ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    chequered ดินแดนแห่งเวทมนต์

    ลำดับตอนที่ #2 : ภาค1 พีโนเทรียม อรรถ1 เหตุการณ์ประหลาด บทที่1 กระจกเงา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 29
      0
      27 พ.ย. 46

        “ครืน” เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วยามราตรี หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังวิ่งอยู่กลางป่าใหญ่ในชุดเสื้อคลุมยาวสีเทาซอมซ่อ หมวกฮูดใบน้อยที่ติดอยู่กับเสื้อคลุมได้บดบังใบหน้าของเธอไว้ได้อย่างมิดชิด เธอวิ่งอย่างหวาดกลัว สายตาของเธอมองเห็นแต่เพียงความมืดและกิ่งไม้นับร้อยกิ่งที่โบกสะบัดตีราวกับทะเลาะกันอยู่ จนเธอไม่ได้สังเกตเห็นรากไม้แขนงยาวที่พื้นที่ทำให้เธอต้องสะดุดล้มลง เธอพยายามลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงอันน้อยนิดของเธอจู่ๆก็อัตรธานหายไปจนหมดสิ้น - - แต่เธอจะหยุดไม่ได้… เธอมองกลับไปที่ด้านหลัง เริ่มมีแสงไฟสีแดงเพลิงค่อยๆเข้าใกล้เธอมาทีละน้อย พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายก้องกระหึมดังไปทั่ว เธอจึงรวบรวมใช้แรงเฮือกสุดท้ายลุกขึ้น ก่อนที่จะพยายามทรงตัวและวิ่งต่อไป  เธอวิ่งผ่านต้นไม้น้อยใหญ่มากมายจนเธอมาถึงสุดเขตป่าที่ตัดอยู่กับทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล และที่นั้นเอง ได้มีสิ่งผิดปกติหนึ่งซ่อนอยู่ ที่แนวชายป่าและทุ่งหญ้า ถ้าหากสังเกตดีๆก็จะพบว่ามันถูกแบ่งแยกออกจากกันได้อย่างน่าประหลาด ประหนึ่งมีใครมาขีดเส้นแบ่งพรหมแดนกั้นเอาไว้ ไม่มีแม้แต่กิ่งไม้สักต้นหรือยอดหญ้าใดเลยที่ข้ามเขตซึ่งกันและกัน - - แต่ทว่า หญิงสาวนางนั้นไม่ได้สนใจมันเลย เธอวิ่งข้ามเขตแนวชายป่ากับทุ่งหญ้าอย่างรวดเร็วด้วยอารามดีใจสุดจะพรรณนา



    เธอหยุดวิ่งและกลับหลังมายืนอย่างสงบ สายตามองลึกเข้าไปในป่าเบื้องหน้า แสงจากคบเพลิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แต่ทว่าเสียงเอ็ดตะโรอันอื้ออึงนั้นจู่ๆก็หายเงียบไปนับตั้งแต่ที่เธอเหยียบเข้ามาในเขตทุ่งหญ้า แต่ว่าก็ยังคงไว้ซึ่งเสียงร้องครืนครานบนท้องฟ้าเบื้องบน - - แสงไฟนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเธอเริ่มมองเห็นผู้คนมากมายวิ่งมา และในที่สุด เธอก็เห็นผู้คนนับร้อยมาหยุดยืนอยู่ภายใต้เขตป่าโดยไม่มีใครก้าวล้ำข้ามเขตมาเลยแม้แต่คนเดียว



    ธอเห็นทุกคนพูด ร้อง และตะโกนหาเธอ แต่ทว่า เธอกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย สักพัก ก็มีชายคนหนึ่งในหมู่ผู้คนเหล่านั้นทำสัญญาณให้ทุกคนหยุดส่งเสียง จากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้า พร้อมกับพูดกับเธอ แต่เธอก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงอะไรอยู่ดี เธอไม่ได้ยินแม้แต่เสียงกิ่งไม้สีกันด้วยซ้ำ



