คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : DEVICE
ตอนที่ 2 DEVICE
“ยินดีต้อนรับสู่อวาล่อน ยานรบคลาสประจัญบานเอกแห่งเบอร์มิวเดีย ณัฐนัย ไม่สิ ต้องเรียกว่าเอส ทริกเกอร์สินะ” ผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ที่สูงที่สุดหันกลับมากล่าวต้อนรับ เธอเป็นผู้หญิงอายุมากกว่าเอสราวๆเจ็ดปี หากดูจากหน้าตา ผมยาวสีเขียวและดวงตาสีฟ้าแล้วล่ะก็ มั่นใจได้เลยว่าเธอไม่ใช่ไทยแท้แน่ๆ เพราะคงไม่มีใครมาคอสเพลย์อยู่บนยานรบแน่นอน
“อวาล่อน ตั้งชื่อได้ดีนะ” เอสตอบ “แต่มันจะดีเหรอที่เอาหน่วยปืนใหญ่เคลื่อนที่ไปเป็นตัวล่อเพื่อให้ผมขึ้นยานได้น่ะ”
“เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องคุ้ม” เสียงปริศนาดังขึ้นพร้อมกับภาพของชายคนหนึ่งบนมอนิเตอร์หลักของห้องบัญชาการ อายุของเขาดูแก่พอสมควรแต่ก็ยังไม่ถึงวัยเกษียณ สงครามโลกครั้งที่สามน่าจะเกิดตอนเขาอายุพอๆกับเอสในตอนนี้ โครงหน้าของเขาค่อนข้างออกไปทางคนเอเชีย ซึ่งก็น่าจะเป็นคนไทย “ภารกิจในการส่งอวาล่อนมาที่ไทยก็เพื่อมารับคุณเท่านั้น ทำได้ดีมาก ร้อยเอกซูเทีย” เขากล่าวชื่นชมผู้หญิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สูงสุด
“ท่าทางคุณจะเป็นผู้บัญชาการสินะ” เอสถามชายในมอนิเตอร์ แม้อายุจะต่างกันพอสมควร แต่เอสก็ไม่ได้แสดงท่าทีเกรงใจออกมาเลย
“คุณ…” ซูเทียทำท่าจะพูดตักเตือนเอส แต่ชายในมอนิเตอร์ยกมือห้ามเอาไว้
“จะขอเข้าประเด็นเลยนะ คุณเอส จะร่วมมือกับเรา กองทัพแห่งราชอาณาจักรเบอร์มิวเดียหรือไม่”
“ถ้าคำตอบคือไม่ล่ะ?” เอสถามกลับ ซึ่งคำตอบแบบนี้นับว่าธรรมดาเพราะเขายังไม่รู้จักคนพวกนี้ดีพอ สิ่งเดียวที่เขารู้คือคนพวกนี้เป็นศัตรูกับลาสแองเจิ้ล ผู้ก่อการร้ายซึ่งเป็นที่หมายตาของทั่วโลก ไม่สิ ต้องบอกว่าหลายๆประเทศทั่วโลกเป็นที่หมายตาของลาสแองเจิ้ลน่าจะถูกต้องกว่า
“นั่นไม่ใช่คำถาม” ชายคนนั้นตอบเสียงเข้ม เขาไม่มีความจำเป็นจะต้องสุภาพกับเด็กอายุไม่ถึงยี่สิบแถมพูดท้าทายเขา
“ผมก็ไม่ได้ถามคุณเหมือนกัน” เอสตอบเสียงเข้มกลับ แววตาของทั้งคู่ไม่เหมือนคนที่กำลังหยอกล้อกันอยู่แม้แต่น้อย
ชายในมอนิเตอร์หัวเราะเสียงดัง
“ชั้นเลือกคนไม่ผิดจริงๆ อย่างน้อยชั้นก็ดีใจที่หน่วยเดสตรอยเยอร์ไม่ตายเปล่า” เขาพูดขึ้นด้วยท่าทางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“คงจะรู้คำตอบแล้วใช่ไหม” เอสถามกลับ ด้วยความสามารถระดับศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา การที่มองอีกฝ่ายออกภายในประโยคเดียวคงเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
“สรุปว่าคุณไม่คิดจะเข้าร่วมกองทัพ แต่จะให้ความร่วมมือสินะ”
“พวกเรามีเป้าหมายเดียวกันก็จริง แต่ชั้นไม่ชอบอยู่ใต้อำนาจซักเท่าไรน่ะ” เอสตอบ “แถมทางคุณ ที่อุส่าห์มารับผมถึงที่คงไม่หวังให้ผมมาเป็นแค่ลูกมือหรอก จริงไหม?” น้ำเสียงของเอสยังคงไม่เหมือนเด็กพูดกับผู้ใหญ่เลยซักนิด ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะอีกฝ่ายไม่ได้ถือตัว และทางเอสก็ถือว่าตัวเองก็แก่พอๆกันหากนับแค่ความคิด
“ถ้าไม่ชอบให้ใครออกคำสั่งขนาดนั้น งั้นเอางี้ไหม ผมจะออกคำสั่งแต่งตั้งคุณเป็นผู้ปรึกษาการรบพิเศษ ซึ่งไม่อยู่ในชั้นของทหาร และอำนาจสั่งการเป็นรองแค่ผม ซึ่งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพราชอาณาจักร”
“น่าสนใจดีนี่” เอสตอบ “จริงๆผมก็ไม่ได้เกลียดการให้คนอื่นสั่งนักหรอกนะ แต่ผมชอบวิธีการของตัวเองมากกว่าน่ะ”
“งั้นตกลงตามนี้ เข้าใจแล้วนะ ซูเทีย” เขาหันมาสั่งซูเทีย กัปตันยานอวาล่อนที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเธอ ก่อนที่จะตัดสายไป
“ค่ะ” ซูเทียตอบรับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ บ่งบอกว่าเธอเพียงแค่ทำตามคำสั่งของผู้ที่สูงกว่า
ซูเทียหันมายื่นอุปกรณ์สีดำให้กับเอสหลังจากผู้บัญชาการตัดการสื่อสารแล้ว รูปร่างมันเป็นเหมือนโทรศัพท์มือถือระบบโฮโลแกรม ซึ่งมีราคาสูงในระดับที่คนธรรมดาไม่มีสิทธิใช้แน่นอน และแน่นอนว่าคนไม่ธรรมดาแบบเอสต้องเคยใช้อยู่แล้ว
