คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Galon
ท่ามกลางแสงดาวที่ส่องแพรวพราวลงมา เสียงฝีเท้าที่เงียบงันค่อยๆ ก้าวผ่านหน้าผมไป คบไฟที่ส่องสว่างในป่าทึบไหวไปมา ในมือกุมดาบแน่นแต่ว่าในใจได้แต่ภาวนาว่าขอให้อย่าได้ใช้มันเลย..
แต่แล้วราวกับฟ้าแกล้ง ด้านหลังของผมทหารนายหนึ่ง กลับหยุกหยิกจนทำให้พุ่มไม้สั่นไหวจนเกิดเสียง ถึงแม้จะไม่ใช่เสียงที่ดังมากก็ตาม แต่ท่ามกลางความมืดที่เงียบงัน มันเป็นสิ่งบ่งบอกว่ามีบางอย่าง อยู่ที่นั้น ตรงนั้น แสงไฟที่ไหวไปมารับรู้ถึงเสียงนั้น จึงค่อยๆ รุกก้าวเข้ามา ผมหันกลับไปส่งสายตาเชิงตำหนิให้แก่ทหารผู้นั้น เขาจึงได้กล่าวขอโทษโดยไร้ซึ่งเสียงพูด
ทางเลือกเหลือไม่มากแล้ว ผมกลับไปมองแสงไฟที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ถ้าจะต้องทำหละก็ มีแต่ตอนนี้เท่านั้น ผมกระโจนออกจากที่ซ่อน มือซ้ายยื่นตรงไปยังใบหน้าเป้าหมายคือปาก มือขวาถือดาบพุ่งตรงเข้าหัวใจ ชั่วพริบตาหนึ่งชีวิตก็ดับลง สายตาผมมองหาชีวิตต่อไป เท่าที่มองเห็นมีอีกราวๆ สี่.. ไม่ ห้า.... เป็นจำนวนที่มาก หากคิดว่าต้องจัดการโดยไร้ซึ่งเสียง
ผมกัดฟัดกรอด ถอนดาบออก เป้าหมายของดาบต่อไปคือลำคอของชายอีกคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ส่วนมือซ้ายก็หยิบมีดสำรองที่เอว ขว้างตรงไปยังดวงตาของอีกคน อีกสองคนที่เหลือยังไม่รู้สึกตัว ผมมีเวลาไม่มากนักก่อนที่ศพนึงจะทรุดถึงพื้นแล้วทำให้เกิดเสียง ผมรีบตรงหรี่ไปยังอีกคนแล้วแทงเข้าที่ที่ลำคอครั้งนี้ผมไม่ถอนดาบออกมา เพราะผมต้องการความคล่องตัว เพื่อจัดการคนสุดท้าย มือซ้ายผมรีบคว้ามีดที่อยู่ข้างเอว แต่นั้นคือความผิดพลาด.... เพราะผมใช้มีดที่ข้างเอวไปแล้ว
ทันทีที่ผมรู้สึกถึงความผิดพลาดของตน ชายอีกคนก็รู้สึกตัวแล้ว เวลาเหลือน้อย งานนี้เอาไงเอากัน ผมตัดสินใจโถมตัวพุ่งชนฝ่ายตรงข้ามสุดกำลัง ด้วยการกระทำที่คาดไม่ถึงของผม ทำให้อีกฝ่ายไม่ทันส่งเสียงออกมาได้ โอกาสมาถึงผมอีกครั้ง ครั้งนี้ผมรีบกดศัตรูลงกับพื้นแย่งอาวุธมาและจัดการ.......
แฮ่ก.... แฮ่ก.... ที่ผ่านมาผมพยายามสะกดลมหายใจให้เบาที่สุดจึง และไหนจะต้องสังหารศัตรูลงถึง ห้าโดยไม่ให้เกิดเสียงและรวดเร็วที่สุด มันทำให้ผมรู้สึกล้ากว่าปกติหลายเท่า
" ไม่เป็นไรแล้ว " ผมบอกกับทหารคนอื่นในกลุ่ม พวกเขาออกมาจากที่ซ่อน แล้วมองร่างของศัตรูสลับกับผมไปมา
" นายนี่สุดยอดไปเลยเหะ " ทหารคนหนึ่งถึงกับพูดออกมา
" ไม่หรอกครับ " ผมปฎิเศษไป เพราะอันที่จริงแล้วผมพลาดไปตอนที่จะจัดการคนสุดท้าย แต่พวกเขาที่ซ่อนอยู่ในความมืดคงมองไม่เห็นความผิดพลาดนั้น แล้วเห็นแต่ผลลัพธ์ว่าผมสามารถจัดการได้ถึงห้าคนในเวลาอันสั้นและเงียบเชียบ
" รีบดับคบเพลิงเถอะครับ ก่อนที่ฝ่ายศัตรูจะตามมาสมทบ " ผมแนะนำไป ทุกคนก็พยักหน้ารับแล้วรีบทำตาม ชายอีกคนเข้ามายีหัวผมแล้วพูดชม " อะไรกันเจ้าหนุ่ม เด็กกว่าข้าตั้งเกือบ สิบปี แต่ฝีมือยอดไปเลยนี่หว่า
" ไม่หรอกครับ... " ผมพูด และนั้นคือสิ่งที่ผมคิดจริงๆ ถ้าหากผมมีฝีมือจริงๆหละก็...
พอคิดถึงเรื่องนั้นผมก็ได้แต่กัดฟันกรอด........
ทั้งๆ ที่ผ่านมาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นแต่ผมกลับรู้สึกได้เหมือนกับมันพึ่งเกิด.....