    เธอรู้ตัวว่าตัวเองทำตัวเสียเวลา แต่เธอก็ยังคงยืนรับความวิงวอนที่ส่งผ่ายมาทางสายตานับร้อยคู่อยู่อย่างนั้น และแล้วน้ำตาเธอก็ไหลออกมา ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจบ่ายหน้าหนีและหันหลังวิ่งจากคนเหล่านั้นไป

        

    เธอวิ่งสลับเดินตัดทุ่งหญ้ามาได้ไม่ไกลเธอก็หยุดชะงักลง บัดนี้ เบื้องหน้าของเธอคือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านต้านแรงลมฝนอยู่อย่างโดดเดี่ยว มันเป็นกองหินที่ก่อตัวเป็นรูปฟรัสทัม  จากก้อนหินขนาดยักษ์ โดยก้อนหินทุกก้อนนั้นวางเรียงซ้อนกันได้อย่างสวยงามราวกับมีคนมาจับเรียงไว้ รอยต่อของก้อนหินทุกก้อนวางเรียบชิดติดแน่นกันอย่างน่าพิศวง หญิงสาวเช็ดน้ำตาและมองดูหินก้อนบนสุด มันเป็นหินสีดำทึบเช่นเดียวกับก้อนอื่นๆ แต่ว่ามันเป็นรูปกลมแบนเป็นแผ่นหนาเกือบหนึ่งฟุต มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ต่ำกว่าห้าหลาหรืออาจมากกว่านั้น มันวางตัวขนานกับพื้นโดยมีหินด้านล่างวางตัวเป็นผนังตั้งเอากั้นไว้ซึ่งมีความสูงกว่าสามหลา  - - เธอมองกองหินนั้นอย่างชื่นชม และเพียงไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เธอก็ปีนขึ้นมายืนอยู่บนยอดกองหินได้อย่างไม่ยากเย็น

        

    เธอใช้สายตาจ้องมองแผ่นหินนั้นทุกตารางฟุต แต่มันก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลยถึงแม้ว่าหินก้อนนี้พื้นผิวของมันจะดูราบเรียบกว่าหินก้อนอื่นๆก็ตาม แต่แล้วสายตาของเธอก็มาหยุดอยู่ในที่ที่หนึ่ง ที่กลางแผ่นหินยักษ์ มีช่องหินกลมตื้นขนาดเล็กปรากฏอยู่ ขนาดของมันใหญ่พอที่จะสามารถวางเหรียญเงินได้อย่างสบายๆ - - เธอมองช่องหินนั้นอย่างตื่นเต้น สักครู่ เธอก็รีบจัดแจงหาสิ่งของอย่างหนึ่งในเสื้อคลุมของเธออย่างรวดเร็ว และในที่สุดเธอก็หยิบเอาเหรียญหนึ่งออกมา มันเป็นเหรียญศิลาสีขาวนวล มีขนาดหนากว่าเหรียญปกติ ด้านหนึ่งสลักลายพระราชวังแนวยุโรปอย่างสวยงาม

        

    เสียงฟ้าร้องดังขึ้นอีกครั้ง มันดังกังวานกึกก้องไปทั่วจนทำให้เธอต้องสะดุ้งตกใจ เธอแหงนมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เมฆฝนก่อตัวแน่นและลอยต่ำลงมามาก แสงแวบวาบที่เกิดขึ้นจากฟ้าแลบส่องลงมาทั่วทุกบริเวณและทำให้ภาพหนึ่งที่อยู่ข้างในช่องหิน ปรากฏออกมาให้เธอเห็น - - ภาพนั้นเป็นลวดลายเช่นเดียวกันเหรียญของเธอ และในช่วงวินาทีนั้นเอง ที่เม็ดฝนนับล้านได้ตกลงมาโดนร่างของเธอ