“นี่เป็นอุปกรณ์สื่อสารของกองทัพ ขอให้พกติดตัวไว้ เวลาติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของกองทัพขอให้ใช้สิ่งนี้ในการติดต่อ เบอร์ที่สำคัญอยู่ในนี้หมดแล้ว” ซูเทียอธิบาย “โทรศัพท์เครื่องนี้จะปรับสัญญาณอัตโนมัติ เพราะฉะนั้นสามารถใช้งานได้ทั้งในยานและทุกประเทศ แต่จะสะดวกกว่านะถ้าเอาข้อมูลในนี้ไปโหลดลงดีไวซ์”
เอสรับโทรศัพท์มาแล้วเก็บมันไว้ในกระเป๋าของเสื้อคลุมสีขาวที่อยู่บริเวณเอว
“จากนี้ไปก็ขอฝากยานอวาล่อนด้วยนะ” เธอกล่าว
“หน้าที่กัปตันยาน ช่วยรับหน้าที่นี้ต่อไปด้วยนะครับ เพราะจากนี้ผมคงไม่ว่างมาสั่งการยานทั้งลำหรอก” เอสตอบ “ภารกิจต่อไปของอวาล่อนคืออะไรล่ะครับ… ร้อยเอก”
“ไม่ต้องเรียกยศก็ได้นะถ้าไม่ถนัด เพราะเธอก็ไม่ได้อยู่ในชั้นทหาร” ซูเทียบอกเมื่อได้ยินเอสเรียกเธอด้วยยศเหมือนทหารทั่วไป “ตามกำหนดการเดิม จะต้องนำเธอไปส่งที่เบอร์มิวเดีย ตอนแรกเราวางแผนจะให้คุณช่วยพัฒนาอาวุธเพื่อใช้ในการรบ แต่กลายเป็นว่าเธอกลายเป็นผู้ใช้ดีไวซ์ราสไปซะได้ ทางผู้บัญชาการเลยสั่งมาว่าให้เธอเลือกเอาว่าจะทำไงต่อ”
“งั้นเข้าเบอร์มิวเดียก่อนละกัน” เอสตอบ “ถ้าดีไวซ์เป็นกำลังรบหลักของสงครามนี้ จะให้ดีที่สุดก็คงต้องให้ผมทำหน้าที่ทั้งรบกับพัฒนาอาวุธไปด้วยแหละครับ”
“ไม่จำเป็นหรอก แค่พัฒนาอาวุธอย่างเดียวก็ได้ หน้าที่รบชั้นจัดการเอง” เซเวียร์พูดขึ้นทันที หน้าตาเธอเหมือนไม่พอใจอะไรบางอย่างอยู่ หรืออาจจะเป็นหน้าตาปกติของเธอแล้วก็ได้ เพราะในห้องเรียนเธอก็ทำหน้าแบบนี้ตลอดเวลา
“เธอคนเดียวเอาชนะลาสแองเจิ้ลไม่ได้หรอก” เอสแย้งด้วยความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ หากดูจำนวนที่สามารถยกพลไปบุกประเทศไหนก็ได้ตามใจชอบของลาสแองเจิ้ล ถ้าเบอร์มิวเดียจะต้านให้ไหวคงต้องใช้อวาล่อนซักสิบลำขึ้นไป
“คุณเป็นคนนอก แถมเดิมที ลาสแองเจิ้ลก็ถือกำเนิดขึ้นจากความผิดพลาดของพวกเรา เบอร์มิวเดีย เพราะฉะนั้นคุณช่วยพวกเราแค่เบื้องหลังก็พอแล้ว” เซเวียร์โต้กลับ “ชั้นจะไม่ให้คนนอกต้องมารับผิดชอบสิ่งที่พวกเราทำไว้หรอก”
“ชั้นจะออกไปสู้ด้วย นี่เป็นคำสั่ง” เอสพูดเสียงแข็ง เซเวียร์ที่นิ่งเงียบไปก็เดินออกจากห้องบัญชาการทันที
“ขอโทษด้วยนะเอส” ซูเทียกล่าวขอโทษเอสแทนเซเวียร์ที่เดินหนีไป “เซเวียร์เธอคิดว่าเธอจะต้องรับผิดชอบเรื่องลาสแองเจิ้ลน่ะ”
“พอจะเล่าได้ไหมครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เอสถาม เขามั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ถึงแม้เป็นชาวเบอร์มิวเดียก็อาจจะไม่รู้ก็ได้
ซูเทียหันหลังไปกดปุ่มสีแดง ทันใดนั้นก็มีกำแพงโผล่ขึ้นจากพื้นปิดทางเข้าออกบริเวณรอบๆเอสและซูเทียทั้งหมด
“เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นความลับ อย่าให้ใครได้ยินนะ” ซูเทียบอกกับเอส
เอสพยักหน้าให้ เป็นการตอบรับว่าจะปิดเป็นความลับ
“ช่วงตอนที่ทั้งโลกค้นพบดีไวซ์ ประเทศเบอร์มิวเดีย ซึ่งเป็นประเทศที่กษัตริย์มีบทบาทอย่างมากในฐานะผู้นำ ก็ได้ค้นพบดีไวซ์หลายเครื่อง จึงได้จัดตั้งหน่วยวิจัยขึ้นมา แต่ข้อมูลเกี่ยวกับดีไวซ์นั้ถือว่าเป็นความลับ ทั้งหน่วยวิจัยมีแค่เซเวียร์ ซึ่งเป็นเจ้าหญิงของเบอร์มิวเดียวเท่านั้นที่รู้ทั้งหมด” ซูเทียเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ “แต่เธอก็ได้ไว้ใจคนในศูนย์วิจัยที่ชื่อไกรเลิศมากเกินไป จนหลังจากที่เธอให้ข้อมูลเกี่ยวกับดีไวซ์กับเขาทั้งหมด ไกรเลิศก็แอบขโมยดีไวซ์และหนีออกนอกประเทศ จากนั้นลาสแองเจิ้ลก็ถือกำเนิดขึ้น” เธอเว้นช่วงไปพักหนึ่ง “เรามีหลักฐานเพียงพอว่าดีไวซ์ของลาสแองเจิ้ลเป็นดีไวซ์ที่ถูกขโมยไป ไม่แปลกหรอกที่เซเวียร์จะคิดว่าเธอเป็นต้นเหตุของสงคราม”
“ลาสแองเจิ้ลปรากฎตัวเมื่อสามปีที่แล้ว กว่าจะสร้างกองกำลังเสร็จ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาซักสองสามปี ตอนนั้นเซเวียร์อายุยังไม่ถึงสิบสามเลยไม่ใช่หรือไง ก็แค่เด็กโดนหลอกเท่านั้นเอง”
