ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    chequered ดินแดนแห่งเวทมนต์

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่4 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 19
      0
      24 พ.ย. 46

    บทที่ 4 ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง



    “บ้าจริง”



                      มอลโลว์อุทานขึ้นขณะนั่งอยู่คนเดียวในบ้านของตนเอง - - ทั้งความสับสน ความโมโห อัดแน่นอยู่ในหัวใจของเขาอย่างทรมาน หลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ ทั้งมอลโลว์และเซอรัสต่างก็ถูกไปสอบปากคำเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างหนัก เซอรัสมีท่าทีเปลี่ยนไปมาก เขาแทบจะไม่ตอบคำถามเลยหากไม่ถูกกระตุ้นให้ตอบ มอลโลว์สังเกตดูเหมือนว่าเขาใจลอยอยู่ตลอดเวลา ส่วนมอลโลว์ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามความเป็นจริง ตั้งแต่พบชายที่ท่าทางแปลกๆ จนถึงที่พวกเขาสังเกตเห็นว่ามีไฟไหม้เกิดขึ้น แต่เขาไม่ได้เล่าเรื่องที่เขาคิดว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ เช่น มีเซอรัสทำตัวแปลกไปหลังจากที่ไปสำรวจกับมอลโลว์ ซึ่งความคิดนั้นเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เลยทีเดียว



                      ดูเหมือนจะเป็นโชคดีที่มอลโลว์ไม่พบแม้แต่เสียงตวาดที่แสนน่าเบื่อของนิมฟ์ในวันนั้น ในทีแรกมอลโลว์คิดว่าเธอกลับบ้านไปก่อนจึงไม่ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นและในวันต่อมาเขาคงจะต้องถูกนิมฟ์ต่อว่าอย่างหนักแน่นอน แต่นั้นก็เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ผิดอีกเช่นเดิม นิมฟ์ไม่เพียงแต่กลับบ้านไปเฉยๆ แต่เธอหายตัวไปเลย! ไม่มีใครสามารถติดต่อตัวเธอได้เลยเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์เธอจึงกลับมาพร้อมด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปกว่าเดิมราวกับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ใบหน้าอันเคร่งขรึมที่เอาจริงเอาจังอยู่ตลอดเวลานั้น บัดนี้กลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่เต็มไปด้วนความหมองหม่น โศกเศร้า และสิ้นหวัง ท่าทีที่เคยกระฉับกระเฉงและเปี่ยมไปด้วยอำนาจได้หายไป เหลือเป็นเพียงความเซื่องซึมและเชื่องช้าจนเพื่อนๆในห้องเรียกเธอว่า “แม่เสือผู้ถูกหักเล็บ” อะไรที่เปลี่ยนแปลงเธอไปได้มากถึงเพียงนี้ ซึ่งมอลโลว์เชื่อว่าเพียงแค่เซอรัสที่ทำน้ำกะหล่ำปลีสีม่วงหกรดเธอคงไม่เพียงพอที่จะทำให้เธอกลายเป็นเช่นนี้แน่



                      แต่สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคงหนีไม่พ้นเรื่องของเซอรัสที่ตอนนี้ทั้งคู่แทบจะไม่พูดจากันเลย เซอรัสมีท่าทีที่เปลี่ยนไปนับตั้งแต่ตอนนั้น ตอนที่มอลโลว์และเซอรัสแยกกันไปสำรวจพื้นที่เพื่อตามหาชายผู้น่าสงสัยคนนั้น ใช่แล้ว แล้วมอลโลว์ก็เห็นเซอรัสปีนขึ้นไปอยู่บนรั้วที่อยู่ข้างๆ ด้วยความสงสัย มอลโลว์จึงวิ่งไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ทว่าเซอรัสกับวิ่งหนีมอลโลว์ไปเสียดื้อๆ แถมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เซอรัสยังไม่พูดอะไรกับมอลโลว์อีกด้วยถึงแม้ว่ามอลโลว์จะไปชวนพูดก่อนก็ตาม เรื่องนี้ทำให้มอลโลว์เคืองมากจนแทบไม่มองหน้ากันเลย ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาทีจะทำให้มีเรื่องราวที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นได้มากมายถึงขนาดนี้