_______________________________________________________________
หลังจากที่ท่านแม่ทัพได้รับคำสั่งให้กลับเมืองหลวงก็รีบให้กองทัพถอนกำลังจากเมืองที่พึ่งยึดได้ทันที ซึ่งมันเป็นคำสั่งที่แปลกที่สุด ผมจึงรีบวิ่งตรงไปหาท่านแม่ทัพเพื่อถามเหตุผล เพราะไม่ว่ายังไง หลังจากที่เรายึดเมืองฝ่ายตรงข้ามได้นั้นเราไม่ควรจะถอนกำลังออกในทันที อย่างน้อยน่าจะตรึงกำลังเพื่อตระเตรียมหลายๆ อย่าง
" เป็นคำสั่งโดยตรงจากองค์ราชา " นั้นเป็นคำตอบที่ได้รับ
" แต่มันเป็นไ.......... " ผมพูดค้างไว้เพียงแค่ครึ่งเดียว ก่อนที่ท่านแม่ทัพจะชูจดหมายที่ลงตราประทับมงกุฎดาบไขว้ ซึ่งเป็นตราประทับของซึ่งมีเพียง ราชาเท่านั้นที่มีครอบครอง
" เป็นไปไม่ได้.... " ผมพูดสิ่งที่ค้างไว้ออกมา ท่านแม่ทัพวางกระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะโดยเป็นนัยว่า 'ดูให้ชัดๆ'
เนื้อความในจดหมายสั้นและมีใจความว่าให้ถอนกำลังกลับมายังเมืองหลวงเพื่อรับรางวัล และลงท้ายด้วยพระปรมาภิไธย และตราประทับสีแดงรูปมงกุฎดาบ ผมกุมจี้ที่อกไว้แน่พลางกัดฟันกรอด...
นี่เป็นของปลอม.....
แต่ว่า นี่เป็นของปลอมที่เหมือนจริงมาก..... จนผมไม่สามารถบอกได้ว่าส่วนไหนของจดหมายนี้เป็นของปลอม ทุกอย่างล้วนแต่แนบเนียนและเหมือนจริง จนสามารถพูดได้ว่านี่คือของจริง
" แต่ว่า ท่านไม่สงสัยว่าทำไมถึงมีคำสั่งให้ถอนกำลัง เร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ " ผมพยายามให้เหตุผล แต่ว่ามันไม่อาจคานกับอำนาจจดหมายขององค์ราชาได้เลยแม้แต่น้อย ท่านแม่ทัพเอาแต่บอกกับข้าว่านี่เป็นคำสั่งขององค์ราชาไม่อาจขัดได้ ถ้าหากข้ายืนกรานจะต่อล้อต่อเถียงกับเขา เขาจะจับผมลงคุกซัก 3 วัน ฐานขัดขืนคำสั่ง
ผมถูกเตะออกมาจากห้อง หลังผมยืนกรานว่าให้ท่านแม่ทัพพิจราณาคำพูดของผม อย่างน้อยๆ เขาก็ไม่จับผมลงคุกจริงๆ คนอื่นๆ ก็ไม่สงสัยกับคำสั่งที่แปลกๆ นี้เลย... ทุกคนต่างพากันดีใจที่จะได้กลับเมืองหลวงกัน
น่าแปลกมาก..... จดหมายฉบับนั้นมาจากไหน มันถูกปลอมแปลงมาได้อย่างไร ลำพังแค่พระปรมาภิไธยยังสามารถปลอมแปลงได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนมากก็สามารถตบตาได้ แต่ว่า ตราประทับที่ไม่สามารถลอกเลียนได้ง่ายๆ ทั้งตัวตราที่ต้องสลักอย่างปรานีต และหมึก3สีในตัวตรา... ไม่ใช่สิ่งที่สามารถเลียนแบบได้โดยง่าย... ไหนจะคำสั่งให้ถอยทัพแบบแปลกๆ ทำไมต้องสั่งให้ถอนทัพ? และในเวลานี้? เพื่ออะไร.....
" โฮ่...... " เสียงหนึ่งพูดกับผม " เจ้าก็คิดเหมือนกันรึ... "
แย่หละ... ดูเหมือนผมจะเผลอพึมพำออกไปโดยไม่รู้ตัว.....
" ไม่ใช่ท่านแม่ทัพหรอกที่ให้ถอนกำลัง "
ประโยคนั้นเป็นราวกับประกายไฟท่ามกลางความมืดมน ผมหันควับไปในทันใด ไม่มีใครรู้เรื่องจดหมายตราประทับขององค์ราชา.... ไม่มีใครรู้ว่านี้เป็นคำสั่งจากองค์ราชา...
" ทะ....ท่านหมายความว่า.... อย่างไรครับ " ผมถามเสียงเครียด
แต่ไม่มีคำตอบใดๆ มอบให้แก่ผม.....
_____________________________________________________
กลับมายังปัจจุบัน พวกเรายังคงค่อยๆ เคลื่อนทัพไปอย่างเงียบๆ ในช่วง 3 วันนี้พวกเราเลือกที่จะซ่อนตัวในยามกลางวันและเคลื่อนที่ในยามกลางคืน แม้จะลำบากแต่ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดตอนนี้ พวกเราไม่ใช้คบเพลิงในการเดินทาง พวกเราเพียงอาศัยแสงจันทร์และดวงดาราเพื่อนำทาง ผมพอจะมีความรู้เรื่องโหรศาตร์เล็กน้อย จึงสามารถบอกเส้นทางที่ถูกต้องได้ จุดหมายของพวกเราก็คือค่ายทหารของฝ่ายเราที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ถ้าหากเดินเท้าไปก็คงไม่เกินแค่วันเดียว
“ เจ้านี่ไม่เบาเลยเจ้าหนู ” ท่านแม่ทัพกล่าวชมเชย แต่เสียงของท่านกลับเหลือเรี่ยวแรงเพียงไม่มากนัก อันที่จริงท่านไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ ผมจำเป็นต้องเดินหิ้วปีกเขาไป
“ ไม่หรอกครับ..... ผมไม่ได้... ” ผมพูดยังไม่จบแต่แขนท่านแม่ทัพก็ขยับออกแรงกอดผมเล็กน้อย
“ ทำได้แค่นี้ก็สุดยอดมากแล้วเจ้าหนู รวมทัพที่แตกออกมาได้ และถอยหนีจากการต่อสู้อย่างรวดเร็ว ”
“ ....แต่ผมไม่สามารถ....” ผมพูดแล้วมองลงไปที่บริเวณท้องของท่านผ้าพันแผลที่เต็มไปด้วยเลือดลามมาถึงบริเวณช่วงอก
“ อย่าพูดโง่ๆ น่า ดีที่สุด ไม่ได้หมายความว่า มันจะต้องดีจริงๆ ซะหน่อย ” ท่านแม่ทัพพูดออกมาพร้อมกับฝืนหัวเราะ เมื่อเสียงหัวเราะของของหายไปก็กลายเป็นคำขอโทษจากปากของเขาแทน