“แต่เธอไม่คิดอย่างนั้นน่ะสิ” ซูเทียพูดขึ้นมาทันทีหลังจากที่เอสพูดจบ “ในฐานะเจ้าหญิงของประเทศ เธอคิดแต่เพียงว่าเธอต้องสมบูรณ์แบบ เธอจึงยอมรับไม่ได้ที่ถูกหลอก ตอนแรกเธอจะออกไปสู้กับลาสแองเจิ้ลคนเดียวเลยล่ะ”
“เรื่องดีไวซ์ ผมอ่านข้อมูลจากราสมาหมดแล้ว ไกรเลิศคิดจะรวบรวมดีไวซ์แล้วทำให้โนอาห์เดินเครื่อง ทำให้เกิดการพิพากษาสินะ”
“ใช่” ซูเทียตอบ “เพื่อยับยั้งการพิพากษา เราต้องรวบรวมดีไวซ์ให้ครบ หรือค้นหาโนอาห์ให้เจอแล้วทำลายทิ้งเท่านั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาดีไวซ์ไปซ่อน เพราะมันจะส่งสัญญาณออกมาเมื่อถึงเวลา”
“แล้วเบอร์มิวเดียมีดีไวซ์กี่เครื่องล่ะ” เอสถามต่อ หากจะให้เขาช่วยในการรบ สิ่งแรกที่เขาจำเป็นต้องรู้คือจำนวนดีไวซ์ที่มีในครองครอง ซึ่งจะบ่งชี้ถึงกำลังรบ และความก้าวหน้าของสงคราม
“เจ็ดเครื่อง” ซูเทียตอบ “มีเบลดเดอร์ของเซเวียร์ ราสของเธอ คาสเตอร์ที่อยู่บนยานนี้ซึ่งยังไม่มีผู้ใช้ อีกสี่เครื่องอยู่ที่เบอร์มิวเดีย เป็นของเอซทีม ส่วนอีกห้าเครื่องคือบัสเตอร์ ชาโดว์ แอสซาซินเตอร์ การ์เดี้ยน และ ซินเนอร์ คือดีไวซ์ที่ถูกขโมยไป มีรายงานว่าสี่เครื่องแรกมีผู้ใช้แล้ว ถ้าหักดีไวซ์ที่ประเทศอื่นๆครอบครองจากทั้งหมดยี่สิบเครื่อง ลาสแองเจิ้ลน่าจะมีดีไวซ์อยู่เจ็ดเครื่อง รวมดีไวซ์ที่ยึดจากฝรั่งเศสไปด้วยนะ”
“ถ้าอย่างนั้น ลาสแองเจิ้ลก็ยังมีดีไวซ์อีกสองเครื่องที่เราไม่รู้จักสินะ”เอสพึมพัม
“เรื่องการค้นหาโนอาห์ ทางเบอร์มิวเดียก็ดำเนินการอยู่ แต่ความเป็นไปได้ที่จะพบก่อนลาสแองเจิ้ลค่อนข้างต่ำ ดังนั้นเราจึงมุ่งไปที่การครอบครองดีไวซ์ แต่เราก็ไม่สามารถไปยึดดีไวซ์จากประเทศอื่นๆได้เพราะเรามีที่ตั้งแน่ชัด ซึ่งหากโลกรู้การมีตัวตนของเบอร์มิวเดีย เราอาจโดนรุมจนแพ้สงครามไปก่อนก็ได้” ซูเทียอธิบาย “ไม่เหมือนลาสแองเจิ้ลที่เรายังไม่ทราบสถานที่ตั้งฐานทัพ ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้จึงเหลือแค่ยึดดีไวซ์จากผู้ใช้ดีไวซ์ของลาสแองเจิ้ล และตามหาผู้ใช้ดีไวซ์ของคาสเตอร์”
เสียงแจ้งเตือนเบาๆดังขึ้น มีเจ้าหน้าที่ติดต่อเข้ามา ซูเทียจึงกดปุ่มรับสาย
“ร้อยเอกครับ ไม่ทราบว่าเสร็จธุระหรือยังครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มถามผ่านทางมอนิเตอร์ที่ติดกำแพง
“อ้อ ชั้นเสร็จธุระแล้ว เรื่องอาวุธสินะ” ซูเทียตอบเจ้าหน้าที่หนุ่ม
“ครับ และเราก็ได้รับข่าวว่ามียานรบของลาสแองเจิ้ลจำนวนมากอยู่รอบๆเบอร์มิวเดียครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มคนนั้นรายงาน “จากการประเมินแล้ว กำลังรบเราไม่เพียงพอที่จะฝ่าเข้าไปในเบอร์มิวเดียได้”
“ขอข้อมูลเกี่ยวกับยานรบลาสแองเจิ้ลที่อยู่รอบๆเบอร์มิวเดียด้วย” เอสพูดขึ้น ทุกคนบนยานคงรู้เรื่องที่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ปรึกษาการรบพิเศษแล้ว เพราะฉะนั้นคำสั่งแค่ขอข้อมูลคงไม่เป็นปัญหาอะไร
“เป็นยานรบคลาสประจัญบานทั้งหมดยี่สิบลำครับ หากจะฝ่าเข้าเบอร์มิวเดีย คาดว่าจะต้องปะทะยานรบราวสามลำ ซึ่งอาจจะเจอยานรบที่น่าจะเป็นยานเอกของอีกฝ่ายด้วยครับ”
“ถ้าเป็นไปได้เราควรจะเลี่ยงปะทะกับยานนั้นสินะ ถ้าเจอดีไวซ์ไมส์เตอร์จะยิ่งยากเข้าไปใหญ่” ซูเทียพึมพำ
“เคยปะทะรึยังล่ะ ยานลำนั้นน่ะ?” เอสถาม
“ตอนที่ออกจากเบอร์มิวเดียมาไทย กว่ายานลำนั้นจะตามมาถึง เราก็หนีออกมาได้แล้วครับ เลยเห็นแค่ว่ายานลำนั้นส่งดีไวซ์ไมส์เตอร์มาสองคน กับวอร์สูทแมสอีกจำนวนมาก”เจ้าหน้าที่หนุ่มตอบ
“ถ้าเอซทีมมากับเราด้วย อาจจะพอสู้ได้บ้างอยู่ครับ” เจ้าหน้าที่หนุ่มเสริมด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
“ถ้าไม่เคยปะทะกันมาก่อน เราก็น่าจะลองปะทะดูเพื่อเก็บข้อมูลนะ” เอสเสนอ
“ไม่ไหวหรอกครับ ตอนนี้เจอยานรบทั่วไปซักสองสามลำก็เต็มเอียนแล้ว ไหนจะเสียเดสตรอยเยอร์ทีมไปอีก ขืนเจอยานลำนั้น เราคงโดนจมแน่ๆ”
“เอส คิดว่าไหวมั้ย” ซูเทียหันมาถามเอส
“กัปตัน!”
