คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Airy Arc ตอนที่ 2 ศัตรูของสงคราม
เสียงปืนกลหลายกระบอกดังไปทั่ว หุ่นจักรกลสี่ขาจำนวนมากสาดกระสุนจากปืนแกตลิ่งสองกระบอกไปยังวัตถุที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา แสงสว่างจากหลอดไฟหลายดวงที่ส่องสว่างภายในถ้ำ ทำให้รู้ได้ว่าถ้ำแห่งนี้ต้องถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นฐานทัพ
วัตถุขนาดใหญ่ที่กำลังตกเป็นเป้าหมายของหุ่นจักรกล บินหลบกระสุนอย่างรวดเร็วและหักมุมพุ่งเข้าหาหุ่นจักรกลทีละตัว ก่อนที่จะพุ่งออกไป พร้อมกับสิ่งที่เคยเป็นหุ่นจักรกลแต่กลายเป็นซากเหล็ก
แต่ฝูงจักรกลก็ยังไม่ยอมแพ้ มันยังคงปักหลักยิงเป้าหมายของมัน เพื่อที่จะปกป้องฐานทัพของฝ่ายหุ่นยนต์ ฐานทัพที่ถูกเรียกว่าถ้ำเดโมเนีย
ในเวลาไม่นานนัก หุ่นจักรกลสี่ขาก็ล้มลงจนหมด เหลือเพียงหนึ่งตัว ทันใดนั้นวัตถุสีขาวก็บินพุ่งเข้าหาหุ่นจักรกลตัวสุดท้ายโดยที่ปืนแกตลิ่งคู่ของมันยิงไม่โดนเลยซักนัด เป้าหมายของมันเคลื่อนที่รวดเร็วจนเกินความสามารถในการเล็งของมัน
เมื่อวัตถุสีขาวพุ่งเข้ามาใกล้หุ่นจักรกลตัวสุดท้าย ในระยะประชิดขนาดนี้ เซนเซอร์แสงของหุ่นจักรกลมองเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มในชุดเกราะสีขาวอย่างชัดเจน ก่อนที่หุ่นจักรกลสี่ขาจะถูกดาบของเด็กหนุ่มฟันเข้ากลางลำตัว พลังงานมหาศาลจากการสั่นสะเทือนของใบดาบทำให้โครงเหล็กของหุ่นจักรกลละลายและส่องแสงสีแดงตัดกับสีเขียวของผิวมันออกมา
เสียงการต่อสู้ที่เคยดังสนั่นเงียบลง เด็กหนุ่มในชุดเกราะสีขาวค่อยๆนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับเสียงหอบหลังจากที่จัดการหุ่นจักรกลที่หมดด้วยตัวคนเดียว
“เกือบไปแล้ว” เด็กหนุ่มพึมพัมอย่างโล่งอกขณะดูจอดิจิตัลบนเกราะแขนด้านขวาที่แสดงสถานะของเกราะ ซึ่งแสดงตัวเลขพลังงานสำหรับเกราะพลังงานอยู่ที่ห้าเปอร์เซนต์
เด็กหนุ่มเก็บดาบคู่ที่อยู่ในมือทั้งสองของเขาไว้ที่หลัง แล้วค่อยๆลุกขึ้นเพื่อเดินไปยังทางขึ้นไปยังชั้นเจ็ดของถ้ำ เขาต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้โดยไม่จำเป็นและรีบไปพบกับหน่วยสำรวจที่ 103 ที่อยู่ชั้นหก
เด็กหนุ่มหยุดชะงักทันทีหลังจากที่เขาได้ยินเสียงแปลกๆ เขาหยุดการเคลื่อนไหวที่ทำให้เกิดเสียงแล้วตั้งใจฟัง เขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างกำลังเดินตรงเข้ามาหาเขา เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปทันที
สิ่งที่เด็กหนุ่มเห็นคือหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างคล้ายคน แต่มีขนาดใหญ่ถึงสองเมตรครึ่ง พุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมดาบที่แขนขวาที่เล็งมาทางเขา เด็กหนุ่มรีบคว้าดาบทั้งสองแล้วพุ่งถอยหลังพร้อมปัดดาบของมันออกไป ด้วยความรีบร้อนทำให้เขากระเด็นลงไปกลิ้งกับพื้น
เปลวไฟสีน้ำเงินพวยพุ่งออกมาจากปล่องเกราะเท้าของเด็กหนุ่ม เขาใช้แรงขับของทรัสเตอร์เพื่อบินพุ่งขึ้นไปยืนเพื่อเตรียมตัวต่อสู้กับหุ่นยนต์ตัวใหม่ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
หุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ขนาดสองเมตรครึ่งค่อยๆยืนขึ้นแล้วหันมามองเขาด้วยเซนเซอร์แสงสีแดงขนาดใหญ่เท่ากำปั้นที่อยู่ด้านหน้าของส่วนหัว ตัดกับสีของร่างที่มืดสนิท มันค่อยๆยกดาบสีเงินที่ติดกับแขนขวาของมันขึ้นมาตั้งท่าเตรียมจะพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มอีกครั้ง
เด็กหนุ่มเก็บดาบข้างซ้ายแล้วจับดาบข้างขวาด้วยสองมือ ตั้งท่าเตรียมรับขณะที่หุ่นยนต์สีดำพุ่งเข้ามาแทง เขาปัดดาบที่พุ่งเข้ามาออกไปแล้วเตรียมฟันขวางเข้าตามลำตัวของมัน
หุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ยกขาซ้ายขึ้นทันทีที่ดาบขวาของมันถูกปัดออกไปด้านขวา มันใช้การหมุนตัวตอนพุ่งเข้ามาฟาดแข้งของมันเข้าไปที่เกราะลำตัวของเด็กหนุ่มก่อนที่เขาจะได้ออกดาบเสียอีก เด็กหนุ่มกระเด็นออกไปชนกับกำแพงพร้อมกับกระอักเลือดออกมาทันที
โชคดีที่เขาถีบขาขวาเพื่อพุ่งไปทางซ้ายก่อนที่จะโดนเตะ ทำให้อวัยวะภายในและกระดูกซี่โครงเขายังอยู่ดี แต่เขาก็เจ็บหนักจนไม่มีแรงจะลุก สิ่งที่ทำได้มีเพียงแต่รอความตายที่พุ่งเข้ามาหาเขาเท่านั้น พลังงานของเกราะพลังงงานก็หมดลงเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถปลิดชีวิตของเขาได้อย่างง่ายดาย เขามองหุ่นยนต์สีดำที่พุ่งมาหาเขาโดยไม่กระพริบตา
หุ่นยนต์ถูกฟันเป็นสามท่อนในพริบตาโดยดาบยาวของเด็กสาวที่มาช่วยเขาไว้ ผมสีเงินที่ยาวสละสลวยกับชุดรัดรูปสีขาวของเธอสวยงามดั่งหิมะที่ตกในวันปีใหม่ที่เขาเพิ่งจะไปฉลองกับไอริสไม่นาน
“พี่ไซ!”