“ ข้าน่าจะฟังเจ้าตั้งแต่ตอนนั้น.. เจ้าหนู.... ”
ผมอ้าปากจะพูดบางอย่างแต่ว่าสิ่งที่ผมพูดออกมาตอนนี้ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม... มันก็คงไม่อาจช่วยให้ท่านแม่ทัพรู้สึกดีขึ้นได้.... เพราะเขาเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่มีวัยเพียงสิบห้า... น้อยเกินกว่าที่จะเข้ามาร่วมรบได้ด้วยซ้ำไป
“ แดน.... ก็พูดเหมือนกับเจ้า ” เขาพูดออกมาราวกับเป็นคำสารภาพ
“ ถึงจะน่าหงุดหงิด... แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่าเจ้านั่น มีความสามารถมากกว่าข้า..... ไม่สิ นี่คงเป็นความอิจฉาเสียมากกว่า.... ” ท่านแม่ทัพยังคงพูดต่อ
“ ทั้งเจ้า..... และดันแคนด์ รู้อยู่แล้วสินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ” เขามองตรงมายังผมเพื่อคาดขั้นเอาความจริง
ผมไม่สามารถโกหกได้..... ทั้งผมและดันแคนด์หรือเรียกสั้นๆกันว่าแดน รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมเล่าเรื่องการคาดเดาถึงจดหมายปลอม และซึ่งที่ ท่านดันแคนด์ได้คาดเดาไว้ว่าจะมีการซุ่มโจมตีกลางทาง ฝ่ายศัตรูสามารถใช้กำลังรบเพียงแค่ 1/10 ของพวกเรา ก็สามารถตีขนาบข้างพวกเรากองทัพที่กำลังถอยทัพกลับเมืองหลวงอย่างไม่เป็นระเบียบ ได้อย่างง่ายดาย
“ ข้าช่างเป็นแม่ทัพที่ไร้ความสามารถ... ” ท่านแม่ทัพกล่าวติตัวเอง “ หลงกลให้กับกลอุบายตื้นๆ.... ”
ไม่หรอกครับ.. อุบายนี้แม้จะตื้นๆ... แต่ว่ามันจะไม่สามารถสำเร็จได้เลยถ้าหาก...
“ ถ้าหากอะไรหรือเจ้าหนู ” ท่านแม่ทัพถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น....
“ จดหมายปลอมครับ.. ” สิ่งที่น่ากลัว ข้อสันนิฐานที่น่ากลัวเกินกว่าที่จะเป็นจริงไปได้
ปรมาภิไธย แม้จะสามารถปลอมได้ แต่ว่าการจะปลอมให้ใกล้เคียงนั้นถือว่ายาก นอกจากนั้น ตราประทับสีแดงรูปมงกุฎดาบไขว้... มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำเลียนแบบขึ้นมาได้ ผู้ที่มีในครอบครองนั้นมีน้อยกว่าจำนวนนิ้วบนหนึ่งมือเสียอีก และรอยประทับตราในจดหมายเรียกได้ว่าเป็นของจริงได้เลยทีเดียว
“ นั้นหมายความว่า... ” ผมไม่อาจกล่าวข้อสันนิฐานจนจบได้.... แต่ว่าท่านแม่ทัพก็ช่วยเติมคำพูดที่หายไป
“ มีคนทรยศ..... และเป็นคนระดับสูงมากทีเดียว..... ”
เสียงกิ่งไม้ไหวผมส่งสัญญาณให้หยุด ความเงียบเข้าครอบงำทั่วทั้งบริเวณ เมฆถูกลมแรงพัดจนบังแสงจันทร์ ผมส่งสัญญาณให้หน่วยระวังหน้าค่อยๆสำรวจในแนวหน้าว่าไม่มีอะไร หลังจากได้รับการยืนยันพวกเราจึงค่อยคลายการระแวดระวังลง
“ เจ้าหนู ข้อสันนิฐานของเจ้านั้นยอดเยี่ยม... ” ท่านแม่ทัพกล่าวชมแต่น้ำเสียงของท่านกลับไม่ได้แสดงออกถึงความชื่นชม มันเป็นเสียงที่แสดงถึงความสงสัยและไม่แน่ใจ....
เจ้าเป็นใครกันแน่
“ เด็กอย่างเจ้ารู้เรื่อง ตราประทับได้อย่างไรกัน.... เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเจ้าของตราประทับนี้มีเพียงไม่กี่คน... เรื่องเหล่านี้ชาวบ้านทั่วๆไปหรือทหารชั้นต่ำไม่มีทางรู้ได้หรอก.... ” มือของท่านแม่ทัพข้างหนึ่งเลื่อนลงมาที่ด้านดาบที่ข้างเอว
“ .......... ไปกันต่อเถอะครับ พ้นเขาลูกนี้ก็จะมองเห็นค่ายที่มั่นของพวกเราแล้วครับ ” ผมเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้น เวลานี้สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าผมเป็นใคร เพราะสิ่งนั้นไม่ช่วยทำให้พวกเรารอดจากสถานการณ์ไปได้
ท่านแม่ทัพไม่พอใจกับคำตอบของผมแต่ท่านก็ยอมปล่อยมือจากดาบแต่โดยดี
____________________________________________________
ในวันที่บุกยึดเมืองในขณะที่กำลังพังประตูเมือง ผมได้เห็นทหารนายหนึ่งบุกเข้าไปกลางเมืองของศัตรูท่ามกลางคำสั่งถอย ในตอนนั้นผมคิดไปว่าทหารนายนั้นช่างโง่เขลา การบุกเข้าไปโดยไม่รู้ว่าในนั้นมีกับดักอะไรบ้างเป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย ทหารม้ากองหนึ่งต้องหายไปเพราะหลุมพรางง่ายๆมาแล้ว
แต่ว่าชายคนนั้นกลับทะลวงแนวหน้าศัตรูเสียเละนอกจากนั้นทหารฝ่ายเรายังหึกเหิมวิ่งตามชายคนนั้นเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิตและกลายเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามทำให้พวกเราได้ชัยชนะมาได้
เพราะอะไรเขาถึงทะลวงเข้าไปในนั้น........
