ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Februrary's Tale (เรื่องเล่าเดือนกุมพา)

    ลำดับตอนที่ #1 : Duncan

    • อัปเดตล่าสุด 16 มี.ค. 56


    /> /> />

     

    สีแดงชโลมแผ่นดิน 

     

     

    กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วท้องฟ้า 

     

     

    เสียงคมดาบจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดฟันกันใน สมรภูมิ

     

     

    เหล่าทหารกล้า ต่างมีชีวิตตัวเองเป็นเดิมพัน เพื่อกำจัดศัตรูตรงหน้าให้สิ้นซาก

     

    ชุดเกราะที่แข็งแกร่ง และคมดาบที่บรรจงสร้าง

     

    มันอาจช่วยให้ชนะในการศึกแต่ไม่ได้หมายความว่าจะช่วยปกป้องผู้ที่ถือพวกมันได้เสมอไป

     

    ทุกอย่างล้วนไร้ความหมายเมื่อเผชิญกับความตาย

     

    ฝนที่โปรยปรายมาจากบนท้องฟ้า ก็หาใช่ หยดน้ำหรือปุยหิมะ

     

    หากแต่เป็นลูกศรที่พร้อมจะคร่าชีวิตแก่ผู้ที่ขวางทางมัน

     

    กว่าครึ่งของทัพเราที่ต้องสังเวยชีวิตให้แก่ฝนธนู ยิ่งเป็นยามราตรีเช่นนี้ การมองเห็นลูกธนูบนท้องฟ้าเรียกได้ว่า เป็นไปไม่ได้เลย

     

    กำแพงปราสาทที่สูงชัน  ประกอบ กับคูน้ำที่ล้อมรอบเมือง ยิ่งทำให้การบุกยิ่งยากขึ้น

     

    บุกเข้าไป!!!! ”  แม่ทัพตะโกนสั่งเหล่าทหารกองหน้าที่ ถือท่อนซุงอันใหญ่ช่วยกันกระทุ้งประตูเมืองให้แตก

     

    พวกทหารต่างช่วยกันทำลายประตูเมืองให้ได้ แต่ว่า ทางเข้าทางเดียวของเมือง ย่อมไม่พังลงง่ายๆ อีกทั้งการป้องกันที่เข้มแข็งของเมือง ยิ่งยากที่จะบุกเข้าไป

     

    ย้ากกก!!! ”  เหล่าทหารต่างช่วยกันออกแรงเต็มที่  ช่วยกันยกท่อนซุงกระทุ้งประตูเมืองให้แตก

     

    ทางเข้าเมืองเพียงทางเดียว ถูกปิดตายด้วยประตูไม้ที่ทั้งหนาและแข็งแรงย่อไม่พังลงง่ายๆ

     

    แต่ทัพฝ่ายเราก็ไม่สนใจ เพราะถ้ามันเป็นทางเข้าทางเดียวหละก็ ต่อให้เป็นกำแพงหินก็ต้องพังมันลงให้จงได้

     

    ครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงท่อนซุงกระทบประตูไม้ ดังแผ่ซ่านเข้าไปยังทุกอณูของทั้งสองฝ่าย

     

    ฝ่ายรับคงตระหนักดีว่า หากปล่อยไว้เช่นนี้อีกไม่นาน ประตูเมืองที่แสนภาคภูมิใจของพวกเขาก็ต้องพ่ายลงให้แก่ความดันทุรังของพวกเรา

     

    และแล้วฝ่ายตั้งรับก็ใช้วิธีการป้องกันกำแพงเมืองที่ได้ผลยิ่งนัก น้ำมันเดือดที่เตรียมไว้ ถูกราดลงมาบริเวณประตูเมือง

     

    เสียงร้องอันโหยหวนของพวกเราที่ทนกับความร้อนนั้นไม่ไหว จนต้องทิ้งท่อนซุงนั้นลง แล้วไปดิ้นทุรนทุรายที่พื้น ก็มีมากอยู่

     

    แต่ข้าจะล้มลงไปแบบนั้นไม่ได้.....   แม้น้ำมันจะไหลรอดเกราะโซ่ มาสัมผัสผิวหนังข้าก็ตาม

     

    มันร้อนเกินกว่าที่จะบรรยายได้

     

    แต่ข้าจะล้มลงไปไม่ได้ ......

     

    ข้ากัดฟันแน่นกรอด แล้วพูดเช่นนั้นกับตัวเอง  แม้จะเจ็บปวดเพียงใด ข้าก็จะถือท่อนซุงนี้ไว้

     

    ท่ามกลางเสียงโหยหวนนั้นเอง  ข้าออกแรงกระทุ้งประตูต่อไปเรื่อยๆ  จนกระทั่งได้ยินเสียงทหารชุดใหม่ที่เข้ามาแทนชุดเก่าที่ถูกน้ำมันเดือดเล่นงานไปมาบอกให้เปลี่ยนหน้าที่กัน

     

    แต่ข้าก็ยังกำ ท่อนซุงนั้นไว้แน่นแล้วส่ายหัวปฎิเสธเขาไป

     

    พังกำแพงเมืองลงให้จงได้!! ” แม่ทัพใหญ่ทิ้งหน้าที่บัญชาการตนเอง แล้วลงมาช่วยทหารเลวพังกำแพงเมือง

     

    มีแม่ทัพไม่กี่คนที่จะทำ แต่การกระทำเช่นนี้ก็เรียกกำลังใจจากทหารตนได้มาก

     

    ย้ากกกกกกกกกกก!!! ”  ทุกคนต่างส่งเสียงจากสุดใจ และทุ่มแรงกายลงไป  กระแทกประตูเมือง

     

    จนกระทั่งประตูเมืองไม่อาจทนได้ จนต้องพ่ายให้แก่ความพยายามของฝ่ายเรา

     

    เหล่าทหารฝ่ายเราร้องเฮกันลั่น ทุกคนเปิดทางให้แก่ทหารม้า บุกเข้าไปในเมือง

     

    พวกทหารม้าเหล่านั้นมีหน้าที่รุกไล่ เหล่าทหารราบที่อยู่หลังกำแพงเมือง และกรุยทางให้กับพวกเรา  และถ้าหากเป็นไปตามแผนหละก็การศึกครั้งนี้เราชนะแน่

     

    พอถึงตรงนี้เราก็หยุดพิงกำแพงเมือง เพื่อหายใจซักครู่พลางตรวจดูสภาพร่างกายของตัวเอง

    มีเพียงแค่แผลพุพองจากน้ำมันเดือดเมื่อครู่เท่านั้น

     

    ข้าชักดาบคู่ใจของข้าออกมา  พร้อมกับหยิบโล่กลมขึ้นมา เตรียมเข้าไปตะลุมบอนในกำแพงเมืองศัตรู

     

    แต่เมื่อข้าจะเข้าไปเท่านั้นเอง ภาพอันน่าตื่นตะลึงก็ปรากฏต่อหน้าข้า  เหล่าทหารม้ามากมายเมื่อครู่ ที่ถูกส่งเข้าไปล้วนกลายเหยื่อสังเวยให้แก่หลุมพรางที่ถูกขุดเตรียมไว้จำนวนมาก

     

    ชิ!! ” แม่ทัพฝ่ายข้าสถบ แล้วรีบสั่งการ พวกเราถอยก่อน!!! ”

     

    ถอยงั้นหรือ!!

     

    เพียงแค่ข้าได้ยินคำนั้นเท่านั้น สติของข้าแทบขาดกระเด็น

     

    พวกเราอุตสาห์ทะลวงประตูเมืองของมันได้แล้ว ท่านจะบอกให้พวกเราถอยอย่างนั้นหรือ!!

     

    บางอย่างในตัวข้าขาดลง   ข้าตะโกนร้องอย่างบ้าคลั่ง แล้วสะบัดดาบสีเงินขึ้นมา แล้วพุ่งเข้าไปในกำแพงเมืองศัตรู

     

    วันนี้ไม่ข้าก็ศัตรูของข้าจะต้องพินาศ!!

     

    พลธนูของพวกมันคงรอพวกสิ้นคิดเช่นข้าอยู่แล้ว  พวกมันรีบยิงลูกธนูเพื่อต้อนรับข้าโดยเฉพาะเลย

     

    ข้ายกโล่กลมของข้าขึ้นมา มันช่วยได้บ้าง แต่ไม่ได้ทั้งหมดบางส่วนก็มาโดนขาของข้าบ้าง

     

    แต่นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่!!  ข้าไม่สนกับความเจ็บปวดของตนเองอีกแล้ว!!! 

     

    บัดนี้ข้าโยนโล่กลมทิ้ง แล้วกระโดด เงื้อดาบไปสังหาร ศัตรูเบื้องหน้าข้า

     

    พลธนูหนึ่งคนที่ซุ่มอยู่หลังกองฟาง ถูกเด็ดหัวลงอย่างง่ายดาย ข้าเหลือบไปมองอีกคนที่อยู่ด้านข้างแล้วจัดการสังหารมันอีกคน

     

    จากนั้นข้าก็ฉวยธนูของมันขึ้นมาแล้ว ยิงตรงไปยังคนที่ซุ่มอยู่ที่เหลืออีกสองคน

     

    ข้าโยนธนูทิ้ง หยิบดาบ แล้วพุ่งตรงไปยังนักธนูที่เหลือ พวกมันเริ่มถอยหนีข้าอย่างหวาดกลัว

     

    ในตอนนั้นเองทหารฝ่ายข้าก็กรูเข้ามาทางประตู พวกเขาคงเห็นการกระทำอันบ้าบิ่นของข้าแล้วจึงเกิดการฮึกเหิมเป็นแน่

     

    แต่ข้าไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก  ข้าหยิบดาบของข้าแล้วตรงไปสังหารศัตรูของข้าต่อไป

     

    สิ้นสุดศึกที่แสนบ้างคลั่งนั้น ข้าได้แต่เอาหลังพิงกำแพง แล้วหายใจถี่ๆ  ราวกับขี้เลื่อยในสมองข้าต้องการอากาศเป็นจำนวนมาก

     

     

    ท่านแม่ทัพขึ้นไปกล่าวปราศรัยอะไรซักอย่าง แต่ข้าไม่มีแรงที่จะฟังแล้ว..... บัดนี้ข้าอยากจะนอนเสียเหลือเกิน

     

     

    กลิ่นของต้นหญ้า ชวนให้ข้านึกถึงอดีตของตัวเอง.....   สิ่งที่ทำให้ข้าต้องแลกชีวิตถึงเพียงนี้

     

    สายลมอ่อนๆ ที่พัดมากระทบตัวข้า ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ข้าค่อยๆ ทิ้งร่างของตน และปิดเปลือกตาลง

     

    เสียงในความทรงจำของข้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

     

    แดน.......... นี่ แดน........  เสียงหญิงสาวที่คุ้นเคย กระซิบข้างหูข้า

     

    ภาพเหล่านี้คือความทรงจำของข้าสินะ....... รวมทั้งเสียงนี้ด้วย ข้าคงเผลอหลับไปแล้วสินะ

     

    นางกำลังยิ้มให้ข้าซึ้งกำลังนอนหนุนตักนาง รอบตัวเรามีเพียงทุ่งข้าวสาลี

     

    เอลิเวีย.....

     

    จะนอนแบบนี้ไปถึงไหนกัน  นางถาม

     

    อื้มมมม.........ข้าลากเสียงอย่างนึกสนุก จนกว่าเจ้าจะหอมแก้มข้าเป็นไงหล่ะ

     

    นางหน้าแดงในทันใดแล้วรีบเบือนหน้าหนีข้าไปทันที  จริงๆ แล้วนางน่าจะชินกับการหยอกล้อของข้าได้เสียทีนะ

     

    โธ่....... อย่าล้อเล่นกับข้านะ ปวดขาจะแย่แล้ว  งานก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะนางบ่นอิดออด

     

    ก็ได้ๆ  ข้าลุกออกจากตักนาง แม้จะยังเสียดายอยู่หน่อยๆ ก็เถอะ แต่ก็ยังอดหยอกเล่นไม่ได้

     

    ดีขึ้นไหมเอ่ย ภรรยาที่รักของข้า

     

    ข้ารีบก้มหลบก้อนหินที่เฉี่ยวหัวไป พอเห็นว่าปลอดภัยก็บิดตัว ไล่ความล้าออกจากร่าง แล้วหยิบเคียวขึ้นมา

     

     เอ้า ไปเก็บข้าวสาลีกันเถอะ

     

    แต่พอข้าจะเดินไปเก็บเกี่ยวข้าวสาลีจริงๆ นางก็ดึงตัวข้าไว้

     

    หมวกปีกกว้างของนางปลิวไปตามสายลม แต่นางไม่สนใจมันเลยแม้แต่น้อย นางเขย่งตัวขึ้นมาเล็กน้อย แล้วโน้มตัวเข้ามาหาริมฝีปากข้า

     

    แม้มันจะผ่านไปเร็ว แต่สำหรับข้าแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันเหมือนเป็นภาพช้าในความรู้สึกข้า

     

    ความรู้สึกที่ยังคงค้างอยู่ที่ริมฝีปาก...