ซูเทียนิ่งเงียบ รอคำตอบ
“ถ้าอีกฝ่ายมีดีไวซ์ไมส์เตอร์แค่สองคน อาจจะพอสู้ไหว ชาโดว์กับแอสซาซิเนเตอร์ที่เราปะทะด้วยก่อนขึ้นยานคงตามมาไม่ทัน ภารกิจหลักของเราคือนำยานเข้าไปในเบอร์มิวเดียให้ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในสภาพสมบูรณ์ ขอแค่เข้าไปได้ก็ยังมีเวลาซ่อมยานก่อนจะเริ่มภารกิจต่อไปตั้งเยอะ ถ้าเราไม่ประทะเพื่อเก็บข้อมูล ครั้งหน้าที่เจอเราจะเสียเปรียบ” เอสเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ให้ฟัง “ปัญหาคืออีกฝ่ายจะมีวอร์สูทกี่เครื่อง”
“เฉลี่ยแล้วยานละราวยี่สิบเครื่องครับ เพราะยานของอีกฝ่ายเป็นยานขนาดเล็ก แต่ยานเอกของลาสแองเจิ้ลที่คิดจะปะทะ คาดว่าจะมีวอร์สูทราวๆสามสิบเครื่องได้ ส่วนทางเรามีอยู่ยี่สิบเครื่อง แต่ประสิทธิภาพต่ำกว่าของลาสแองเจิ้ลหมดเลยครับ อย่างเก่งก็เทียบเท่ารุ่น 34C หนุมาน ของทางไทย”
“วิธีการเข้าเบอร์มิวเดียนี่ต้องทำไงบ้าง?” เอสถามซูเทีย
ซูเทียเปิดแผนที่บนมอนิเตอร์ด้านหน้าเธอให้ดู แล้วชี้ไปที่วงสีน้ำเงินซึ่งอยู่กลางบริเวณที่ถูกเรียกว่าสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
“นี่คือขนาดของโดมเบอร์มิวเดีย และวงสีแดงคือระยะสูงสุดที่ป้อมประการในเบอร์มิวเดียสามารถยิงสนับสนุนได้ บริเวณวงเขียวเป็นบริเวณที่แนะนำให้เริ่มนำอวาล่อนลงน้ำ เพราะหากดำน้ำไปจะทำให้ล่าช้าและยานรบลาสแองเจิ้ลจำนวนมากจะมาสมทบได้ เราควรดำน้ำบริเวณที่ใกล้วงแดงมากที่สุดเพราะจะทำให้ป้อมปราการสามารถยิงสนับสนุนได้ และบริเวณวงสีชมพูเป็นบริเวณที่คาดว่าลาสแองเจิ้ลจะตรวจจับยานของเราได้” ซูเทียอธิบาย
“คาดว่าลาสแองเจิ้ลคงจะรู้แล้วว่าเราจะกลับเข้าเบอร์มิวเดีย ถ้าอย่างนั้น อีกฝ่ายก็น่าจะให้ยานเอกมาดักทางเราพอดี แต่น่าจะวางยานรบอื่นๆแบบกระจายตัว ตอนนี้เรามีสองทางเลือกคืออ้อมเลี่ยงการรบกับยานเอก หรือเร่งเครื่องแล้วฝ่ากองยานที่มียานเอกของลาสแองเจิ้ลไป” เอสเริ่มประเมินสถานการณ์ “ช่วยคำนวนด้วยว่าใช้เวลาประมาณกี่นาทีหากเร่งเครื่องเต็มกำลัง”
“ขอเวลาซักครู่ครับ…”เจ้าหน้าที่หนุ่มตอบ “หากมุ่งหน้าเข้าเบอร์มิวเดียโดยตรงจะใช้เวลาราวๆสามสิบนาทีถึงจะเข้าบริเวณที่ศัตรูจะตรวจจับได้ครับ”
เอสหันไปหาซูเทีย เธอพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็กดปุ่มดึงกำแพงลง
“ผมจะไปตั้งค่าราสก่อนนะครับ เรื่องการพัฒนาวอร์สูทคาดว่าไม่ทัน คงต้องสู้ทั้งอย่างนี้” เอสบอกซูเทียขณะรีบเดินออกจากห้องบัญชาการ
“สภาพพร้อมรบในอีกสามสิบนาที อวาล่อนมุ่งหน้าสู่เบอร์มิวเดียเต็มกำลัง” ซูเทียออกคำสั่ง
“เรเชีย ประจำการพร้อมรบค่ะ” โอเปอเรเตอร์สาวผมสั้นสีดำตอบรับ
“แมรี่ พร้อมรบเช่นกันค่ะ”
“อัลพาร์โต้ พร้อมดริฟท์” ชายหนุ่มผู้ประจำแท่นบังคับยานตอบ
“เขาสั่งให้เร่งเครื่อง ไม่ใช่ดริฟท์” เรเชียดุทันที น้ำเสียงของเธอค่อนข้างจริงจัง
“เอาน่า เครียดไปก็เท่านั้น” อัลพาร์โต้ตอบท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ทางด้านเอส เขาหยิบมือถือที่ซูเทียให้มาเปิดดูแผนที่ยานจนพบห้องของเซเวียร์ ซึ่งดูแล้วใหญ่เอาการ เพราะมันถูกแบ่งออกเป็นสามห้องใหญ่ๆ
เอสเดินมาถึงหน้าทางเข้าห้องเซเวียร์ เขาเห็นเครื่องแสกนลายนิ้วมือติดอยู่ จึงลองใช้นิ้วโป้งขวาแนบลงไป
ตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนว่า ES TRIGGER โผล่ขึ้นมา ก่อนที่ประตูเลื่อนจะถูกเปิดออก เอสเดินเข้าไปแล้วพบว่าข้างในเป็นเพียงทางเดินที่มีประตูอีกสามประตู ทันใดนั้นเซเวียร์ก็เดินออกมาจากห้องแรก
“ห้องของนายอยู่นั่น” เซเวียร์บอกแล้วใช้นิ้วโป้งแตะที่แสกนลายนิ้วมือของประตูที่สองแล้วเดินเข้าไปโดยไม่สนใจเอสแม้แต่น้อย คนปกติคงคิดได้แค่ว่าเธอโกรธเอส ไม่ก็แค่ทำตัวเงียบๆธรรมดาเหมือนในห้องเรียน
เอสเดินตามเซเวียร์เข้าไป แล้วพบว่าสาเหตุที่ห้องที่สองมีขนาดใหญ่กว่าอีกสองห้องเพราะเป็นห้องวิจัย มีอุปกรณ์พร้อมไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ พื้นที่กว้างๆ ตู้เย็นก็มีพร้อมเสร็จสรรพ เรียกว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ในนี้ได้เป็นวันเลยทีเดียว แต่กลางห้องกลับมีเครื่องที่เอสไม่รู้ว่ามันคืออะไรอยู่
“เครื่องนั้นสามารถยิงเลเซอร์สำหรับส่งข้อมูลให้ดีไวซ์ได้ การใส่ข้อมูลเข้าดีไวซ์จะต้องใช้แสงเลเซอร์ความถี่จำเพาะ ส่วนข้อมูลขาออกของดีไวซ์จะใช้รีซีฟเวอร์ในการรับคลื่นไฟฟ้ากลับมา” เซเวียร์อธิบายเมื่อเห็นเอสจ้องไปที่เครื่องนั้น