“ เพราะมีที่ๆ ข้าต้องกลับไปหน่ะสิ...... ” คำตอบของเขานั้นเป็นเพียงนิทานชีวิตเพียงหนึ่งเรื่อง ชีวิตของชายที่กลั่นแกล้งโดยขุนนาง.... โดนบังคับให้มาอยู่ในสนามรบและนอกจากนั้นยังโดนแย่งคนรัก...
“ ถ้าท่านได้พบกับนางอีกก็คงดีสินะครับ ” ผมพูดพลางดื่มไวน์เป็นเพื่อนเขาท่ามกลางคืนที่ไร้ซึ่งดวงดาว มีเพียงจันทราเพียงหนึ่งในคืนฟ้ากระจ่าง
“ แล้วเจ้าหละ.... ” เขาถามผมกลับมาแต่ผมไม่อาจจะตอบคำถามของเขาได้ ผมได้แต่กุมจี้สีเงินที่กลางอกเอาไว้แน่นด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย....
“ ..... แต่ละคนมีเหตุผลต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องเล่าก็ได้ ” เขาพูดพลางยื่นกำปั้นออกมา
มันคือพิธี.... และเป็นคำสาบานง่ายๆ ที่เหล่านักรบมักจะใช้กัน มันแสดงถึงการยอมรับซึ่งกันและกันของสหายศึกที่รวมรบกันมานาน เปรียบเสมือนกับการสาบานว่าจะเป็นเพื่อนกันไปจนกว่าจะตายไปในสนามรบ.. สำหรับเหล่าหทารด้วยกันแล้ว ถือเป็นเกียตริ์สูงสุดหากได้รับจากสหายศึกด้วยกัน พิธีก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากนัก.. แค่เพียงยื่นกำปั้นออกมา
ผมกล่าวบทเปิด พร้อมกับเหยียดกำปั้นออกไปจนสุดแขน
“เมื่อนักรบคนหนึ่งเหยียดแขนหนึ่งมา... “
เขากล่าวต่อ พร้อมกับทำเช่นเดียวกัน
“ จงเหยียดแขนอีกข้างของเจ้าไปจนสุด.... ”
พวกเรากล่าวพร้อมๆกัน
“ ยามเมื่อกำปั้นกระทบกัน ข้าขอสาบาน.... ”
พร้อมกับกระทบกำปั้นเข้าด้วยกัน
“เราจักเป็นสหายร่วมรบไปจนวันตาย.......”
____________________________________________________
สถานการณ์ย่ำแย่ ทั้งๆที่แค่ข้ามเขาลูกนี้ไปได้ก็จะถึงที่ตั้งค่ายของเราแล้ว แต่ด้วยความชะล่าใจมากเกินไปของผมทำให้เราตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู เป็นเพราะเมื่อคืนเราสังหารฝ่ายตรงข้ามลงไปห้าคน และยังไม่ได้ทำการอำพรางศพและร่องรอย ย่อมทำให้ง่ายแต่การติดตาม ผมหิ้วปีกท่านแม่ทัพแล้ววิ่ง ทหารฝ่ายเราหลายคนยอมรั้งท้ายให้พร้อมกับคำพูดทิ้งทวนเทห์ๆ
“ เจ้าหนู ฝากท่านแม่ทัพด้วย!! ”
“ ถ้าเป็น นายต้องทำได้แน่!! ”
ไอ้พวกบ้า!!!!
ผมกรนด่าพวกนั้นในใจ ดวงตาผมเอ่อล้นด้วยน้ำตา มันเป็นน้ำตาของความเจ็บใจ เจ็บใจที่ตัวเองรู้ดีว่านั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพื่อซื้อเวลา เจ็บใจที่รู้ว่าต้องทิ้งพวกนั้นไว้ และพวกนั้นจะต้องตายแน่ๆ ถ้านี้เป็นกระดานหมากรุก นี้คือการเสียเบี้ยเพื่อหนีจากรุกฆาต....
แต่นี้ไม่ใช่กระดานหมากรุก และพวกเขาไม่ใช่เบี้ย แต่เป็นมนุษย์ คนเป็นๆ มีครอบครัว มีคนรัก มีพี่น้อง มี ที่ๆต้องกลับไป ผมตะโกนคำที่ไม่มีความหมายมากมายออกมา มันคือความแค้น มันคือความเจ็บใจ ความเจ็บปวดความเกลียด.. ไม่ใช่ต่อใคร แต่ ต่อตัวผมเอง....
ต่อตัวเองที่อ่อนแอ่ ต่อตัวเองที่ไม่ยอมเป็นคนที่รั้งท้ายเพื่อผู้อื่น ต่อตัวเองที่ต้องให้คนอื่นปกป้อง ต่อตัวเองที่ต้องถูกปกป้อง
วินาทีหนึ่งที่ผมหยุดเพราะได้ยินเสียงร้องอันแสนโหยหวนจากด้านหลัง วินาทีนึง ผมคิดจะหันกลับไปแล้วฟาดฟันกับพวกมันให้รู้แล้วรู้รอด วินาทีนึงผมคิดจะวิ่งกลับไปแล้วช่วยพวกเขา.... ถ้าเป็นตอนนี้หละก็ยังทัน!! แต่น้ำหนักบนบ่าผมกลับหนักขึ้น ท่านแม่ทัพรั้งตัวผมเอาไว้ สายตาของท่านจริงจัง สายตาของท่านบอกกับผม
เจ้าจะทำให้ความกล้าของพวกนั้นเสียเปล่า....