     

    สำหรับที่จอมอู้ที่ลุกไปทำงานไงหล่ะจ๊ะ  นางยิ้มให้กับข้า 

     

     

    ข้าค่อยๆ ลืมตาและกลับมาสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง   สหายของข้าคนนึง เขย่าตัวข้าแรงๆ

    เป็นไปได้ข้าก็อยากอยู่กับความทรงจำอันแสนดีนั้นเหลือเกิน แต่ว่าข้าก็จำต้องตื่น

     

    เฮ้ แม่ทัพรียกเจ้าไปหน่ะ

     

    ข้าเช็ดเอาขี้ตาออกด้วยท่าทีงงๆ  ท่าน แม่ทัพต้องการเรียกข้าไปเพราะอะไรกัน

    แล้ว ขี้เลื่อยในสมองของข้าก็ค่อยๆ ทำงาน 

     

    มันคงเกี่ยวกับเรื่องบ้าบิ่นที่ข้าทำไปในวันนี้เป็นแน่...  ฮะๆๆ  สงสัยโดนดุยกใหญ่เป็นแน่แท้

     

    ข้าเดินตรงไปตามทาง เนื่องจากนี้เป็นเมืองที่เพิ่งยึดได้ จึงมีความวุ่นวายอยู่มากมาย และสถานพยาบาลก็ยังไม่แน่นอน ดังนั้น เหล่าทหารที่บาดเจ็บจึงต้องเรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง

     

    ข้ามองไปตามทางเหล่านั้น  บางคนโชคไม่ดีเหมือนข้า ต้องสูญเสียส่วนสำคัญๆ อย่างแขนหรือขาไป บางคนโชคร้ายหน่อยก็เสียหัวของตัวเองไป......

     

    แต่ที่สะดุดตาข้ามากที่สุด  นั้นก็คือเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาอายุเพียงแค่ 15 ได้เองกระมั่ง.....

    เด็กขนาดนี้ยังมาร่วมรบอีก........ จะให้เรียกว่าบ้าบิ่น หรือ กล้าหาญดีหละ

     

    ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้นเอง สหายของข้าก็ช่วยเตือนสติข้า ว่าท่านแม่ทัพรอข้าอยู่

    ข้าก็ได้แต่มองเด็กหนุ่มคนนั้น แล้ว ภาวนาให้เขาได้กลับบ้านโดยปลอดภัย

     

    และแล้วข้าก็ต้องเผชิญหน้ากับแม่ทัพของข้าเอง  และก็เป็นไปตามที่ข้าคาด

     

    แม้การกระทำของข้าจะนำพามาซึ่งชัยชนะ

     

    แต่ว่าการขัดขืนคำสั่งของผู้บังคับบัญชา นั้นถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง และดีไม่ดี

    ถ้าไม่ได้มีเพียงแค่ข้าทำคนเดียว แต่เป็นทหารทั้งกองหละก็

     

    ทั้งกองทัพมิเอาชีวิตไปทิ้งพร้อมๆ กับข้างั้นหรือ.............

     

     

    เรื่องนี้ข้าเข้าใจ  แต่พอโดนต่อว่าเข้าจริงๆ มันกลับน่าโมโหเสียเหลือเกิน

     

    ข้าเดินออกมาจากห้องของแม่ทัพ ด้วยท่าทางเหมือนเด็กที่ถูกแม่ดุมายังไงอย่างนั้น

     

    แต่ดูเหมือน เหล่าทหารจะไม่คิดแบบเดียวกับแม่ทัพ พวกเขาทุกคนที่สังเกตเห็นข้า ต่างเข้ามาตบบ่า แล้วกล่าวชื่นชมข้า

     

    ก็ไม่เลวนักหรอก........

     

    แต่ว่ามันก็วางตัวลำบากเสียเหลือเกิน อันที่จริง ข้าง่วงจนแทบจะตายอยู่แล้วพวกเจ้ารู้บ้างไหม

     

    วันนี้ ยิ่งมีงานฉลองที่ได้ยึดเมืองนี้สำเร็จอีก กรรมเวร แบบนี้ข้าจะได้หลับได้นอนไหมนะ

     

    โดนลากไปโน่นมานี้ บางคนก็ท้าดื่มเหล้าบ้าง บางคนก็ชวนคุยบ้าง........

     

    กว่าข้าจะผละมาหาที่เงียบๆ อยู่ได้ก็ปาเข้าไปโน่น.....     เที่ยงคืน   ดวงจันทร์ขึ้นตรงหัวพอดี

     

    ที่ๆ ข้าอยู่นั้นเป็นกำแพงเมืองส่วนใน ที่ไม่ค่อยมีคนอยู่  ฮ้า......  ในที่สุด

     

    ข้าถอดชุดเกราะออก ถึงแม้จะมีคำสั่งจากแม่ทัพว่า ห้ามถอดมันก็เถอะ แต่ไม่มีใครรู้เห็น จะเป็นไรไป

     

    อีกครั้งที่ข้า เอาตัวพิงกำแพง...   เอาเถอะ ก็ข้าชอบนั่งพิงกำแพงแบบนี้นินา

     

    วันนี้จันทร์เต็มดวง.....  มองไม่เห็นดวงดาวไดๆ บนฟ้า อีกทั้งยังไม่มีเมฆอีก

     

    ข้าลองเอื้อมมือไปยังดวงจันทร์ที่ ลอยอยู่บนฟ้า

     

     มันเหมือนจะอยู่ใกล้เพียงนิดเดียวเลยนะ   ข้าพูดออกไปลอยๆ

     

    นั้นสินะครับ..........  แต่เสียงหนึ่งกลับมาออกความเห็นด้วยกับข้า

     

    ข้ามองตามเสียงนั้นไป เด็กอายุสิบห้าคนเมื่อครู่เป็นคนคุยกับข้านั้นเอง

     

    ถึงจะประหลาดใจอยู่บ้าง แต่ข้าก็ไม่ใส่ใจนัก พลางทิ้งตัวพิงกำแพงแรงๆ อีกครั้ง

     

    ทั้งๆ ที่เห็นมันอยู่ใกล้ๆ แบบนี้ แต่เรากลับเอื้อมไปไม่ถึงมัน มันน่าตลกไหมหละข้าพูดต่อ

     

    ไม่หรอกครับ....  ถ้า เอื้อมไปถึงหละก็ ทุกคนก็คงจะเอื้อมไปเก็บมันไปแล้วหละครับเด็กหนุ่มกล่าวต่อ

     

    พอได้ยินแบบนั้นแล้วข้าก็อดหัวเราะไม่ได้ แต่ไม่ใช่ว่ามันตลกหรอกนะ แต่เป็นเพราะที่เขาพูดมามันก็จริง  ดวงจันทร์ที่แสนสวยแบบนี้ ถ้าหากเอื้อมมาเก็บได้แล้วหละก็ ทุกคนก็คงเก็บมันไว้กับตัวไปนานแล้ว

     

    ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะเข้าใจ ความหมายในการหัวเราะของเรา เขาจึงพลอยหัวเราะตามไปด้วย

     

    “ ….ในการรบวันนี้ ท่านทำผลงานได้ยอดเยี่ยมจริงๆ เลยนะครับ  เด็กหนุ่มกล่าว

     

    ไม่หรอก.....   ข้าไม่คิดว่ามันยอดหรอกข้าตอบไปตามความจริง ก่อนจะนำเอาคำพูดที่แม่ทัพมาต่อว่าข้า มาพูดเสียเอง

     

    ข้าฝ่าฝืนคำสั่งของแม่ทัพ ที่ท่านสั่งให้ถอยแล้ว  แต่ข้ากลับบุกเข้าไป ที่ข้ารอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว  

     

    ถ้าอย่างนั้น ท่านบุกเข้าไปทำไมกันหละครับ ? ” เด็กหนุ่มถาม

     

    ทั้งๆ ที่ท่านรู้ว่าข้างหน้านั้นมีกับดัก และมือธนูซุ่มอยู่มากมาย ทำไมท่านถึงบุกเข้าไปหละครับ

     

    พอได้ยินเด็กหนุ่มถามเช่นนั้น ข้าก็มองไปยังข้อมือของตนเอง 

     

    ที่ใต้ปลอกแขนเหล็กที่เป็นชุดเกราะรบนั้น มีกำไลที่ทำมาจากต้นข้าวสาลีแห้ง

     

    ข้ายกมันขึ้นมา เพื่อให้เด็กหนุ่มผู้ที่ถามข้าได้เห็นด้วยเช่นกัน

     

    เพราะข้ามีที่ๆ ข้างต้องกลับไปหน่ะสิ.......... ข้าตอบแล้วถามกลับไป

     

    เจ้าสนใจจะฟังนิทานชีวิตของข้าไหมหละ

     

     

    ถ้าท่านไม่รังเกียจจะให้ผมฟังหละก็นะเด็กหนุ่มส่ง แก้วไวน์ให้กับข้า ราวกับนั้นเป็นค่าเล่านิทานสำหรับข้าเลย

     

    เอาเถอะ ก็คุ้มดีอยู่เหมือนกัน

     

     

    นานมาแล้ว ข้า อาศัยอยู่ที่ชนบท ที่ๆ ปลูกข้าวสาลีไว้มากมาย มันเป็นทุ่งกว้าง ที่เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลี ข้าจะต้องทำงานหนักทุกที.....

     

    แต่ว่า ทุกครั้งที่ข้าจะเก็บเกี่ยวข้าวสาลีนั้น จะมี สตรีนางหนึ่งมาช่วยงานข้าเสมอ

     

    เธอเป็นคนขี้บ่น แล้วก็ขี้อาย ฟังดูยังไงอยู่นา....... ช่างเถอะ ข้าชอบแกล้งนางบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน

    พอนานๆ เข้า พวกเราสองคนก็ชอบพอกันไปโดยไม่รู้ตัว.......

     

    นางมีนามว่า เอลิเวีย....   นางเป็นแค่ชาวนาเช่นเดียวกับข้า แต่ว่านางมีผิวพรรณที่แสนเรียบเนียน และผมของนางก็เป็นสีทองยาวสลวย ริมฝีปากของนางแม้ไม่แต่งแต้มสีสันไดๆ ก็งดงามเหมือนดอกกุหลาบ

     

    จะว่าไปแล้วก็น่าตลกนะ ทั้งๆ ที่ข้ารู้ตลอดเวลาว่าข้ารักนางแค่ไหน และนางรักข้าแค่ไหน..... แต่ข้ากลับมองข้ามมันไป.....

     

    จนกระทั่งวันหนึ่ง..... 

     

     

    ข้าหลับตาลงแล้วพลางนึกถึงเหตุการณ์วันนั้น

     

    มันเป็นเหมือนวันธรรมดาทั่วๆ ไป ระหว่างที่ข้ากับเอลิเวียกำลังช่วยกันเก็บเกี่ยวข้าวสาลีอยู่นั้นเอง

    รถม้า คันหนึ่ง ควบช้าๆ ผ่านไร่ของข้าไป มันเป็นรถม้าที่หรูหรา ชนิดที่ว่า

    ต่อให้พวกข้าเอาข้าวสาลีไปขายซัก ร้อยปีก็คงไม่มีทางได้ใช้เช่นพวกเขา

    ด้วยความซุ่มซ่ามของเอลิเวีย  นางไปสะดุดล้มขวางทางรถม้า 

     

    รถม้าหยุดได้ทันท่วงที ผู้ที่นั่งอยู่ด้านใน รีบออกมาดูอาการของนางในทันที

    เขาเป็น ท่านเคาท์ ที่มีอำนาจแถบนี้มาก  เรียกได้ว่าใครไปขัดใจเขาหละก็หัวขาดเป็นแน่

    ในทันใดที่ท่านเคาท์เห็นหน้านาง ข้าเชื่อว่า กามเทพคงเล่นบ้าๆ กับสมองเขา

     

    นับจากนั้นมา ข้าสังเกตว่า เขาเรียกนางไปพบบ่อยๆ ในตอนแรกข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเรียกนางไปทำไม

    แต่พอผ่านไปนานๆ เข้า ข้าก็เริ่มสงสัย  และแล้ววันหนึ่งข้าก็ได้รู้ความจริง

     

    วันนั้นฝนตกหนักมาก ข้าได้แต่มองนอนกลิ้งอยู่ในกระท่อมโทรมๆ ของตน  จนกระทั่งมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

    ทีแรกข้านึกว่าหูของข้าคงเพี้ยน เนื่องจากทำงานหนักไปเสียแล้ว  แต่พอข้าเปิดประตูออกเท่านั้นหละ ข้ากลับถามดวงตาข้าว่า มันเพี้ยนตามหูของข้าไปด้วยรึเปล่า

     

    เอลิเวีย ยืนอยู่เบื้องหน้าข้า เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปด้วยสายฝน  ผมของนางยุ่งนิดๆ

    แต่ว่า..... มีสิ่งนึงที่ข้าแน่ใจ  ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา

     

    นางร้องไห้ แล้วโผเข้ามากอดข้าในทันทีที่เห็นข้า 

     

    ตัวของนางช่างบอบบางเสียเหลือเกิน  ผมของนางที่เปียกไปด้วยน้ำฝน ช่างอ่อนนุ่มเสียจริง

     

    แดน!! แดนน!! ”  นางเรียกชื่อข้าไม่รู้กี่ครั้ง  นางเอาแต่ร้องไห้และเรียกชื่อข้า

     

    ข้าทำอะไรไม่ได้ ได้แต่กอดนางตอบ แล้วลูบไล้ผมของนาง

     

    ข้านี้ช่างโง่เขลาเสียเหลือเกิน......   ขุนนางผู้สูงศักดิ์ มีเหตุผลใดที่จะเรียกหญิงสาวชาวบ้านไปหา

     

    ท่านเคาท์ผู้สูงศักดิ์ ทำไมต้องเรียก จำเพาะ เรียกนางไปเพียงแค่คนเดียวกัน

     

    ข้าน่าจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว....................

