คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1/ Part 2 : Prince Of White Capital
Part 2 : Prince Of White Capital
ตอนที่สอง : เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว
แสงคมดาบจำนวนนับไม่ทั่วสาดส่องเล็ดลอดหมู่เมฆ เสียงปะทะดาบที่ราวกับเสียงสายฟ้าฟาด
ร่างของคู่ต่อสู้สองคนใต้ผืนนภา ที่บินผ่านจนเห็นเป็นเพียงเส้นขีดแสงสีขาวตัดกับก้อนเมฆสีดำ
ภายใต้ร่างของทั้งสองคนนั้นเป็นผืนดินที่เห็นเพียงแค่ไอสีแดงลอยคละคลุ้งกับฝุ่นและขี้เถ้า
เปลวไฟ เสียงโห่ร้อง น้ำตา และ ความโกรธ ปะปนกันในการต่อสู้ของทหารจำนวนนับไม้ถ้วน
มันคือการต่อสู้
โดยมีสิ่งสำคัญที่เหนือยิ่งกว่าชัยชนะเป็นเดิมพัน มันคือ สงคราม
สงครามครั้งใหญ่ที่สุดที่อัลคารอสเคยมีมา สงครามแห่งสามพิภพ
และแล้ว แสงสีขาวลำหนึ่งก็ร่วงหล่นลงกระแทกภูเขาเสียงดังกัปนาท เจ้าของร่างผู้มีปีกสีฟ้ากุมบาดแผลตน จ้องมองไปยังคู่ต่อสู้ที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ผู้ที่มีปีกสีดำทมิฬที่อยู่เบื้องหน้า
ออร่าสีขาวแผ่กระจายออกรอบกายของผู้มีปีกสีฟ้ากัดฟันแผดเสียงตัวเอง “ ซิก --- รอสสส!!!!
”
-----------------------------------------------------------------------------------------
ไม่กี่วันหลังจาก ปิศาจหมาป่าบุกเข้ามา ส่วนปราสาทที่พังระเนระนาทก็ถูกซ่อมขึ้นมา เหมือนเดิมภายใน 3วัน ด้วยฝีมือของ อาทีซัน ชั้นยอดหลายคน
เรื่องยุ่งๆ หลายอย่างรุมเร้าเข้ามา ประชาชนต่างพูดคุยกันถึงเรื่องนี้ ในหลายๆ ประเด็น บางคนก็เป็นกังวลว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับตน
และเรื่องส่วนใหญ่ ที่ลือกัน ก็มักจะเป็น สองคนที่ปราบปิศาจที่พังปราสาทเป็นแถบๆ ได้
คนหนึ่งเป็นยอดอัศวิน ที่มักใส่ชุดเกราะอัศวินสีดำสนิท ผมสีดำยาวระคอ ดวงตาสีนิล ซึ่งเป็นคนเงียบๆ และมีมาด
ว่ากันว่าในการทดสอบอัศวินครั้งล่าสุด เพียงแค่เขาคนเดียวก็ล้ม อัศวินคนอื่นได้เป็นสิบ
แม้กระทั่งผู้บัญชาการ ไดอาร์ค เนเรคาน ที่ตัวใหญ่กว่าคนทั่วไปนัก ก็ถูกล้มได้ในไม่กี่กระบวนท่า
อีกคนหนึ่งที่มักจะเห็นอยู่ด้วยกัน นั้นคือ เจ้าชายอเล็กไซนด์ ถ้าจะให้พูดถึงเจ้าชายคนนี้
สมัยก่อนก็เป็นแค่เด็กจอมแก่น ที่ชอบแกล้งชาวบ้านในเมือง และโดนลงโทษอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่เข็ดเสียที
แต่เมื่อโตขึ้น ความแก่นแก้วนั้นก็หายไป ความสุขุมเข้ามาแทนที่ ทั้งฝีมือในเชิงดาบ และ ความรู้ในด้านต่างๆ
หลายคนมักเห็นเขาในชุดของสามัญชนมากกว่าฉลองพระองค์ ที่หรูหรา บ่อยครั้งที่จะพบเจอเขาได้ในห้องสมุดของเมือง
และในวันนี้ก็เช่นกัน อันที่จริง ตั้งแต่วันนั้นแล้ว อเล็กไซนด์ ก็เอาแต่อยู่ในห้องสมุด คืนนี้เป็น 5 แล้วที่เขามานอนค้างในห้องสมุด