ผมได้แต่กัดฟันกรอด ก้มหน้าแล้วหิ้วปีกท่านแม่ทัพแล้วลิ้มรสความอัปยศนี้เอาไว้
“ จำเอาไว้เจ้าหนู ” แม่ทัพพูดออกมา “ นี้หละหน้าที่ของผู้นำ.... ผู้ที่อยู่เหนือกว่าผู้อื่น..... ”
หน้าที่ของผู้นำ.. ทิ้งชีวิตของพวกพ้องเอาไว้ข้างหลังแล้วเอาตัวรอดไปนะเหรอ!!
“ และแบกรับสิ่งนั้นเอาไว้..... ” ท่านพูดต่อ “ การเสียสละเป็นเรื่องจำเป็น... ”
เรื่องแบบนั้น!!
ทันใดนั้นชุดของอัศวินของฝ่ายตรกข้ามกระโจนออกมาจากสองข้างทาง ขวางทางพวกเราเอาไว้ หมวกเหล็กและชุดเกราะเต็มยศ หอกยาวที่พร้อมทิ่มแทงพวกเราทุกเมื่อ
“ เจอตัวเสียที ” พวกมันพูดด้วยน้ำเสียงพึงพอใจภายใต้หน้ากากเหล็ก ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่มองลงมาผ่านกระบังหมวกเหล็ก พวกมันกระตุกบันเหียนเรียงแถวพุ่งเข้ามา ตั้งหอกตรงมายังพวกเรา ผมใช้มือข้างที่ว่างอยู่ชักดาบออกมา
สู้กับทหารที่ใส่เกราะอัศวินเต็มยศบนหลังม้า แถมไม่ใช่เพียงแค่หนึ่ง นอกจากนั้นผมยังต้องหอบร่างของท่านแม่ทัพเอาไว้ แถมถือดาบที่ไม่คุ้นมืออีก.. ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะรอดไปจากที่นี่ได้ยังไง ผมได้แต่รับและปัดคมหอกของฝ่ายตรงข้ามออกไป การเคลื่อนไหวของผมแย่มากอาจจะเป็นเพราะผมได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงมาเมื่อหลายวันนี้ และยังต้องพาตัวท่านแม่ทัพมาอย่างนี้อีก
แล้วหอกของฝ่ายตรงข้ามได้เลือดผมไป ผมกระเดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจถึงอย่างนั้นผมก็ฟาดดาบลงสร้างแผลแทงลงไปช่วงข้อต่อของเกราะม้า พวกมันล้มลงไปด้านหลังผมไม่ไกลนัก ผมรีบตั้งดาบกลับมาแล้วเตรียมรับมือกับศัตรูที่พร้อมจะบุกเข้ามาอีกครั้ง
“ ไม่เลวเลยนี่... " ผมรู้สึกได้ถึงสายตาที่อยู่ภายใต้หมวกเกราะ
"..... ทั้งๆที่ยังเด็กอยู่แท้ๆ ” เขากล่าวชมเชยพร้อมกับลงมาจากหลังม้า น่าแปลกแม้เครื่องแต่งกายเขาจะไม่โดดเด่นกว่าศัตรูคนอื่น แต่ดูเหมือนคนอื่นๆ จะยำเกรงชายผู้นี้เป็นพิเศษ
“ แต่น่าเสียดาย ข้าและเจ้าเป็นศัตรูกัน พวกเราต้องฟาดฟันกัน ” เขาโยนดาบเล่มหนึ่งมาทางผม ผมมองดาบเล่มนั้นสลับกับตัวเขา
“ อย่าได้เข้าใจผิด ” เขาพูดราวกับอ่านใจข้าได้
“ ข้าไม่ได้ทำเพราะสงสาร หรือต้องการยื่นทางรอดให้กับเจ้า.... นี้ไม่ใช่การรบที่เท่าเทียม ข้าสมชุดเกราะเต็มยศ ส่วนเจ้ามีเพียงเกราะอ่อนเสริมเหล็กแค่บางส่วน ”
“ และแม้ว่าเจ้าชนะข้าได้ ทหารที่เหลือก็ไม่ปล่อยเจ้าและแม่ทัพของเจ้าไปเช่นกัน ” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ตั้งท่าเตรียมดวลกับผม
ดาบที่ผมใช้อยู่นั้นมันทั้งบิ่นและบิดเบี้ยวจนไม่สามารถใช้รบได้อีก ดาบที่เขาโยนมาให้เป็นดาบที่ดี มีน้ำหนักมากไปหน่อย แต่ความยาวอยู่ในระดับกำลังดี ตัวดาบไม่คมมาก ทันทีที่ผมหยิบขึ้นมามันทำให้ผมคิดถึงดาบที่มีใบดาบสีฟ้าที่ตัวเองเคยใช้
ผมวางท่านแม่ทัพลงแล้วตั้งดาบพร้อมคำถาม “ เช่นนั้นท่านทำเพื่ออะไร.. ”
“ เจ้าคือผู้ที่พาทหารที่ควรถูกพวกข้าบดขยี้ได้เมื่อสามวันรอดพ้นมาได้..... ”
“ เจ้าคือผู้ที่ประคับประคองกลุ่มทหารที่ควรจะหมดกำลังใจให้ลุกขึ้นมาสู้ได้ ”
“ เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าพึ่งล้มทหารม้าสวมเกราะเต็มยศลงได้.... ”
“ แต่อย่าได้เขาใจผิด ข้าไม่ได้หยิบยื่นโอกาสให้แก่เจ้า.... ข้ายังคงมีภารกิจที่จะต้องสังหารแม่ทัพของเจ้าทิ้ง ”
เขาตั้งดาบมาพร้อมรบ สายตาใต้หมวกเกราะนั้นมั่นคง เขากรำศึกและผ่านความเป็นความตายมามากมาย.. ผมก้าวขาอย่างระมัดระวัง ในช่วงวินาทีหนึ่ง เขาหายไป....