     

    นิทานของข้าขาดห้วงลง ข้ามองเงาสะท้อนของดวงจันทร์บนแก้วไวน์อันว่างเปล่า

     

    แล้วจากนั้นท่านท่านทำอย่างไรต่อหรือครับ

     

    แล้วเจ้าคิดว่าข้าจะทำอะไรได้หละ.......   

    ถึงจะเป็นการขี้โกงไปเสียหน่อย แต่ข้าว่าเล่ามาถึงแค่นี้ก็คงพอสำหรับไวน์ในแก้วของข้าแล้ว

     

    พอได้ยินข้าตอบไปเช่นนั้น เด็กหนุ่มก็เกาแก้มเบาๆ คงรู้สินะว่าข้าคงไม่อยากเล่าเรื่องต่อแล้ว

     

    ฉลาดไม่เลวเลยทีเดียว

     

    ถ้าท่านได้พบกับนางอีกก็คงดีสินะครับ     

     

    เขาพูดให้กำลังใจข้า ฮะๆ น่าตลกอยู่เหมือนกันเหะ นี้ข้าถูกเด็กปลอบใจงั้นเหรอเนี่ย

     

    แล้วเจ้าหละข้าถามกลับไปบ้าง

     

    อ่า...... ผมเหรอ....... 

     

    ข้ารู้สึกไปเองรึเปล่า หรือว่าเจ้าหนุ่มนี้ดูตื่นๆ เมื่อจะตอบคำถามข้า

    เอาเถอะ แต่ละคนก็มีเหตุผลต่างกันในการร่วมรบ  เจ้าหนุ่มนี้ก็คงมีเหตุผลของตน

    ถึงได้เข้าร่วมสมรภูมิ ตั้งแต่เยาว์เช่นนี้........ 

     

    ช่างเถอะ ยังไงเสียก็มีชีวิตรอดกลับไปให้ได้หละ 

     

    ข้ากำหมัดแล้วเหยียดไปสุดแขน ที่ระดับสายตาข้า 

     

    เขาตะลึงชั่วขณะหนึ่ง ข้าว่าเขาคงรู้ความหมายของมันดี สายตาของเขาจึงหันมามองข้าราวกับเป็นคำถาม

     

    ข้าสมควรได้รับมันหรือ

     

    ข้าเองก็ไม่ได้ตอบคำถามนั้นด้วยคำพูด แต่ข้ายังคงมั่นใจว่าเจ้าหนุ่มนั้นสมควรได้รับมัน

     

    เขาเหยียดกำปั้นของตนมากระทบกับหมัดของข้าพอเป็นพิธี

     

    เสียงกำปั้นกระทบกันเบาๆ สำหรับทหารเช่นพวกเรา มันเปรียบเสมือนคำปฎิญาณระหว่างสหายรบ

    เป็นการยอมรับอีกฝ่ายในฐานะเพื่อน และสหายร่วมรบ

     

    คืนนี้ จันทร์เต็มดวง เหล่าทหารที่ยังบ้าไม่เลิก พอเห็นจันทร์เต็มดวงก็อ้างกับท่านแม่ทัพว่า วันนี้เหมาะแก่การฉลองจนถึงเช้า

     

    พวกบ้าฉลอง ก็ปล่อยมันบ้าไป  ข้าคนหนึ่งหละที่ไม่เอาด้วย  แค่นี้ข้าก็อยากจะตอนจะตายอยู่แล้ว

     

    ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นอะไรกัน พอข้าหลับตาลงทีไร

     

    เรื่องเก่าๆ ก็ตามมาหลอกหลอนข้าถึงในความฝันของข้าทุกที

     

    ครั้งนี้ ข้าถูกเหล่าทหารนับสิบ ใช้กำลังกำหลาบข้า

     

    กดข้าจนจำต้องยอมก้มหัวให้กับชายผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เบื้องหน้าข้า

     

    ท่านเคาท์ ผู้ครอบครองแคว้นของข้านั้นเอง

     

    เจ้าเองนะหรือ ดันแคนด์สายตาที่เหยียดหยามจ้องตรงมายังตัวข้า

     

    เอลิเวีย พูดเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ่อยๆ  ฝีเท้าของเขาใกล้เข้ามาหาข้าเรื่อยๆ

     

      น่าประหลาดนะ นางเองก็เล่าให้ข้าฟังถึงเจ้าบ่อยๆ เหมือนกัน 

     

    พอข้าพูดขึ้นเท่านั้นหละ ข้าก็รู้สึกได้ถึงแรงกดมหาศาลที่ดันหัวของข้าให้ก้มลงไปจนติดพื้น

     

    กล้าเรียกข้าว่า เจ้า เหตุใดจึงไม่เรียกข้าว่า ท่าน  เขาใช้เท้าของตนกดบนหัวข้า และ ออกแรงมากขึ้นไปอีก

     

    ข้าจำได้ว่า เอล ก็เรียกเจ้าเช่นนี้เหมือนกัน

     

    ข้ารู้สึกได้ถึงเสียงหายใจที่ตะกุตะกักของเขาอย่างชัดเจน ข้าได้โอกาสจึงพูดต่อ

     

    หรือว่านั้น เพราะเป็นนาง ท่านจึงอนุญาติให้เรียกได้เป็นกรณีพิเศษกัน ทั้งๆ ที่นางก็มี ฐานะเท่ากับข้าน้อยผู้ต้อยต่ำครั้งนี้ข้าแสร้งพูดสุภาพ เพื่อให้คำพูดแดกดันของข้ารุนแรงขึ้น

     

    ถึงใบหน้าข้าจะถูกเหยียบจนแทบแหงนขึ้นมามองไม่ได้ก็ตามที แต่ข้ารู้สึกได้เลยว่าคำพูดแดกดันของข้านั้นได้ผล

    เพราะครั้งนี้เขาเล่นทิ้งน้ำหนักตัวของเขาลงมาที่หัวข้าเลย ท่าทางจะเจ็บใจไม่น้อยเลยหละสิ

     

    เห....  ท่าทางที่นางพูดมาจะจริงนะ ที่ว่า เจ้าพูดอะไรตรงไปตรงมา และชอบแกล้งนางเนี่ย

     

    แต่เท่าที่ข้าฟังมา นางบอกว่าเจ้าเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและใจดี และเป็นสุภาพบุรุษอีกครั้งที่ข้ายอกย้อนไป

     

    เสียงสะอึกของเขานั้นชัดเจนนัก ข้าใช้จังหวะนี้ซ้ำเติมลงไปอีก

    หรือว่านั้นเป็นเพียงแค่การแสแสร้งของท่าน เพื่อจะจีบนางกันหละ

     

    ข้าว่าบางทีข้าน่าจะเปลี่ยนจากชาวนาไปเป็น ทนาย คงดีไม่น้อยเลย

    แต่พอมาคิดดีๆ อีกที มีทนายคนไหนว่าความให้สถานการณ์มันเลวร้ายลงเพื่อความสะใจส่วนตัวกันบ้างนะ

     

    เอาเถอะ ปกติข้าก็ชอบแกล้งทำให้เอลโมโหบ่อยๆ อยู่แล้ว จะทำให้เจ้าไก่อ่อนนี้ลมออกหูก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก

     

    ดูเหมือนครั้งนี้ มันจะไปแทงใจดำจริงๆ เสียแล้ว เขาเล่นใช้รองเท้าเหล็ก เตะอัดหน้าจนเลือดกำเดาไหลทีเดียว

     

    ฮึ ปากดีเสียจริงๆ ....   เสียงลมหายใจเขารุนแรงกว่าเดิม แต่ทว่าจู่เสียงลมหายใจเขาก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ

     

    แล้วเขาก็หัวเราะอย่างชั่วร้าย ราวกับว่านึกอะไรได้

     

    อันที่จริงแล้ว ข้าเป็นคนใจดี และเป็นสุภาพบุรุษมากเลยรู้ไหม

     

    อื้ม.... ใช่ สุภาพบุรุษ  จะมีสุภาพบุรุษซักกี่คนกันนะ ที่ใช้เท้าเหยียบหัวชาวบ้าน ข้าหละอยากจะรู้จริงๆ

     

    จะว่าไปแล้ว.. ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีฝีมือเรื่องการใช้ดาบอยู่บ้างใช่หรือไม่

     

    ข้าไม่ตอบคำถามนั้น แต่ลางสังหรของข้ากำลังทำงาน ข้าพอเดาได้อยู่ว่าเขาจะพูดอะไรต่อไป

     

    การจะฆ่าเจ้าตรงนี้ มันง่ายนิดเดียว เจ้ารู้ไหมเขาพูดอย่างวางอำนาจใส่ข้า

     

    แต่หากฆ่าเจ้าเสียตรงนี้ เอลิเวียคงจะต้องเสียใจเป็นแน่....  

     

     

    ไอ้จอมหลอกลวง........

     

     

    จริงอยู่ที่ข้าต้องการ เอลิเวีย แต่ว่าข้าก็ไม่ต้องการครอบครองเพียงแค่ร่างของนางเท่านั้น ข้าต้องการที่จะครองหัวใจของนางด้วย

     

    เขาดึงเท้าออกจากหัวของข้าแล้ว ก้มลงมาคุยกับข้าด้วยท่าทางหยิ่งยะโส

     

    ดังนั้น ข้าซึ่งเป็นคนใจดีจึงคิดวิธีดีๆ ที่จะยุติปัญหาระหว่างเราได้อย่างสันติ

     

    ข้าจะส่งเจ้าไปในสนามรบ หากเจ้ากลับมาก่อนตะวันแรกของเดือนมีนาในอีก4ปีได้หละก็… ”

     

    เขาใช้มือมาจับหน้าข้า บังคับให้ข้ามองตรงไปยังดวงตาของเขา

     

    ข้าเป็นคนที่ยุติธรรมดีใช่ไหมหละ

     

    ยุติธรรม.... เจ้ายังกล้าใช้คำนี้ต่อหน้าข้าอีกงั้นรึ  ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นคนกำหนดเงื่อนไขทั้งหมดขึ้นมาเอง

     

    ข้าอาจจะโง่ แต่ข้ารู้ดีว่าเจ้าคิดอะไรอยู่

     

    เจ้ากำหนดเวลา 4 ปี มันนานพอที่จะให้ข้าตายในสนามรบ

     

    4 ปี นานพอที่เจ้าจะพ่นลมปากต่างๆ นาๆ ใส่นาง และมอบความสุขต่างๆ ให้กับนาง

     

    4 ปี ที่นานพอที่จะให้นางเปลี่ยนใจไปจากข้า....

     

    หรือแม้แต่ข้าเปลี่ยนใจไปจากนาง

     

    แล้วข้าก็ถูกเฉดหัวออกมาจากเมืองและถูกส่งมายังกองทัพ กลายมาเป็นเดนสงครามเช่นนี้

     

    ตลอด 4 ปีมานี้ กองทัพที่ข้าเข้าไปประจำการ แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่อย่างน้อยทุกศึก ข้าก็รอดมาได้

     

    ฝันร้ายของข้ายังคำดำเนิดต่อไปเรื่อยๆ...... 

     

    ไม่ว่าข้าจะตื่นขึ้นมาซักกี่รอบ ข้าก็จะยังคงอยู่ในฝันร้ายนี้...

     

    แต่ข้าไม่เคยรู้เลยว่าอันที่จริงแล้ว ฝันร้าย....