    เม็ดฝนโปรยปรายลงมาอย่างหนักราวห่ากระสุน ร่างของเธอเปียกโชกไปทั้งตัว นิ้วมือเรียวยาวที่จับเหรียญไว้สั่นระริกไปมาด้วยความหนาว แต่แล้วในที่สุดเธอก็ค่อยๆวางเหรียญของเธอลงไปในช่องหินอย่างช้าๆ โดยหันเอาหน้าของพระราชวังของเหรียญและในช่องหินเข้าหากัน ซึ่งในขณะนั้นภายในช่องหินเต็มไปด้วยน้ำฝนเจิ่งนองไปทั่ว และเมื่อเธอปล่อยนิ้วมือของเธอ ก็...





    คงเป็นเพราะความหนาวที่สะท้านไปทั่วร่างกายที่ทำให้สายตาของเธอพร่ามัวและทำให้สติของเธอแทบจะไม่รับรู้สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เธอรู้แต่เพียงว่าอยู่ดีๆก็เกิดแสงสว่างจ้าสีฟ้าเต็มไปหมด เธอมีความรู้สึกว่าแสงนี้ไม่ได้เกิดมาจากเหรียญที่เธอใส่ลงไป แต่ก้อนหินที่เธอกำลังนั่งอยู่ต่างหากที่กำลังเปล่งแสงออกมา - - แต่ทว่า เธอกลับหมดสติล้มลงไปพร้อมๆกับการจางไปของแสงสีฟ้าเหล่านั้น





    ยังมีฝนตกลงมาอยู่ เพราะว่าเธอได้ยินเสียงฝนที่ตกโปรยปรายลงมา แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้สึกเลยว่ามีเม็ดฝนมาต้องตัวเธอ เธอเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ตื่นจากภวังค์ความรู้สึกจากการหมดสติและหันมองไปรอบๆ - - เธอไม่ได้นั่งอยู่บนยอดของกองหินอีกแล้ว รอบตัวของเธอกลับกลายเป็นผนังหิน - - ผนังหินที่เหมือนกับผนังกองหินที่เธอเห็นเลย ไม่สิ… มันคือผนังหินอันเดียวกับที่เธอเคยเห็น แต่บัดนี้เธอไม่ได้มองมันจากทางด้านนอก แต่เธอกับกำลังมองมันจากทางด้านใน!



    ก้อนหินที่เรียงตัวกันเป็นผนังวางเรียบชิดติดกันดีทุกก้อนอย่างสวยงามอย่างไม่มีที่ติ ไม่มีแม้น้ำสักหยดที่ไหลซึมผ่านเข้ามาเลย แต่สิ่งที่น่าแปลกใจไม่ได้มีแค่นั้น แผ่นหินที่อยู่ทางด้านบนเมื่อตอนที่อยู่ทางด้านนอกมองก็ดูเหมือนเป็นหินธรรมดา แต่เมื่อเธอมองขึ้นไปทางด้านบน แทนที่เธอจะพบกับเพดานหิน เธอกลับเห็นกระจกใสบานใหญ่ตั้งวางเป็นเพดานแทน เธอรู้ได้ทันทีว่ากระจกใสบานนั้นแท้จริงแล้วก็คือแผ่นหินก้อนเดิมที่แปรสภาพไป ที่เธอรู้ได้เพราะมันยังคงลักษณะเดิมเอาไว้ได้ทุกประการ มันยังคงเป็นแผ่นกลมที่หนาเป็นฟุตและมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าห้าหลา และแน่นอน เหรียญที่เธอวางเอาไว้ก็ยังคงปรากฏอยู่ที่เดิม แต่มันแปลกไปกว่าเดิม - - ลายเส้นพระราชวังของเหรียญและของช่องหินนั้นได้ทับกันสนิทเป็นลายเดียวกัน และมันก็ได้เปล่งแสงประกายสีฟ้าเจิดจรัสสวยงามออกมา โดยแสงสีฟ้าทั้งหลายนั้นได้เปล่งมาจากลวดลายพระราชวังที่เรืองแสงจนกลายเป็นสีฟ้าอมน้ำเงินมองดูคล้ายไส้หลอดไฟที่กำลังร้อนจัด และพร้อมกันนั้นก็เหมือนมีกากเพชรมากมายมาลอยล่อยสะท้อนแสงระยิบระยับแวววาวดุจอัญมณีสีน้ำเงินอยู่ภายใต้แสงเรืองเหล่านั้น