เอสติดตั้งราสลงไปบนเครื่องยิงเลเซอร์และลองใช้งานทันที เมื่อเลเซอร์เริ่มทำงาน บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ก็มีตัวอักษรโผล่ขึ้นมาเรื่อยๆ ซึ่งดูแล้วน่าจะเป็นภาษาคอมพิวเตอร์ แต่ไม่ใช่ภาษาที่ใช้ในปัจจุบัน แม้จะเป็นตัวภาษาอังกฤษ แต่ก็ยังอ่านไม่รู้เรื่องอยู่ดี
“เซเวียร์ เธอเข้าใจภาษาพวกนี้ไหม” เอสหันไปถามเซเวียร์ทันที ถึงแม้จะรู้คำตอบแล้วก็ตาม
“ไม่ เพราะดีไวซ์แต่ละเครื่องใช้ภาษาต่างกัน และหากดีไวซ์ยังไม่มีผู้ใช้จะไม่สามารถเชื่อมต่อได้ ดังนั้นจึงยังไม่มีใครเคยเห็นภาษาของราส” เธอตอบ
“พอจะเข้าใจพื้นฐานบ้างเล็กน้อยละ ขอเวลาซักยี่สิบนาทีในการเซ็ทราส หลังจากนั้นเดี๋ยวจะเซ็ทเบลดเดอร์ให้” เอสบอกเซเวียร์
“ขอบคุณ แต่เบลดเดอร์ก็เซ็ทไว้พอใช้งานได้แล้ว และภาษาของดีไวซ์ไม่ได้เข้าใจง่ายขนาดนั้นหรอก” เซเวียร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ อาจเป็นเพราะเธอไม่เห็นด้วยกับการที่เบอร์มิวเดียลากผู้ไม่เกี่ยวข้องอย่างเอสมาร่วมรบกับลาสแองเจิ้ล
“เดี๋ยวก็รู้” เอสหัวเราะเบาๆ แล้วเริ่มพิมพ์ข้อมูลลงไปในเครื่อง
เซเวียร์ถอดชุดคลุมแล้วนำไปแขวน เหลือไว้เพียงแต่ชุดยืดทั้งตัวสีน้ำเงินเข้ม แล้วเดินเข้าไปในห้องอีกห้องซึ่งมีกระจกให้เอสมองเห็นได้ จากนั้นก็หยิบเบลดเดอร์ขึ้นมาเซ็ทอัพ
ละอองสีขาวพุ่งออกมาจากเบลดเดอร์ ค่อยๆรวมตัวเป็นก้อนและกลายเป็นรูปดาบสีทอง ละอองที่เหลือค่อยๆเกาะตามร่างของเซเวียร์แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นชุดสำหรับต่อสู้ ซึ่งเป็นเพียงชุดผ้าสีขาวและเหลืองทอง จากนั้นละอองสีขาวที่เหลือก็มาเกาะที่หลังของเธอและรวมกลายเป็นปีกเหล็กสีทองขนาดใหญ่แล้วหุบลงเพื่อไม่ให้กินพื้นที่
เธอเปลี่ยนดาบยักษ์ใหญ่ให้กลายเป็นดาบคู่ แล้วเริ่มฝึกระบำดาบ ฝีมือการใช้ดาบของเธอจัดได้ว่าสูงมาก เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเธอก็ฟันอากาศไปได้หลายครั้ง ต่อมาเธอก็รวมดาบทั้งคู่เป็นดาบคล้ายคาตานะของญี่ปุ่นแล้วพุ่งไปฟันอากาศข้างหน้า
เอสหมุนเก้าอี้เพื่อมาดูเซเวียร์ฝึกซ้อม พลางคีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ไปเรื่อยๆ ด้วยความสามารถของเอส การวิเคราะห์ภาษาคอมพิวเตอร์ขณะทำอย่างอื่นไปด้วยไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด
“ดูเหมือนว่าจะแอคเซสข้อมูลขั้นที่สองได้แล้วนะ” เอสพูดขึ้น คำพูดของเขาทำให้เซเวียร์ชะงักไปชั่วครู่ เธอยกเลิกการเซ็ทอัพแล้วเดินออกจากห้องพลางเร่งฝีเท้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว
“เป็นไปไม่ได้” เธอพึมพัมเบาๆ แล้วเดินมาข้างหลังเพื่อจ้องเอสพยายามแอคเซสดาต้า
เอสไม่สนใจเธอ เขายังคงคีย์ข้อมูลต่อไป จนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบห้านาที ก่อนเวลาที่เขากำหนดไว้ถึงห้านาที
“เลเวลทรี แอคเซส” เอสพูดขึ้นพร้อมกับตัวอักษรโผล่ขึ้นกลางหน้าจอ ทำเอาเซเวียร์ที่มักจะนิ่งตลอดเวลาตกใจพอสมควร ดีไวซ์ที่แอคเซสง่ายที่สุด ยังใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจะแอคเซสขั้นสองได้ และยังไม่มีเครื่องไหนเข้าถึงระดับสามได้มาก่อน
“Over Power Drive เพิ่มพลังกาย 50% งั้นเหรอ” เอสพึมพัม “ก็คงมีแรงพอๆกับพวกนักกล้ามสินะ คงฝืนร่างกายน่าดู”
เอสแบมือมาทางเซเวียร์ที่กำลังทำหน้างง ถึงแม้หน้างงของเธอจะเหมือนหน้าตอนปกติมากก็ตาม แต่เอสก็มองออกได้สบายๆ
“เอามาสิ เวลาเหลือไม่พอแอคเซสระดับสี่อยู่แล้ว” เอสบอก “จะปลดระดับสามให้”
เซเวียร์คลายคำสั่งเซ็ทอัพโดยไม่ต้องพูดอะไร เพราะเบลดเดอร์คลายให้เอง จากนั้นก็หยิบดีไวซ์กลางอกมาใส่มือเอส
เอสใส่ดีไวซ์เข้าไปในเครื่องยิงเลเซอร์แทนที่ราสแล้วทำการแอคเซสทันที โดยมีเซเวียร์คอยมองอยู่ห่างๆ ซึ่งคราวนี้ใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีก็สามารถเข้าถึงข้อมูลระดับสามได้แล้ว
“รู้สึกว่าจะได้คอมมานด์เดียวกันด้วยนะ” เอสบอกเซเวียร์ขณะเลื่อนไปอ่านข้อมูล และเขาก็พบว่าคอมมานด์เพิ่มพลัง ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ได้จากการแอคเซสข้อมูลระดับสามของเบลดเดอร์
“Synchronize Boost?” เซเวียร์พึมพัม “จูนค่าซิงโครระหว่างผู้ใช้และดีไวซ์?”