เขาจ้องมองไปยังเด็กสาวที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ตาไม่กระพริบ เขาไม่สามารถหาคำมาอธิบายความงดงามของเธอได้
“พี่ไซ!”
ภาพของเด็กสาวผมเงินหายไป กลายเป็นเพียงภาพของเพดานสีขาวซึ่งเขารู้สึกคุ้นเคย มันคือเพดานในห้องนอนของเขานั่นเอง
“พี่ไซ ตื่นได้แล้ว”
“ตื่นแล้ว!” ไซรีบตอบทันทีหลังจากที่โดนหมอนฟาดไปที่หน้า และคนที่ฟาดหมอนใส่เขาก็ไม่ใช่ใคร ไอริส น้องสาวของเขานั่นเอง
“ตื่นแล้วก็รีบๆแต่งตัวด้วย หนูจะลงไปทำอาหารเช้าให้” ไอริสบอกพี่ชายของเธอด้วยเสียงน่ารักของวัยเด็ก “ถ้าหลับต่อไม่ยอมลุก คงรู้นะคะว่าจะเจออะไร”
ไม่ต้องให้เฉลย ไซก็พอจะรู้ว่าไอริสจะทำอะไรกับเขาหากเขาไม่ยอมลุกออกจากเตียง เขารู้ดีว่าถึงแม้เธอจะดูน่ารัก แต่เธอก็เข้มงวดมาก
ไซกระโดดลุกขึ้นจากเตียง เดินไปยังตู้เสื้อผ้าที่อยู่ทางขวามือของเขา จากนั้นก็เปิดเพื่อเอาชุดยืดทั้งตัวสีน้ำเงินเข้มแล้วเดินไปยังห้องอาบน้ำ
ทหารทุกคนจะมีชุดเครื่องแบบสำหรับเข้าประจำการอยู่แล้ว แต่สำหรับทหารวอร์สูทอย่างเขา จำเป็นต้องใส่ชุดยืดทั้งตัวไว้ข้างใน เพื่อเตรียมพร้อมหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินที่จำเป็นต้องรีบสวมใส่วอร์สูท แต่ก็ยังดีที่ชุดยืดทั้งตัวนี้ออกแบบให้มีความต้านทานความร้อนต่ำมาก ทำให้ไม่รู้สึกร้อนแม้จะใส่เสื้อสองชั้น
“พี่คะ เมื่อกี๊หน่วยสำรวจติดต่อมา ให้ไปพบที่ศูนย์บัญชาการค่ะ”
ไอริสบอกพี่ชายของเธอเมื่อเห็นเขาเดินลงมาจากชั้นสอง จากนั้นจึงนำอาหารเช้าที่เพิ่งทำเสร็จวางบนโต๊ะ
“ทานเลย ไม่ต้องรอหนูนะคะ”
[วันหยุดแท้ๆ ทำไมต้องเรียกตัวด้วยนะ]
ไซครุ่นคิดขณะหยิบมีดมาหั่นสเต๊กเนื้อตรงหน้าเขา
[คงเพราะเรื่องเมื่อวานสินะ…]
ไซเริ่มนึกถึงฝันเมื่อคืน เขาจำใบหน้าของเด็กสาวในฝันได้
[ทำไมในฝันถึงเห็นหน้าเด็กสาวที่เราไม่รู้จักได้ล่ะ]
“พี่ไซ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”
“โทษทีไอริส พี่ยังงัวเงียอยู่น่ะ” ไซรีบตอบพลางยัดอาหารจานหรูที่อยู่ตรงหน้าเขาลงท้อง
หลังจากจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จ เขาก็คว้าชุดคลุมนอกซึ่งเป็นเครื่องแบบทหารมาสวม หยิบกระเป๋าถือสีดำที่ไอริสนำไปวางหน้าประตู จากนั้นเขาก็หันมาน้องสาวของเขา
“พี่ไปก่อนนะ”
“รีบกลับมานะค้า”
ไซกลับมาคิดเรื่องเด็กสาวที่เขาเห็นในฝันอีกครั้ง ขณะที่เดินไปยังศูนย์บัญชาการหน่วยสำรวจ
[หรือว่า...]
ทันทีที่ไซพยายามนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ความทรงจำต่างๆก็ไหลเขามาในหัวเขา
[จำได้แล้ว มันไม่ใช่ฝัน…]
ไซจำได้ทุกอย่าง เรื่องที่เขาลงไปถึงชั้นแปด เขาพบกับหุ่นยนต์รูปร่างมนุษย์ที่สูงถึงสองเมตรครึ่ง มันพุ่งเข้ามาโจมตีเขาจนเกือบตาย และเขาถูกช่วยไว้โดยเด็กสาวผมเงิน ตอนนี้เขาจำหน้าของเธอได้อย่างชัดเจน และความรู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในความคิดเขา
ถึงวอร์สูทที่เธอใช้จะแปลกกว่าที่เขาเคยเห็น แต่การที่วอร์สูทของเธอไม่จำเป็นต้องมีเกราะอาจจะเพราะไม่มีความจำเป็นก็ได้ เขาได้เห็นความสามารถของเธอตอนที่เขาถูกช่วยจากหุ่นที่เธอเรียกว่าเอชเอ็มทูมาแล้ว
อันที่จริง ไซไม่คิดว่าวอร์สูทของเธอจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตะขิดตะขวงใจได้ เขามั่นใจว่าจะต้องมีสาเหตุหลักอย่างแน่นอน เพียงแต่เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ไซก้าวเท้าเข้ามายังศูนย์บัญชาการหน่วยสำรวจ แต่เขาก็รู้สึกแปลกใจทันทีที่ไม่พบใครเลยที่ชั้นหนึ่ง
[น่าจะเรียกเรามาที่นี่นี่นา]
ไซพึมพัมกับตัวเอง เขามั่นใจว่าเขาฟังไม่ผิด ถ้าหน่วยสำรวจเรียกตัวเขา ก็น่าจะมีคนอยู่ที่ชั้นหนึ่งรอบอกภารกิจของเขาสิ
ไซล้วงมือขวาไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขวา แต่มันกลับว่างเปล่า
[ชิบ]
ไซรู้ตัวแล้วว่าเขาลืมโทรศัพท์มือถือของเขาไว้ที่บ้าน เป็นไปได้ว่าหน่วยสำรวจอาจจะโทรมาเปลี่ยนสถานที่นัด ตอนนี้เขามีทางเลือกสองทางคือกลับไปเอาที่บ้าน กับเดินไปดูที่ศูนย์บัญชาการใหญ่
ไซเลือกทางที่สอง และพบว่าเขาเลือกได้ถูกต้อง ชั้นหนึ่งของศูนย์บัญชาการเต็มไปด้วยทหารที่รอรับคำสั่ง สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือตามหาโรส โอเปอเรเตอร์ของเขา
แต่ดูเหมือนเขาไม่มีความจำเป็นต้องตามหาเธอแล้ว
“ร้อยโท มาซักที” สาววัยกลางคนเรียกไซ แล้วพยายามวิ่งมาหาเขา
“สวัสด…”
โรสไม่รอให้ไซพูดจบ เธอคว้ามือเขาแล้วพาเข้าห้องประชุมที่อยู่ทางขวามือทันที
ทันทีที่ไซก้าวเท้าเข้ามาในห้องประชุม เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เขาเห็น