                      ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องที่น่ากลุ่มใจรุมเร้ามอลโลว์อยู่อย่ามากมายในขณะนี้ มอลโลว์ก็ยังอดคิดถึงเรื่องราวเก่าๆเกี่ยวกับครอบครัวของเขาไม่ได้ ความอ้างว้างในใจของเขาตอนนี้เปรียบเสมือนความรู้สึกในใจที่มอลโลว์ได้รับรู้ว่าพ่อแม่ของเขาได้จากเขาไปเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 16 ปี วันนั้นเขายังจำได้ดี วันที่ครอบครัวของเซอรัสมาเยี่ยมมอลโลว์ขณะที่เขานอนเข้าเฝือกอยู่ที่โรงพยาบาล ตอนนั้นมอลโลว์รู้เพียงแต่ว่าครอบครัวของเขาได้ประสบอุบัติเหตุ โดยที่เขาไม่รู้เลยว่ามีเพียงมอลโลว์คนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ จนกระทั้งเฮนนี่น้องสาวของเซอรัสบอกเขาหลังจากที่เขาถามอยู่เสียนานว่าพ่อและแม่ของเขาอยู่ที่ไหน เขาจำได้ว่าเขาเสียใจไปหลายเดือนเลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นมา มอลโลวว์ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากครอบครัวคริซพ์มาโดยตลอด แต่มอลโลว์ก็ยืนยันที่จะอยู่ตัวคนเดียวและยอมรับความช่วยเหลือจากครอครัวคริซพ์เท่าที่จำเป็นเท่านั้น





                      ถึงแม้เวลาจะผ่านจากวันนั้นมาหลายวันแล้วก็ตาม แต่ดูเหมือนสถานการณ์กลับยิ่งเลวร้ายลงทุกวัน จนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองสัปดาห์แล้ว แต่ก็ยังไม่มีการปรากฏตัวของอ.คอทเทย์เลยแม้แต่ครั้งเดียว ใช่แล้ว เหตุการณ์เมื่อเดือนก่อนที่มีผู้หญิงคนหนึ่งหายตัวไปนั่นไม่ใช้เรื่องธรรมดา เพราะบัดนี้ อ.คอทเทย์ได้หายตัวไปอีกหนึ่งคนแล้ว



                      ใจจริง อยากเรียกวันนั้นว่าวันวิปโยคเสียจริงๆ เพราะเพียงแค่วันเดียวกลับทำให้เกิดปัญหาเกิดขึ้นมากมายนานัปการเหลือเกิน ทั้งเหตุการณืไฟไหม้ที่มีชายในชุดผ้าคลุมสีดำเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ชายคนนั้นกลับหายตัวไปชั่วพริบตา ทิ้งปริศนาแสงสว่างลึกลับและไฟที่หาสาเหตุที่มาไม่ได้ รวมทั้งนิมฟ์และเซอรัสที่มีท่าทีที่เปลี่นไปโดยสิ้นเชิง และล่าสุด อ.คอทเทย์ก็หายตัวไปตั้งแต่วันนี้เช่นเดียวกัน



                      ข่าวลือในทุกๆเรื่องได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วราวกับโรคระบาด มีบางคนไม่กล้ามาที่มหาวิมยาลัยเนื่องจากกลัวว่าตัวเองจะหายไปเหมือนกับสองคนที่แล้ว แถมยังมีข่าวที่ว่าทั้งสองนั้นถูกปีศาจที่สวนสาธารณเอาท์บอร์ดจับตัวไป และยังมีทีท่าว่าข่าวลือนี้จะเป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้นเมื่อมีคนบอกว่าเคยพบพวกมันมาแล้วที่ด้านหลังของสวนสาธารณะ แล้วยังลือกันว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่อาถรรพ์ทำให้แทบไม่มีผู้คนแม้แต่จะเดินผ่านสวนสาธารณะเลยสักคนแต่เท่าที่มอลโลว์ปั่นจักรยานผ่านและสังเกตุดูก็เห็นว่าเป็นปกติดีทำให้เขาไม่เชื่อข่าวลือพวกนี้เลยแม้แต่น้อย