“ตามนั้นแหละ” เอสหันมาตอบ “รู้สึกจะทำให้ค่าซิงโครขั้นต่ำอยู่ที่ 50% นะ เพราะงั้น ถ้าให้เบลดเดอร์คุมปีกก็คงจะไม่มีปัญหาสินะ”
“ปีก?” เซเวียร์ถามกลับอย่างงุนงง
“ก็ไม่ถนัดใช้ฟุททรัสเตอร์ไม่ใช่เหรอ คงไม่คิดว่าศัตรูจะยอมสู้บนพื้นดินตลอดเวลาหรอกนะ” เอสตอบเซเวียร์ ซึ่งทำให้เธอยิ่งสับสนขึ้นไปอีก เพราะเธอไม่เคยบอกหรือใช้ฟุททรัสเตอร์ให้เอสเห็นเลย
“เดี๋ยวสิ รู้…”
แต่เอสไม่ฟัง เขาจ้องไปที่หน้าจอและพิมพ์ข้อมูลลงไปอย่างรวดเร็ว หน้าจอคอมพิวเตอร์แสดงตัวอักษรต่างๆมามากมาย ซึ่งเซเวียร์ไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
“เดี๋ยวสิ นั่นมัน…”
“เสร็จแล้ว” เอสหันมาบอกเซเวียร์พร้อมคืนเบลดเดอร์ให้
“เซ็ทอัพ”
ละอองสีขาวพวยพุ่งออกมาจากดีไวซ์ของเซเวียร์ มันแผ่กระจายไปรอบตัวเธอและรวมกลายเป็นชุดแบบใหม่ ซึ่งเป็นเสื้อและกระโปรงสั้นเล็กๆสีขาวขอบฟ้า ตัดกับสีของชุดยืดที่เป็นสีน้ำเงินเข้ม จากนั้นที่มือขวาของเธอก็ปรากฎดาบใหญ่สีทองขึ้นมา แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุดคือ ละอองสีขาวที่เหลือไปรวมที่แผ่นหลังของเธอและกางออกเป็นปีกใสสีฟ้าอ่อน
“ปีก?”
“เซ็ทให้เบลดเดอร์เป็นคนคุมแล้ว ด้วยซิงโครไนซ์บูสทำให้ค่าซิงโครไม่ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ คงไม่มีปัญหาหรอก” เอสอธิบาย “สู้ได้เต็มที่ ไม่ต้องมาเหนื่อยกับการใช้ฟุททรัสเตอร์”
เซเวียร์ก้าวขาซ้ายมาข้างหน้าและเตรียมถีบพื้นด้วยขาขวา แต่เอสรีบห้ามทันที
“ไว้ไปเทสข้างนอกก็ได้” เอสบอกเซเวียร์ขณะดูข้อความบนเครื่องสื่อสารของเบอร์มิวเดีย
ไฟสีแดงที่ติดอยู่ทั่วทั้งห้องสว่างจ้า และเสียงเตือนดังไปทั่วจนหนวกหู
“สภาพพร้อมรบระดับหนึ่งค่ะ ขอย้ำ สภาพพร้อมรบระดับหนึ่ง คอนดิชั่นเร้ด ขอให้ร้อยโทเซเวียร์และคุณเอสทริกเกอร์มาที่สะพานยาน” เสียงแมรี่ประกาศทั่วทั้งยาน
“ได้เวลาแล้วล่ะ” เอสบอกพลางลุกขึ้นเดินนำออกไปโดยมีเซเวียร์ที่เดินตามหลังจากคลายเซ็ทอัพ
ประตูห้องสะพานยานถูกเปิดออก เอสเดินเข้ามาพร้อมกับเซเวียร์ที่ตามมาติดๆ
“…ลำ ค่ะ” เสียงแมรี่รายงานกับซูเทีย
“เกิดเรื่องแล้วล่ะ เอส” ซูเทียบอกเขาหลังจากที่ประตูสะพานยาน “แผนที่วางไว้คือจะรบกับลาไอน์แค่ลำเดียว แต่ท่าทางอีกฝ่ายจะรู้ตัวก่อน ตอนนี้เราโดนรุมแล้วล่ะ”
“หากบินตรงไปเรื่อยๆ เราจะปะทะกับลาไอน์ก่อนครับ และก่อนจะถึงจุดที่ควรดำลงน้ำราวๆห้านาที คาดว่าจะเป็นเวลาที่ยานรบของลาสแองเจิ้ลจำนวนไม่ต่ำกว่าสี่ลำจะบินมาถึงครับ หากไม่รีบล่ะก็ เราอาจจะโดนยานรบรุมถึงแปดลำได้ครับ”
“เดสตรอย์เยอร์ทีมก็ไม่มี ตอนนี้เหลือแค่ฝูงบินโพรเทคเตอร์ ที่มีวอร์สูทแค่ยี่สิบเครื่องกับพวกเธอสองคนเท่านั้น อาจจะรับมือกับยานรบสี่ลำไม่ไหวก็ได้” ซูเทียบอกเอส
จู่ๆ บนมอนิเตอร์ก็มีคนติดต่อเข้ามา เขาเป็นผู้ชายวัยราวๆ 30 ซึ่งอยู่ในชุดเกราะเหล็กแต่ยังไม่ใส่เกราะหัว
“ผม ร้อยตรีเอ็นโด กัปตันฝูงบินโพรเทคเตอร์ รับทราบสถานการณ์แล้ว” เขารายงานกับซูเทียในท่าวันทยาหัต “ร้อยเอก กระผมเห็นว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของเราคือการนำอวาล่อนเข้าไปในเบอร์มิวเดียให้ได้ ดังนั้น…”
“ไม่ได้ ฝูงบินของคุณไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมรบ” ซูเทียตอบ “ออกไปก็ตายเปล่า”
“แต่ว่า…”
“รายงานสถานะของฝูงบินคุณอย่างละเอียดมาหน่อย” เอสถามร้อยตรีเอ็นโด
“วอร์สูทสภาพพร้อมรบ ห้าเครื่อง ฟุททรัสเตอร์แรงขับไม่ถึงครึ่งอยู่สามเครื่อง เกราะพลังงานเสียหายจนอัตราทดเพิ่มขึ้นสามเท่าอีกห้าเครื่อง กรงแสงเสียหายอีกสองเครื่องครับ” เอ็นโดตอบ “อีกห้าเครื่องฟุททรัสเตอร์เสียหายจนใช้งานไม่ได้ครับ”
“ฝีมือพวกเขาล่ะ?” เอสหันมาถามซูเทีย
“พอๆกับทหารที่ใช้ 34A นั่นแหละ… แต่ว่า”
“ร้อยเอก!”