     

     

    มันพึ่งเริ่มขึ้น

     

     

    รุ่งสางของวันต่อมา ม้าเร็วก็ส่งข่าวมา แล้วข้าก็ต้องแปลกใจกับคำสั่งที่มีลงมายังพวกข้า

     

    มีคำสั่งให้พวกเรากลับไปยังเมืองหลวงได้ อันที่จริงแล้วนี้ถือว่าเป็นข่าวดีที่สุดสำหรับเหล่าทหารแล้ว

    การสั่งให้กลับไปเมืองหลวง ย่อมหมายความว่าพวกเรามีโอกาสได้พักผ่อน อันแสนยาวนานอย่างน้อยๆ ก็ได้กลับไปยังเมืองหลวง ก็ยังมีโอกาสได้พบหน้าลูกเมียบ้าง ถ้าดีหน่อยก็อาจขอปลดประจำการได้เลย

    และที่ดีที่สุด อาจจะมีการได้เลื่อนขั้น หรือว่า ได้รับรางวัลจำนวนมาก ได้เป็นวีรบุรุษสงคราม

    ไม่ว่าทหารคนไหนได้ยินข่าวเช่นนี้ล้วนแต่ต้องยินดีเป็นแน่

     

    ยกเว้นข้า

     

    ปกติหลังเข้าตี ทหารจะต้องประจำอยู่ที่เมืองนั้นซักพักเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยของเมือง

    คอยดูท่าทีของศัตรูที่จะบุกกลับ หรือ แม้แต่ซ่อมแซมบางส่วนของปราสาทที่ถูกพังลง

    อย่างน้อยๆ ก็ ป้องกันไม่ให้เกิดการจลาจลในเมือง ซักหนึ่งเดือน... ไม่ใช่ 1 วัน

     

    มีเพียงข้าเท่านั้นหรือที่สังเกตถึงความผิดปกตินี้กัน...

     

     

    น่าแปลกนะครับ.....  เสียงหนึ่งมาพูดกับข้า และข้าก็ต้องประหลาดใจเพราะ เจ้าของเสียงนั้นเป็นเด็กหนุ่มคนเดิมนั้นเอง

     

    ข้าเงียบแล้วปล่อยให้เขาพูดต่อ ปกติไม่น่าจะมีการสั่งให้ถอยทัพเร็วขนาดนี้นะครับ

     

    โฮ่...ข้าอุทานอย่างประหลาดใจและต้องพูดอย่างทึ่งๆ เจ้าก็คิดแบบข้างั้นรึ

     

    ครับ.....  มันน่าแปลกมากเลย ทำไมท่านแม่ทัพถึงได้ให้ถอนกำลังเร็วเช่นนี้

     

    ข้าว่า...ไม่ใช่แม่ทัพหรอกที่ให้ถอนกำลัง

     

    คงเป็นเพราะข้าคิดดังไปรึเปล่าดูเหมือนเด็กหนุ่มจะหันมาทางข้าแล้วถามข้าด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง ท่านหมายความว่าอย่างไรกันครับ

     

    ข้าไม่ตอบคำถามนั้น แล้วเอามือไปขยี้หัวเด็กหนุ่มผู้นั้นนั้น แล้วบอกอย่างอื่นกับเขาแทน

     

    ถ้าเจ้าไม่อยากตายหละก็ ตอนเดินทางกลับ อยู่ใกล้ๆ ข้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน

     

    ถึงมันเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ แต่ว่า ที่ข้ารอดมาได้ถึงตอนนี้ก็เพราะมัน ไม่ใช่เพราะหัวสมองขี้เลื่อยของข้าหรอก

     

     

    แต่ครั้งนี้ ข้าขอเพียงให้มันเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์ที่เถอะ....... 

     

     

    เหล่าทหารพากันจัดทัพ และออกเดินทางออกเพื่อกลับไปยังเมืองหลวง

     

    ดูเหมือนท่านแม่ทัพเองก็ดีใจที่จะได้กลับเมืองหลวงเหมือนกัน ถึงได้ละเลยวินัยของทหารไป

     

    จนการเดินทัพที่ควรจะไปด้วยความสงบ และเป็นระเบียบ กลับเป็นตรงข้าม

     

    ข้าเองก็พยายามบอก พรรคพวกข้าให้สงสัยกับคำสั่งที่ดูดีเกินไปนี้บ้าง

     

    แต่ไอ้พวกบ้านี้คงไม่คิดอะไรกันแล้วหละ ในหัวมันคงอยากกลับไปหาลูกหาเมียจะแย่แล้ว

     

    สายตาข้า ตรวจดูสองข้างทาง....  และในใจก็ขอให้ที่ข้าคิดมันเป็นเพียงแค่ลางสังหรณ์บ้าๆ

     

    ไง........ครับ  เด็กหนุ่มคนเดิม เดินแทรกแถวขึ้นมา ซึ่งตามปกติไม่ควรจะทำได้

     

    ไง ข้าตอบกลับไป

     

    ทำไมท่านไม่ไปบอกแม่ทัพในเรื่องที่พวกเราสงสัยกันหละครับเด็กหนุ่มถาม

     

    เจ้านี้บางครั้งก็ฉลาด แต่บางครั้งก็ไม่ฉลาดเท่าที่ควรนะ   ครั้งนี้ข้าผิดหวังนิดหน่อยที่เขาไม่ลองใช้ขี้เลื่อยในสมองแบบข้าบ้าง

     

    เห็นไหมว่า ทัพเราตอนนี้ไม่มีระเบียบเลยซักนิดเด็กหนุ่มมองไปรอบๆ แล้วพยักหน้า

     

    ท่านแม่ทัพคงอยากจะกลับเมืองหลวงน่าดูนั้นหละ....   ถึงได้ละเลยวินัยทหารแบบนี้

     

    หากเราเอาเรื่องนี้ไปบอกกับเขา เจ้าคิดว่าเขาจะฟังงั้นรึ ข้าถามเด็กหนุ่มไป

     

    ดูเหมือนเขาจะเริ่มตามความคิดข้าทันขึ้นมาบ้างแล้ว

    ถึงแม้ว่าข้าหรือ เจ้าหนุ่มนี้จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกับแม่ทัพ ท่านก็คงไม่ฟังอะไร

    คงไม่มีแม่ทัพคนไหนมาฟังความเห็นของคนที่ชอบคัดคำสั่งของตน หรือแม้แต่ทหารที่อายุยังน้อย

     

    แต่อย่างน้อยท่านก็น่าจะบอกกับเขาหน่อยสิครับเด็กหนุ่มพูด

     

    ข้าก็พูดไปแล้ว แต่ท่านแม่ทัพก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟอย่างที่ข้าคิด แล้วบอกข้าว่าถ้าหากไม่พอใจกับคำสั่งหละก็ ก็ยินดีจะให้ข้านั่งพักในคุกไปซักพักหละนะ 

     

    ข้ายักไหล่แล้วนึกถึงหน้าท่านแม่ทัพ ที่โมโหจนลมออกหูแล้วชี้นิ้วต่อว่าข้า

     

    ท่านกลัวที่จะถูกลงโทษหรือครับเด็กหนุ่มถาม

     

    คำถามนี้มาสะกิดต่อมความโกรธข้า จนข้าต้องเขกหัวเขาซักที

     

    เจ้าบ้ารึเปล่า ข้าไม่ได้กลัวถูกขังคุกหรอก!! ”

     

    ข้าพ่นลมออกมาฟืดใหญ่ๆ ก่อนจะพูดต่อ

     

     

    แต่ที่ข้ากลัว ถ้าหากข้าไปติดอยู่ในคุกแล้ว ใครจะมาปกป้องกองทัพตอนนี้หละ!! ”

     

     

    เด็กหนุ่มมองข้าอย่างทึ่งๆ เขาคงคิดว่าข้าคงจะแค่กลัวที่ถูกแม่ทัพดุ หรือไม่ก็กลัวการถูกลงโทษเท่านั้น คงไม่นึกว่าข้าจะมีความคิดแบบนี้สินะ

    เอาเหอะ ข้าก็ไม่คิดจะโทษเขาหรอก เพราะจริงๆ ที่ข้าพูดก็ชวนให้เขาคิดว่าข้าเป็นคนแบบนั้นอยู่แล้ว

     

    ท่านหมายความว่า..... อาจจะมีคนซุ่มโจมตีเราขณะกำลังกลับเมืองหรือครับ

     

    ข้าเพยิดหน้าให้เขาดูสภาพกองทัพที่ไร้ระเบียบตอนนี้อีกครั้งแล้วถามเขากลับไป

    แล้วเจ้าคิดว่าถ้าหากจะซุ่มโจมตีศัตรูตอนไหนจะเหมาะไปกว่าตอนนี้หละ

     

    หลังจากปล่อยให้เขาคิดดูว่าที่ข้าพูดมันจริงหรือไม่  ข้าก็สั่งให้สมองของข้าเตรียมแผนการที่จะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น

     

    ไม่ทันจะสั่งให้ขี้เลื่อยในสมองของข้า ทำงานซักเท่าไหร เสียงเฮลั่นก็ดังขึ้นจากนั้น สิ่งที่ข้ากลัวเป็นจริงเสียแล้ว

     

    สองข้างทาง มีทหารจำนวนมากพุ่งมาหาพวกเรา พวกมันคงรอเวลานี้อยู่แล้ว ข้ารีบกดหัวเด็กหนุ่มให้ก้มต่ำลง

    ข้าชักดาบของข้าออกมา และหยิบดาบที่ข้างเอวของเด็กหนุ่มออกมาจากฝักของเขา

     

    ดาบคู่ของข้า ตัดหัวเหล่าศัตรูที่ตรงมาหาข้าอย่างง่ายดาย แต่ว่าเหล่าสหายของข้าที่ไม่ทันระวัง

    เกือบทุกนายเสียชีวิตของตัวเองไปในชั่วพริบตา  บางคนโชคดีหน่อยก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อย

     

    ข้ากวาดสายตาประเมินสถานการณ์ มันจะมีทางไหนรึเปล่าที่ทำให้ข้ารอดไปจากสถานการณ์นี้

     

    มือทั้งสองของข้ากำดาบคู่ในเมือไว้เสียจนแน่น มองไปรอบๆ ด้วยหางตาของข้า ก็พบว่าเด็กหนุ่มพยายามลุกขึ้นมาหลังจากที่ข้ากดลงไปที่พื้นแล้ว

     

    ฟังนะเจ้าหนู!! ” ข้าพูด ไม่สิ ข้าสั่งเขา

     

    พาทหารพวกเราหนีไป!! ข้าจะรับมือตรงนี้เอง!! ”

     

    พอเขาได้ยินเช่นนั้นก็รีบปฎิเสธสิ่งที่ข้าสั่ง ท่านจะบ้าหรือ ท่านจะรับมือพวกมันคนเดียวได้อย่างไรกัน!!!  

     

    เขาหยิบดาบที่ตกอยู่ที่พื้นขึ้นมาแล้วฟาดฟันศัตรูที่ตรงเข้ามาหา

    ถ้าหากท่านจะอยู่ที่นี้ ข้าก็จะอยู่ด้วย!!!! ท่านไม่ใช่หรือที่บอกว่า หากข้าไม่อยากตายให้อยู่กับท่านไว้!!! ”

     

    พอข้าได้ยินเช่นนั้นก็ทำให้ข้าโมโหขึ้นไปอีก ข้าฟันศัตรูคนหนึ่งทิ้งแล้ว กระชากคอเสื้อของเด็กหนุ่มคนนั้นขึ้นมา

     

    เจ้าฟังนะ!!! “  ข้าตะเบ็งเสียงใส่เขา

     

    ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด!!!  แต่เจ้าลองคิดดูถ้าหากท่านแม่ทัพเป็นอะไรตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น!!! ”

     

    ศัตรูที่คิดว่าข้าแตกคอกับพวกเดียวกัน พุ่งตรงมาหาข้า แต่ข้าไม่สนมันข้าแค่ปล่อยมือลงชั่วครู่ แล้วเหวี่ยงตัวเองหมุนเป็นวงใส่แรงกระโดดเตะอัดหน้าของมันจนมันล้มลงไปนอนหงายกับพื้น

     

     

    ฟังข้า!!!  หากพวกเรายังอยู่ตรงนี้กันอีก พวกเราทั้งหมดจะได้ตายกันตรงนี้!! ฉะนั้นรีบพาทุกคนให้หนีไปได้!!!!

     

    ข้าตวัดดาบเป็นวงกว้าง สังหารศัตรูอีกคนหนึ่งลงอย่างง่ายดาย

     

    ไม่เช่นนั้นพวกเราจะตายกันตรงนี้ทั้งหมด!!!!! ”

     

    แต่ถ้าหากข้าทิ้งให้ท่านสู้คนเดียว...... ท่านจะต้องตายนะครับ!!!! ”

     

    หนวกหูน่า!!!! ” ข้าพูดแล้วใช้ดาบในมือข้างหนึ่ง แทงทะลุคอหอยของศัตรูที่คิดจะทำร้ายข้าจากด้านหลัง

     

    แล้วคำสัญญาของท่านกับคนรักของท่านหละครับ !!!!

