ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    chequered ดินแดนแห่งเวทมนต์

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่2 การหายตัวอย่างลึกลับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 26
      0
      4 มิ.ย. 46

    บทที่ 2 การหายตัวอย่างลึกลับ



                     ฤดูใบไม้ผลิกำลังย่างเข้ามาถึง เสียงนกตัวน้อยบินโฉบเฉี่ยวไปมาอยู่บนยอดไม้สีเขียวชอุ่มนานาพรรณ บรรดาหมู่ปลาหลากสีต่างก็กำลังว่ายน้ำในหนองน้ำอย่างร่าเริง หลายปีมาแล้วที่สวนสาธารณะเอาท์บอร์ดได้มีบรรยากาศที่น่าเข้าไปเยี่ยมชม แต่หากผู้คนในเมืองนี้ไม่วุ่นวายไปกับการงานที่ยุ่งเหยิงในสภาพของปัจจุบันจนมากเกินไป ก็คงจะมีผู้คนมากมายหันมาสนใจที่จะมาพักผ่อน และทำกิจกรรมที่นี้มากกว่านี้ แต่บรรดานกตัวน้อยหรือปลาหลายตัวคงจะไม่สนใจเท่าไรหรอก พวกมันเลือกสถานที่ที่สงบในสวนสาธารณะเป็นที่อยู่ของพวกมัน สถานที่ที่เรื่องทุกๆอย่างจะเริ่มต้นขึ้น



                     มอลโลว์ เลค แธทเชอร์ กระวีกระวาดลุกขึ้นจากที่นอน เขาแต่งตัวและทาเนยที่ขนมปังอบอย่างคล่องแคล่วจนดูเหมือนว่ามันเป็นสิ่งที่เขาทำอยู่เป็นประจำ เขารีบแต่งตัวอย่างรวดเร็วพลางคว้าแว่นตากลมดำประจำตัวมาใส่ เขาสะพายย่ามหนังสือเก่าๆที่จวนจะขาดเต็มที่ ดังนั้น หนังสืออันมากมายของเขาก็ต้องรับผิดชอบถือไปเองหากว่าย่ามของเขาเต็มจนเกินพอดี



                     มอลโลว์นำหนังสือที่ถือไว้ไส่ตะกร้ารถจักรยานของเขาแล้วรีบปั่นออกจากบ้านทันทีทั้งๆที่เขายังคาบขนมปังทาเนยอยู่ในปาก บ้านของมอลโลว์อยู่ตรงข้ามกับสวนสาธารณะเอาท์บอร์ด ทุกเช้าเขาจะปั่นจักรยานไปยังวิทยาลัยที่อยู่ใกล้ๆ แต่วันนี้สายมากแล้ว เขาจึงจำเป็นต้องปั่นลัดสวนสาธารณะเพื่อไปยังวิทยาลัยที่บังเอิญมีด้านหลังชนกันกับสวนสาธารณะพอดี - - การปั้นจักรยานลัดสวนช่วยลดเวลาในการเดินทางได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากวิทยาลัยนี้ไม่มีประตูทิศใต้ (ทิศที่ติดกับสวนสาธารณะ เขาจึงจำเป็นต้องไปเข้าทางประตูทิศตะวันตก



                      บ้านของมอลโลว์เป็นตึกแถวสองชั้น ตัวอาคารและหลังคาสีขาว เมื่อมองจากสวนสาธารณะมายังตัวบ้านของเขาก็จะเห็นถึงความทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด กระถางใส่ดอกไอริสที่ห้อยลงมาจากระเบียงก็มีเถาไอวี่พันเกี่ยวอย่างสนุกสนาน เม่อเทียบกับเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ ที่นี่ดูเปลี่ยนไปมากจริงๆ



                     ในวิทยาลัยเอ็นเบอร์ชยังคงมีนักศึกษามากมายเหมือนเคย ถึงแม้ว่าวิทยาลัยนี้จะเป็นวิทยาลัยที่ไม่ใหญ่โตมากนักแต่ก็เป็นวิทยาลัยแห่งเดียวที่อยู่ในละแวกนี้ ทำให้นักศึกษาที่นี่มีหลายรูปแบบไม่ว่าจะมีฐานะหรือไม่ค่อยมี ดังนั้นก็เป็นเรื่องปกติที่จะเห็นรถราคาเป็นหมื่นวิ่งสวนอยู่กับจักรยานโกโรโกโสของมอลโลว์คันนี้



                     มอลโลว์จอดรถที่ข้างอาคารหลังหนึ่งซึ่งเขามักจอดเป็นประจำ เขาไม่ชอบไปจอดที่ลานจอดรถ เพราะนอกจากมันจะไกลแล้วเขายังไม่ชอบให้คนมาด้อมๆมองๆที่รถของเขา (พวกชอบของแปลก) ว่าเป็นเศษเหล็กวิ่งได้