ทันทีที่ผมรู้สึกตัว บางอย่างกระแทกเข้าที่กลางอกผม ความเร็วที่ผมมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แรงกระแทกทำเอาผมลอยจากพื้นจนไม่รู้สึกถึงแรงโน้มถ่วงไม่ช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อตั้งสติได้ ผมก็ใช้เท้ายันเพื่อไม่ให้ตัวล้มลง ผมรีบกวาดตามองหาเขา แต่ผมเห็นเพียงแค่ประกายดาบจางๆ แม้ว่าผมจะตั้งดาบเพื่อป้องกันได้ แต่มันรุนแรงจนแทบทำให้มือผมหลุดออกจากดาบ ผมจำต้องจับด้ามดาบด้วยสองมือเพื่อความมั่นคง และฟาดดาบกลับไปแต่เขากลับใช้เกราะแขนซ้ายของตัวเองรับดาบของผม แล้วผมก็นึกขึ้นได้อย่างที่เขาพูด นี้ไม่ใช่การต่อสู้ที่เท่าเทียมหรือยุติธรรม เขาใส่ชุดเกราะเต็มยศอยู่ แต่ผมมีเพียงแค่ดาบเล่มเดียวเท่านั้น
เขาวาดดาบลงมาด้วยความเร็วมหาศาลจนผมหลบแทบไม่พ้น มันลากเอาแขนเสื้อขาดไปทั้งแขน ผมแทบไม่เชื่อว่านี้คือความเร็วของมนุษย์ ผมรีบเล็งดาบไปยังข้อต่อซึ่งเป็นส่วนที่เกราะเหล็กให้ความคุ้มครองไม่ทั่วถึง และนั้นคือความผิดพลาดของผม เขาหลบดาบที่ผมแทงด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยและยังปิดผนึกการเคลื่อนไหวของผมด้วยการใช้แขนข้างที่ว่างตรึงดาบของผมไว้ ผมเห็นเขาดาบของเขาง้างขึ้นเหนือหัว ดวงตาใต้เกราะเหล็กบ่งบอกว่านี้คือจุดจบของผม
ผมต้องตายลงที่นี่...?
ตรงนี้.....
ไม่.....
“ ไม่มีทาง!!!!!!!!! ”
ผมตะเบ็งสุดเสียงเพื่อเรียกความกล้า... เลือดในตัวผมสูบฉีดเร็วขึ้น รอบๆตัวผมดูจะเคลื่อนไหวช้าลง ผม...ปล่อยมือออกจากด้ามดาบ
นี้เป็นการตัดสินใจที่บ้าบิ่นที่สุดของผม ในสนามรบหากไร้ซึ่งอาวุธก็มีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ ดังนั้น นี่จึงเป็นการกระทำที่บ้าบิ่น แต่ผมไม่ได้ปล่อยมือจากดาบเพราะต้องการจะตาย แต่เพราะผมต้องมีชีวิตอยู่ ผมส่งแรงทั้งหมดลงไปยังกำปั้นของผม ผมซัดกำปั้นเข้าที่หมวกเกราะของเขาไปเต็มๆ
เจ็บชะมัด.... ก็แน่หละ มือเปล่าต่อเข้ากับเหล็กเต็มแรง แต่ด้วยการกระทำที่บ้าบิ่นนี้ได้เปิดโอกาสให้ผม แรงกระแทกเข้าที่หน้าน่าจะทำลายสมาธิเขาไปเล็กน้อยและมันมากพอที่จะทำให้มือเขาอ่อนแรงและปล่อยดาบของผมลง ผมถือโอกาสนี้กลับไปจับดาบของตัวเองแล้วกระโจนขึ้นแล้วทิ้งน้ำหนักตัวเองลงไปพร้อมๆกับฟาดดาบลงไปสุดแรง
เสียงดังสนั่นราวกับระเบิด กิ่งไม้และใบไม้รอบๆ สั่นไหวเพียงเพราะดาบปะทะกับเกราะโลหะ แรงอันมหาศาลที่ได้มาจากน้ำหนักตัวผมบวกกับแรงกระแทกที่ฟาดลงไปมากพอที่จะตัดผ่านเกราะเหล็กกล้าของศัตรูได้ แต่ว่ามันกลับไม่มากพอที่จะสร้างบาดแผลที่ลึกถึงตายให้กับเขาได้
“ ยอดเยี่ยม..... ” เขาพูด วินาทีหนึ่งผมเห็นเขายิ้มผ่านหมวกเกราะ มันเป็นรอยยิ้มที่น่ากลัว ริมฝีปากของเขาแทบฉีกไปจนถึงหู
เขาฟาดดาบลงเข้าใส่ผม เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกถึงแรงกระแทกอันมหาศาล.... แล้วผมก็รู้สึกตัวว่าจริงๆแล้วเขาไม่ได้ใช้ คมดาบสู้กับผมเลยตั้งแต่เริ่มสู้มา...
ผมล้มลงแผ่หลาลงที่พื้น... นี้คือความพ่ายแพ้อันสมบูรณ์แบบ.....
“ ยอดเยี่ยม เจ้าหนู..... ” เสียงของเขาราวกับมาจากที่ไกลทั้งๆที่เราอยู่ห่างกันเพียงไม่กี่ก้าว ผมพยายามดันตัวขึ้นมา แต่ร่างกายมันกลับไม่ยอมทำตาม สิ่งที่ผมทำได้จึงมีแค่มองไปยังตัวเขาที่เดินเข้าไปหาท่านแม่ทัพอย่างช้าๆ
“ เจ้าควรภูมิใจนะท่านแม่ทัพ ท่านมีลูกน้องที่มีฝีมือขนาดนี้ ” เขายื่นดาบไปจรดที่ปลายหน้าผากของท่านแม่ทัพ
“ แน่นอน... ” ท่านแม่ทัพตอบอย่างภาคภูมิ เขามองมายังผม สายตาของเขาไม่แสดงถึงการขัดขืนต่อความตายเบื้องหน้าแม้แต่น้อย
“ มีอะไรจะพูดเป็นครั้งสุดท้ายไหม...... ” อัศวินผู้นั้นถามท่านแม่ทัพ
แต่ท่านแม่ทัพส่ายหัวเบาๆ พร้อมกับมองมายังผม...