                      ตั้งแต่หลังเกิดเหตุ มอลโลว์มาที่เกิดเหตุในวันนั้นเป็นประจำ ข่าวลือที่ว่านั่นทำให้ไม่มีคนผ่านมาในบริเวณนี้และทำให้มอลโลว์มีสมาธิที่จะขบคิดปริศนาที่เกิดขึ้น อะไรบางอย่างบอกเขาว่าเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นจะไม่จบลงเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน มอลโลว์พยายามสำรวจสถานที่เกิดเหตุให้ละเอียดที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เขาสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติหลายอย่าง อย่างแรกคือ บริเวณพื้นที่เหล่านั้นเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ แน่นอน รวมทั้งตัวอาคารบ้านซึ่งเป็นไม้ทั้งหลังด้วย แต่ในวันนั้นดูเหมือนไฟจะลุกลามอย่างรวดเร็วราวกับมันเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีแถมยังเร็วผิดปกติเสียด้วย เพียงไม่กี่นาทีก็ไหม้ไปค่อนหลังแล้ว และสิ่งที่แปลกที่สุดก็คือ “ไฟได้ไหม้ลงบนตะไคร้น้ำบนพื้นดินด้วย” และไม่ได้ไหม้สะเปะสะปะธรรมดา มันลุกเป็นวงกลมอย่างน่าอัศจรรย์ใจราวกับขีดวงเวียนนำทางไว้ก่อน เหมือนกับว่ามีคนเอาน้ำมันมาราดเป็นวงกลมแล้วค่อยจุดไฟ ทำให้ไฟลุกลามเฉพาะพื้นที่นั้นๆ แล้วบังเอิญว่าส่วนหนึ่งของวงกลมได้พาดไปที่ผนังของบ้านหลังนั้นเขาพอดีทำให้ไฟเกิดลุกลามขึ้นมา แต่มันเป็นฝีมือของใครกันล่ะ เป็นไปได้ไหมว่าชายลึกลับคนนั้นจะเป็นคนทำ และถ้าเป็นอย่างนั้นเขาจะทำไปเพื่ออะไรแถมใช้เวลาทั้งหมดเพียงแค่ไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ อีกอย่างหนึ่งก็คือ มอลโลว์สังเกตเห็นว่าบริเวณศูนย์กลางของวงกลมที่ว่านั้นมีรอยหนึ่งปรากฏอยู่ มันเป็นร่องลึกสั้นๆเหมือนกับว่ามีของมีคมอะไรบางอย่างเคยปักลงไปในนั้น แต่ว่ามันคืออะไรล่ะ



                        อย่างที่สองก็คือ มอลโลว์สำรวจบริเวณรั้วของมหาวิทยาลัย พบว่านอกจากส่วนที่มอลโลว์คิดว่าเป็นที่ที่เซอรัสปีนขึ้นไปนั้น ไม่มีส่วนใดที่มีร่องรอยว่ามีการปีนป่านหรือการกระทำอย่างอื่นอย่างใดเลยแม้แต่บริเวณทึ่มีไฟไหม้เกิดขึ้น และบริเวณที่เซอรัสปีนขึ้นไปบนรั้วนั้นเป็นร่องรอยที่บอกได้อย่างชัดเจนว่ามีเซอรัสเพียงคนเดียวที่ปีนขึ้นไป ไม่ใช้เหตุการณ์ที่ว่าชายคนนั้นได้ปีนหนีไปก่อน พอเซอรัสไปเห็นจึงปีนตามขึ้นไปดู และนั้นก็คงเป็นเหตผลที่ดีพอที่เซอรัสจะบอกกับเขาโดยที่ไม่ต้องโกหกแบบในตอนนั้นและนั่นแสดงให้เห็นว่าชายคนนั้นไม่ได้ปีนรั้วหนีไปอย่างแน่นอน เป็นไปได้ไหมว่าชายคนนั้นได้สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมาเพื่อดึงดูดความสนใจของมอลโลว์และเซอรัสแล้วใช้จังหวะที่ว่านี้หลบหนีหายตัวไป หรือใช้จังหวะที่มีผู้คนสับสนอลม่านแล้ววิ่งเข้าไปรวมกันอยู่ในฝูงชนแล้วค่อยหลบตัวไป ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาได้