                     ที่นั้นมีชายคนหนึ่งยืนนิงผนังรอมอลโลว์อยู่ก่อนแล้ว



                     “อรุณสวัสดิ์ มอลโลว์ สายอีกแล้วนะ” ชายคนนั้นเอ่ย



                    “ออุนอะอัด เอออัส” มอลโลว์พยายามพูดสวัสดีกับชายคนนั้นแต่ปากของเขากำลังคาบขนมปังเนยอยู่และเขาก็กำลังใช้มือของเขาในการค้นหาเหรียญในกระเป๋ามาล็อกรถด้วย แต่ทันทีที่เขาล็อกรถเสร็จชายคนนั้นก็คว้าหนังสือที่อยู่หน้ารถแล้วเดินนำหน้าไปเพื่อให้มอลโลว์จัดการกับขนมปังในปากของเขา



                    “เฮ้ นายลืมอะไรมั้ย” ชายคนนั้นเอ่ยขึ้นลอยๆ มอลโลว์จึงหันไปมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าแปลกๆ



                    “เออ คือ…เราหวังว่านายคง… เหมือนเดิมนะ”



                    “อะไร?”



                    “ก็…”ชายคนนั้นลากเสียงยาวและพยายามอ่านสีหน้าของมอลโลว์ มอลโลว์ตีหน้าเข้มแล้วหัวเราะออกมา



                     “โอเค…เซอรัส  ฉันล้อเล่น นี้ไงบทพูดหน้าชั้นของอ.เบลแดม คงไม่ยากเกินไปนะถ้าฉันจะให้นายเรื่องภาษาอียิปต์โบราณ”



                      “ได้อยู่แล้ว”เซอรัสยิ้มตอบ



        



                      เสียงปรบมือกราวสนั่นขึ้นดังห้องเมื่อโมโนรี นิมฟ์ได้พูดอภิปรายในหัวข้อ “ภาษาเก่าในโลก” ของอ.เบลแดมได้ดีกว่าคนอื่นๆที่ได้พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว เรื่องภาษาโรมันโบราณของเธอพูดได้ดีอย่างไม่มีที่ติ

        

                     อ.เบลแดมหยิบสลากขึ้นมาหนึ่งใบ

        

                      “มอลโลว์ เลค แธทเชอร์” มอลโลว์สะดุ้งน้อยๆเมื่อถูกเรียก วันนี้เขาได้อภิปรายเรื่องภาษาเชคเคอร์ดซึ่งก็เรียกความสนใจได้ไม่น้อยกว่าภาษาโรมันของนิมฟ์เลย

        

                      “…เราได้มีการคาดการกันว่า ได้เคยมีเมืองนี้อยู่บนส่วนหนึ่งของโลกของเรา ในหลายร้อยปีก่อน ซึ่งในเมืองนี้ก็มีจำนวนประชากรไม่มากนัก แต่ว่าวัฒนธรรมของพวกเขานั้นรุ่งเรื่องเป็นอันมาก ได้มีหลักฐานว่าพวกเขาได้สร้างสิ่งมหัศจรรย์หลายสิ่งขึ้น ซึ่งมันก็คงได้คงอยู่ให้พวกเราได้ค้นเจอกันแน่หากว่าพวกเขาไม่ได้หายไปเสียก่อน นักโบราณคดีหลายท่านได้ค้นคว้าหาข้อมูลและได้สรุปว่า จากความแห้งแล้งและโรคระบาดในขณะนั้นคงจะทำให้พวกเขาได้ตายไปพร้อมกับวัฒนธรรมที่พวกเขาสร้างขึ้นมา จากที่ผมได้สรุปค้นคว้ามา โครงสร้างทางภาษาของเขาจะเป็นในลักษณะ…”

        

                      ช่วงเวลาสิบนาทีที่มอลโลว์อภิปรายหน้าชั้นอยู่นั้น บรรยากาศรอบข้างนั้นเต็มไปด้วยความเงียบ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะหลายคนสนใจเรื่องที่มอลโลว์พูด แต่อีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะมีนิมฟ์คอยสอดส่ายสายตาไปทั่ว ทำไมนะเหรอ

        

                      นิมฟ์เป็นกรรมการนักศึกษาของคณะอักษรศาสตร์ชั้นปีหนึ่งที่มอลโลว์และเซอรัสเรียนอยู่ เธอสามารถติดอันดับผลการคัดเลือกคณะกรรมการตามรุ่นพี่ปีอื่นๆได้ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ และส่งผลให้เธอเป็นคณะกรรมการที่มีอายุน้อยที่สุดในรอบสี่ปีนับตั้งแต่ประธานนักศึกษาคนล้าสุดได้จบออกไป - - ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่เธอจะได้รับคำชื่นชมและเป็นที่รักของอาจารย์โดยทั่วไป

        