ห้องประชุมสำรอง ที่ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครใช้ กลับมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่และหัวหน้าหน่วยหลายคนนั่งบนเก้าอี้รายล้อมโต๊ะกลมที่มีที่ว่างตรงกลางอยู่
ผู้ที่นำการประชุมอยู่หันหน้ามาหาไซ และแสดงสีหน้าไม่พอใจนัก จากสัญลักษณ์ที่ไหล่ทำให้รู้ว่าเขามียศเป็นพันตรี
ไซรีบหาที่นั่งที่มีป้าย 104 ซึ่งเป็นเลขประจำหน่วยของเขา (ซึ่งมีเพียงเขาคนเดียว) เมื่อหาเจอแล้วเขาจึงรีบนั่งและเตรียมฟังประชุมทันที
“ต้องเริ่มใหม่หมดสินะ” พันตรีบ่นออกมา
“ขออภัยครับ” ไซกล่าว
“นี่เป็นเหตุฉุกเฉิน จึงต้องเรียกประชุมเร่งด่วน ภายในห้องประชุมนี้จะประกอบไปด้วยหัวหน้าหน่วยสำรวจตั้งแต่ 101 จนถึง 120 และข้อสรุปของเราจะนำไปรวมกับผลการประชุมของหน่วยสำรวจทั้งหมด” พันตรีกล่าว
“เราได้รับข่าวมาว่า ในตอนนี้มีกองกำลังไม่ทราบฝ่ายซุ่มล้อมพื้นที่แคลนของเราอยู่ และมีความเป็นไปได้สูงที่กองกำลังกลุ่มนั้นจะเริ่มโจมตีภายในคืนนี้ ทำให้เราต้องงดภารกิจสำรวจถ้ำเดโมเนียทุกภารกิจเพื่อเตรียมมาตรการป้องกัน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำอย่างแรกคือรวบรวมข้อมูลที่ได้รับก่อน ภายในสองวันที่ผ่านมามีใครสังเกตอะไรมั่งไหม? เริ่มจากหัวหน้าหน่วย 101”
“รอบถ้ำเดโมเนียไม่มีอะไรผิดปกติครับ” นายทหารที่นั่งอยู่หลังป้าย 101 ตอบ
“ภายในถ้ำชั้น 4 ไม่พบอะไรผิดปกติครับ เพียงแต่พบจักรกลน้อยมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทเดิมที่มีการเก็บชิ้นส่วนครบแล้ว” หัวหน้าหน่วย 102 ตอบ
“ชั้นหก เมื่อสองวันที่แล้วพบเหตุผิดปกติครับ” หัวหน้าหน่วยสำรวจที่ 103 ตอบ “เมื่อสองวันที่แล้ว หน่วยของผมและหน่วย 104 ได้ลงไปสำรวจถ้ำเดโมเนียที่ชั้น 6 ซึ่งก็ไม่ได้พบจักรกลชนิดใหม่ แต่เมื่อเดินไปซักพัก พบกับกองจักรกลที่พังแล้วจำนวนมหาศาลครับ ซึ่งร่องรอยการโจมตีไม่น่าจะเกิดจากดาบคู่ซึ่งหัวหน้าหน่วย 104 ใช้อย่างแน่นอนครับ”
“หัวหน้าหน่วย 104” พันตรีเรียกและหันไปหาไซ
ไซเริ่มรู้สึกไม่ดี เขาควรจะบอกความจริงทั้งหมดหรือไม่ หรือบอกแค่บางส่วน เขาคิดว่าจริงๆแล้วเขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกเรื่องเด็กสาวผมเงิน
เขารู้ดีว่า การบอกความจริง จะช่วยให้แคลนแอรี่มีโอกาสรอดจากการโจมตีครั้งนี้ได้สูงขึ้น แต่หากเขาบอกเรื่องเธอ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีคำสั่งให้ส่งกองกำลังเพื่อจับกุมเธอก็เป็นได้ ซึ่งเขาคงทำอะไรไม่ได้เพราะวอร์สูทของเขาเพิ่งจะพังยับ และไม่น่าจะซ่อมได้ทัน
“หัวหน้าหน่วย 104” พันตรีเรียกเขาอีกครั้ง
“ครับ” ไซตอบ
“มีอะไรจะบอกไหม?”
เขาต้องตัดสินใจแล้ว ระหว่างเด็กสาวผมเงินที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้ และแคลนแอรี่ ที่ทุกคนที่เขารู้จัก ที่ๆเขาอยู่กับไอริส ที่ๆเขาต่อสู้เพื่อปกป้องมาตลอด
ถึงจะรู้ดีว่าสุดท้ายเขาก็ต้องเลือกแคลนแอรี่ แต่เขาก็ยังรู้สึกบางอย่างกับเด็กสาวผมเงินอยู่ จากฝีมือของเธอที่เขาเห็น เขาคิดว่าเธอไม่น่าจะเป็นอะไรไปหากเขาเลือกที่จะปกป้องแอรี่
“ครับ” ไซรับคำ “ความจริงคือ เมื่อสองวันที่แล้ว ผมลงไปถึงแค่ชั้นแปด และถูกทำร้ายจนเกือบเสียชีวิตที่นั่นครับ”
ทั้งห้องประชุมเงียบ ทุกคนรอฟังสิ่งที่ไซกำลังจะเล่า
ไซพยายามนึกเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เขาเจอในวันนั้น
“เดิมที ภารกิจที่ผมได้รับคือสำรวจชั้นหก แต่เนื่องจากผมคิดว่าไม่เจอจักรกลชนิดใหม่แล้วจึงได้ฝ่าฝืนคำสั่งลงไปชั้นเจ็ด แต่ที่ชั้นเจ็ดก็เพียงแค่มีจักรกลหนาแน่นขึ้นเท่านั้น ไม่ได้พบชนิดใหม่ ผมจึงลงไปชั้นแปด และพบกับจักรกลชนิดใหม่หนึ่งตัว เป็นจักรกลขนาดสองเมตรครึ่ง และรูปร่างคล้ายมนุษย์มากที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา มันมีแขนซ้ายเป็นปืนกล และแขนขวามีลักษณะคล้ายมนุษย์และถือดาบอยู่ เหมือนจะเป็นจักรกลที่มีความฉลาดกว่าปกติ ผมได้ต่อสู้กับมันจนวอร์สูทพัง แต่ก่อนที่มันจะลงดาบสุดท้ายกับผม ก็มีผู้ใช้วอร์สูทคนหนึ่งมาช่วยผมเอาไว้”
“จำรายละเอียดผู้ใช้วอร์สูทคนนั้นได้ไหม” พันตรีถามไซต่อ
“ครับ เป็นหญิงสาว อายุน่าจะไม่เกิน 20 มีผมยาวสีเงิน วอร์สูทที่ใช้มีแค่เกราะแขนและขา อาวุธเธอเป็นดาบอนุภาคสั่น รูปร่างยาวกว่าดาบทั่วไปครับ ซากจักรกลที่หัวหน้าหน่วย 103 เจอน่าจะเป็นฝีมือของเธอ และเธอน่าจะลงไปถึงชั้น 11 ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ” ไซตอบ เขารู้ว่าในเมื่อเขาไปถึงแค่ชั้นแปด ดังนั้นการที่พบซากที่ชั้น 11 น่าจะเป็นเพราะเธอลงไปถึงชั้น 11
[เดี๋ยวสิ… ทำไมกองทัพถึงรู้ได้ว่ามีคนลงไปถึงชั้น 11?]