                       วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่แสนจะร้อนอบอ้าว มอลโลว์จึงมานั่งขลุกอยู่ที่ห้องสมุดเมื่อมีเวลาว่างเป็นประจำ โดยปกติแล้วหลังเลิกเรียนหากเขาไม่ไปที่ห้องสมุดก็มักจะยืมหนังสือไปอ่านที่โรงยิมฯกับเซอรัสอยู่เป็นประจำ แต่ตอนนี้มอลโลว์ไม่ไปที่โรงยิมฯแล้ว จึงเหลือห้องสมุดอยู่เพียงทีเดียว และดูเหมือนเซอรัสก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย อธิบายง่ายๆก็คือ เซอรัสไปซ้อมบาสฯน้อยลงแต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่ห้องสมุดเช่นเดียวกัน ซึ่งผิดวิสัยของเซอรัสมาก เป็นไปได้หรือเปล่าที่เซอรัสตามมาเพื่อจะมาขอคืนดีกับมอลโลว์ แต่มอลโลว์ก็คิดไว้แล้วว่า ถ้าเซอรัสไม่ยอมเล่าเรื่องที่ตัวเองเจอมาให้หมด เขาจะไม่มีทางยกโทษให้อย่างแน่นอน



                      ระหว่างนั้นเองขณะที่มอลโลว์เลือกหนังสือที่น่าสนใจในมุมภาษาและนำมาที่โต๊ะเพื่อที่จะนั่งอ่าน จังหวะที่เขาจะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้นั้น ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาก็ชักเก้าอี้ออกไปทันที ทำให้มอลโลว์ล้มลงไปนั่งกับพื้นทันทีโดยไม่ทันตั้งตัว



                       “นั่งข้างล่างเย็นดีมั้ยเพื่อน” ชายคนนั้นถามกวนๆ ซึ่งมอลโลว์ก็จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของบิลลี่



                       มอลโลว์ลุกขึ้นมามองหน้า ส่วนบิลลื่ก็ยืดอกเข้าใส่โดยไม่แยแสคนรอบข้างที่มามองถึงแม้ว่าสองในนั้นจะเป็นเซอรัสและนิมฟ์ก็ตาม



                       มอลโลว์ตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคนทั้งสอง ความรู้สึกเดิมๆหวนกลับมาอีกครั้งถึงแม้ว่าเขาจะรู้แก่ใจว่ามันได้เปลี่ยนไปแล้ว

    สายตาที่นิมฟ์มองมาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าดูเรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้มีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นมาเลยเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมานี้ มอลโลว์รู้สึกตัวว่าถูกนิมฟ์จ้องมองอยู่ เขารีบหลบสายตาของเธอ ใจของเขาสั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก ส่วนเซอรัสก็หลบสายตาของเขาอยู่ตลอดเวลา ดูเหมือนช่วงเวลาที่แสนเงียบงันนั้นแสนจะยาวนานเหลือเกิน สุดท้ายนิมฟ์ก็เรียกบิลลี่เข้าไปและพาไปหาบรรณารักษ์ ส่วนเซอรัสก็ทำหน้าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับเขาแต่แล้วก็เดินจากไป มอลโลว์อึ่งอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่พักหนึ่งแล้วเขาก็เดินออกจากห้องสมุดไปทันที





                     เหมือนมีแรงดึงดูดพิเศษบางอย่างที่ทำให้มอลโลว์มักจะมาสถานที่เกิดเหตุไฟไหม้บ่อยเหลือเกิน นอกจากเรื่องราวพวกนี้ มอลโลว์ก็กำลังกลุ้มใจกับการสอบที่เริ่มใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว ความรู้สึกเป็นห่วงเพื่อนเก่ากลับคืนมาอีกครั้ง ถ้าเซอรัสไม่มีมอลโลว์ เขาจะช่วยตัวเองในการสอบอย่างไรนะ มอลโลว์นั่งกับพื้นพิงรั้วมองสภาพบ้านที่ไหม้จนเป็นจุลเหลือเพียงเถ้าถ่านสีดำให้เห็นไว้เท่านั้น  เขาทบทวบเรื่องเก่าๆที่เกิดขึ้น ยังไงเสียเขาก็ลืมมันไปได้อยู่ดี ลางสังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่าเขาอาจเป็นส่วนหนึ่งซึ่งจะคลี่คลายเรื่องราวแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นได้ แต่เขาก็พยายามได้ไม่นาน ก็มีเสียงที่ไม่น่าพิเริงรมณ์ดังขึ้น