                      “…พวกชอบวางก้าม…”เป็นคำพูดที่เซอรัสชอบพูดว่าเธอลับหลังมากที่สุด ซึ่งมอลโลว์เห็นด้วยอย่างน้อยก็เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ครึ่ง “…คิดว่าอำนาจเป็นของเธอคนเดียวรึไง อย่างนี้สิถึงไม่มีใครอยากคบเป็นเพื่อน…” นั้นเป็นความจริงที่น่าสงสารมากเลยทีเดียว เธอเคร่งครัดมากกับกฏระเบียบทุกข้อมากจนไม่มีใครอยากจะยุ่งกับเธอ เหมือนเธอเป็นแมลงอะไรสักอย่างที่คอยรบกวนความสงบสุขในห้องเรียนด้วยการใช้อำนาจจัดการระเบียบในทุกๆเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องทะเลาะวิวาท ซึ่งเป็นเรื่องที่มอลโลว์และเซอรัสโดนอยู่เป็นประจำโดยการหาเรื่องของบิลลี่ เคอร์บ นักศึกษาที่อยู่ในห้องเดียวกัน



                      ที่จริงก็ใช่ว่าจะมีแต่พวกนักศึกษาเท่านั้นที่แสดงท่าทีไม่ชอบเธอ อาจารย์หลายท่านก็คงเก็บความรู้สึกนี้เอาไว้ในใจ ถ้าจะให้เอ่ยชื่อถึงละก็ อาจารย์อิฟเฟอร์ คอตเทย์ก็จะเป็นคนแรกที่ทั้งมอลโลว์และเซอรัสจะนึกถึง

        

                     มอลโลว์และเซอรัสเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ พ่อแม่ของมอลโลว์ตายตั้งแต่เขายังเด็ก ซึ่งมอลโลว์เองก็รอดจากอุบัติเหตุครั้งนั้นได้ราวกับปาฏิหาริย์ มอลโลว์ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยอยู่คนเดียวในบ้านซึ่งเป็นเหมือนสมบัติชิ้นสุดท้ายที่พ่อแม่ของเขาทิ้งเอาไว้ให้ มอลโลว์ไม่มีเงินเหลือมากนัก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องใช้เงินให้น้อยที่สุด จักรยานของเขามีอายุพอได้กับเถาไอวี่ที่พันอยู่ที่รั้วหน้าบ้านเขา ย่ามประจำกายของเขาก็ล้วนเต็มไปด้วยรอยปะชุนที่นับครั้งไม่ถ้วน เครื่องแต่งกายของเขาทุกชิ้นล้วนแต่เป็นของเก่าๆทั้งสิ้น ถึงแม้ว่า นายโนเบิ้ล วูช คริซพ์ และนางแอมมิเกรีย คริซพ์ พ่อแม่ของเซอรัสจะออกเงินช่วยเหลือเขาอยู่เป็นประจำ แต่เขาก็ปฏิเสธอยู่ทุกๆครั้ง

        

                     พ่อแม่ของเซอรัสมีบริษัทเกี่ยวกับการผลิตอุปกรณ์กีฬา และนั้นก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เซอรัสเป็นคนชอบกีฬาและทำให้เขาเป็นใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักบาสเกตบอลซึ่งเป็นกีฬาที่เขาชอบมากที่สุด นายโนเบิ้ลโกรธมากเมื่อรู้ว่าเซอรัสลงคณะอักษรศาสตร์ตามมอลโลว์แทนที่จะเรียนทางบริหารธุรกิจเพื่อมาสานต่อกิจการของเขา แต่ว่าเขาก็ไม่โกรธมอลโลว์แต่อย่างใด เพราะอย่างน้อยน้องสาวของเซอรัสก็เลือกทางเดินที่พ่อของเขาต้องการ

        

                    “เซอรัส คริซพ์”เสียงอ.เบลแดมดังขึ้นเมื่อเธอหยิบฉลากได้ชื่อของเซอรัส

        

                     เซอรัสก็สะดุ้งเล็กน้อยเช่นเดียวกันเมื่อถูกเรียกชื่อ เขาจึงเดินออกไปยังหน้าชั้นเรียนพร้อมกับกระดาษใบเล็กๆที่เต็มไปด้วยข้อความที่มอลโลว์เขียนให้ก่อนที่จะหันมายิ้มแห้งๆแก่มอลโลว์และเพื่อนๆทั้งห้อง

        

                    เซอรัสเริ่มพูดด้วยเสียงอันแผ่วเบา…มันเบามากจนอ.เบลแดมต้องใช้น้ำเสียงที่ประชดประชันพูดขึ้น

        

                    “เมื่อเช้าเธอฝากกล่องเสียงไว้ที่ธนาคารรึไง สงสัยว่าฉันคงจะต้องรายงานพ่อของเธอทุกสัปดาห์ซะแล้ว” เธอพูดพร้อมกอดอกและเขม้นตามาที่เซอรัส ส่วนเซอรัสก็ชักสีหน้าไม่พึงพอใจ เป็นที่รู้กันว่าพ่อของเซอรัสฝากให้อ.เบลแดมเป็นผู้รายงานความประพฤติของเซอรัสอยู่เป็นประจำ และแน่นอนเรื่องนี้นิมฟ์ก็ทราบดีด้วย

        