     

    จู่ๆ ภาพเอลิเวียก็ลอยขึ้นมา  ภาพของนางที่กำลังโปรยยิ้มให้กับข้าอย่างอ่อนโยน

    เพียงแค่เสียสมาธิไปกับจินตนาการของข้าชั่วครู่เดียวเท่านั้น ลูกธนูก็พุ่งทะลุอกของข้าไป

     

    อึก!!!! ” ข้ากัดฟัน แล้วดึงเด็กหนุ่มมาหลบหลังที่กำบังด้วยกัน 

     

     ฟังข้านะ.....  ข้าเองก็ไม่อยากมาตายที่นี้เหมือนกัน 

     

    ข้าพักหายใจซักพักแล้วบอกเขาต่อไป  แต่ถ้าไม่ทำเช่นข้าบอกหละก็ จะต้องมีอีกหลายชีวิตที่จะต้องตายลง เจ้าเข้าใจไหม

     

    พาคนหนีไปให้มากที่สุดข้าย้ำคำเดิม

     

    แต่!!! ”

     

    หากเจ้ารอดไปได้หละก็......... ข้าถอดปลอกแขนออก แล้วให้กำไลข้าวสาลีแก่เด็กหนุ่ม

     

    นำกำไลข้าวสาลีไปให้กับคนรักของข้าด้วย....  ตอนนั้นนางคงได้เป็นนายหญิงผู้สูงศักดิ์แล้ว......

     

    ข้ากำหมัดแล้วเหยียดไปสุดแขนของข้า  เช่นเดียวกับที่เมื่อครั้งที่แล้ว

     

    เด็กหนุ่มมองข้า ดวงตาของเขาสั่นเทิ่มและคลอไปด้วยน้ำตา เขารับเอากำไลของข้าไปแล้ว เหยียดแขนมากระทบหมัดกับข้าเบาๆ

     

    ข้าสัญญาครับ.....เขาปาดน้ำตาทิ้งแล้วรับเอากำไลของข้าไป

     

    เด็กหนุ่มพุ่งออกไปและตะโกนสั่งทหารทุกนายอย่างองอาจ ทหารทุกนายตามข้ามา!!! ”

     

    น้ำเสียงที่สั่งการของเขาช่างทรงอำนาจยิ่งนัก เพียงแค่ข้าได้ยินเท่านั้น ก็รู้สึกได้ว่าเขาเป็นคนที่พึ่งพาได้

    ในความโกลาหนแบบนี้ ทหารทุกนายต้องการคำสั่ง หรืออย่างน้อยๆ ใครก็ได้ที่บอกได้ว่าทำอย่างไรพวกเขาถึงจะรอดไปได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่จะมีคนยอมทำตามเด็กหนุ่มที่อายุเพียง 15 เช่นเขา

    พวกทหารฝ่ายเราทำตามที่เขาสั่งโดยไม่สงสัย และถอยตามเด็กหนุ่มไป

     

    ข้าเองก็ได้อู้พักหายใจครู่หนึ่งแล้ว จึงพุ่งออกไปขวางทางมิให้ศัตรูที่ต้องการตามไป ไม่ให้ทำตามอย่างที่มันคิด

     

    ย้ากกกกกกกกกกกก!!!!!!!!!!!!   ข้าถือดาบคู่ของข้าเข้าฟาดฟันกับศัตรูที่อยู่เบื้องหน้าข้าอย่างไม่คิดชีวิต

     

    หากมีอะไรจะทำให้ข้ารอดจากพวกมันได้หละก็.....   มันก็คงเป็นอะไรที่มากกว่าปาฏิหาริย์แล้ว

     

    ในเวลานี้ไม่รู้ว่าทำไมกันนะ.....  ฉันยังคงคิดถึงเธอ.....  ใบหน้าที่ยิ้มให้กับเรา ราวกับรอเรากลับไป

     

    อ่า..........

     

    มันคงไม่เป็นอย่างนั้นสินะ......... 

     

    - . * + * . - . * + * . - . * + * . - . * + * . - . * + * . - . * + * . - . * + * . - . * + * . -   

     

     

    สีขาว ที่ค่อยๆ ร่วงลงมาจากท้องฟ้า   ท่ามกลางทิวทัศน์อันขาวโพลนของหิมะกลางฤดูหนาว

     

    ทั้งๆ ที่เป็นแบบนั้นแต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลยซักนิด

     

    เพราะฉันกำลังฝันอยู่ใช่ไหม ??

     

    คงเช่นนั้น  เพราะทิวทัศน์นี้ตรงกับความทรงจำของเรา เมื่อนานมาแล้ว

     

    มือของเราดูเล็กลง ร่วมทั้งส่วนสูงของเราก็เล็กกว่าความเป็นจริง...  พอมาคิดดูนี้อาจจะเป็นเราตอนเด็กๆ ก็ได้สินะ

     

    มองไปรอบด้าน ก็พบแต่ทุ่งข้าวสาลีที่ สูงกว่าหัวเราเสียอีก

     

    ปกติแล้วฤดูนี้จะปลูกข้าวสาลีไม่ได้ไม่ใช่หรือไงกัน........

     

    ถึงจะคิดแบบนั้นก็เถอะ แต่มองยังไง ทั้งสองข้างทางก็มีแต่ข้าวสาลีที่สูงเหนือหัวเราไปทั้งนั้น

     

    หือ.......

     

    จะว่าไปแล้ว ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว มีเสียงอะไรบางอย่างมาจากอีกฝากของทุ่งข้าวสาลี

     

    เสียงที่คุ้นหู แต่ว่ากลับนึกไม่ออกเสียทีว่าเป็นเสียงอะไร

     

    ยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิดเพราะนึกไม่ออกเสียที   ข้าเลยต้องเดินฝ่าทุ่งข้าวสาลีไปเสียเลย

     

    หิมะที่เริ่มทับบนยอดข้าวสาลีหล่นมาโดนตัวเรามันให้ความรู้สึกเย็นอย่างประหลาด....

     

    ทั้งๆที่นี้เป็นความฝันแท้ๆ ? ทำไมถึงรู้สึกเย็นได้หละ....

     

    เราได้แต่เดินฝ่าทุ่งข้าวสาลีไปเท่านั้น

     

    ในที่สุดเราก็พอจะนึกได้ว่า เสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงของเด็กผู้หญิง  และเสียงเหล่านั้นก็คือบทเพลง

     

    บทเพลงที่แสนคุ้นเคยแล้วน่าโหยหา

     

    อาใช่แล้ว นี่ไม่ใช่แค่ความฝันหรอก....

     

    แต่นี่คือความทรงจำของเรา...

     

     

    เพราะว่านี้คือครั้งแรก........

     

     

    ที่เราได้พบกับเธอ......

     

     

     

    เอลลิเวีย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!! “    ข้าแหกปากราวกับคนบ้า

     

    ทันใดนั้นหน้าผากข้าก็กระแทกกับบางอย่าง เสียงดังเปรี้ยง!! ทีเดียว

     

    เจ็บชะมัด....

     

    เป็นความรู้สึกแรกที่เข้ามาหาข้า  จะว่าไปแล้วความฝันมันมีเจ็บแบบนี้ด้วยงั้นหรือ ???

     

    โอยย....... เจ็บๆๆๆ

     

    เสียงเด็กผู้หญิงร้องครวญคราง  พอข้าหันไปก็เจอกับเด็กสาวแปลกหน้า อายุน้อยกว่าข้าราวๆ 3-4ปีได้

     

    ทำอะไรของคุณหน่ะ!! ” เธอเอ็ดใส่เราเสียงดัง  จะว่าไปเราทำอะไรผิดหว่า ???

     

    จู่ๆ ก็ร้องเสียงดังแล้วก็ลุกพรวดขึ้นมาเลย  เธอบ่นราวกับหมีกินผึ้งมา แต่จะให้เธอไม่บ่นสีแปลก เพราะพอมองดีๆ ที่หน้าผากเธอเป็นสีแดงช้ำ เข้าใจว่า คงเป็นสาเหตุของเสียงเปรี้ยง แล้วก็ความรู้สึกเจ็บ นั้นชัวร์ๆ

     

    ถ้าให้เดาข้าคงลุกพรวดพราดขึ้นมาจนหน้าผากของข้าไปกระแทกกับหัวของนาง.....

     

    สถานการณ์แบบนี้ยังไงข้าก็ผิดสินะ... ฉะนั้นก็กล่าวคำขอโทษพอเป็นพิธีไปซะหน่อย

     

    อ้อ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ  แค่คุณรู้สึกตัวก็ดีแล้วหละค่ะ  เธอตอบ พลางเอาผ้าไปชุบน้ำในอ่างเล็กๆ ข้างๆ เตียงเรา

     

    รู้สึกตัว....... นี่ข้า....

     

    พอได้ยินแบบนั้นข้าก็รีบสำรวจตัวเอง  สิ่งแรกที่ข้าควรจะรู้สึกนั้นก็คือ... ข้าขยับมือซ้ายไม่ได้ แม้สมองข้าจะสั่งการณ์ไปแล้ว

     

    อันที่จริงแล้ว........ มันไม่มีมือซ้ายแล้วต่างหากหละ......

     

    ความจำอันเลือนรางของเราบอกว่า เราเสียแขนข้างนี้ไปในสนามรบ....

     

    อย่างที่สองที่ข้าพบก็คือ

     

    โครกกกกกกกกก ครากกกกกกก!!!!!!! 

     

    หิวชะมัด..............

     

     

    อ๊ะ  จริงสิ นี้ก็บ่ายแล้ว ยังไม่ได้ทำข้าวเที่ยงให้กินเลย ขอโทษนะ จะรีบไปทำมาให้เดียวนี้หละ!! ”  เด็กสาวคนนั้น ทิ้งผ้าชุบน้ำไว้ในอ่างแล้วรีบผละตัวไปทันที

     

    แต่ข้าก็ตะโกนเรียกชื่อเธอแต่พอมานึกอีกที ข้าก็ยังไม่รู้ชื่อของเธอเลยนี่นา  ข้าเลยได้แต่พูดบางอย่างที่พอจะทำให้เธอหันมาได้

     

    รู้สึกว่าข้าจะตะโกนไปว่า นี้เธอ!! หรือว่า เดี้ยวก่อนสิ!! หรืออะไรซักอย่าง  แต่ปฎิกิริยาของเธอ กลับหันมาแล้วทำหน้าบึ้งนิดๆ ใส่เรา

     

      ฟาว์ร่า!! 

     

    หา???

     

    ฟาว์ร่า!! ชื่อของฉันยังไงหละ!! ” 

     

    อ้อ.........  ดูเหมือนเธอจะไม่ชอบให้เรียกเธอด้วย คำว่า เธอ หรือ คุณอะไรพวกนั้นหละมั้ง.....

    แต่ว่า ฟาว์ร่าก็เรียกยากชะมัด ข้าเลยเรียกใหม่สั้นๆ ไปเลย

     

    ฟาว์    ข้าอ้ำอึ้งราวกับคำพูดมันติดอยู่ในลำคอ  เออ.........

     

    มีคำถามตั้งมากมายเข้ามาในหัวเรา อย่างเช่น ที่นี้ที่ไหน  แล้วนี้วันที่เท่าไหรแล้ว ข้าหลับมากี่วัน? แล้วทำไมข้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้  แล้วเธอมีแฟนรึยัง 

     

    อ๊ะ... อันหลังไม่เกี่ยวๆ

     

    ดูเหมือนฟาว์จะเข้าใจเหตุที่ข้าอ้ำอึ้งไป นางจึงยิ้มแล้วเดินกลับมา แล้วจับตัวข้าเอนลงไปนอนลงบนเตียง

     

    พักก่อนนะ แล้วเราทำอาหารอร่อยๆ มาให้กิน แล้วจะถามอะไรก็ค่อยถามแล้วกัน...

     

    แต่....

     

    นี้เป็นคำสั่งนะ!! ”  

     

    เผด็จการ!!!!!

     

    น่าสมเพชจริงๆ ที่ต้องมานั่งฟังคำสั่งของผู้หญิงที่เด็กกว่าเรา ถ้าดูจากอายุหละก็ อาจจะ17? หรือ 15??

    ข้าได้แต่ถอนหายใจยาวๆ  จะว่าไปแล้ว แสงอาทิตย์ก็จ้าชะมัดเลย

     

    เอามือซ้ายขึ้นมาบังแสงซักหน่อยก็คง......

     

    อ่าจริงสิ  มือซ้ายของข้า.......