เขาค่อยๆเปิดหนังสือทีละหน้า ละหน้า จากหนึ่งเล่มเป็นสอง จากสองเป็นสาม จากสามเป็นสิบ
มันค่อยๆซ้อนกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันนี้มันสูงจนมองไม่เห็นหน้าผู้ที่อ่านหนังสือบนโต๊ะนั้นเสียแล้ว
อเล็กซ์ขยี้ตาน้อยๆ แสงในตะเกียงไม่ได้สว่างมาก ทำให้เขาต้องใช้สมาธิในการอ่านมากขึ้น นั้นทำให้เขาง่วงนอนมากขึ้นเช่นกัน
นาฬิกาไขลานของห้องสมุดตีบอกเวลาเที่ยงคืนตรงแล้ว แต่เด็กหนุ่มก็ยังไม่สนใจอ่านหนังสือของเขาต่อไป
นี้เลยเวลาปิดห้องสมุดแล้ว แต่เขาก็ขอบรรณารักษ์อ่านต่อรวมไปถึงค้างในห้องสมุด ซึ่งธรรมดาคงไม่มีใครให้
แต่ บรรณารักษ์ที่นี้ เห็นหน้าอเล็กซ์มานานแล้ว รวมถึงค่อนข้างสนิทกันในระดับนึง จึงยอมให้เขาใช้ห้องสมุดต่อได้
“ ในที่สุดสงครามครั้งใหญ่ก็ ก่อตัวขึ้น โดยจอมอสูร... ” อเล็ก ไล่อ่านตามที่นิ้วตัวเองชี้ไป เขาขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด
เขาวางหนังสือลงแล้วแล้วเอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ แล้วบิดตัวน้อยๆ คลายอาการง่วง
“ ท่านเจ้าฟ้า.... ” เด็กสาวสวมชุดวันพีชสีขาวอ่อนยาวถึงต้นขา ผมสีดำเข้มทักอเล็กซ์ พร้อมเอาเสื้อนอกของตัวเองมาครุมให้กับ อเล็กซ์
“ ทรงอ่านหนังสือ นานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพนะ ” เธอพูดกับอเล็กซ์พลางส่งกาแฟอุ่นๆให้เขา
“ ขอบใจนะ แล้วผมบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องใช้ราชาศัพกับผมให้ยุ่งยากก็ได้ ” เด็กหนุ่มรับน้ำมาแล้วจิบมันเล็กน้อย
“ ไม่ได้หรอก ท่านเจ้าฟ้า ตอนนี้ท่านเป็นถึง.... ” เด็กสาวพูดอย่างร้อนรน
“ ผมรู้แล้วน่า ”เด็กหนุ่มพูดตัดบทอย่างหน่ายๆ แล้วจิบกาแฟต่อ “ แล้วนี้....ท่านแม่ให้มาหาเราหรือ ”
“ ค่ะ.... อันที่จริง ท่านเป็นห่วงท่านมากเลยนะ ท่านเจ้าฟ้า ” เด็กสาวดึงเก้าอี้ตัวหนึ่งมาแล้วนั่งลงข้างๆ เด็กหนุ่ม
“ ผมรู้ดี ” อเล็กซ์จิบกาแฟอีกเล็กน้อย ตอนนี้เขารู้สึกหายง่วงขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่นานเขาได้ยินเสียงจามเบาๆ ของเด็กสาว
ถอดเสื้อตัวเองมาให้คนอื่น ทั้งๆที่ตัวเองก็หนาว อเล็กซ์คิดอย่างนั้นก็อดคิดไม่ได้ เลยลุกขึ้นเอาเสื้อครุมที่ตนแขวนไว้ไม่ไกล มาครุมให้เด็กสาวเสีย
“ จะทำใจดีก็ดูสภาพตัวเองหน่อยสิ ท่านเบเรส ” อเล็กซ์กับเด็กสาวที่หน้าแดงขึ้นมาเรื่อๆ ทันที
“ ขะ.... ขอโทษค่ะ ” เบเรสตอบไปอย่างเขินๆ ไม่นานอเล็กซ์ก็ขยี้หัวเด็กสาวเล่น “ ก็นะ ใครจะคิดว่าอัศวินอันดับหนึ่งจะ มาใส่ชุดน่ารักๆบางๆ แบบนี้ นี่เนอะ ”
“ ท่านเจ้าฟ้าตั้งใจยั่วโมโห เรารึเปล่าเนี้ย ” เบเรสปัดมือออกไปแบบฉุนนิดๆ และคำตอบของเด็กหนุ่มก็เป็นที่รู้ๆกัน