                      การพูดดำเนินต่อไป มอลโลว์ซึ่งเป็นคนเขียนบทความให้ก็มีความรู้สึกว่าเซอรัสเริ่มจะพูดผิดพูดถูกไขว้เขวกันยุ่งเหยิงไปหมด หลายคนในห้องเริ่มหัวเราะทุกครั้งที่เซอรัสพูดผิด แม้แต่มอลโลว์เองก็รู้สึกใจไม่ดีเหมือนกัน

        

                      “…เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วนะครับว่ากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอียิปต์ก็คือ………”อยู่ดีๆเซอรัสก็เกิดลืมชื่อกษัตริย์องค์นั้นไปเฉยๆ ทั้งๆที่ทุกคนในห้องรวมทั้งตัวเขาเองก็น่าจะทราบดีอยู่แล้วเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อ.เบลแดมเป็นคนสั่งให้ส่งรายงานค้นคว้าเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี้เอง

        

                      ทั้งห้องเงียบกันไปครู่หนึ่ง

        

                      ความวิตกกังวลของเซอรัสคงจะเริ่มเพิ่มมากขึ้นไปทุกที ในที่สุดเขาก็ลองเอ่ยชื่อแรกสุดที่แวบเข้ามาในสมองของเขาออกไป ในความรู้สึกแล้ว ทั่วไปความคิดที่เข้ามาเป็นอย่างแรกมักจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด (เซอรัสคิดอย่างนั้น) แต่ทว่าเสียงหัวเราะของคนทั้งห้องก็เป็นคำตอบที่ทำให้เขารู้ดีว่าเขาเอ่ยชื่อนั้นผิด ในตอนนั้นในใจของมอลโลว์นอกจากจะเป็นห่วงเซอรัสแล้วเขายังเริ่มรู้สึกรำคาญบิลลี่และสแทร็งค์ที่นั่งอยู่ข้างหลังเขาขึ้นมาบ้างแล้ว

        

                      สุดท้ายเซอรัสจึงทนไม่ไหว หยิบเศษกระดาษที่มอลโลว์จดให้ขึ้นมาดู แต่ทว่าด้วยความรีบร้อนรวมกับความตื่นกลัวทำให้เขาอ่านชื่อนั้นผิดซ้ำอีกเป็นครั้งที่สอง คราวนี้เสียงหัวเราะดังขึ้นกว่าเดิมจนแทบลั่นห้อง มอลโลว์สังเกตเห็นว่านิมฟ์ก็หัวเราะด้วยเช่นกันซึ่งเขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา



                     ในที่สุด อ.เบลแดมก็ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยขึ้นว่า



                     “พอ พอ พอได้แล้ว เอาเป็นว่า เธอ เซอรัส ไปเขียนรายงานมาเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ต้องให้แธทเชอร์ช่วยอีกแล้วนะครูดูออกว่าใครเป็นคนทำ ส่วนพวกเธอ ไม่ต้องมากขนาดนั้นก็ได้ อาจารย์รู้ว่าพวกเธอก็ไม่ได้รู้มากไปกว่าเขาสักเท่าไรหรอก ไหนลองบอกมาซิ ว่ากษัตริย์องค์นั้นชื่อว่าอะไร อาจารย์จำได้ว่าพึ่งสอนไปได้ไม่นานมานี่เอง” บิลลี่และสแทร็งค์จึงยอมนั่งอยู่เงียบๆหลังจากที่พวกเขาได้ทำหน้าล้อเลียนอยู่เสียนาน







                       มอลโลว์นั่งอ่านหนังสือย่างมีความสุขในโรงยิมบาสเกตบอล ถึงแม้ว่าที่นี่จะอบอ้าวไปสักหน่อยแต่ว่าเขาก็เริ่มที่จะชินเสียแล้ว ปกติแล้วเซอรัสจะมาที่เป็นประจำและมอลโลว์ก็จะตามมาที่นี่ด้วย วันนี้ตลอดทั้งวันมอลโลว์และเซอรัสต้องคอยหลบหน้าพวกบิลลี่ทั้งวัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้านี้ทั้งคู่คงจะล้อพวกเขาได้เป็นอาทิตย์ บิลลี่และสแทร็งค์ได้เป็นคู่กัดกันพวกเขามานานแล้ว ตั้งแต่พวกเขายังอยู่ที่โรงเรียนเดิม ส่วนนิมฟ์ก็เป็นเหมือนตุลาการที่คอยตันสินคดีความให้ทั้งสองฝ่าย มอลโลว์จะเบื่อมากหากต้องดูภาพฉายซ้ำๆไปมาทุกรอบในทุกๆครั้งที่นิมฟ์เข้ามายุ่งกับพวกเขาซึ่งผลก็แทบจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากสักเท่าไรเลย ไม่เว้นแม้กระทั่งวันนี้ที่เซอรัสเกือบจะเอาสตูเนื้อไปราดบิลลี่ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกนั้นได้พยายามเอาภาพเขียนล้อเลียนเซอรัสที่แสนจะน่าเกลียดสอดเข้าไปในจานข้าวของเซอรัสขณะที่เซอรัสเผลอเข้าห้องน้ำ แต่ถูกมอลโลว์เห็นเข้า โชคดีที่มอลโลว์ห้ามไว้ได้ทันไม่อย่างนั้นบิลลี่ก็คงได้กลายเป็นหมูราดหน้าสตูกลับบ้านไปแน่ แต่ทว่าเขาก็ไม่วายถูกนิมฟ์ว่าเสียหูเกือบชาก่อนที่จะมาถึงที่นี่ เซอรัสเป็นคนเลือดร้อนซึ่งแตกต่างจากมอลโลว์ที่เป็นคนค่อนข้างจะใจเย็น