“อนุญาตให้ออกได้” เอสพูดขึ้น “เพียงแต่ ห้าเครื่องแรก ให้ออกหลังจากที่กำลังเสริมของอีกฝ่ายมาถึง และที่เหลือให้ออกก่อนถึงจุดดำน้ำไม่เกินสามนาที นำสลิงไปด้วย ให้กลับมาที่ยานก่อนดำน้ำไม่ต่ำกว่าสามสิบวินาที และหากวอร์สูทผิดปกติให้กลับมาทันที เข้าใจนะ” เอสสั่ง
“ครับ” ร้อยตรีเอ็นโดตอบรับแล้วปิดการสื่อสารไป
“เอาจริงเหรอเอส” ซูเทียหันมาถาม
“ถ้าจะเอาอวาล่อนฝ่ายานรบห้าลำ แค่ผมกับเซเวียร์เอาไม่อยู่หรอกครับ” เอสตอบ
“อีกสามนาทีจะปะทะกับลาไอน์แล้วค่ะ” แมรี่รายงาน
“ร้อยโทเซเวียร์ พาเอสไปประจำการที่แท่นส่งออกที” ซูเทียออกคำสั่ง
“ค่ะ” เซเวียร์ตอบรับ จากนั้นเธอก็เดินนำเอสออกจากห้องสะพานยาน
ทันทีที่ออกจากห้องสะพานยาน เธอก็เลี้ยวซ้ายและเดินลงบันไดเลื่อนที่วนประมาณห้ารอบจนถึงชั้นล่างสุด เธอเดินไปจนถึงหน้าประตูที่เขียนว่า “CATAPULT” แล้วพาเอสเดินเข้าไป
ประตูเป็นประตูสองชั้น เมื่อชั้นแรกปิดแล้ว ประตูชั้นที่สองจึงจะเปิด ข้างในห้องมีที่นั่งพร้อมเข็มขัดรัดอยู่ และที่กลางห้องเป็นรูสี่เหลี่ยมขนาดพอที่จะให้คนกระโดดลงไปได้พอดี
ณ สะพานยาน
“อีกหนึ่งนาทีจะปะทะกับลาไอน์ค่ะ” แมรี่รายงาน
“แจ้งให้เอสกับร้อยโทเซเวียร์ให้เตรียมออกด้วย รวมทั้งออกคำสั่งเตรียมพร้อมอาวุธทั้งหมด”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ยานลาไอน์ไม่ลดความเร็วลงเลย แล้วยังบินตรงมาหาเราอีกด้วย” เรเชียแย้ง “ดูแปลก…”
“หรือว่า… ” ซูเทียพึมพัมกับตัวเองก่อนที่จะตะโกนออกมา “แย่แล้ว แจ้งเอสกับร้อยโทเซเวียร์ให้นั่งรัดเข็มขัดไว้”
“มีอะไรเหรอครับร้อยเอก” อัลพาร์โต้ ซึ่งเป็นคนขับยานหันมาถามหลังจากเห็นอาการตกใจของซูเทีย
“ลาไอน์คิดจะพุ่งชนตรงๆ นี่สิ คิดจะแลกกับยานเรา” ซูเทียบอก
“แล้วเอาไงดีครับ เปลี่ยนเส้นทางการบินไหม”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวกองหนุนพวกมันจะมาทัน” ซูเทียตอบ “ทั้งยานเราและยานลาไอน์มีสองสิ่งที่เหมือนกันคือไม่มีทรัสเตอร์บน”
“จะใช้วิธีนั้นสินะครับ”
“ปืนหลักประจำยาน Terminator ประจำการ” ซูเทียสั่ง “เตรียมทรัสเตอร์กลับยานทั้งสองฝั่ง”
“รับทราบ!” อัลพาร์โต้ แมรี่ และเรเชีย ตอบรับพร้อมกัน
ประตูยักษ์ที่อยู่ใต้ห้องสะพานยานเปิดออก จากนั้นลำกล้องปืนใหญ่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางสองเมตรก็ยื่นออกมา
ลาไอน์ยังคงบินเข้ามาหาอวาล่อนตรงๆ และระดมยิงมิซไซล์กับปืนใหญ่เข้ามา แต่อวาล่อนก็ใช้ปืนต่อต้านอากาศยิงทำลายมิซไซล์ได้ ถึงจะโดนกระสุนปืนใหญ่บ้างก็ตาม แต่อวาล่อนก็ไม่โจมตีกลับตราบเท่าที่ยังไม่อยู่ในระยะหวังผลเพราะต้องเก็บกระสุนไว้ใช้ยามกำลังเสริมอีกฝ่ายมาถึง
หลังจากที่ลาไอน์เข้ามาในระยะหวังผลของปืนหลักประจำยาน อวาล่อนก็ระดมยิงปืนใหญ่ทุกกระบอกบนยานยกเว้นเทอร์มิเนเตอร์
“เข้าระยะหวังผลของเทอร์มิเนเตอร์แล้วค่ะ ล็อกเป้าเรียบร้อย” เรเชียรายงาน
“พบพลังงานมหาศาลที่ยานรบของศัตรูค่ะ… ทางนั้นก็กำลังจะยิงปืนหลักเช่นกันค่ะ” แมรี่รายงานสถานะเช่นกัน
“ชาร์จพลังงานไว้ หมุนยานตามเข็มนาฬิกาหลบแล้วยิงเทอร์มิเนเตอร์ จากนั้นหมุนยานทวนเข็มนาฬิกาแล้วพุ่งหลบ” ซูเทียออกคำสั่ง
“รับทราบ” อัลพาร์โต้และเรเชียตอบรับ
ลาไอน์ยังไม่เปลี่ยนทิศทาง เป้าหมายของเธอยังคงเป็นอวาล่อน แต่ที่น่าแปลกใจที่สุดคือลาไอน์ยังคงไม่ยิงปืนหลักทั้งๆที่อวาล่อนอยู่ในระยะหวังผลแล้ว แต่อวาล่อนก็จะยิงเทอร์มิเนเตอร์ยังไม่ได้เพราะขณะยิงจะทำให้กำลังขับของยานลดลงและอาจโดนสวนกลับได้
เมื่อยานทั้งสองลำใกล้กันมากๆ ลาไอน์จึงตัดสินใจยิงปืนหลักออกไป ซึ่งอัลพาโต้ก็พาอวาล่อนหลบโดยการหมุนตามเข็มได้อย่างเฉียดฉิว แต่ลาไอน์ก็หมุนตามมาอยู่ตรงหน้า
“เทอร์มิเนเตอร์ ยิงได้” ซูเทียออกคำสั่ง
ปืนหลักประจำยานอวาล่อนได้ถูกยิงออกไป ลำพลาสม่าและเลเซอร์กระทบกับลาไอน์อย่างจัง แต่บาเรียก็ยังไม่สลายไป อัลพาร์โต้จึงเตรียมหมุนทวนเข็มเพื่อเลี้ยวหลบทว่า…
ลาไอน์หมุนตรงข้ามเพื่อมาดักทางอวาล่อนก่อนที่อวาล่อนจะเริ่มหมุนตัวซะอีก ราวกับว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ถึงแผน
“ไม่จริงน่า…” ซูเทียพูดกับตัวเอง
“ร้อยเอก!” เรเชียร้องเรียกสติเธอ
“ปล่อยทรัสเตอร์เกินลิมิต พร้อมปิดเกราะพลังงานเดี๋ยวนี้” ซูเทียรีบออกคำสั่งทันทีที่ตั้งสติได้
ทรัสเตอร์ล่างของยานอวาล่อนระเบิดไอพ่นเต็มกำลังขณะที่ยานเอนไปทางซ้ายเป็นมุมฉากกับพื้นพอดี ทำให้ยานเลี้ยวไปทางซ้ายอย่างเร็ว แต่ลาไอน์ก็ใช้ทรัสเตอร์ล่างเต็มกำลังเช่นกัน
เนื่องจากอวาล่อนใช้ทรัสเตอร์แบบโอเวอร์ลิมิต ผลก็คืออวาล่อนเลี้ยวได้เร็วกว่าทำให้ลาไอน์ชนไปแค่ส่วนพื้นของอวาล่อน แต่เพราะอวาล่อนปิดเกราะพลังงาน ทำให้บริเวณส่วนที่ถูกชนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ และทรัสเตอร์ก็ชะงักไปชั่วครู่ทำให้อวาล่อนเสียหลักก่อนที่จะกลับมาตั้งตัวได้
“หรือว่า…” ซูเทียพึมพัมกับตัวเอง “ซูธา?”