     

    เมื่อกี้เพราะมีความหิวมาแทรกทำให้ข้าลืมเรื่องมือซ้ายไปเลย  พอมาดูตอนนี้แล้วมันก็น่าใจหายไม่น้อยเลย

    เพราะไม่เพียงแค่มือเท่านั้น ข้อศอก ต้นแขน.... ทุกอย่างหายไปจนหมด

     

    จะว่าไปแล้ว ทั้งตัวก็ปวดระบมไปหมด......  ความรู้สึกช้าชะมัดเลยเหะ

     

    ความจำของข้าไม่ค่อยดีนัก ข้าไม่แน่ใจว่าข้าเขียนแขนคู่ใจไปตั้งแต่ตอนไหนกัน  ในสนามรบ? หรือในป่า??

    พอมองไปดูรอบๆ ห้อง ข้าก็พบกับชุดเกราะของข้า ที่ยับเยินจนเหมือนเป็นแค่เศษเหล็กเท่านั้นเอง

     

    นี้ข้าไปสู้กับสัตว์ประหลาดที่ไหนมาฟ่ะ......  เกราะถึงได้ยับแบบนี้

     

    มองไปดูข้างๆ อีกที ก็พบกับดาบคู่ที่ใช้  ดาบเล่มนึงข้าได้มาเป็นดาบประจำตัวตอนเป็นอัศวิน  มันหักจนเหลือแค่ครึ่งเดียวแล้ว

     

    ส่วนดาบอีกเล่ม เป็นดาบที่ข้าไปฉกมาจากเจ้าหนุ่มนั้น  ดาบเล่มนี้ทนกว่าดาบของข้าเสียอีก...

     

    เอ้า อาหารเที่ยงมาแล้วจ้า..... 

     

    ข้าค่อยๆ กินอาหารเหล่านั้น แล้วก็ฟังเรื่องราวจากปากของฟาว์

     

     

    ฉันไปเจอเธอในป่าหน่ะ ตอนแรกนึกว่าเดี้ยงซะแล้ว!!  

     

     

    ยัยนี่พูดเป็นขวานผ่าซากเลยวุ้ย  แต่เอาเหอะข้าไม่ถือหรอก

     

     

    ตอนแรกว่าจะฝังเจ้าลงดินแล้วหละ

     

     

    ดีนะที่ไม่ทำแบบนั้น....

     

     

    แต่แหม... ไม่คิดว่าจะรอดมาได้เลยนะเนี่ย ฮะๆๆ 

    ฟาว์หัวเราะเสียงดังข้าเองพอเห็นนางหัวเราะ ข้าก็รู้สึกหายเครียดไปเลย

     

    ข้าฟังฟาว์เล่าต่อไป  เท่าที่ฟังมาดูเหมือนข้าจะสลบไปนานราวครึ่งเดือนหรือนานกว่านั้น เพราะว่านางบอกว่า ตอนที่ไปพบข้า เริ่มพวกพวกนกแร้งมาทึ่งศพข้าแล้ว...

     

    เออ.. ศพ... นางพูดแบบนั้นหละนะ

     

    นางพาข้ามาพยาบาล จะอย่างดีรึเปล่าไม่รู้ แต่ข้าคิดว่านางคงทำเต็มความสามารถหละนะ

    ถ้าไม่ใช่ว่าข้าอึดขนาดนรกยังไม่อยากจะรับหละก็ นางก็คงเป็นหมอเทวดาแล้วหละ ที่ทำให้คนที่ถูกเรียกว่าศพคืนชีพขึ้นมา

     

    ข้าคงไม่ใช่ซอมบี้ไปแล้วหรอกนะ ??

     

    ก็คงไม่ใช่หรอก เพราะบนหัวข้า มีไม้กางเขนอันใหญ่อยู่ แล้วข้าก็ไม่คิดจะกลัวมันด้วย

    แล้วที่นี่ก็คือหมู่บ้านเล็กๆ บนเขาที่ข้าไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ...  ไม่สิ จำได้ลางๆ ว่ามันอยู่โครตไกล...

     

    นี่มันห่างจากสนามรบของข้าไปมาก...... จนข้าสงสัยว่าข้ากระเด็นมาถึงที่นี้ได้ยังไงกัน...

     

    ช่างมัน..... มาถึงเรื่องสำคัญ

     

    ว่าแต่เธอยังไม่มีแฟนหรือ ? ”  ข้าถามแบบแกล้งแหย่ไป เล่นเอานางอายม้วนไปเลย

     

    บะ.... บ้าเหรอ ทำไมถามอย่างนี้หละ 

     

    ข้าแค่อยากรู้ว่ามีผู้ชายคนไหนโง่พอที่จะมาชอบเจ้าบ้างยังไงหละ  ข้าตอบไปตรงๆ นี่ทำให้ข้าโดนหมัดตรงสวนกลับมาด้วยเช่นกัน

     

    ให้มันน้อยๆ หน่อย!! ” นางพูดแล้วทำเป็นเชิดใส่  ข้าได้แต่พูดขอโทษที่ล้อเล่นแรงไปหน่อย

     

    ว่าแต่นายก็เหอะ  ฉันว่าผู้หญิงที่มาชอบนายก็คงบ้าพอๆ กับนายนั้นหละ! ”

    เอ้า.... แดกดันซะเจ็บโดนใจชะมัดเลย

     

    จ้าๆ ข้าตอบแบบขอไปที แล้วพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่ารอบๆ บ้านของนางจะไม่มี บ้านหลังอื่นอยู่เลย

     

    อ้อ  บ้านของฉันอยู่ไกลออกมาจากหมู่บ้านหน่อยนะ  เพราะฉันไม่ค่อยชอบคนเยอะๆ

     

    ไม่ชอบคนเยอะๆ หรือคนเยอะๆ ไม่ชอบเจ้าหว่า ?

     

    พลั่ก!!

     

    ได้ยินนะย่ะ!! ”  นางทุกกะบาลข้าอย่างไม่เกรงใจ เฮ้ๆ นี่ข้าเป็นคนป่วยนะเฟ้ย เบามือหน่อยก็ได้แม่คุณ

     

    แล้วเช่นนั้น เธออยู่คนเดียวอย่างนั้นเหรอ ? 

     

    ก็ตอนนี้ก็อยู่กับเจ้าไงหละนางต้องตั้งใจตอบกวนๆ ใส่ข้า แต่นั้นก็หมายความว่านางอยู่คนเดียวนั้นหละ

     

    ไม่ลำบากหรือไงกัน คนเดียวกลางป่าแบบนี้เนี่ย? ” ข้าถาม

     

    อ้อ  ไม่เลยๆๆ  เกิดหิวยังไงก็ไปล้มหมีมาซักตัวมากินยังเลยนางพูดข้าคิดว่านางพูดล้อเล่นจนกระทั่งนางพูดต่อ

    แบบที่อยู่ในจานเธอยังไงหละ

     

    เฮ้ๆๆ......  เธอล้มหมีได้ด้วยมือเปล่าเรอะ...  ไม่ตลกเลยนะเฟ้ย

     

    ล้อเล่นหน่ะจ๊ะ

     

    ก็บอกให้มันเร็วกว่านี้หน่อยเซ้!!!!

     

    นี้เธอคิดเหรอว่าสาวน้อยร่างบอบบาง น่ารักแบบฉันจะล้มหมีได้หน่ะ

     

    ในกรณีเธอมันสาวแรงฟายที่มีพลังเยอะจนไม่รู้จะใช้ยังไงต่างหากเล่า..

     

    อีกครั้งที่ข้าไม่รู้ตัวว่าข้าคิดดังไป...  นางเล่นสับกะบาลข้าด้วยสันมือเลยทีเดียว

     

    เสียมารยาท!! ”

     

    ฮะๆๆ

     

    ไม่รู้เพราะคุยเพลินหรืออาหารถูกปากข้ากัน แต่ว่าอาหารในจานมันหายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้

    ยังไม่อิ่มท้องดีเลย...

     

    เอาเพิ่มไหม?? ” นางถาม แต่กลับไม่รอคำตอบข้า นางหยิบจานแล้วเดินไปตักมาเพิ่มให้

     

    ตอนนางเปิดประตูครัว แวบนึง ข้าเห็น หัวหมี วางไว้ข้างๆ หม้อน้ำซุบ..........

     

    สรุบมันเป็นเรื่องล้อเล่นจริงรึเปล่าเนี่ย......

     

    ............

    ....

    ..

     

    ข้ารู้สึกไปเองหรือไงนะ พอ ฟาว์ไม่อยู่แล้ว มันเงียบพิกลเลย......

    อาจจะเป็นเพราะนางพูดมากเกินไปรึเปล่า....

     

    ฮะๆๆๆๆ

     

    แย่ชะมัด....

     

    พอเงียบๆ แบบนี้ทีไร ทำให้ข้านึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ทุกที

    บรรยากาศตอนที่ข้าไปเก็บข้าวสาลีไปขาย  คนในหมู่บ้านที่ยิ้มแล้วถามข้าว่าเป็นยังไงกันบ้าง..

     

    ถามว่าเหนื่อยไหมที่ต้องดูแลทุ่งข้าวสาลีใหญ่ขนาดนั้น  เพียงแค่คนเดียว

     

    ข้าก็จะตอบไปเช่นที่ข้าเคยตอบ คำตอบที่เป็นคำโกหกคำโต ว่าไม่เหนื่อยเลย

    ที่จริงแล้วเหนื่อยใจจะขาดแล้วต่างหาก มีตั้งเยอะแท้ๆ แต่กลับขายได้ไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย

     

    ฤดูหนาว ข้าก็ต้องเข้าไปในป่า ล่าสัตว์เพื่อหามาเป็นอาหาร......   ไปช่วยงานคอกม้าของเพื่อนบ้าง

    ช่วยดูแลวัวบ้าง ตัดขนแกะบ้าง ให้อาหารสัตว์ต่างๆ อะไรพวกนี้หละนะ

     

    พอว่างข้าก็จะเลี้ยงที่หัวมุมถนน ไปร้านอาหารที่เอลลิเวียช่วยงานพ่อตัวเองเสมอๆ

    ข้าก็จะไปช่วยนางตอบแทนที่นางมาช่วยข้าเก็บเกี่ยวข้าวสาลีทุกครั้งนั้นหละ

    อาหารฝีมือนางแย่ชะมัด....  พอข้ากินทีไร พ่อของนางก็ต้องเตรียมยาแก้ท้องเสียให้กับข้าทุกที

     

    พอพ้นฤดูเก็บเกี่ยว พวกที่ปลูกผักต่างๆ ก็จะมาร้องรำทำเพลง ผลาญเงินที่เพิ่งได้เพื่อฉลอง ที่ขายพืชผักได้

    แล้วก็จะมีคนแก่มาท้าข้างัดข้อบ้าง  ท้าข้าดื่มเหล้ามั่ง ชนะบ้างแพ้บ้าง  แต่ก็นะ ส่วนใหญ่ข้าก็ชนะนั้นหละ

     

    เรื่องเก่าๆ ก็คือเรื่องเก่าๆ......

     

    ข้าชักคิดถึงหมู่บ้านที่ข้าจากมาเสียแล้วสิ....

     

    ป่านนี้ทุกคนจะเป็นยังไงบ้างนะ.......  ทุ่งข้าวสาลีของข้า ตอนนี้คงเต็มไปด้วยวัชพืชแล้วแน่ๆ เลย...

    ร้านอาหารของเอลิเวียจะเป็นยังไงนะ..  พอไม่มีข้าช่วยแล้วจะยุ่งจนหัวปั่นรึเปล่า...

    แล้วเอลลิเวีย.....

     

    ข้าคิดไปถึงเรื่องต่างๆ นาๆ  ระหว่างนั้นเอง ฟาว์ก็เดินกลับเข้ามา พร้อมกับอาหารอีกจาน

     

    รีบๆ กันตอนที่ยังร้อนๆ อยู่นะ  นางพูด

     

    ขอบใจมาก  ข้าตอบ พลางเป่าไอ ที่ลอยฉุยๆ ขึ้นมา แล้วค่อยๆ กินอาหารที่นางทำมาให้

     

    จริงสิ.......หมู่บ้านข้าตอนนี้เป็นยังไงบ้างนะ......  อย่างน้อยๆ ฟาว์ก็อาจจะได้ยินข่าวคราวจากหมู่บ้านข้าบ้าง

    พอคิดแบบนั้นข้าก็เลยถามนาง

     

    อ้อ ที่เดินไปทางตะวันตกซักหน่อย ก็เจอแล้วใช่ไหมหละ  พอฟังแบบนั้น ข้าก็พึ่งนึกได้ว่า หมู่บ้านนี้มันอยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านข้าสักเท่าไหรนี่นา

     

    หมู่บ้านนั่น.... ไม่ได้ถูกโจรเผาทำลายไปแล้วงั้นหรือ.. 

     

    วินาทีหนึ่งข้าได้ยินสิ่งที่นางพูดออกมาไม่ชัด....