                       มีคนเคยบอกว่าพวกเขาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง มันคงไม่เป็นจริงเท่าไรหรอก? มอลโลว์เป็นคนที่มีความถนัดทางด้านภาษาเป็นพิเศษจึงเข้ามาเรียนที่นี่ ส่วนเซอรัสได้แค่ตามมาเท่านั้น เขาอยากจะให้มีคนคอยช่วยเหลือทางด้านการเรียนและมอลโลว์ก็คือคนๆนั้น ถึงแม้ว่าเซอรัสจะเล่นบาสเกตบอลแต่ทว่าเขาก็ไม่ได้สูงไปกว่ามอลโลว์เท่าใดนัก มอลโลว์เป็นคนผอมสูงมีผมสีน้ำตาลและมีนัยน์ตาสีเทา ส่วนเซอรัสเป็นคนหุ่นดีอย่างนักกีฬา มีผมสีดำและนัยน์ตาสัน้ำตาลอ่อน เขาเป็นคนหน้าตาดีมาก ทว่าเขากลับยังไม่สนใจกับใครมากเป็นพิเศษเลย อาจจะเป็นเพราะมีมอลโลว์อยู่ข้างก็ได้





        วันรุ่งขึ้นในช่วงเวลาของ อ.อิฟเฟอร์ คอตเทย์ผู้สอนจิตวิทยาศาสตร์เซอรัสถูกอ.เบลแดมเรียกตัวไปทำงานทั้งชั่วโมงโทษฐานที่รายงานที่เขาส่งไปนั้นมีข้อมูลที่ผิดพลาดอยู่กว่าครึ่งหน้า ส่วนนิมฟ์ก็ยังคงนั่งแสดงอาการโกรธอยู่ ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อต้นชั่วโมงเธอถูกอ.คอตเทย์ว่าอย่างหนัก

                    

                    “นั่งตัวตรง…แล้วหลับตาลงเพ่งจิตให้อยู่ยังจุดๆหนึ่ง” ทุกครั้งก่อนเริ่มเรียนวิชาจิตวิทยาศาษสตร์จะต้องนั่งสมาธิทุกครั้ง ซึ่งในความเห็นของทุกคน ไม่มีอะไรน่าเบื่อไปกว่านี้อีกแล้ว



                    “พวกเธอต้องใช้สมาธิเป็นอันมากในการเรียนวิชาของฉัน” เป็นคำกล่าวที่มักจะได้ยินเป็นประจำแต่เนื่องจากว่าวันนี้เซอรัสไม่อยู่มอลโลว์จึงไม่ได้ยินเสียงเซอรัสบ่นเกี่ยวกับการนั่งสมาธิที่สุดแสนงี่เง่า (เซอรัส (และนิมฟ์คง)ว่าอย่างนั้น) เพราะเซอรัสเกลียดมันมาก แต่อย่างไรเขาก็ยังคงนิยมชมชอบอ.คอตเทย์อยู่ เพราะทุกครั้งที่อ.คอตเทย์เห็นหน้านิมฟ์ที่ไรเขาก็จะทำหน้าเป็นศัตรูขึ้นมาทุกที ราวกับว่าเมื่อชาติที่แล้วนิมฟ์เป็นแมวที่คอยไล่จับหนู (อ.คอตเทย์) ยังไงอย่างนั้น นอกจากนั้นยังมักคอยพูดหาเรื่องและกลั่นแกล้งเธอต่างๆนานา มีอยู่ครั้งหนึ่ง มอลโลว์เคยถามกับเขาตรงๆว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้ซึ่งคำตอบก็แทบจะถอดแบบมาจากเซอรัสไม่มีผิด และนั้นก็เป็นเหตุผลที่เซอรัสเข้ากันได้กับอ.คอตเทย์ได้เป็นอย่างดี และการที่เขาพลาดชั่วโมงเรียนของเขาในวันนี้ก็คงสร้างความไม่พอใจให้กับเขาเป็นอันมาก



                    “มิสซิสเพอแทน ฉันคิดว่าเธอคงมีวุฒิภาวะพอที่จะทราบได้แล้วนะว่าในเวลานี้เธอควรจะทำอะไร” แพซี่รีบเก็บนิตยสารการ์ตูนที่แอบอ่านอยู่ใต้โต๊ะ เธอก็คงเบื่อกับการนั่งสมาธิอย่างเต็มที่แล้ว แต่ถึงอย่างไรอ.คอตเทย์ก็ไวกว่าและคว้านิคยสารเล่มนั้นมาแล้วพลิกดูสองสามที