“ผู้หญิงผมสีเงิน ใช้ดาบยาว ข้อมูลแค่นี้ระบุใครไม่ได้หรอก จำอะไรได้อีกไหม?”
ไซพยายามนึกย้อนไป หลังจากที่เธอช่วยเขาแล้ว เธอก็หันมาหาเขาและเดินผ่านเขาไป ไซหันกลับไปมองเธอจากด้านหลัง… ปีก? ใช่แล้ว สัญลักษณ์บนหลังของเธอ
“ที่ด้านหลังของเธอมีสัญลักษณ์อยู่ครับ เป็นรูปปีกนกสองปีกกางออกครับ” ไซตอบ
ห้องประชุมเงียบลงไปในทันที จากนั้นก็มีเสียงซุบซิบบ้างเล็กน้อย นายทหารยศพันตรีคีย์ข้อมูลลงไปในแท็บเล็ทในมือเขา
“สัญลักษณ์นี้ใช่ไหม” นายทหารยศพันตรีถามหลังจากเปิดภาพปีกคู่ขึ้นบนจอ
เสียงในห้องประชุมเงียบไปอีกครั้ง ทุกคนจดจ่อกับคำตอบของไซ
“ครับ” ไซตอบรับ
เสียงในห้องประชุมเริ่มดังขึ้น จนนายทหารยศพันตรีที่คุมการประชุมต้องสั่งให้เงียบ
“สัญลักษณ์นี้ เป็นสัญลักษณ์ของแคลน ลิเบอร์ตี้วิงก์ หนึ่งในแคลนที่มีกำลังรบสูงที่สุดของมนุษย์ และผู้หญิงคนนั้น ก็คงจะเป็นผู้ใช้วอร์สูทระดับต้นๆของแคลน ฉายาแม่มดสีเงิน” นายทหารยศพันตรีบอกไซ
“นี่มันเรื่องใหญ่นะ ถ้าเป็นแคลนเล็กๆ เรายังพอตั้งรับได้ แต่ถ้าเป็นลิเบอร์ตี้วิงก์ เราไม่มีทางชนะได้เลย เรื่องโทษฐานปิดบังข้อมูลไว้ก่อน ตอนนี้จะต้องรีบหาทางออกเรื่องนี้ให้ไวที่สุด”
“กำลังรบต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ไซถาม
“ถ้าพูดถึงจำนวน เราได้เปรียบ แต่ถ้าพูดถึงฝีมือและอาวุธยุทโธปกรณ์ เราแพ้ขาด ตรึงเวลาได้เต็มที่หนึ่งชั่วโมง”
“แคลนแอรี่จบสิ้นแล้วสินะ พวกเราทุกคนจะกลายเป็นทาส” หัวหน้าหน่วย 110 พูดขึ้นอย่างสิ้นหวัง
ไซเริ่มใจไม่ดี เขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบนี้ อย่างนี้ไม่ว่าเขาจะบอกความจริงหรือไม่ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน
“ผู้บัญชาการตัดสินใจแล้ว” นายทหารยศพันตรีพูดขึ้นมาท่ามกลางเสียงโหวกเหวกโวยวายในห้องประชุม “ตอนนี้เรามีทางรอดเพียงทางเดียวแล้ว”
ห้องประชุมเงียบลงอีกครั้ง
“ทางรอดเพียงหนึ่งเดียวของเราคือ จับเป็นแม่มดสีเงิน” นายทหารกล่าว
“บ้าไปแล้ว” หัวหน้าหน่วย 107 ตะโกนขึ้นกลางห้อง
“เงียบ!” นายทหารสั่งอีกครั้ง “ฟังก่อน”
“แม่มดสีเงิน เป็นผู้ใช้วอร์สูทที่เก่งที่สุดของลิเบอร์ตี้วิงก์ เธอมีค่ามากสำหรับแคลนของเธอ ถ้าเราจับเธอเป็นตัวประกันได้ อีกฝ่ายไม่กล้าบุกสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน” นายทหารอธิบาย
“แล้วใครจะไปจับเธอได้ล่ะ แค่เธอคนเดียวก็ถล่มเราได้ทั้งกองทัพแล้วนะ แล้วอย่าเพิ่งพูดถึงจับเธอเลย ตอนนี้เธอน่าจะอยู่ชั้น 11 ไม่มีใครลงไปถึงเธอด้วยซ้ำ” หัวหน้าหน่วย 108 พูดขึ้นมากลางความเงียบ
“ไม่หรอก ภารกิจนี้ จะใช้เพียงหน่วยเดียว… ไม่สิ คนเดียว”
ไซรู้ทันที คนเดียวที่พันตรีพูดถึงก็คือเขานั่นเอง
“แต่ว่าวอร์สูทผม…” ไซลุกขึ้นแย้ง
“ต่อให้วอร์สูทใช้ได้ เราก็ไม่ให้ใช้หรอก อย่างที่หัวหน้า 108 พูดขึ้นมานั่นแหละ ภารกิจนี้มันเป็นไปไม่ได้” พันตรีตอบ “แต่เราจะทำให้ภารกิจนี้เป็นไปได้ โดยการเสี่ยงกับไพ่ตายใบสุดท้ายของเรา FHX-159A วอร์สูทรุ่นล่าสุดของเรา ซึ่งสร้างและออกแบบโดยใช้เทคโนโลยีสูงสุดของแคลนโดยไม่สนใจงบประมาณ ร้อยโทไซ คุณจะต้องใช้วอร์สูทรุ่นนี้ในการจับเป็นแม่มดสีเงิน”
“แล้วพวกผมล่ะ” หัวหน้าหน่วย 101 ถาม
“ทุกหน่วยยกเว้นหน่วย 104 จะเตรียมพร้อมป้องกันเพื่อถ่วงเวลา จนกว่าร้อยโทไซจะทำภารกิจสำเร็จ” พันตรีตอบ “เลิกการประชุม ทุกหน่วยยกเว้นหน่วย 104 ให้ไปรวมตัวกันที่ศูนย์บัญชาการหน่วยสำรวจ ร้อยโทไซให้ตามสิบเอกโรสไป”
“ร้อยโท” สิบเอกโรสเรียกไซให้ตามเธอไป
ไซที่กำลังงุนงงกับภารกิจใหม่ที่เขาได้รับ แต่เขาก็เดินตามสิบเอกโรสตามคำสั่งแต่โดยดี ความจริงที่ว่าแคลนแอรี่ที่เขาอยู่มีโอกาสรอดไม่ได้ทำให้เขาสบายใจขึ้นเลย เพราะมันขึ้นอยู่กับภารกิจที่เขาได้รับทั้งหมด หนำซ้ำเขาต้องจับเป็นแม่มดสีเงิน เด็กสาวผมเงินที่เคยช่วยเขาไว้
แต่เขาจะทำได้หรือ? เขาเคยเห็นฝีมือของเธอแล้ว เธอสามารถจัดการกับหุ่นเอชเอ็มทูที่กำลังจะฆ่าเขาได้อย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะได้รับวอร์สูทรุ่นใหม่ที่ประสิทธิภาพน่าจะสูงขึ้น แต่มันก็ไม่น่าจะเพียงพอที่จะทำให้เขาต่อสู้กับเธอได้