    คงเป็นเพราะบัดนี้เพดานได้เปรียบเหมือนเป็นกระจกใสไปแล้ว ทำให้แสงจากตราราชวังสามารถลอดผ่านเพดานแก้วส่องลงมาทางด้านล่างได้ และแสงได้ทอลอดตรงมาบริเวณกลางห้องซึ่งทางด้านล่างได้มีแท่งหินหนึ่งตั้งอยู่ มันเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูงประอกขนาดเล็ก ทั้งสี่ด้านของแท่งหินได้มีลายสลักตัวอักษรเรียงรายอยู่ และแต่ล่ะตัวอักษรก็อยู่ในช่องตารางจัตุรัสช่องละหนึ่งตัว แต่เธอก็อ่านพวกมันไม่ออก ทั้งๆที่เธอเองก็คุ้นเคยกับภาษานี้ดีก็ตาม



    กระจกเงาบานหนึ่งลอยต่ำๆอยู่เหนือแท่งหิน มันเป็นกระจกเงาบานเล็กๆขนาดเท่าตลับแป้งทาหน้า แต่ว่า ทางด้านหลังของมันถูกหุ้มด้วยไม้ที่ดูเก่าแก่ นอกจากนั้น ยังมีรอยสลักเหมือนกับเหรียญของเธออยู่บนเนื้อไม้ มันลอยสงบนิ่งขนานอยู่กับแท่งหิน โดยหันด้านที่เป็นกระจกขึ้นสะท้อนภาพสัญลักษณ์จากเหรียญให้เห็นโดยชัดเจน



    เธอหยิบมันขึ้นมาพินิจ ความกระด้างของเนื้อไม้เหมือนจะบอกว่าความเก่าแก่ของมันไม่สามารถประเมินค่าได้เลย เธอมองมันอย่างมีความหวัง เธอยิ้มอย่างมีความสุขเมื่อเธอได้แตะต้องและมองมัน ดูเหมือนความเหน็ดเหนื่อและความหนาวเย็นที่เธอเผชิญมาจะสูญสลายไปหมดแล้ว



    เม็ดฝนเริ่มน้อยลงทุกที เมฆฝนที่ไม่นานมานี้อัดแน่นและมืดครึ้มก็กลับหดหายเผยให้แสงแห่งดาราให้ส่องสว่างมายังพื้นดินเบื้องล่าง คงถึงแก่เวลาที่หญิงสาวคนนั้นจะออกมาจากกองหินแล้ว เธอยื่นมือของเธอมาสัมผัสกับเพดานโปรงใสเบาๆ แต่ทว่ามือของเธอหาได้สัมผัสกับกระจกหรือเนื้อหินแต่อย่างไร…มือของเธอกลับทะลุเข้าไปในเพดาน เหมือนกับว่าเพดานนั้นเป็นเยลลี่แข็งๆและพร้อมที่จะให้ทุกอย่างทะลุทะลวงได้ทุกเวลา - - เธอยื่นมือไปคว้ากับเหรียญของเธอไว้  และแล้ว ก็บังเกิดแสงสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง และเพียงช่วงไม่กี่วินาที เธอก็ออกมายืนอยู่เหนือกองหินเช่นเดิม



