนั้น สำหรับเธอแล้ว เป็นแค่เพียงพื้นดินธรรมดาที่จะสามารถเหยียบย่ำได้ตามชอบใจ



    เธอค่อยๆยื่นมือขวาออกมารองสายน้ำที่หลั่งรินออกมาจากคณโฑ ครั้นทันใดก็เหมือนน้ำในมือของเธอนั้นก็เหมือนมีเม็ดสีม่วงส่องประกายเล็กๆอยู่ข้างใน - - มอลโลว์พยายามจะมองหน้าของเธอให้ชัด แต่ผมสีทองของเธอก็กลับลงมาปิดส่วนของใบหน้า ประกอบกับรอบตัวที่เต็มไปด้วยความมืดมิด ทำให้ยากยิ่งที่จะมองเห็นใบหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน



    ในขณะนั้นเองมอลโลว์ก็ต้องแปลกใจอย่างยิ่ง เมื่อเขาสังเกิดเห็นว่า… เธอยิ้มให้มอลโลว์



    ใจหนึ่งก็เกรงกลัว (ภาพการเข้าไปหาหญิงคนที่เพิ่งผ่านมานี้ยังคงติดตาเขาอยู่) แต่อีกใจหนึ่งเขาก็อยากจะเข้าไปถามคำถามทุกอย่างที่ตนเองอยากรู้ - - แต่ในขณะที่เขากำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง พื้นน้ำเบื้องหน้าก็ค่อยๆหมุนวนอย่างรวดเร็ว - - และทันใดนั้นเองพื้นดินที่เขายืนอยู่นั้นก็หายไป มอลโลว์จึงต้องตะเกียกตะกายว่ายน้ำในกระแสน้ำวนอย่างทุลักทุเล ในขณะที่หญิงคนนั้นยังคงยืนมองดูอยู่เฉยๆโดยไม่มีความคิดที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือมอลโลว์เลย - - เมื่อเขาหมดแรง ร่างจึงค่อยๆร่วงลงสู่นทีเบื้องล่างอย่างช้าๆเป็นเวลาแสนเนิ่นนานเหมือนกับว่าห้วงน้ำแห่งนั้นไม่มีที่สิ้นสุด - - ในขณะที่เหมือนร่างของมอลโลว์จะสิ้นใจนั้นเอง เสียงหนึ่งก็เกิดขึ้น



    “ช่วยด้วย…ช่วยฉันด้วย” เสียงของชายผู้หนึ่ง ดังกังวลโหนหวนก้องอยู่ในโสตประสาท



    “ช่วยฉันที… ช่วยฉันออกไปที… มัน… มันกำลังจะฆ่าฉัน… ฉันยังไม่อยากตาย” เสียงนั้นยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ มอลโลว์เริ่มปวดหัวเหมือนประหนึ่งกำลังระเบิดออกมา



    “ไปบอกมัน! มันอยากได้อะไรให้มันเอาไปเลย… แต่ขออย่างเดียว อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน ! ”



    ทันใดนั้นเองมอลโลว์ก็สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมา พร้อมกับหายใจแรงรัวไม่เป็นจังหวะ นำมือขี้นมากุมไว้ที่หน้าอกตำแหน่งหัวใจราวกับกลังว่ามันจะหลุดกระเด็นออกมา



    สักพักหนึ่ง ร่างกายของเขาก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความร้อนเแรงแห่งดวงอาทิตย์ที่แผดเผาร่างของเขาทุกอณูขน เขามองออกไปบริเวณโดยรอบ - - กองหินสีดำทมึนที่กอปรจากก้อนหินหลายๆก้อนมาวางเรียบชิดติดกันเป็นรูปฟรัสทั่มวางตั้งอยู่กลางทุ่งหญ้าสดเขียวขจีอันกว้างใหญ่

    ขณะนี้หัวสมองของมอลโลว์ถูกขจัดความคิดทุกอย่างไปจนหมด คงเหลือแต่เพียงคำถามเพียงคำถามเดียว… “ที่นี่ที่ไหน”



    มอลโลว์ลุกขึ้น หากความคิดของเขาไม่ผิดละก็ที่นี่จะต้องมีคนอาศัยอยู่แน่นอน เพราะกองหินที่เขายืนอยู่นั้นคงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ง่ายๆตามธรรมชาติแน่ๆ - - มันต้องเป็นสิ่งก่อสร้างของมนุษย์ - - ที่สร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรสักอย่าง



    สายตาของมองโลว์มองไปยังรอบทิศทาง ทุกสิ่งดูเหมือนจะถูกสะกดนิ่งไว้ใบหญ้าทุกต้นต่างก็ไม่เอนไหวเนื่องจากไม่มีลมที่พัดผ่านมาช่วยดับร้อน อากาศอบอ้าวขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยสัมผัสบรรยากาศแบบนี้มาก่อน นัยน์ตาเรื่มพร่ามัวเพราะความร้อนประหนึ่งในทะเลทราย กองหินที่เขายืนอยู่นั้นไม่มีแม้แต่ซอกหินที่จะช่วยให้ร่มเงาแก่เขา - - แต่แล้วสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่สิ่งสิ่งหนึ่ง - - ตรงกลางของแผ่นหินที่เขายืนอยู่นั้นมีช่องเล็กๆกลมๆตื้นๆอันหนึ่งอยู่ ภายในมีรอยแกะสลักเป็นลายพระราชวังสวยงามโดยไม่มีรอยสึกกร่อยเลยแม้แต่น้อย - - ถ้าหากว่าที่นี่มีมนุษย์อาศัยอยู่จริง… ก็คงเป็นมนุษย์ที่มีศิลปวัฒนธรรมอย่างแน่นอน



    ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วพวกเขาอยู่ที่ไหนล่ะ รอบตัวของเขาต่างก็เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าอันเว้งว้าง ไร้ซึ่งวี่แววของสิ่งมีชีวิต

    ทันใดนั้นเอง - - สายตาของเขาก็ไปจรดอยู่ที่ทิศหนึ่ง ยอดไม้สีเขียวเรียงอยู่เป็นทางตามขอบฟ้าซึ่งบ่งบอกว่าบริเวณนั้นคือที่ตั้งของป่า - - และสิ่งหนึ่งที่มอลโลว์สังเกตเห็นอีกก็คือ… ยอดของสิ่งก่อสร้างอย่างหนึ่งแทงทะลุยอดไม้ขึ้นมาตัดกับหมู่เมฆที่กระจุกตัวลอยอยู่เบื้องบน - - ถ้าหากสายตาของเขาไม่เพี้ยนไปเพราะความร้อนแล้วละก็… ที่นั้นจะต้องมีมนุษย์อาศัยอยู่แน่นอน - - ไม่รอช้า มอลโลว์ดีดตัวพุ่งเดินไปยังทิศนั้นทันที…









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×