                      “…การ์ฟิลด์?…ไม่น่าเชื่อว่าอายุขนาดนี้แต่กลับมีระดับมันสมองเท่ากับเด็กอายุสองปี” พูดจบเขาก็ฉีกมันทิ้งแล้วก็โยนใส่ถังขยะ ทุกคนลืมตากันหมดไม่มีเสียงพูดจากใครเลยแม้แต่บิลลี่



                    “ครูคิดว่ามีนักเรียนในห้องมากเหลือเกินที่ฝืนกฎที่ครูได้ตั้งไว้ในชั่วโมงเรียนของครู สิ่งที่พวกเธอทำคงจะยิ่งลดทอนศักยภาพความเป็นนักศึกษาที่ดีลงไป - ครูมีความปรารถนาเป็นอย่างยิ่งว่าการเรียนการสอนของครูจะช่วยหล่อหลอมจิตใตของพวกเธอให้ดีกว่านี้”อาจารย์พูดด้วยเสียงอันดัง “ …แต่ครูเชื่อว่าความผิดเหล่านี่อาจจะไม่เกิดขึ้นกับทุกคนนี่นะ - มันก็ไม่ได้แปลว่าเราทุกคนจะต้องเป็นอย่างนั้น?…”อาจารย์หยุดพูดแล้วมองไปรอบห้อง “มันอาจจะเป็นเพียงความผิดของใครบางคนเท่านั้นจริงมั้ย”อาจารย์ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วหันหน้ากลับไปหานิมฟ์อย่างช้า



                      “เธอซึ่งเป็นคณะกรรมการนักศึกษาก็น่าจะคอยสอดส่องดูแลบุคลากรในวิทยาลัยบ้างสิ ยิ่งพวกที่อยู่ในห้องเรียนเดียวกันนี่ก็น่าจะให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ไม่ใช่มัวปล่อยให้เป็นพวกนักศึกษาที่นี่กลายเป็นพวกสมองนิ่มอยู่อย่างนี้”นิมฟ์เริ่มตัวสั่นด้วยความโกรธ คนทั้งห้องหันมามองนิมฟ์เป็นตาเดียวกัน คงเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับความเห็นใจจากเพื่อนๆมากขนาดนี้ ส่วนอ.คอตเทย์ก็เริ่มพูดต่อด้วยถ้อยคำที่รุนแรงยิ่งขึ้น



                       “ฉันรู้ว่าเธอมีความสามารถในการหลอกให้อาจารย์คนอื่นๆสนับสนุนเธอให้เธอได้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการของมหาวิทยาลัยทั้งๆที่เธอเป็นเพียงแค่นักศึกษาปีที่หนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งที่ฉันยอมรับในตัวเธอก็คือ…แก่นแท้ของเธอนั้นไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อย …มันเหมือนพ่อของ…”อาจารย์หยุดพูดทันที เขาคงจะพลั้งปากพูดเรื่องที่ไม่น่ารื่นรมย์นัก นิมฟ์กำพร้าพ่อแม่เช่นเดียวกับมอลโลว์

    ทั้งห้องนิ่งเงียบสักพักหนึ่ง หลายคนเริ่มแสดงอาการโมโหเล็กน้อยที่ถูอาจารย์ว่าพวกเขาว่าเป็นพวก “สมองนิ่ม” ถึงแม้ว่าบิลลี่และสแทร็งค์จะไม่เคยทำอะไรที่สร้างความเจริญให้แก่ห้องเลยแต่ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะกลายเป็นระเบิดภูเขาไฟลูกย่อมๆที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกวินาทีที่อาจารย์เอ่ยคำที่แสลงหูขึ้นมาเพียงนิดเดียว



                        ช่างเป็นการเรียนวิชาจิตวิทยาศาสตร์ที่เงียบเสียเหลือเกิน ทุกคนต่างไม่พูดจากันเลยเนื่องจากความโกรธที่มีต่อตัวอาจารย์ที่ดูจะไม่สนใจท่าทางและสายตาอันขุ่นมัวที่ส่งไปให้ของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย เขากลับสอบไปเรื่อยๆไม่สนใจใครแถมยังให้งานมาเป็นกองพะเนินเหมือนจะเป็นการลงโทษทุกคนที่ปฏิบัติตนเช่นนี้ มอลโลว์คิดว่าหากเขาเล่าเรื่องนี้ให้เซอรัสฟังเขาก็คงคิดไม่ออกว่าเขาจะมีความรู้สึกอย่างไรเหมือนกัน

      