    หญิงสาวหยิบเหรียญที่ชุ่มไปด้วยน้ำขึ้นมาจากช่องหิน และเช็ดมันด้วยผ้าคลุม แต่ก็คงไม่มีประโยชน์เท่าไร เพราะผ้าคลุมของเธอก็เปียกโชกไปด้วยน้ำฝนไม่แพ้กัน - - เธอเก็บเหรียญและหยิบกระจกเงาบานนั้นขึ้นมาพร้อมกับหงายมันขึ้น ภาพที่สะท้อนออกมาคือภาพใบหน้าหมองๆของเธอและภาพดวงจันทร์วันเพ็ญที่ส่องแสงสว่างอยู่เบื้องบน เธอสังเกตเห็นว่า แสงนวลขาวของดวงจันทร์ที่ปรากฏอยู่บนแผ่นกระจกนั้นค่อยๆสว่างขึ้นทุกที…  ๆ จนกระทั่งเธอมองไม่เห็นสิ่งใดในกระจกเลยนอกจากแสงสีขาวนั้น เธอมองมันอย่างแปลกใจ  แต่แล้วพลันก็มีลมพัดมาอย่างแรงวนไปมารอบๆตัวของเธอ - - บัดนี้... แสงสีขาวในกระจกกลับกลายเป็นสีดำมืดสนิทดุจดั่งท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้ดาว



    “ฟิ้ว”



    เสียงลูกไฟสีดำขนาดเล็กพุ่งแทรกผ่านอากาศ ลูกไฟนี้พุ่งมาจากกระจกเงาบานนั้นสู่ท้องฟ้า แล้วแตกกระจายเป็นวงคลื่นเหมือนกับการปาก้อนหินลงไปในน้ำ จากนั้นสะเก็ดแสงลุกไฟนั้นก็หมุนวนและกลายเป็นแผ่นมิติกลมบางสีดำอยู่เหนือศีรษะของหญิงสาว เธอตกใจมากในขณะที่ลมก็พัดแรงขึ้นทุกทีจนทำให้เธอมีความรู้สึกเหมือนกับว่ามีแรงอันมหาศาลยกร่างของเธอขึ้นกลางอากาศ ร่างน้อยๆของเธอถูกดึงเข้าไปใกล้กับมันทุกที แต่ดูท่าเธอจะเหมือนไม่กลัวหรือตกใจเลยแม้แต่น้อย เธอแหงนหน้าขึ้นมองดูแผ่นมิติสีดำขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางกว่าสองเมตรนั้นด้วยสายตาอันไม่หวั่นเกรง  เพียงชั่วครู่ เธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงลมอันหนาวเย็นที่พัดมาปะทะใบหน้าของเธอ  และแล้ว เธอก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด







    ที่นี้ที่ไหนกัน...? ความมืด... ความเงียบ... เธอมองเห็นลูกไฟสีส้มหลายดวงลอยเรียงรายกันเต็มไปหมด ไม่มีอะไรเลย... ไม่มีใครเลย…

    หญิงสาวลืมตาและฟื้นสติ ขณะนี้เธอกำลังนอนอยู่บนพื้นอิฐสีส้มขาวที่ปูเป็นทางเดินยาวคดเคี้ยวไปมา รอบข้างก็มีต้นไม้มากมายข้างทางเดินสลับกับเสาไฟข้างทาง - - ที่แท้ลูกไฟที่เธอเห็นก็คือแสงจากเสาไฟพวกนี้นั้นเอง เธอลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงบนม้าหินเล็กข้างทางแล้วมองไปโดยรอบ คงเป็นเพราะความโชคดีของเธอเป็นแน่ที่ทำให้ในขณะนั้นไม่มีใครผ่านมาสักคน เพราะไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะแปลกใจไม่น้อยที่ได้เห็นหญิงคนหนึ่งในชุดคลุมสีเทาที่เปียกโชกไปทั้งตัวมาอยู่ที่สวนสาธารณะในคืนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งเช่นนี้ ทั้งดวงจันทร์และดาราก็เหมือนส่องแสงให้กำลังใจกับเธอ - - แต่หญิงสาวได้แต่นั่งมองกระจกเงาบานนั้นแล้วกระซิบกับมันเบาๆว่า



    “ขอบใจนะ”





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×