                     “ถ้านายชอบที่จะนั่งกับพื้นจริงๆก็บอกมาซี่ ฉันจะช่วยกำจัดโต๊ะของแกไปให้” บิลลี่ เคอร์บและเคอร์รี่ สแทร็งค์ยืนหัวเราะอย่างน่าเกลียด มอลโลว์สังเกตว่าตั้งแต่นิมฟ์เปลี่ยนไป คู่นี้กลับแย่ยิ่งกว่าเดิม



                      ในสถานการณ์แบบนี้หากอยู่ต่อล้อต่อเถียงกับพวกนี้คงจะไม่เป็นความคิดที่ดีแน่ๆ มอลโลว์ไม่ถนัดเรื่องชกต่อยและตอนนี้ก็ไม่มีเซอรัสอยู่ด้วย ทางเดียวที่ดีที่สุดตอนนี้ก็คือ อยู่ห่างเจ้าพวกนี้เอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาจึงเริ่มวิ่งหนีทันที



                       แต่คราวนี้ไม่โชคดีเหมือนคราวที่แล้ว ย่ามเจ้ากรรมของมอลโลว์กลับไปเก่ยวเข้ากับลวดที่ยื่นออกมาจากรั้วที่หักแล้ว เขาพยายามที่จะแกะย่ามออกแต่นั้นก็สายไปเสียแล้ว   สแทร็งตรงเข้ามาล็อกแขนทั้งสองข้างของมอลโลว์ทันที



                       “คราวที่แล้วแกแสบมากนักนะ คราวนี้อย่าหวังว่าจะได้รอดไปเลย”



                       ยังไม่ทันสิ้นคำพูด หมัดลูกใหญ่ก็วิ่งเข้ามาที่ท้องของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้เขารู้สึกปวดท้องระบมไปหมด



                       “สมน้ำหน้า แสบดีนัก” แล้วบิลลี่ก็ชกเข้ามาที่ท้องของเขาอีกที ทำให้ขาของมอลโลว์สั่นจนแทบใช้การไม่ได้ เขาคุกเขาลงบนพื้นเย็นๆที่เต็มไปด้วยตะไคร้น้ำ บิลกระชากคอเสื้อขึ้นมากระแทกกับรั้วเหล็กด้านหลัง ลวดที่เคยเกี่ยวย่ามของเขาบาดข้อศอกของมอลโลว์จนเลือดไหล ครั้นแล้วสแทร็งค์ก็ร่วมวงโดยการชกเข้ามาที่ใบหน้าอย่างเต็มแรง แว่นตาของเขาหลุดกระเด็นข้ามรั้วไป มอลโลว์ฟุบลงกับพื้น หูของเขาฟังเสียงที่บิลลี่เยาะเย้ยใส่เขาได้เลือนลางเต็มที ความเจ็บปวดแผ่กระจายไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว มอลโลว์รู้สึกได้ว่าเขาถูกกระชากคอเสื้อขึ้นมา แต่แล้วมันก็ปล่อยอย่างรวดเร็ว เสียงการต่อสู้ดังขึ้นเหนือร่างของเขา มอลโลว์พยายามที่จะมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่มันก็เกิดความสามารถของเขาไปเสียแล้ว



                       มอลโลว์นอนนิ่งหมดสติอยู่ตรงนั้น





                      มอลโลว์ลืมตาขึ้นมา บรรยากาศรอบตัวของเขาบ่งบอกว่าเขากำลังนอนอยู่ในห้องพยาบาล เขาคลำดูที่ใบหน้าและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แว่นตาของเขากระเด็นหายไปในสวนสาธารณะ มอลโลว์มีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนมาช่วยมอลโลว์ออกมาและพามาที่นี้ เขาอยากรู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร อาจจะเป็นคนที่บังเอิญเดินผ่านไปแถวนั้นก็ได้ ที่จริงแล้วในเวลานี้ คนที่เขาควรจะคิดถึงเป็นคนแรกกลับกลายเป็นคนสุดท้ายที่เขาอยากร้องขอความช่วยเหลือ เซอรัสไงล่ะ ถึงแม้ว่าคนนั้นอาจจะเป็นเซอรัสได้ก็ตาม แต่ถึงอย่างไร มอลโลว์ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจอยู่ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้เซอรัสยังจะยอมช่วยเขาอยู่หรือเปล่า