                        หลายวันผ่านไป ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ทุกเช้ามอลโลว์ก็ปั่นจักรยานมาที่มหาวิทยาลัยซึ่งแน่นอนเขาจะเจอเซอรัสที่มารออยู่ก่อนแล้ว ปรกติแล้วนายโนเบิ้ล วูช จะเป็นคนมาส่งเซอรัสในตอนเช้าจากบ้านเนื่องจากเขาเริ่มที่จะมีความไม่ไว้ใจเล็กน้อยตั้งแต่ที่เซอรัสก้าวเข้ามาอยู่ที่นี่ มอลโลว์เคยไปที่บ้านของเซอรัสหลายครั้งจากคำเชื้อเชิญจากครอบครัวคริซพ์ ที่บ้านของเซอรัสค่อนข้างที่จะใหญ่โตอยู่สักหน่อย มีสนามบาสเกตบอลอยู่ข้างๆ ที่นั้นทุกคนจะต้อนรับเขาเป็นอย่างดีไม่เว้นน้องสาวของเซอรัส เฮนนี่ เธอเป็นคนที่ค่อนข้างเรียบร้อย ฉลาดเฉลียวซึ่งต่างจากพี่ชายของเธอ



                        วันนี้ในเวลาของอ.เบลแดมไม่มีการอภิปรายหน้าชั้นเหมือนเคย เธอได้สอนการวิเคราะห์รากศัพท์เบื้องต้นของภาษาต่างๆ มอลโลว์แทบจะจดทุกคำพูดที่หลุดมาจากปากของอาจารย์ ส่วนเซอรัสก็ดูสนใจเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะวันนี้ไม่มีการอภิปรายหน้าชั้นก็ได้

    เมื่อหมดชั่วโมงเรียนของอ.เบลแดม นิมฟ์ได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้ายุ่งๆและก็สั่งให้ทุกคนนั่งเข้าที่ เพื่อที่เธอจะได้ประกาศประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นงานประจำของเธออยู่แล้ว



                       “มีประกาศจากอ.วีฟวีเซียร์ว่าในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์ของทางคณะวิทยาศาสตร์…”



                      “โอ้ย ใครๆเขาก็รู้กันมาตั้งนานแล้ว เขาก็จัดกันอย่างนี้กันทุกๆปีนั้นแหละ”แพซี่ เพอแทนสวนขึ้นทันทีโดยที่นิมฟ์ยังพูดไม่ทันจบ



                      “นั้นก็ใช่ แต่ว่าในปีนี้จะมีผู้ทรงคุณวุฒิจากที่อื่นเข้ามาดูงานด้วย ดังนั้น…”



                      “ดังนั้นมันเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”คราวนี้เคอร์รี่ สแทร็งค์พูดส่วนขึ้นบ้าง – เขาใช้เสียงล้อเลียนเหมือนในภาพยนต์โฆษณา แต่ก็ทำให้หลายคนในห้องพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย ทำให้นิมฟ์เริ่มแสดงสีหน้าที่ไม่พอใจ



                      “ก็ไม่ถึงกับไม่เกี่ยวเลยสักทีเดียวหรอกเคอร์รี่ อย่างที่ฉันพูดไว้ ในปีนี้จะมีการแสดงละครทางวิทยาศาสตร์ด้วย งานนี้เป็นงานใหญ่มากและนั้นก็หมายความว่าจะไม่มีบุคคลที่เพียงพอจะจัดแสดงกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ได้เหมือนเคย” มาถึงตอนนี้หลายคนเริ่มทำหน้าแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย มอลโลว์คิดว่าหากเซอรัสอยู่ที่นี่ในขณะนี้เขาก็คงจะพูดแย้งเช่นเดียวกันกับสองคนที่แล้ว เธอร์นสัน มีโลล์โยกตัวมาถามมอลโลว์เบาๆว่า “แล้วเขาจะให้เราทำอะไรบ้างล่ะ” แต่นั้นก็คงเพียงพอที่ทำให้นิมฟ์ได้ยิน เธอจึงเอ่ยขึ้นว่า



                      “ในวันพรุ่งนี้จะมีการประกาศรายชื่อผู้ที่จะต้องจัดแสดงผลงานในนิทรรศการนั้น การคัดเลือกจะหาผู้ที่คุณสมบัติเหมาะสมที่จะสามารถช่วยเหลืองานนี้เช่นเดียวกับคณะอื่นๆ ผู้ที่ถูกคัดเลือกนั้นอาจจะมีหลายคนหรือไม่มีเลยก็ได้ซึ่งก็ยังไม่ทราบแน่ชัดดี ในปีนี้งานจะยิ่งใหญ่มาก คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงของพวกเราเท่าไรนะ…มีใครสงสัยอะไรอีกมั้ย”



                      ทั้งห้องนิ่งเงียบได้แต่มองหน้ากันไปมากันอย่างหวาดๆ ทุกคนทราบดีว่าไม่มีใครอยากรับงานนี้หรอก พวกปีหนึ่งอย่างพวกเขาแทบจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงในทุกๆอย่างไม่ว่าจะอะไร(ยกเว้นนิมฟ์)ซึ่งจริงๆแล้วพวกเขาไม่อยากยุ่งมากกว่า





                    

                        วันรุ่งขึ้นเซอรัสไม่ได้มารอมอลโลว์เหมือนเคย เขาสังเกตว่าที่มหาวิทยาลัยมีตำรวจและผู้คนมากมาย คนหลายคนกระซิบกระซาบกันอย่างวิตกกังวล