ลาไอน์ตีลังกากลับแล้วหมุนตัวพร้อมยิงทรัสเตอร์ไปด้านหลังเพื่อเบรคและเร่งความเร็วจนตามทันอวาล่อนที่ทรัสเตอร์ชะงัก แต่แทนที่ลาไอน์จะเลือกที่จะบินอยู่ด้านหลังเพื่อให้เป็นฝ่ายยิงอย่างเดียว กลับมาบินคู่เคียงกับอวาล่อน เห็นได้ชัดว่าเป้าหมายของเธอคือเอายานพุ่งชนอวาล่อนให้จม ห่ากระสุนและมิซไซล์จำนวนมากยังยิงถล่มอวาล่อนไม่หยุด และลาไอน์ได้ส่งวอร์สูทออกมาถึงสามสิบเครื่องเลยทีเดียว
“ชาร์จทรัสเตอร์หลังไว้สำหรับเร่งเครื่องเต็มกำลัง แต่อย่าเพิ่งเร่ง ให้บินไปด้วยความเร็วคงที่ไว้ก่อน” ซูเทียออกคำสั่ง ในสถานการณ์แบบนี้ จะให้ลาไอน์มาอยู่ด้านหลังยานไม่ได้เด็ดขาด หากลาไอน์ลดความเร็วเพื่อจะเข้าไปอยู่ข้างหลังเมื่อไหร่ เธอจะสั่งอวาล่อนเร่งความเร็วบินหนีทันที
“ร้อยโทเซเวียร์ เอสทริกเกอร์ ออกไปได้แล้ว” ซูเทียออกคำสั่ง
“ไปก่อนนะ…” เซเวียร์บอกเอส “เซ็ทอัพ”
หลังจากเซ็ทอัพแล้ว เซเวียร์ก็กระโดดลงรูสี่เหลี่ยมเพื่อเข้าแท่นส่งออก เธอยังไม่เรียกดาบออกมา เธอโน้มตัวไปข้างหน้า มือทั้งสองจับแท่นจับไว้ เท้าทั้งสองเหยียบอยู่บนแป้น
“ร้อยโทเซเวียร์ ไอ เบอร์มิวเดีย… เบลดเดอร์ ออกตัว”
แท่นเหยียบและแท่นจับเลื่อนออกไปข้างหน้าตามราง ส่งเซเวียร์พุ่งออกจากแท่นด้วยความเร็วสูง เธอกางปีกเพื่อรับแรงลมที่ต้านและบินผ่านด้านหน้าของยานเพื่อเข้าปะทะกับวอร์สูทจำนวนมาก
“เซ็ทอัพ ราสสไตรค์เกอร์” เอสประกาศคำสั่งเซ็ทอัพ โหมดสไตรค์เกอร์ จากนั้นก็ลงไปที่แท่นส่งออกแบบเดียวกับเซเวียร์ ละอองสีขาวพวยพุ่งออกมาล้อมตัวเขาก่อนจะรวมตัวกลายเป็นชุดเสื้อแขนยาวสีขาวขอบฟ้า ผ้าคลุมด้านหลังที่ติดที่เอว และทรัสเตอร์ที่เท้า รวมทั้งอาวุธซึ่งมีด้วยกันสี่ชิ้น คือปืนพกคู่ที่เอว ดาบคู่กลางหลัง ดาบคู่ของเอสนี้ก็มีคุณสมบัติเปลี่ยนรูปร่างเหมือนเซเวียร์ เพียงแต่เขาไม่ได้ใส่โหมดดาบใหญ่เข้าไปด้วย
“เอส ทริกเกอร์… ราสสไตรค์เกอร์ ออกตัว”
เอสพุ่งออกจากยานอวาล่อนด้วยความเร็วสูงเช่นกัน และบินตามเซเวียร์ไป แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ใช้ปีกทำให้ไม่สามารถบินไปตามแรงลมได้ เขาจึงใช้เวลาบินมากกว่าเซเวียร์เล็กน้อย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะเขามีอาวุธโจมตีระยะกลาง ซึ่งก็คือปืนพกนั่นเอง
เพียงแค่ 1 นาที เอสก็สามารถจัดการกับวอร์สูทไปได้ถึงห้าเครื่อง ส่วนเซเวียร์จัดการไปได้สามเครื่อง ดูเธอยังไม่ชินกับการบินบนฟ้าด้วยปีกเท่าไรนัก แต่ก็ถือว่าทำได้ดีสำหรับครั้งแรก
เนื่องจากทั้งสอง ได้อยู่ห่างจากยานอวาล่อนมากเกินไปแล้ว เอสจึงสั่งให้เซเวียร์กลับไปที่ยานทันที ทว่าจู่ๆเขาก็ต้องรีบพุ่งตัวหลบการโจมตีระยะประชิดที่พุ่งเข้ามาหาเขา แค่หลบก็ยากเต็มที่แล้ว เขาจึงไม่ได้เห็นคนที่โจมตี
เมื่อหลบได้ เอสก็หยิบดาบแล้วใช้คอมมานด์บลาสเตอร์ช็อตฟาดก้อนพลังงานสีเหลืองตามศัตรูที่พุ่งลงไปบนพื้นน้ำทันที
“Round Shield” เสียงเรียกใช้คอมมานด์ดังออกมาจากปากของศัตรู ทันใดนั้นก็มีวงแหวนขึ้นมาป้องกันก้อนพลังงานของเอสเอาไว้ได้ ก้อนพลังงานระเบิดออกอย่างแรง
เอสตั้งท่าเตรียมรับมือกับผู้ใช้ดีไวซ์ปริศนาคนนี้ จากการคาดการณ์ ดีไวซ์ที่ใช้น่าจะเป็นบัสเตอร์ การ์เดี้ยน ไม่ก็ซินเนอร์
ทว่า เมื่อควันจางหายไป เอสถึงกับตะลึงในสิ่งที่ตาของเขามองเห็น ศัตรูที่พุ่งเข้ามาโจมตีเขาเป็นเด็กสาวอายุรุ่นเดียวกับเขา ผมสั้นสีฟ้าเข้ม ชุดที่เธอใส่เป็นเสื้อแขนกุดสีดำขอบเทา และกระโปรงผ่าหน้ายาวไปถึงเอว ที่เท้าของเธอเป็นรองเท้าติดล้อที่หมุนบนผิวน้ำอย่างแรงโดยมีทรัสเตอร์ติดตั้งด้วยเล็กน้อย มือซ้ายของเธอว่างเปล่า แต่ที่มือขวาเป็นสนับมือใหญ่ครอบคลุมแขนและมีวงแหวนคล้ายๆเฟืองเฉียงสองอันแบบฟันปลาหมุนอยู่ที่ข้อมือ ตาของเธอเหมือนคนที่ตกใจสุดขีดไม่ต่างกับเอส
“เอส…”
“ละ ลิเลีย?”
ความคิดเห็น