“เอ๊ะ…” ไซอุทานขึ้นเมื่อเขาเห็นทหารวอร์สูทสองคนบินลงมาเดินขนาบข้างเขา
“วอร์สูทของร้อยโทอยู่หน้าถ้ำเดโมเนียแล้ว” สิบเอกโรสตอบ
ไซเริ่มแปลกใจ ทำไมตั้งแต่เขาต่อสู้กับเครื่องจักรในฐานะผู้ใช้วอร์สูท เขาจะต้องออกไปสวมใส่วอร์สูทหน้าถ้ำตลอด ซึ่งปกติเขาไม่เคยสงสัยเพราะในบางครั้งมีความจำเป็นที่ต้องเติมพลังงานเพื่อทำภารกิจต่อ แต่ FHX-159A ที่เขาจะได้ใช้เพิ่งออกมาจากห้องวิจัยไม่ใช่เหรอ? จะเอาออกไปรอเขาทำไม ทำไมไม่ให้สวมใส่ตอนนี้เลยล่ะ
แต่ไซก็ไม่ได้ถามออกมา เพราะเขารู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาสงสัยเรื่องเหล่านั้น ตอนนี้ที่เขาต้องคิดคือ เขาจะทำยังไงถึงจะฝ่าฟันฝูงจักรกลลงไปจนถึงชั้น 11 ได้ หรืออาจจะต้องลงไปลึกกว่านั้น และเขาจะทำอย่างไรเมื่อต้องต่อสู้กับเด็กสาวผมเงิน
“พี่” เสียงใสๆของเด็กสาวดังขึ้นด้านหลังไซ
“ไอริส”
ไซหันหลังกลับไปและพบไอริส น้องสาวของเขาวิ่งตามมา
ทหารวอร์สูทสองคนยกแขนกั้นไว้ไม่ให้ไอริสเข้ามาหาไซ
“กลับมาให้ได้นะคะพี่ไซ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกไอริส พี่กลับมาแน่” ไซตอบน้องสาวเขา ก่อนที่จะหันกลับไปเดินออกจากประตูเมือง
[ไม่ต้องห่วงหรอกไอริส พี่จะกลับมา พี่จะไม่ให้ใครมาทำลายแอรี่เด็ดขาด]
เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนเดินออกมานอกประตูเมืองแล้ว ไซเห็นคอนเทนเนอร์สีขาวอยู่ข้างๆปากทางเข้า ซึ่งเขามั่นใจว่านั่นคือวอร์สูทที่เขากำลังจะได้ใช้
ไซเดินเข้าไปในคอนเทนเนอร์ เขาหยิบหมวกไฟฟ้าที่มีสายเชื่อมต่ออยู่เต็มไปหมดสวมอย่างที่เคย เป็นหนึ่งในขั้นตอนการสวมใส่วอร์สูท เพราะการสวมใส่วอร์สูทจะทำให้เกิดแรงดันไฟฟ้าภายในร่างกาย จึงต้องมีการปรับแรงดันต้านบริเวณส่วนหัวเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อสมอง
ไซรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เขาอยู่นิ่งๆประมาณนาทีกว่าๆ ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวอีกครั้ง
ไซลืมตาขึ้น เขาถอดหมวกไฟฟ้าออก และพบว่าเขาได้สวมใส่วอร์สูทรุ่นใหม่ล่าสุดเรียบร้อยแล้ว เป็นวอร์สูทที่เป็นเกราะโลหะทั้งตัว ส่วนแขน, ขาและลำตัวจะหนาเป็นพิเศษ ส่วนต้นแขนและต้นขาจะบางลงมา แต่ก็ยังเป็นโลหะอยู่ สิ่งที่เขาต้องทำต่อไปคือสวมเกราะหัวที่คล้ายๆหมวกกันน็อคที่วางอยู่ข้างๆ
“ร้อยโท ตอบด้วย”
เสียงสิบเอกโรสดังขึ้นพร้อมกับภาพที่ปรากฎบนกระจกเกราะหัวที่ไซเพิ่งสวมไป
“ร้อยโทไซ รับทราบ”
ไซเริ่มแปลกใจที่เขาไม่เห็นทั้งโรสและทหารวอร์สูทสองคนอยู่ใกล้ๆ เขาคิดว่าทั้งสามคนคงรีบกลับเข้าเมืองเพื่อเตรียมการป้องกัน
“ภารกิจของร้อยโท คือจับเป็นผู้ใช้วอร์สูท แม่มดสีเงิน ซึ่งอาจจะอยู่ที่ชั้น 11 ของถ้ำเดโมเนีย นี่อาจจะเป็นภารกิจที่ยากที่สุดที่ร้อยโทเคยรับมา แต่นี่ไม่ใช่ภารกิจหลัก”
“เอ๊ะ?” ไซเริ่มแปลกใจ เพราะเขาได้รับภารกิจจับเป็นแม่มดสีเงินเป็นภารกิจหลัก
“ภารกิจหลักคือ มีชีวิตรอด” สิบเอกโรสพูดต่อ
“แต่ว่า…”
“นี่เป็นคำสั่งจากผู้บัญชาการ ไม่ต้องห่วง ถึงจะจับแม่มดสีเงินไม่ได้ เราก็ยังมีวิธีรับมือกับลิเบอร์ตี้วิงก์อยู่ เพียงแต่ถ้าจับแม่มดสีเงินได้จะทำให้ภารกิจง่ายขึ้นเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว”
“เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่ร้อยโทจะได้ใช้ FHX-159A จึงต้องมีการอธิบายการใช้งานเบื้องต้น” สิบเอกโรสพูดต่ออย่างไม่หยุด “วอร์สูทรุ่นนี้มีการพัฒนาเกราะพลังงานให้ดีขึ้น โดยเฉพาะเกราะแขนและเกราะขา แต่จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ฟุตทรัสเตอร์ได้เปลี่ยนจากระบบไออ้อนเป็นระบบไฮบริด โดยจะสามารถเปลี่ยนไปใช้งานระบบเผาไหม้ได้โดยการเหยียบแท่นควบคุมให้ลึกกว่าขีดจำกัดเดิม ระบบเผาไหม้จะมีแรงขับสูงกว่าระบบไออ้อนหลายเท่า ให้ระวังเรื่องนี้ด้วย”
“เข้าใจแล้ว”
“ถ้างั้น ปฏิบัติการจับแม่มดสีเงิน… เริ่มได้”
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งเริ่ม ไซก็กดทรัสเตอร์เต็มกำลังเพื่อทดสอบระบบทรัสเตอร์เผาไหม้โดยการพุ่งเข้าไปยังถ้ำเดโมเนีย