     

    รู้สึกว่าจะตั้งแต่ 3 ปีที่แล้วไม่ใช่เหรอ...  น้ำเสียงของนางราบเรียบ จนหัวใจข้าแทบจะหยุดเต้น

     

    เป็นความจริงหรือ...  ปากของข้าสั่น

     

    อื้ม..... ได้ยินแบบนั้นหละนะ 

     

    ข้าจับไหล่ของนางมองลงไปในดวงตาสีเหลืองของนาง แล้วถามย้ำอีกครั้ง

     

    ครั้งนี้นางไม่ตอบข้า

     

    แต่มันกลับซ้ำเติมเข้าไปว่าที่นางพูดนั้นเป็นความจริง.....

     

     

    3 ปี.........

     

    เอลลิเวีย........

     

    หมู่บ้านที่แสนสงบ.......  ที่ทุกๆคนหัวเราะกัน ท้ากันกินเหล้า แข่งกันงัดข้อ.....

    หมู่บ้านที่เป็นแค่อยู่ได้ด้วยการขายพืชผัก และเลี้ยงสัตว์........

     

    ไม่จริง.........  บอกข้าซิกว่ามันไม่จริง!!!

     

    แค่ข้าจากหมู่บ้านไปเพียงปีเดียวหมู่บ้านก็ถูกทำลาย!?!? 

    ข้าถูกส่งไปปกป้องประเทศด้วยคำสั่งของท่านเคาท์บัดซบนั้น แต่ว่า หมู่บ้านข้าถูกทำลาย!!

    แล้วที่ข้าออกไปรบเอาชีวิตตัวเองเป็นเดิมพันหละ!! 

     

    มันจะมีความหมายอะไรในเมื่อ สถานที่ๆ รอข้ากลับไป มีเพียงแต่หมู่บ้านร้างเท่านั้น

    มันจะมีความหมายอะไร เมื่อข้ากลับไปแล้วไม่มีใครรอข้าอยู่

    มันจะมีความหมายอะไร ที่ข้าต้องฆ่าฟันกับคนที่ไม่รู้จักเพื่อ รางวัลที่มีเพียงความว่างเปล่า

     

    ข้าจะต่อสู้ไปทำไมในเมื่อความว่างเปล่าเท่านั้นที่รอข้าอยู่!!!

     

    ข้าจะต่อสู้ไปทำไมถ้าหากข้าไม่ได้เห็นหน้านาง!!

    ข้าจะมีชีวิตต่อไปทำไมหากข้าจะไม่ได้พบนางอีก!!!

     

    ไม่สามารถแกล้งเธอได้อีก...

     

    ไม่ได้ฟังเธอหัวเราะ 

     

        ไม่ได้เห็นรอยยิ้มของเธอ!! 

     

             ไม่ได้สัมผัสริมฝีปากเธอ!! 

     

                    ไม่แม้แต่จะได้เห็นเธอ!!

     

                     ทำไม....

     

                 ทำไมกัน

     

           ทำไมกันหละ!!

     

    ทำไม!!!!!!!!!!!

     

    ข้าได้แต่ถามตัวเอง...  ถึงกระนั้นก็ไม่มีคำตอบใดๆ มาให้แก่ข้าเลย

     

    น้ำตาของข้าไหลออกมาจากสองตาข้า   ข้ากล่าวขอโทษฟาว์และพยายามผละนางที่ตั้งใจจะเช็ดน้ำตาให้กับข้า

     

    ทำไมกันหละ...........................

     

    ข้าจำไม่ได้ว่าข้าร้องอะไรออกไป.......  แต่ข้าตะโกนมันออกไปสุดเสียง เท่าที่ข้าจะทำได้

    ข้าไม่คิดว่ามันจะบรรเทาความรู้สึกเหล่านี้ของข้าลงไปได้..... 

     

    แต่ว่าข้าไม่อาจหยุดมันได้...

     

    ราวกับทุกอย่างพังทลายลงไป

     

    ความหวัง....  แสงสว่างเล็กๆซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจข้า  สิ่งเดียวที่สั่งให้ลมหายใจข้ายังทำงานอยู่

    สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าสู้กับทหารนับพันนับหมื่น  โดยไม่สนใจชีวิตตัวเอง

     

    แสงสว่างเล็กๆ ที่มอบพลังให้แก่ข้าจนบัดนี้

     

    ตอนนี้

     

    มันไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว......

     

     

     

    --------------------------------------------------------------

     

    วันเวลาผ่านไป....  แต่ข้าไม่สนใจมันอีกแล้ว...  ข้าจำไม่ได้ว่ามันนานแค่ไหน

    นานแค่ไหนที่ข้าไม่รู้สึกอยากหายใจอีกแล้ว

     

    โลกนี้ช่างโหดร้าย.....

     

    ถึงแม้ข้าจะเศร้าเพียงใดก็ตามที

     

    แต่โลกก็ยังคงหมุนต่อไป

     

    ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นทางตะวันออก และ ตกที่ทิศตะวันตก

    ฝนยังคงตกต่อไป นกน้อยยังคงขับขานเสียงเพลงในป่าใหญ่

    ฝูงปลายังคงแหวกว่ายในน้ำ และหนีหมีที่ลงไปล่าพวกมัน

     

    เมื่อเที่ยงข้าก็ยังคงหิว........

     

    อะไรกัน.. นายไม่กินข้าวอีกแล้วเหรอ

     

    หัวใจข้ายังคงเต้นต่อไป

     

    โธ่เอ๋ย  เอาแต่นอนบนเตียงอยู่ได้.....  หัดลุกมาออกกำลังกายซะมั่งนะ เดี้ยวจะเป็นง่อยไปเสียก่อน

     

    แม้พยายามจะกลั้นหายใจยังไงสุดท้ายข้าก็ต้องหายใจอยู่ดี.......

     

    อะไรกัน ทำหน้าเศร้าอีกแล้ว จะทำแบบนี้ไปถึงเมื่อไหรกันห่ะ

     

    ฟาว์พูดกับข้า หลายวันผ่านไปนางดูแลข้าหลายๆ เรื่อง......

     

    น่ารำคาญ.......

     

    อะไรกัน ถ้าไม่กินข้าวหละก็เดี้ยวไม่มีแรงนะ......

     

    หนวกหู.....

     

    นี่ฟังฉันอยู่รึเปล่า?? ”

     

    หนวกหู................

     

    หรือว่ามีไข้อีกแล้ว?? ”

    นางยื่นมือมาสัมผัสหน้าผากข้าเพื่อวัดไข้ข้า....  แน่นอนข้าไม่ได้ป่วยแต่อย่างได

     

    ข้าปัดมือนางออกไปอย่างไร้เยื่อใย

     

    สายตาข้าไม่ได้มองนางแม้แต่น้อย แต่ข้ารู้ว่านางทำหน้ายังไงใส่ข้า

     

    โกรธข้าสิ... เกลียดข้าสิ....

     

    แล้วทิ้งข้าให้อยู่คนเดียว

     

    ทิ้งข้าให้จมอยู่ในความสิ้นหวังคนเดียวสิ..............

    ปล่อยให้ข้าอยู่แบบนี้...

     

    อย่ามายุ่งกับข้า.....

     

    น่ารำคาญ…….

     

    “ ……………..ก็ได้  นางพูด แล้วเดินออกไป

     

    ห้องที่มีเตียงเพียงเตียงเดียว  แสงสว่างที่ส่องลงมาผ่านหน้าต่าง

    ข้างนอกอากาศดีมากทีเดียว.....  ข้างบ้าน นางปลูกดอกไม้ไว้จำนวนมาก

    นานๆ ทีก็จะมีผีเสื้อบินมา แวะเวียนชมกลิ่นหอมของเหล่าดอกไม้

     

    ข้ามองเห็นนางก้มๆ เงยๆ พยายามทำอะไรซักอย่าง

     

    แต่ก็ไม่เกี่ยวกับข้า....  บัดนี้สายตาของข้านั้นมองไปเพียงที่ท้องฟ้าอันว่างเปล่าเท่านั้น

    มองยังไงมันก็เป็นสีฟ้า.... สดใส  ราวกับต้องการจะหัวเราะให้กับความโง่เขลาของข้า

    สุดท้าย...... มันก็กลายเป็นสีแดง และค่อยๆ ลาลับขอบฟ้าไป...

     

    เหมือนทุกๆครั้ง........ ไม่เปลี่ยนแปลง...........

     

    เสียงประตูเปิดเข้ามา ฟาว์ เดินเข้ามาพร้อมดอกไม้จำนวนหนึ่ง

     

    นี่ดูซิๆ  วันนี้ดอกไม้พวกนี้สวยมากเลยใช่ไหมหละ

     

    ข้าไม่สนใจ......  ถึงมันจะสวยงามแค่ไหนก็ตามที มันก็ไม่ช่วยอะไรข้าเลย

    มันไม่ช่วยให้ข้าหายเศร้าได้........  มันไม่ช่วยให้ข้าอยากมีชีวิตต่อไป

     

    กรี๊ด!!!!!!!!!!! ”

     

    จู่ๆ นางก็กรีดร้องเสียงดัง จนข้าต้องหันไปมอง

     

    ช่วยด้วย.......  

     

    ข้ารีบลุกลงจากเตียง แล้วไปพยุงนางไว้ ข้าถามนางในทันใด เกิดอะไรขึ้น!! ”

     

    อะ.... เอามันออกไปที…… ”

     

    ข้าไม่เข้าใจคำตอบของนาง แต่นางตัวสั่นจนพูดแทบไม่ออก 

    มองไปรอบๆ ก็ไม่มีอะไร......  นอกจากหนอนตัวนึง.......

     

    ที่ไต่อยู่บนนิ้วของนาง

     

    อะ  เอามันออกไปนะ!! ”

     

    .........................แค่หนอนตัวเดียวเนี่ยนะ........

    ข้าหยิบมันออกแล้วเอามันไปปล่อยที่นอกหน้าต่าง

     

    เอ้า........  มันไปแล้ว  ข้าพูด

     

    นางหันมามองบนมือตัวเองแล้วถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วเอนตัวลงไปพิงผนังไม้

     

    ฟู่.........  ขอบใจมากเลยจ๊ะ  นางยิ้มให้กับข้า

     

    ก็แค่หนอนตัวเดียวเอง เจ้าจะกลัวอะไรนักหนาข้าพูด

     

    หนอนตั้ง  1  ตัวต่างหากหละ!!!!! ”  นางพูดด้วยน้ำเสียงโมโห

     

    อะไรกัน..... แค่หนอนตัวเดียวเอง ทำเป็นร้องเสียลั่นบ้าน..............

    ให้ข้าเดานะ  พวกผู้หญิงคงเกลียดของพวกนี้ ทั้งๆ ที่หนอนพวกนี้ ถ้าปล่อยไว้ก้จะกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยที่บินในทุ่งดอกไม้แท้ๆ

     

    อ๊ะ...  ฟาว์ร้อง  คราวนี้อะไรอีกหละ.....

     

    ยิ้มแล้ว...........

     

    ยิ้มแล้ว.....

     

    คำพูดนั้นติดในหัวข้าพักนึง ก่อนที่ข้าจะรู้ว่ามันหมายถึงตัวข้าเอง

    ทันใดนั้น ข้ารีบปัดตัวนางไปให้พ้นตัวข้าโดยไว

     

     

    “ ………….. ” ความเงียบเข้าครอบงำบทสนทนาของพวกเรา ข้าไม่ต้องการพูดกับนาง ในเวลาเดียวกันนางก็ทำท่าทางต้องการพูดบางอย่างกับข้า

     

    มันผิดด้วยหรือ ที่เธอจะยิ้มหน่ะ....

     

    น้ำเสียงไปซ้อนกับน้ำเสียงในความทรงจำ.....  ข้าไม่ตอบคำถามนั้น

     

    มันผิดด้วยเหรอ ที่เธอจะต้องกินอาหาร.......