                      “ฟื้นแล้วเหรอจ้ะ—อะนี่ ดื่มซะนะ คงทำให้เธอดีขึ้นหน่อยล่ะ”อาจารย์ประจำห้องพยาบาลพูดขึ้นเมื่อเห็นมอลโลว์ฟื้นขึ้นมาพลางหยิบถ้วยใส่นมอุ่นมาให้



                      “นี่ก็เย็นมากแล้วนะ เธอกลับบ้านเองไหวมั้ย หรือว่าจะให้ช่วยไปส่ง”อาจารย์ถามขึ้นเมื่อมอลโลว์ดื่มนมมาได้พักหนึ่งแล้ว



                      “ไหวครับ ไหว บ้านผมอยู่แถวนี้เองครับ”



                      “งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นกลับบ้านดีๆนะ อย่าให้เกิดเรื่องขึ้นอีกล่ะ”อาจารย์พูดขึ้นราวกับว่าการชกต่อยนั้นเป็นเรื่องที่ธรรมดาเหลือเกิน



                      “เออ…คืออาจารย์ครับ ผมอยากถามอาจารย์ว่าอาจารย์พอจะทราบไหมครับว่าใครเป็นคนช่วยพาผมมาที่นี่ครับ”มอลโลว์ตัดสินใจลองถามอาจารย์ขึ้น



                       “เอ๋ ไม่ใช่เพื่อนเธอหรอกเหรอ”อาจารย์ตอบ



                        ในวินาทีนั้นเองความคิดหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาในใจมอลโลว์ หากคนที่พาเขามานั้นบอกอาจารย์ว่า “ผมเป็นเพื่อนเขาครับ”นั้นก็หมายความว่า คนคนนั้นอาจจะเป็นเซอรัสก็ได้ เพราะถ้าหากเป็นคนที่ไม่รู้จักมอลโลว์ เขาคงไม่บอกอาจารย์ว่าเป็นเพื่อนกันอย่างแน่นอน เพราะถึงอย่างไร อาจารย์ก็ต้องถามคนที่พามาส่งแน่ๆว่ามอลโลว์เป็นใคร รวมถึงคนที่พามาส่งด้วย



                        “แล้วอาจารย์พอจะทราบชื่อของเขาไหมครับ”มอลโลว์ถามต่อไปอีก



                       “ไม่รู้หรอก” อาจารย์ตอบ มอลโลว์รู้สึกผิดหวังเล็กๆ แต่แล้วอาจารย์ก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “แต่เขาก็อยู่ที่นี่แล้วนี่นา”



                        จากนั้นอาจารย์ก็หันหน้าไปทางปากประตูซึ่งมีชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา



                       “เซอรัส…นี่นาย”



                        จิตใจของมอลโลว์แช่มชื่นเต็มที่เมื่อคนที่เดินเข้ามาเป็นเซอรัสจริงๆ – เซอรัสทำถ้าเขินเล็กน้อย



                        “ฉันไม่อยากเชื่อเลย ว่านายจะ…” มอลโลว์ยังคงพูดต่อไป  แต่เซอรัสกลับเอานิ้วชี้แตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้มอลโลว์หยุดพูดแล้วเข้ามากระซิบที่ข้างใบหูว่า



                        “ฉันมีของอย่างหนึ่งอยากจะให้นายดู ห้าทุ่มคืนนี้ที่สวนสาธารณะ…แล้วเจอกัน”



                         ก่อนที่มอลโลว์จะเข้าใจความหมายของข้อความทั้งหมด เซอรัสก็หายตัวไปเสียแล้ว





                         มอลโลว์ใช้มือของเขาควานหาแว่นตาอย่างทุลักทุเลบนพื้นหญ้ารกๆอย่างละเอียดที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่ทว่ามันจะไร้ซึ่งความหวังเสียแล้ว ดวงตาของเขาในสภาพตอนนี้ช่างแย่เหลือเกิน ที่จริงเขาน่าจะไปลองตัดแว่นใหม่ แต่ถ้าหากครอบครัวคริซพ์รู้เรื่องนี้ละก็ พวกเขาคงจะมาออกเงินช่วยเหลือเขาแน่ๆ มอลโลว์เกรงใจครอบครัวนี้เหลือเกิน เพราะพวกเขาช่วยเหลือมอลโลว์มาโดยตลอด ดังนั้น ความคิดนี้จึงน่าจะล้มเลิกไปได้เลย อันที่จริงเขาไม่ควรแม้แต่จะคิดเลยเสียมากกว่า นี่ก็เปรียบเสมือนสมบัติอีกชิ้นหนึ่งที่พ่อและแม่ของเขาทิ้งไว้ให้