วอร์สูทแบบมาตรฐาน จะประกอบไปด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วน คือเกราะพลังงาน ฟุตทรัสเตอร์ อาวุธ และนิวเคลียร์เจเนเรเตอร์
เนื่องจากเกราะที่สามารถป้องกันอาวุธของศัตรูได้จะต้องหนาและหนักมาก ทำให้ไม่สามารถนำมาใช้กับวอร์สูทที่ต้องการความรวดเร็วได้ แต่หากไม่ใส่เกราะเลยก็อาจทำให้ผู้ใช้ถึงแก่ชีวิตด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เพื่อแก้ปัญหานี้ จึงได้มีการคิดค้นเกราะพลังงานขึ้นมา โดยจะใช้พลังงานมหาศาลในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเกราะจนกันกระสุนได้ ทำให้เกราะของวอร์สูทไม่มีน้ำหนักมากจนเกินไป อย่างไรก็ตาม เกราะพลังงานที่ยิ่งบางจะยิ่งกินพลังงานในการต้านกระสุนสูงขึ้น
อุปกรณ์ที่ทำให้วอร์สูทสามารถเคลื่อนที่ได้ คือฟุตทรัสเตอร์ เป็นทรัสเตอร์ที่ติดกับฝ่าเท้าของวอร์สูท ปกติแล้วจะเป็นไออ้อนทรัสเตอร์ที่ใช้พลังงานจากนิวเคลียร์เจเนเรเตอร์ได้โดยตรง แต่บางครั้งก็ยังมีการใช้ทรัสเตอร์แบบเผาไหม้ ซึ่งให้กำลังขับที่สูงกว่าเพียงแต่ต้องติดตั้งเชื้อเพลิงทำให้ใช้งานได้จำกัด ในการควบคุมฟุตทรัสเตอร์ส่วนใหญ่แล้วจะใช้นิ้วเท้าในการเหยียบ
ในการต่อสู้ระหว่างมนุษย์และหุ่นยนต์ มนุษย์จะได้เปรียบอย่างมากในการพลิกแพลงสถานการณ์ และความว่องไวของระบบประสาท ขณะที่หุ่นยนต์จะได้เปรียบเรื่องกำลังและความเร็ว รวมไปถึงความแม่นยำในการยิง ทำให้มนุษย์จำเป็นต้องใช้อาวุธระยะประชิดในการต่อสู้เป็นหลัก ซึ่งอาวุธระยะประชิดที่ใช้กันแพร่หลายมากที่สุดคือดาบอนุภาคสั่น โดยการใส่พลังงานสั่นสะเทือนเข้าไปในใบดาบ ทำให้เมื่อดาบกระทบกับวัตถุ แรงสั่นสะเทือนจะทำให้อนุภาคที่ยึดเหนี่ยวกันอยู่เกิดการสลายตัว ดังนั้นดาบอนุภาคสั่นจึงสามารถใช้ตัดโลหะได้อย่างสบายๆ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยพลังงานมหาศาลในการใช้ จึงต้องมีไกที่ด้ามดาบเพื่อเปิดโหมดอนุภาคสั่น
และส่วนที่สำคัญที่สุดของวอร์สูท ก็คือนิวเคลียร์เจเนเรเตอร์ เป็นแหล่งจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานนิวเคลียร์ฟิชชั่น ซึ่งมีขนาดเล็กมาก แต่จำเป็นต้องใช้พื้นที่ในการระบายความร้อนสูง ดังนั้น เกราะส่วนลำตัวของวอร์สูทจะถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นตัวระบายความร้อนทั้งหมด
เนื่องจากแรงขับของทรัสเตอร์เผาไหม้มากกว่าที่เขาคิดไว้ ทำให้เขาเอนไปข้างหน้าไม่เพียงพอจนเกือบหงายหลัง แต่เขาก็ลดทรัสเตอร์ลงแล้วทรงตัวไว้ได้ก่อนที่จะบินเข้าไปในถ้ำเดโมเนียด้วยไออ้อนทรัสเตอร์
ทันทีที่เขาเข้าไปในถ้ำเดโมเนียชั้นที่หนึ่ง เขาก็พบหุ่นยนต์สี่ขาขนาดสองเมตรจำนวนมากกำลังเล็งกระบอกปืนกลมาที่เขา ไซรู้สึกแปลกใจที่เขาพบหุ่นยนต์พวกนี้ที่ชั้นหนึ่ง เพราะปกติแล้วมันจะอยู่ที่ถ้ำเดโมเนียชั้นห้าลงไป
แต่ไซก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นปัญหาแม้แต่น้อย เขาบินหลบห่ากระสุนที่ยิงมาที่เขาอย่างง่ายดาย และบินตรงไปยังทางลงไปชั้นสองทันที หน้าที่ของเขาคือจับเป็นแม่มดสีเงิน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดการหุ่นพวกนี้แต่อย่างใด
เดิมที ไซคิดว่าเขาจะบินตรงอย่างเดียวจนกว่าจะถึงชั้นแปด แต่เขาก็ต้องเปลี่ยนใจและลงมาหลบหลังก้อนหินในถ้ำทันทีที่ลงมายังชั้นที่เจ็ด
หุ่นจักรกลหกขาขนาดสามเมตรอยู่รอบตัวเขาเต็มไปหมด พวกมันมีปืนแกทลิ่งกันตัวละสี่กระบอก และจากประสบการณ์ที่เขาเคยสู้กับหุ่นพวกนี้ที่ชั้นแปด เขาจำมันได้ดี ความแม่นในการยิงของมันสูงมากในระดับที่หากเขาเหม่อลอยเพียงวินาทีเดียวอาจถึงแก่ชีวิตได้
[ปิดปากทางลงชั้นแปดเลยนะพวกเอ็ง]
เขานับจำนวนจักรกลหกขาที่อยู่ใกล้ทางลงชั้นแปด และพบว่ามีอยู่ถึงแปดตัวด้วยกัน
[สองเท่าจากคราวที่แล้วสินะ ก็ดี จะได้ลองของใหม่ซักหน่อย]
ไซตัดสินใจหยิบดาบคู่ออกมา พุ่งอ้อมไปทางด้านซ้าย โดยบินเป็นโค้งผ่านจักรกลหกขาเจ็ดตัวซึ่งเขาไม่สนใจ กระสุนยิงเฉียดบริเวณด้านหลังที่เขาบินผ่านมา และแนวกระสุนค่อยๆเข้าใกล้ไซมากขึ้นเรื่อยๆ