                      ที่คณะฯ มอลโลว์สังเกตเห็นคนมากหน้าหลายตาเดินขวักไขว่อยู่เต็มไปหมด เขาเห็นเซอรัสเดินอยู่ในพวกกลุ่มคนพวกนั้น



                      “เฮ้ เซอรัส อรุณสวัสดิ์ จะรีบไปไหนน่ะ” เซอรัสไม่พูดอะไร ได้แต่จับมือของมอลโลว์แล้วลากไปยังที่ลับตาคน



                      “นี้นายยังไม่รู้เรื่องอีกหรอ” เซอรัสถามขึ้น



                      “เรื่องอะไร”



                       “ก็เรื่องที่มีคนในมหาวิทยาลัยคนหนึ่งหายตัวไปไง ตั้งหลายวันแล้วยังไม่มีใครพบเลย”

          

                       “ใคร”



                       “อลิส”



                       “ว่าไงนะ ทำไมเราไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ”



                       “นายนี้ก็ ที่เรื่องนี้ล่ะไม่เห็นไวอย่างเรื่องอื่นบ้างเลย… คือว่า หลายวันมาแล้ว อลิสหายตัวไป ตอนนี้แม่ของเธอเขากำลังคุยอยู่กับคณะกรรมการ ฉันกำลังจะไปฟังข่าวอยู่ รู้มั้ยตอนนี้เป็นเรื่องคุยกันทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว นี่ฉันกำลังไปตามข่าวอยู่พอดี”

    มอลโลว์ทำสีหน้ามึนงงนิดๆ ตอนนี้เขานึกเห็นภาพอลิสจางๆ เธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ เรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์เอนเบอร์ชปีสามซึ่งทั้งมอลโลว์และเซอรัสรู้จักดี เธอเป็นเด็กเรียนดี ชอบถักผมเปีย ใส่แว่นกลมดำอย่างเด็กเรียน



                      “เขาว่าเธอหายไปที่นี่ล่ะ… เมื่อตอนพักเที่ยงวันที่เธอหายไป เพื่อนของเธอบอกว่าเธอจะไปเข้าห้องน้ำ แต่แล้วจู่ๆเธอก็หายไปเลย นั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่มีคนพบเห็นเธอ - มอลโลว์เธอคิดว่าไง”



                       “เธอหายไปประมาณกี่วันแล้ว”มอลโลว์ถามขึ้นหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง



                       “คงประมาณ 4-5 วันมั้ง”



                        มอลโลว์นึกย้อนไป 4-5 วัน พยายามว่าวันนั้นมีเหตุการณ์อะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ้าง แต่ก็นึกไม่ออก



                        “ฉันว่าเธอคงจะไม่แอบหนีออกไปแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นแล้วเธอหายไปไหน”



                       “ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน…รู้มั้ยเธอเป็นเด็กเรียนดีด้วยนะ ไม่มีทางที่จะทำตัวเหลวไหลแน่นอน แล้วที่นี่ตอนกลางวันคนเยอะอย่างกับอะไร ถ้าอย่างนั้นเธอหายไปได้ไงล่ะ”



                        มอลโลว์ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา



                        ทั้งคู่เดินตรงไปยังคณะของตน ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงกระซิบตลอดทางอย่างไม่ขาดสาย แต่พักหนึ่งทั้งคู่สังเกตเห็นมีผู้คนมากมายมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ พวกเขาจึงเดินตรงเข้าไปดู



                       “รายชื่อนักศึกษาผู้โชคร้ายที่ถูกคัดเลือก”เซอรัสพูดขึ้นเมื่อเขามองเห็นหัวข้อบนบอร์ด



                       “งานที่นิมฟ์ว่าเหรอ”มอลโลว์ถาม



                       “ก็ใช่นะสิ แต่ฉันว่าอย่าไปสนใจเลย ไปกันเถอะ”



                       “เดี๋ยว อย่าพึ่ง ฉันอยากดูว่าใครได้รับคัดเลือกในคณะเรา”มอลโลว์ว่าพลางเบียดตัวเข้าไปยังกระดานที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า สายตาก็ควานหารายชื่อคณะอักษรฯ



                       “นี้ไง เจอแล้ว”มอลโลว์ดึงเซอรัสเข้าไปดูใกล้ๆหลังจากชื่อหาเจอ



                       “มีผู้ได้รับเลือกจากคณะอักษรศาสตร์สองคน”มอลโลว์อ่านออกเสียงให้ฟังเบาๆ “ได้แก่…”



                        มอลโลว์หยุดอ่านไปชั่วขณะหลังจากเขาอ่านชื่อคนทั้งสองแล้ว ส่วนเซอรัสก็ถอดสีหน้าแปลกๆแล้วหันมาหามอลโลว์



                                  “…มอลโลว์ เลค แทธเชอร์    ปีหนึ่ง

                                      เซอรัส คริซฟ์        ปีหนึ่ง…”…









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×