     

    มันผิดด้วยเหรอ ที่เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหน่ะ!!! ” 

     

    คำถามนั้นเสียดแทงลงไปหัวใจข้า จนข้าทนนิ่งเงียบไปอีกไม่ไหวแล้ว

     

    มันผิดซิ!!!! ” ข้าตะคอกกลับไป

     

    ทันใดนั้นข้าก็มองเห็นน้ำตาของนาง  น้ำตาใสๆ ที่ไหลรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของนาง

     

    มันไม่ผิด!!! ” นางตอบข้ากลับมา

     

    มันไม่ผิดเลยที่เธอจะยิ้ม!!  มันไม่ผิดเลยที่เธอจะหิวข้าว!!  มันไม่ผิดเลยที่เธอจะร้องไห้!!! ”

    นางทั้งๆ ที่น้ำตาของนางไหลนองหน้านาง

     

    มันไม่ผิดเลยที่เธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไป!!! ”

     

    มันผิด!!! ” ข้าเถียงราวกับเด็ก 

    ข้าต้องออกไปสนามรบ ใน ขณะที่บ้านเกิดข้าต้องหายไป!!! ”

     

    ข้าต้องจากคนที่ข้ารักไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้บอกลานาง!!! ”

     

    ทั้งๆ นางตายไปแล้ว!! แต่ทำไมข้าถึงยังมีชีวิตอยู่หละ!!! ”

     

    ถ้าหากเอลลิเวียยิ้ม  ข้าก็ยิ้มได้........  ถ้าหากเอลลิเวียหัวเราะ ข้าก็จะหัวเราะไปกับนาง!!  ถ้าหากนางร้องไห้ข้าก็จะร้องไห้ไปพร้อมๆกับนาง!!! ”

     

    ถ้าหากนางมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะมีชีวิตอยู่ต่อไป!!! ”

     

    แต่เมื่อไม่มีนางแล้ว........  ไม่มีรอยยิ้มของเธอแล้ว  ข้าสมควรที่จะยิ้มอย่างนั้นหรือ!! ”

     

    ไม่มีเสียงหัวเราะของนางแล้ว ข้าควรจะหัวเราะอย่างงั้นหรือ!!!

     

    นางตายไปแล้ว แล้วข้าสมควรมีชีวิตอยู่งั้นหรือ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!  

     

     

    เพี้ยะ!!!!!

     

     

     

    เสียงดังและหนักแน่น.....  ฟาว์ตบข้าให้ฉาดนึง

     

    มันไม่ผิด.....  ฟาว์ตอบกลับมา

     

    ฉันไม่รู้หรอกนะมันเกิดอะไรขึ้น....  เธอจะเสียใครไป

     

    ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอรักใคร... ฉันไม่รู้หรอกว่าเธอรู้สึกยังไง

     

    ฉันไม่ว่าอะไรเธอเลยที่เธอทำตัวเหมือนเด็กที่กำลังงอแง......

     

    เธอก็เป็นแค่เด็กตัวโต.... ที่เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่.... คิดว่าตัวเองถูกต้องใช่ไหมหละ

     

    เธอคิดว่าถ้าหากเธอเศร้าแล้วโลกทั้งโลกจะยอมหยุดหมุนเพื่อร้องไห้ไปกับเธออย่างนั้นหรือ......

     

     ต้นไม้ยังไงก็ต้องมีใบสีเขียว  ท้องฟ้าให้ตายยังไงก็ยังคงเป็นสีฟ้า!! เธอคิดว่าถ้าร้องไห้ไปแล้วสิ่งเหล่านี้จะเปลี่ยนไปอย่างนั้นหรือ!!  

     

    นายทำตัวแบบนี้ไปแล้วนายจะได้หมู่บ้านของนายกลับคืนมาหรือยังไงกัน!! ”

     

    นายทำแบบนี้แล้วคนที่นายรักจะกลับมาหานายรึเปล่าหละ!!!”

     

     

    รอยตบของนางยังคงเจ็บแปลบบนหน้าของข้า.... แต่ที่เจ็บกว่ากลับเป็นที่หัวใจ

    นางทิ้งช่วงของคำพูดของนาง เพื่อพักหายใจ และปาดน้ำตาของตัวเธอออกไป

     

     

    ถ้างั้นทำไมไม่ลองดูหละ.......

     

    ไป....... ที่ไหนกัน.... และเพื่ออะไร...

     

    ถ้างั้นทำไมนายไม่ลองไปพิสูจน์ดูหละ!!! ว่าหมู่บ้านนายมันเป็นจริงตามข่าวลือจริงรึเปล่า!!  

    คนที่นายรักหน่ะ ตายไปจริงหรือเปล่า!!! ”

     

    ข้าสะอึก.......  ราวกับข้าอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ว่า ข้ากลับพูดเถียงออกไปไม่ได้

     

    ข้า.......!!! ” ข้าได้แต่ตะโกนอย่างตะกุกตะกัก จนไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไรออกไป

     

    แขนซ้ายของเธอ.........  เธอพูดขึ้นมา

    เธอเป็นคนตัดมันออกไปเองใช่ไหม.....

     

    ข้าไม่ตอบคำถามของนาง

     

    รอยที่แขนของเธอ แค่ดูก็รู้แล้ว....  เธอใช้ดาบรนด้วยไฟ.... ใช้เข็มขัดห้ามเลือดไว้  จากนั้นก็ตัดแขนของตัวเองทิ้ง....

    นางพูดราวกับนางรู้ทุกอย่าง

     

    นายกล้าตัดแขนซ้ายของตัวเองทิ้ง.......... แขนซ้ายที่ถ้ายังอยู่จะทำให้นายเสียเลือดจนตาย..... นายตัดมันทิ้งเพื่อมีชีวิตอยู่ได้

     

    ถ้างั้นทำไมนายถึงไม่ไปดูให้เห็นกับตาหละ....  ว่าหมู่บ้านของนายมันหายไปหรือเปล่า!! ”

     

    ไปดูให้เห็นกับตาว่าคนที่นายรักยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่าสิ!!  ไม่ใช่มัวแต่มานั่งโทษตัวเอง

     

    โทษกับสิ่งที่ผ่านไปแล้ว!!  ลงโทษตัวเองกับอดีตที่เรียกคืนไม่ได้!!! ”

     

     

    ข้าเบือนหน้าหนีนาง แต่ว่า มือของนางดึงให้ข้ากลับมาเผชิญหน้ากับนาง

     

     

    มีแต่คนโง่เท่านั้นที่อยากให้คนรักตัวเองตาย....    นางพูดกับข้า

     

    ถ้าหากฉันตายไปหละก็ อย่างน้อยๆ ฉันก็อยากให้คนรักของฉันยังมีชีวิตต่อไป......

     

    ถ้าเธอตายไปแล้ว เธออยากจะให้คนที่เธอรักตายตามเธอไปอย่างนั้นเหรอ…… ”

     

    ข้า……

     

    พวกผู้ชายชอบทำเป็นเทห์...... คำพูดโง่ๆ ที่บอกว่าถ้าหากเพื่อเธอหละก็แม้ตายก็ยอม...

     

    ฟาว์พูด แต่หูของข้ากลับเพี้ยน ได้ยินเป็นเสียงของคนที่ข้าโหยหามากที่สุด.........

     

    ต้องพูดว่า   ถ้าเพื่อเธอฉันจะไม่ยอมตาย  ต่างหากหละ…. ”

     

    ทำไมข้าเพิ่งมาสังเกตตอนนี้นะ........  ว่าจริงๆ แล้วฟาว์ มีผมสีทอง และใบหน้าที่คล้ายกับเอลลิเวียแค่ไหน

    แม้แต่น้ำเสียงของเธอ...... ยังเหมือนกับเธอ.....  และแม้แต่........

     

    คนบ้า......

     

    แม้แต่ริมฝีปากของนางก็ยังเหมือนกับของเอลลิเวีย..........

     

    ข้าไม่รู้เหตุใดนางจึงมอบจูบให้แก่ข้า......  แต่ข้าก็ไม่ปฎิเศษนาง........

     

    ข้าไม่แน่ใจว่าคืนนั้น..... ข้าทำอะไรไปบ้าง.....  รู้แต่พอรุ่งเช้าฟาว์ก็นอนอยู่ข้างๆ ข้า

     

    แสงตะวันสาดส่องลงมาผ่านหน้าต่างบานเดิม...  มันยังคงสดใสเช่นเดิม...

    ข้าลุกขึ้นไปแต่งตัว  ใส่ชุดเกราะทีพังยับเยิน... ใส่ดาบที่หักลงไปในปลอกและสพายมัน

    ผ้าคลุมที่เปื้อนเลือด ดูเหมือนฟาว์จะซํกและตากมันให้อย่างดี

     

    จะไปแล้วเหรอ.....  เสียงของนางถามข้า......

     

    ข้านิ่งเงียบไปพักหนึ่ง ข้าลังเล....  แต่นั้นทำให้ฟาว์ตีความว่าข้าไม่ได้ปฎิเศษ

    นางเดินมาหาข้าโดยใช้ผ้าห่มแทนเสื้อผ้า  แล้วโอบกอดข้าจากด้านหลัง

     

    ข้า.... ขอโทษ.... 

     

    บ้า....นางพูดกับข้า เวลาแบบนี้ต้องพูดว่าขอบคุณสิ.....

     

    แต่....สิ่งที่ข้าทำกับเจ้า.....  ความรู้สึกผิดเข้าถาโถมตัวข้า... ข้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับความบาปที่ข้าทำขึ้น

     

    พูดเรื่องอะไรหน่ะ...เสียงของนางสดใสและร่าเริงเช่นทุกวัน แต่ข้ากลับรู้สึกว่านางแค่ฝืนทำเช่นนั้น

    เมื่อคืนเราไม่ได้ทำอะไรกันซักหน่อย

     

    นางโกหก........

     

    เพราะงั้น.... ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกนะ  นางโอบกอดแผ่นหลังของข้าแน่นขึ้น

     

    เพราะฉะนั้นไปเถอะ....

     

    ข้าขอโทษ....  ข้าไม่รู้จะคำใดนอกเหนือจากคำนี้เท่านั้น......

     

    บ้านางพูด  ฉันบอกให้พูดว่าขอบคุณไงหละ...........

     

    ขอบคุณซะซิ ที่ฉันคอยเหนื่อยดูแลเธอมาหลายวัน รู้ไหม ฉันเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องดูแลเด็กดื้ออย่างเธอหน่ะ!! ”

    นางกอดข้าแน่นขึ้นเวลาเดียวกันข้าก็รู้สึกได้ว่านางกำลังร้องไห้อยู่...

     

    ขอบคุณฉันซะดีๆ!! ขอบคุณที่ฉันซักเสื้อเหม็นๆ ของนาย ขอบคุณที่ฉันทำอาหารให้!! ขอบคุณที่ฉันมอบความบริสุทธิ์ให้เธอสิ!! ขอบคุณที่ฉัน... ที่ฉัน....

    เสียงของนางสั่นและเริ่มพูดซ้ำไปซ้ำมา...  ข้าพยายามจะหันกลับไปแต่ว่า

     

    อย่าหันมานะ........    นางพูดกึ่งตะโกน  ถ้านายหันกลับมา...... ฉันจะทำใจลำบาก....

     

    ถ้านายหันกลับมา.. ฉันจะรู้สึกว่าจะไม่อยากให้นายไป...... เพราะงั้น อย่าหันกลับมาเลย

     

    แต่.....

     

    ฉันขอร้องหละ

     

    พอฟังแบบนั้นข้าก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี.....  สิ่งที่ข้าทำได้.... สิ่งที่ข้าพอจะทำได้....  ข้าทำได้แค่..

    ......จับมือของนางเอาไว้

     

     

    น่าอิจฉาจังนะ....  ฟาว์พูดขึ้นมา

    ผู้หญิงที่นายหลงรักหน่ะ....... น่าอิจฉาจริงๆ เลยนะ

     

     

    ข้าก็เหมือนกัน....ข้าตอบ

     

    ฉันก็อิจฉาผู้ชายที่จะมาเป็นสามีของเธอเหมือนกันนั้นหละ.....  

     

    ถึงแม้จะปากหนักไปหน่อยแต่ก็พูดอะไรจริงใจ  แม้จะห้าวไปหน่อยแต่ก็มีส่วนน่ารักนิดๆ...

      ทำอาหารก็เก่ง งานบ้านก็ทำได้ทุกอย่าง... คอยเอาใจใส่ทุกอย่างเสมอ....  แถมยังเก่งเรื่องอย่างว่าอีกหละนะ

     

    นางเขกหัวข้าเบาๆ

     

    ทะลึ่ง....  อย่าได้ใจไปหน่อยเลย.......

     

    บทสนทนาของพวกเราขาดห้วงลง  แล้วพวกเราก็หัวเราะให้แก่กัน

    ฟาว์ค่อยๆ ปล่อยข้าออกจากอ้อมกอดของนาง 

     

    “ ……ไปเถอะ.....   ข้าได้ยินเสียงเหมือนนางปาดน้ำตาของตัวเองออกไปก่อนจะกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงเช่นเดิม

     

       ฉันไม่รอให้นายกลับมาหรอกนะ แบร่!!! 

     

    ข้าอดที่จะหัวเราะไม่ได้ กับการกระทำที่เหมือนกับเด็กๆของนาง

     

    สุดท้าย....ข้าก็ต้องพูดคำนี้ออกไปสินะ.......

     

    ขอบคุณนะ......

     

    ข้าออกเดินอีกครั้ง.....  และครั้งนี้ไม่ว่าจะมีอะไรมารอข้า.... ข้าจะไม่ยอมแพ้...  ข้าจะไม่ยอมตาย.....

     

    ถ้าเพื่อเธอแล้วหละก็ฉันจะไม่ยอมตาย

    .......................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×