ในพริบตาก่อนที่กระสุนจะมาถึงตัวเขา เขาใช้ทรัสเตอร์รูปแบบเผาไหม้เพื่อพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และเบรคลงที่พื้นตรงหน้าจักรกลหกขาตัวสุดท้าย
เขารู้ว่าหากยืนอยู่ตรงนั้นนานเกินครึ่งวินาที เขาอาจจะพบรูปโหว่เต็มร่างกายเขาไปหมด ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า พุ่งผ่านด้านข้างจักรกลหกขาตรงหน้าพร้อมใช้ดาบอนุภาคฟันขวางลำตัวของมันทันที
จักรกลหกขาที่ถูกดาบอนุภาคสั่นฟันกลางลำตัวค่อยๆล้มลง แต่ไซไม่สนใจหันกลับมามอง เขาหันไปหาจักรกลหกขาตัวที่ใกล้ที่สุด และพบว่ามันกำลังพยายามหันกระบอกปืนทั้งสี่มาที่เขา
ไซพุ่งเข้าไปหามันตรงๆ จับดาบคู่ในมือทั้งสองไว้แน่น และทันทีที่จักรกลหกขาตรงหน้าหันกระบอกปืนมาที่เขา เขาก็ลดระดับบินลงจนเลียดพื้นทำให้มันยิงพลาด และพุ่งผ่านใต้ช่องว่างระหว่างขาพร้อมฟันไปที่ลำตัวของมัน
ไซใช้งานทรัสเตอร์เต็มกำลังเพื่อพุ่งหักศอกมาฟันจักรกลหกขาที่อยู่ข้างๆเขาโดยไม่ชะลอความเร็ว เพียงไม่กี่วินาที หุ่นจักรกลหกขาทั้งแปดตัวก็ถูกทำลายจนหมดโดยยิงไม่ถูกไซเลยแม้แต่น้อย
ไซไม่อยู่ชื่นชมความสำเร็จของเขา เขารีบบินลงไปชั้นแปดทันที แต่ก็พบเพียงจักรกลหกขา ที่ยิงแม่นกว่าเดิมเท่านั้น และชั้นเก้าก็ยังไม่ได้มีหุ่นจักรกลใหม่ๆ จนในที่สุด เขาก็ลงมาจนถึงชั้นสิบเอ็ด ชั้นที่เขาคิดว่าจะได้พบเด็กสาวผมเงินอีกครั้ง
แต่เขาก็ต้องผิดหวัง ที่เด็กสาวคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ชั้นนี้อีกแล้ว สิ่งที่เขาเห็นคือซากจักรกลหกขาไม่ต่ำกว่าห้าสิบตัว เขานึกภาพการจัดการจักรกลหกขาห้าสิบตัวด้วยตัวคนเดียวแทบไม่ออก จริงอยู่ที่ว่าเขาจัดการแปดตัวแรกที่พบในชั้นเจ็ดได้อย่างสบายๆ แต่ตั้งแต่ชั้นแปดลงมา จักรกลหกขาพวกนี้ก็มีความสามารถขึ้นเรื่อยๆจนเขาเกือบเอาชีวิตไปทิ้งที่ชั้นสิบ ที่เขาเจอจักรกลหกขาห้าตัวมาแล้ว
แล้วเธอทำได้อย่างไร? จัดการจักรกลหกขาห้าสิบตัวด้วยตัวคนเดียว?
ไซหยุดบิน และยืนบนพื้นเพื่อดูรอบๆถ้ำ แต่เขากลับไม่พบหุ่นยนต์ที่ยังเคลื่อนไหวได้แม้แต่ตัวเดียว
ไซกระโดดหลบดาบปริศนาที่พุ่งมาฟันเขาได้อย่างเฉียดฉิว เขารีบชักดาบออกมาเตรียมต่อสู้ทันที ซึ่งตอนแรกเขาคิดว่าเป็นเด็กสาวผมเงิน
“เอชเอ็มทู” ไซพูดชื่อหุ่นตรงหน้าเขาออกมาหลังจากที่เขาเห็นมันชัดเจน หุ่นขนาดสองเมตรครึ่งรูปร่างมนุษย์ ลักษณะค่อนข้างผอมเพรียว แต่ต่างจากตัวที่เขาเคยเจอมาก่อนตรงที่แขนซ้ายของมันไม่ใช่ปืนกลแล้ว เป็นเพียงแขนลักษณะคล้ายแขนมนุษย์
เอชเอ็มทูพุ่งแล้วฟาดดาบสองมือใส่ไซ แต่เขาก็ใช้ดาบในมือซ้ายปัดออกไปแล้วฟาดดาบในมือขวาโดยเล็งไปที่ส่วนหัว
มันพุ่งถอยหลังไปเพื่อหลบดาบของไซได้อย่างเฉียดฉิว จากนั้นมันก็ถีบเท้าซ้ายแล้วหมุนตัวเตะไซซึ่งไม่สามารถป้องกันได้กระเด็นออกไป
ถึงการโดนหุ่นยักษ์เตะจะไม่ทำให้พลังงานของเกราะพลังงานลดไปมาก แต่ร่างกายของไซก็ต้องรับแรงกระแทกเต็มๆ ไซไม่มีแม้แต่เวลาจะกระอักเลือด เพราะหุ่นที่เขาเรียกมันว่าเอชเอ็มทูที่อยู่ตรงหน้าทิ้งดาบแล้วพุ่งเข้ามาหาเขาพร้อมคมมีดที่โผล่ออกมาจากแขน
ไซพุ่งเข้าไปใช้ดาบคู่ของเขาปะทะโดยตรง แต่เนื่องจากอีกฝ่ายอยู่ในท่ายืนขณะที่ไซอยู่ในท่าเอนไปข้างหน้า ทำให้มันสามารถเตะเสยเข้าหน้าไซได้อย่างสบายๆ
ไซที่ถูกเตะเสยอย่างแรงกระเด็นขึ้นไปชนเพดานถ้ำแล้วร่วงลงมาตามแรงโน้มถ่วง หุ่นเอชเอ็มทูตั้งท่าเตรียมอัพเปอร์คัทด้วยแขนที่ติดมีดอนุภาคสั่นเอาไว้ เขารู้ทันทีว่าหากเขาโดนมีดอนุภาคสั่นฟันตรงๆแม้เพียงครั้งเดียว เกราะพลังงานของเขาอาจหยุดทำงานได้ทันที
ไซเลือกที่จะเจ็บตัวอีกครั้ง เขาใช้ทรัสเตอร์ระบบเผาไหม้พุ่งออกไปจากระยะอัพเปอร์คัทของเอชเอ็มทูจนตกลงพื้นแล้วกลิ้งไปติดผนังถ้ำ เขารีบลุกขึ้นและตัดสินใจบินกลับไปตั้งหลักที่ชั้นสิบทันที
เอชเอ็มทูที่เห็นศัตรูหนีไปชั้นสิบ ก็เดินกลับไปอยู่ที่ทางเชื่อมชั้นสิบสองโดยไม่สนใจจะตามล่าไซเลยแม้แต่น้อย
ไซรู้สึกแปลกใจกับพฤติกรรมของเอชเอ็มทู เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่เป้าหมายของมันที่ต้องจัดการ มันต้องการแค่ไม่ให้ใครเข้าไปที่ชั้นสิบสอง
“ชั้นสิบสอง มีอะไรกันแน่?”