“ ไว้ชีวิตเขาได้ไหม ” ท่านแม่ทัพกล่าว คำว่า เขา ในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงตัวท่านแม่ทัพเองแต่หมายถึงตัวผมเอง
“ เกรงว่าจะไม่... เขาจะเป็นภัยให้แก่เราในภายหลัง ” อัศวินตอบ
“ งั้นหรือ.... ” เขาหลับตาลงแล้วยอมรับความตายของตัวเอง
ผมแผดเสียงออกสุดเสียง แต่อัศวินผู้นั้นง้างดาบโดยไม่สนผมแม้แต่น้อย.....
_________________________________________________________________
“ ทำไมท่านถึงไม่บอกท่านแม่ทัพหละครับ!! ” นั้นคือคำถามแรงเมื่อผมหาเขาเจอ นักรบหนุ่มผมสีแดงร่างกายกำยำสมวัย หลายคนเรียกเขาว่าน แดน ที่ย่อมาจากชื่อเต็มว่า ดันแคนด์
เสียงของเขาเหนื่อยหน่ายใจตอบผมพลางชี้ไปรอบๆ ทหารที่เดินที่เดินทัพไม่เป็นระเบียบ คุยกันบ้างหยอกล้อกันบ้าง ทุกคนต่างดีใจที่กำลังจะได้กลับเมืองหลวงบางคนอาจจะได้ปลดประจำการพร้อมกับเงินก้อนโต...
“ สภาพแบบนี้เจ้าคิดว่าจะเป็นยังไงถ้าหาก... ” จู่ๆสายตาของ ดันแคนด์ก็เปลี่ยนไป
ในชั่วพริบตาน้ำหนักมหาศาลก็กดตัวผมลงกับพื้นในชั่วพริบตา ดวงตาผมพร่ามัวไปชั่วขณะ เมื่อรู้ตัวอีกทีดาบคู่ใจที่ข้างเอวก็ไม่อยู่แล้ว ใจของผมหายวูบแต่ทันใดที่ผมเห็นประกายดาบสีฟ้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของดาบผมกำลังฟาดฟันกับศัตรู ผมก็ค่อยโล่งใจ ดันแคนด์กำลังถือดาบของผมไว้ที่ขว้างขวาส่วนด้านซ้ายเป็นดาบของเขาเอง เขาเข้าโรมรันสังหารศัตรูคนแล้วคนเล่า แทบไม่น่าเชื่อว่านี้จะเป็นฝีมือของคนแค่คนเดียว
“ พาพวกหทารหนีไป!! ตรงนี้ข้ารับมือเอง ”
“ ท่านจะบ้าเหรอ!!! ” ผมปฎิเศษสวนไปแทบจะในทันที แต่เขาไม่ฟังคำคัดค้านจากผม เขากระชากตัวผมจนขาผมแทบจะลอยจากพื้น
“ แกนั้นหละที่บ้า!!!! ”
เขาเบ็งใส่ผมเต็มเสียง พลางใช้มืออีกข้างชี้ไปรอบๆ “ ฟังข้าให้ดี!! ลองคิดดูพวกมันวางแผนลอบโจมตีพวกเรา!! เป้าหมายของมัน ไม่ใช่ทหารชั้นเลวอย่างเรา แต่เป็นท่านแม่ทัพ!!! เจ้าคิดดูจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าหากท่านแม่ทัพตายลงที่นี่!!”
ทัพของเราจะแตกหือ.... ศัตรูจะสามารถไล่ล่าพวกเราทีละคน...ละคน
ศัตรูนายนึงกำลังตรงเข้ามาหาเราจากมุมอับสายตาของดันแคนด์ ผมพยายามจะร้องเตือนแต่ว่า แค่พริบตาเดียวเขาก็จัดการด้วยการหมุนตัวแล้วเตะอัดมันเข้าที่หน้าจนปลิวไปติดต้นไม้
“ ฟังให้ดี!! ” เขาพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราวกับว่าศัตรูเมื่อครู่ไม่เคยเข้ามาขัดบทสนทนาเลย “ คุ้มกันท่านแม่ทัพแล้วพาทุกคนหนีไปให้ได้!!! ”
เขาทิ้งช่วงไปแวบหนึ่งพร้อมกับหันกลับไปฟันร่างของศัตรูที่ตั้งใจพุ่งเข้ามาสังหารเขาจนขาดครึ่งก่อนจะพูดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะตายที่นี่ และตรงนี้ ทั้งหมด!! ”
ผมกัดฟันกรอด... ไม่มีใครรู้เรื่องซุ่มโจมตี.... การจู่โจมอย่างเฉียบพลั่นนี้ทำให้เกิดความสับสน และศัตรูจะใช้โอกาสนั้นทำลายกองทัพของเราได้ในพริบตา ต้องมีใครซัดคนเตือนท่านแม่ทัพ.... แต่เขาหละ.....