    มอลโลว์ยังคงใช้มือของเขาหาแว่นตาไปเรื่อย หญ้าที่ขึ้นสูงกว่าหนึ่งฟุตเพราะขาดการดูแลเสียดสีกับเนื้อของเขาทำให้เกิดอาการคันเล็กน้อย ที่นี่แทบจะไม่มีขยะสักชิ้นปรากฏให้เห็นเลย อาจจะเป็นเพราะข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องผีร้ายที่นี่มากขึ้นทุกวัน ทำให้แทบจะไม่มีคนมาที่นี่เลย ขณะที่เขากำลังควานมืออยู่นั้น เขาก็พบเข้ากับของสิ่งหนึ่ง ในทีแรกมอลโลว์คิดว่าเป็นแว่นของเขา เพราะเขาสัมผัสได้ถึงผิวกระจก แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่



                        กระจกมือบานหนึ่ง ด้านหลังหุ้มด้วยไม้เนื้อดี ค่อนข้างมีอายุ ตัวกระจกมีเศษดินเกาะอยู่ แสดงว่ามันถูกทิ้งอยู่ที่นี้มานานแล้ว มอลโลว์กำกระจกบานนั้นเข้ามาดูใกล้ๆ ถึงแม้นัยน์ตาของเขาจะหม่นมัว แต่เมื่อเขามองเข้าไปในกระจกบานนั้น จิตใจของเขาก็รู้สึกผูกพันธ์กับมันขึ้นมาทันที ทั้งๆที่เขาพึ่งพบเจอมันเป็นครั้งแรก นิ้วมือของเขาสัมผัสได้ถึงลายแกะสลักตื้นๆที่อยู่ด้านหลังของกระจกบนพื้นไม้ มอลโลว์อยากรู้ว่ามันคือลายอะไร แต่สายตาของเขาก็บอกได้เพียงว่ามีเส้นหลายสิบเส้นเรียงตัวกันอยู่เท่านั้น

        

                       “กร็อบ” เสียงมอลโลว์เผลอเหยียบเข้ากับของสิ่งหนึ่ง – แว่นตาเขานั้นเอง มอลโลว์คว้าแว่นตาที่พื้นขึ้นมาสวม ขาข้างซ้ายของมันเบี้ยวเล็กน้อยเนื่องจากถูกเหยียบทับ นอกจากนี้ที่มุมเลนส์ข้างเดียวกันนี้ยังมีรอยร้าวนิดๆปรากฏอยู่ด้วย



                       ทันทีที่เขาสวมแว่น เขาก็สามารถเห็นกระจกเงาบานนั้นอย่างเต็มตา มอลโลว์มองกำลังดูกระจกเงาทรงกลมที่ถูกห่อหุ้มด้วยไม้เนื้อแข็งอย่างดี ที่  ด้านหลังแกะสลักเป็นรูปพระราชวังยุโรป มองดูงดงามมาก หากแต่ความเก่าแก่ของมันไม่ทำร่องรอยแห่งความบอบช้ำไว้มากนัก



                       มอลโลว์พลิกกลับมาด้านหน้า มันมีรอยหม่นหมองเพราะเศษดิน แต่เพียงแค่มอลโลว์เช็ดมันเบาๆ กระจกเงาก็กลับสดใสขึ้นมาทันตา เขาจ้องมองบานกระจกอย่างพิศวง เงาสะท้อนของเขาที่ปรากฏบนกระจกให้ความรู้สึกตอบกลับมาที่ประหลาดราวกับว่ากระจกได้สะท้อนภาพใบหน้าของชายผู้อื่นกลับมาแทน มันเป็นภาพชายที่กำลังจ้องมองดูกระจกเงาบานนั้นด้วยสายตาเบิกกว้างอย่างไม่กระพริบ













    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×