ไซเริ่มคิด จักรกลที่เขาเคยสู้มาทั้งหมดมักจะมีพฤติกรรมแบบเดียวกัน นั่นคือกำจัดศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ไม่สนใจสิ่งใด แม้มันอาจจะต้องถูกทำลาย มันก็จะจัดการกับศัตรูให้ได้
แต่พฤติกรรมของเอชเอ็มทูตัวนี้แปลกอย่างเห็นได้ชัด มันแสดงท่าทีเหมือนป้องกันไม่ให้ใครลงไปชั้นสิบสองได้ แต่การที่เด็กสาวผมเงินไม่อยู่ที่ชั้นสิบเอ็ด ก็น่าจะแปลว่าเธอลงไปชั้นสิบสองได้แล้วสิ
ไซดูเลขนาฬิกาที่กระจกครอบตา และพบว่าถึงเวลาที่คาดว่าลิเบอร์ตี้วิงก์จะบุกจู่โจมแอรี่แล้ว เขาสลัดความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับพฤติกรรมแปลกๆของเอชเอ็มทู
ไซลุกขึ้น มือทั้งสองจับดาบไว้แน่น แล้วเดินลงไปยังชั้นสิบเอ็ดอีกครั้ง เขาเห็นเอชเอ็มทูรออยู่หน้าทางลงชั้นสิบสอง มันไม่มีทีท่าจะพุ่งเข้ามาหาเขา
ไซลองทดสอบพฤติกรรมของมันโดยการตั้งท่าเตรียมพุ่งเข้าไป และพบว่าเอชเอ็มทูก็ตั้งท่าเตรียมรับเช่นกัน
[ต้องจัดการอย่างเดียวสินะ]
ไซพุ่งเข้าไปหาหุ่นเอชเอ็มทูด้วยไออ้อนทรัสเตอร์ พร้อมทั้งใช้สองมือจับดาบขวาของเขาไว้แน่น เตรียมพร้อมที่จะฟาดไปที่กลางลำตัวของเอชเอ็มทู
เอชเอ็มทูใช้มือทั้งสองข้างจับดาบสองมือไว้อย่างแน่นหนา ตั้งท่าเตรียมพร้อมที่จะปัดดาบของไซออกไปข้างบน
[เอาล่ะนะ…]
เพียงแค่สองเมตรก่อนปะทะดาบกับเอชเอ็มทู ไซใช้ทรัสเตอร์เผาไหม้ที่เท้าขวาเพื่อจุดระเบิดหมุนตัวฟันอากาศ จากการที่เขาหมุนตัวฟาดดาบก่อนถึงระยะ ทำให้ตอนนี้เขาหันหลังโล่งๆให้เอชเอ็มทูฟัน
เอชเอ็มทูไม่ปล่อยจังหวะนี้หลุดไป มันฟาดดาบสองมือจากล่างขึ้นบน ทว่า
ไซใช้ทรัสเตอร์เผาไหม้ลดความเร็วกระทันหัน ทำให้เอชเอ็มทูฟันพลาด มันจึงพยายามกดดาบฟาดลงมาที่ไซอีกครั้ง แต่ไซก็หมุนตัวหันหน้ามาเรียบร้อยแล้ว
ทรัสเตอร์เผาไหม้ทำงานอีกครั้ง ไซพุ่งเข้าไปฟันเอชเอ็มทูกลางลำตัวก่อนที่มันจะฟาดดาบลงมาได้ทัน ลำตัวของมันขาดครึ่งก่อนที่จะกระเด็นด้วยแรงกระทบจากการชนของไซ
ไซเบรคตัวลงกับพื้นแล้วนั่งคุกเข่าลงทันที เขารู้สึกได้ว่าตัวเขาหายใจเร็วมาก และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
[ร่างกายรับไม่ทันแล้วสินะ ฝึกมาไม่พอจริงๆด้วย]
ภาพที่ไซมองเห็นเริ่มจางลงเป็นขาวดำ แล้วจึงค่อยๆมืดลง
ไซหยุดการเคลื่อนไหวทุกอย่าง พยายามฟังเสียงรอบข้างขณะที่รอให้อาการหน้ามืดหายไป
[เสียงดาบ… ชั้นสิบสองสินะ]
หลังจากที่ภาพที่เขามองเห็นกลับมามีสีสันอีกครั้ง เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินย่องลงไปยังชั้นสิบสอง แต่เขาก็ต้องตะลึงกับสิ่งที่เขาเห็น
ซากหุ่นจำนวนมากกองอยู่บนพื้น ทั้งหุ่นจักรกลที่มีปืนแกตลิ่ง และหุ่นรูปร่างมนุษย์ พวกมันถูกฟันขาดเป็นส่วนๆซึ่งดูจากร่องรอยแล้วเกิดจากดาบอนุภาคสั่น
ไซค่อยๆย่องไปตามเสียงที่ได้ยิน เขาค่อยๆย่องหลบหลังกำแพง แต่ยังไม่ทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงเหล่านั้นก็หยุดลง
ไซหยิบดาบคู่ขึ้นมาและบินข้ามกำแพงและเตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้าไปโจมตีศัตรู แต่สิ่งที่เขาเห็นคือหุ่นเอชเอ็มทูกำลังแตกเป็นสองท่อน ท่ามกลางพื้นที่เต็มไปด้วยซากหุ่นเอชเอ็มทู สิ่งเดียวที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางซากหุ่นเหล่านั้นมีเพียงเด็กสาวผมยาวสีเงิน พร้อมทั้งดาบยาวในมือของเธอ
ไซเห็นว่าเด็กสาวหันหลังให้เขาอยู่ เขาจึงเตรียมพุ่งเข้าไปโจมตีเธอทันที โดยเขาจะเล็งไปแค่ดาบและฟุตทรัสเตอร์
เพียงพริบตาก่อนที่เขาจะลงมาถึงตัวเธอ เด็กสาวหมุนตัวกลับแล้วพุ่งหลบ ทำให้ไซโจมตีพลาด เขาย่อลงพื้นเตรียมที่จะพุ่งถอยไปตั้งหลัก แต่ทว่าช้าไปแล้ว
ดาบยาวของเด็กสาวยื่นมาจากข้างหลัง ผ่านข้างขวาของใบหน้าของไซ เพียงพริบตา เด็กสาวสามารถพุ่งหลบแล้วพุ่งเข้าเอาดาบมาจ่อเขาได้อย่างรวดเร็ว
ไซปล่อยมือจากดาบทั้งสองข้างและยกมือขึ้นยอมแพ้ทันที เขารู้ว่าถ้าเขาขยับตัวแม้แต่น้อย ดาบเล่มนั้นจะฟันทะลุคอซึ่งเป็นส่วนที่ไม่มีเกราะพลังงานอยู่
“นายเป็นมนุษย์ใช่ไหม?”
ความคิดเห็น