ผมเชื่อว่าเขามีฝีมือเพราะเขานี้หละ ทำให้กองทัพเราสามารถบุกยึดเมืองได้เมื่อวานได้ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจะเขาจะมีชีวิตรอดกลับไปได้.... เรื่องที่เขาเล่าให้ผมฟัง เรื่องของเขากับคนรัก และเรื่องความโชคร้ายที่เขาต้องมาเป็นทหารอยู่ถึงสี่ปี... ยิ่งคิดผมยิ่งเจ็บใจ ยิ่งพูดฟันของผมก็ยิงกัดกรอด.... ผมไม่อาจทิ้งเขาไปตรงนี้ได้
ในขณะที่ผมกำลังจะพูดบางอย่างออกไปนั้นเอง ผมก็ถูกผลักออกไป ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงผลักผมออกไปจนกระทั่งผมเห็นลูกศรหนึ่งดอกทะลุอกเขาไป ตรงตำแหน่งที่ผมควรจะอยู่เมื่อซักครู่นี้ ผมได้ยินเสียงเขาร้องเบาๆ
วินาทีต่อมาเขาก็ดึงผมมาหลบหลังต้นไม้ที่น่าจะเป็นมุมอับสายตาของมือธนูได้ เขากัดฟันพลางมองแผลลูกธนูที่ทะลุจากอกด้านหน้าทะลุไปยังด้านหลัง นี่ถ้ามันอยู่ต่ำกว่านี้อีกนิดนึงหละก็มันคงทะลุหัวใจของเขาไปแล้ว ลมหายใจของเขาปั่นป่วนเหมือนคนที่ใกล้จะตาย แต่เขายังคงหันมาพูดกับผม
" ฟัง...ข้า.. ให้ดี....." เขากัดฟันแล้วปรับลมหายใจเพื่อให้พูดได้ถนัด " ข้าเองก็ไม่อยากตายที่นี่เหมือนกัน.... "
เขาไอออกมาเป็นเลือด แต่ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจ เขายังคงพูดย้ำกับผม " พาคนหนีไปให้ได้มากที่สุด "
ครั้งนี้เขาไอโขลกออกมาเป็นเลือดจำนวนกมากไหลทะลักออกมาจากปาก ยิ่งเขาพูดมากเท่าไหรดูเหมือนเขาจะยิ่งแย่ลงมากขึ้นเท่านั้น
“ หากรอดไปได้หละก็............. ” เขาถอดปลอกแขนเหล็กออก ข้างในปลอกแขนเหล็กคือกำไลข้าวสาลีที่แทบจะขาดมิขาดแหล่อยู่แล้ว
" นำนี่ไปให้กับเอลด้วย.... ตอนนั้นนางคงได้เป็นนายหญิงผู้สูงศักดิ์แล้ว........ " เขายิ้ม นี่เป็นรอยยิ้มเดียวที่เขายิ้มออกมา และเป็นรอยยิ้มเดียวที่เขาพูดถึงคนรักของเขา
เขาคิดจะทิ้งชีวิตของเขาไว้ที่นี่.... คำสัญญานี้เป็นเหมือนคำสั่งเสีย.... ในตอนที่ผมกำลังจะพูดว่า ท่านต้องมีชีวิตกลับไปมอบให้ด้วยตัวเองให้ได้ ในตอนนั้นเอง กำมือขึ้นมาแล้วเหยียดแขนมายังผม
ผมไม่อาจปฎิเศษได้... นี้คือภารกิจที่เขามอบหมายให้กับสหายร่วมรบ เป็นคำขอร้องครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายของเขา.... ผมเหยียดแขนออกไปตอบรับความไว้วางใจนี้
“ ผมสาบานครับ... ” ผมปาดน้ำตาแล้วพุ่งออกจากที่กำบังแล้วทำตามที่เขาบอก
“ ทหารทุกนาย ตามข้ามา!!!!!!!!!!! ”
_________________________________________
ผมออกแรงสุดตัวแต่ว่ามันไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่าการขยับตัวไปได้ไม่เท่าไหร ผมไม่สามารถปกป้องใครได้... ทัพนี้กำลังจะแตกพ่าย.... ท่านแม่ทัพกำลังจะถูกสังหารและผมกำลังจะตาย........
ราวกับฟ้าตอบรับเสียงตะโกนของผม.... ลูกธนูดอกหนึ่งบินลงมาปักที่ปลายเท่าของอัศวินผู้นั้น ราวกับเป็นคำเตือน เมื่อหันกลับไปลูกธนูอีกดอกกำลังบินตามมา มันพุ่งไปปักอกของเขาเต็มๆ นี้ถ้าหากเขาไม่สวมเกราะเหล็กกล้าไว้หละก็มันคงทะลุไปแล้ว แต่นี้ยังดีว่าแค่ทะลุเกราะลงไปและลึกลงไปเล็กน้อย แต่ก็มากพอที่จะให้เลือดไหลออกมา
ที่สุดสายตาหทารม้าชูธงของฝ่ายเรากำลังพุ่งเข้ามา และเบื้องหลังทหารนายนั้นคือ ทหารม้ากองหนึ่งกำลังตรงเข้ามา ชายในชุดเกราะอัศวินเดาะลิ้นด้วยความเจ็บใจ เขาแค่ฟาดดาบของตัวเองลงไปนั้นชีวิตของท่านแม่ทัพลงได้ แต่พอตั้งใจจะทำแบบนั้นลูกธนูอีกลูกก็บินมาปักที่ปลายขาของเขาอีกดอก ราวกับเป็นคำขู่
ในที่สุดเขาก็ตัดใจ ส่งเสียงผิวปากให้ ม้าของเขาพุ่งมารับเขา พรรคพวกของเขาต่างยอมถอนตัวไปแต่โดยดีเช่นเดียวกัน ทหารม้าของฝ่ายเรารุกไล่เขาไปอย่างไม่ลดละ แต่บางอย่างทำให้ผมเชื่อได้ว่าเขาจะต้องหนีไปได้แน่นอน
ทัพหลังของเรามาถึง และผมก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบกับผู้นำทัพชรา
เขาไม่ได้สวมชุดเกราะเหล็กเช่นอัศวิน แต่เขาสวมชุดผ้ายาวและหมวกทรงสูงปีกกว้างจนเป็นที่มาของฉายาของเขา “ พ่อมด ” ชายชราผู้รอบรู้ผู้ให้คำปรึกษาราชามาแล้ว 3 บัลลังก์ เขาลงจากหลังม้าด้วยท่าทางทะมัดทะแมงไม่สมกับอายุที่น่าจะเกินร้อยปี ผมของเขาเป็นสีขาวโพลน
“ ทะ.... ท่านเมอร์รัน..... ” ท่านแม่ทัพแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง อุปราชชราผู้นี้ลงมายังสนามรบด้วยตัวเอง ย่อมแสดงว่ามีเรื่องไม่ธรรมดา
“ ท่านไม่เป็นไรนะ.... ” เมอร์รันลงจากหลังม้าพร้อมกับถาม
“ ครับ ข้าไม่เป็นไร... ” ท่านแม่ทัพพูดแต่ว่าท่านเมอร์รันส่ายหน้าและปฎิเศษไปอย่างสุภาพ “ ขออภัยท่านแม่ทัพ แต่ข้าไม่ได้พูดกับท่าน... ”
เขาคุกเข่าแล้วถามอีกครั้ง.... ทหารคนอื่นเองก็ทำตามชายชราผู้นี้......
“ ท่านไม่เป็นไรนะ ราชา กาลอน ”
กับผม.... องค์ราชาที่ไม่ได้เรื่องผู้นี้.....
ความคิดเห็น