“ ก็นิดหน่อย ”
“ เอาเถอะ องค์ราชินี ทรงเป็นห่วงท่านมากนะ...... ” เบเรสพูด ใจจริงตัวเธอเองก็เป็นห่วงเหมือนกันแต่เธอไม่กล้าบอก
“ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าฟ้าหาอะไรอยู่เหรอ ”
เด็กหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วขณะใหญ่ก่อนจะปิดหนังสือที่ตนอ่านลงพลางนำมันเอาไปกองไว้กับหนังสือกองที่เขาอ่านแล้ว
เธอมองไปยังหนังสือที่กองอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ทุกเล่มนั้นเป็นหนังสือเก่าจำกระดาษนั้นกลายเป็นสีเหลือเข้ม
“ ตำนานของ อัลคารอส.... ? ” เธอหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาดูปกอย่างสนใจแต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอเล็กซ์นั้นหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรอยู่ เธอตั้งใจจะถามซ้ำอีกครั้ง แต่เมื่อมองไปอีกทีเด็กหนุ่มก็ผล่อยหลับไปเสียแล้ว
“ ไม่ไหวเลยนะท่าน..... ” เบเรสก้มตัวลงไปดับแสงไฟน้อยๆ ที่คอยช่วยอเล็กซ์อ่านหนังสือ
“ ฝันดีนะ ท่านเจ้าฟ้า.... ”
-----------------------------------------
ดวงดาวกลางท้องฟ้านี้ช่างสวยลามเสียจริง ไม่ว่าท่านแม่จะพาเรามาดูไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ก็ไม่เบื่อซักที
ท้องฟ้าสีดำมืด แต่มีประกายแสงเล็กๆ ที่เรียงรายอยู่บนฟากฟ้า แม้จะไม่สว่างเท่าดวงอาทิตย์ก็เถอะ แต่ก็ช่างสวยงามนัก
อ๊ะ!! มีประกายนึง มันกำลังเคลื่อนที่นี้นา ว้าว... แสงสีขาวค่อยๆลากผ่านท้องฟ้าเป็นขีดยาวๆ แล้วก็หายไปในพริบตา
“ดาวตกนี้นา ” ท่านแม่ที่กอดเราอยู่พูดขึ้น แสงเล็กๆ นั้นคือดาวตกงั้นเหรอ เขาเรียกว่า “ ดาวจก?? ”
แล้วแม่เราก็ยิ้มน้อยๆ พลางลูบผมของเรา “ เขาว่าจะขอพรกับดาวตกนี้ได้หนึ่งอย่าง ด้วยหละนะ ”
“ พร? ” เราทวนคำนั้นเบาๆ พลางนึกสิ่งที่อยู่ในใจของเรา
“ ใช่จ๊ะ พรหนึ่งข้อ ” แม่ตอบเราในทันที... ถ้าอย่างนั้นเราจะขออะไรดีหละ.... ใช่แล้วเราอยากมีพี่ตั้งนานแล้วขอให้มีพี่สาวดีกว่า
“ ถ้าผมขอให้ได้เจอพี่สาว จะได้เจอจริงไหมฮะ?? ” เรานี้แย่จัง ต้องบอก อยากได้พี่สาวสิ...
ถ้าพูดว่าอยากเจอก็เหมือนเราเคยมีพี่สาวอยู่แล้วต่างหาก แต่เรารู้สึกเหมือนกับว่าเรามีพี่สาวอยู่จริงๆ ... ที่ไหนซักแห่ง
“ ได้สิจ๊ะ... ” แม่ตอบเรา แต่น้ำเสียงของแม่ฟังดูจะเศร้านิดๆ ก่อนจะกอดเราแน่น แล้วกระซิบข้างหูเรา “ จ้องได้แน่นอน ลูกแม่ ”
เพราะแม่กอดเราอยู่ เราจึงไม่เห็นใบหน้าของท่านแม่... แต่ว่าน้ำอุ่นๆ กำลังไหลมากระทบตัวเรา... ท่านแม่กำลังร้องไห้เหรอ..
ไม่ได้นะท่านแม่... ไหนท่านแม่บอกว่า ลูกผู้ชายห้ามร้องไห้ไง....
....แต่อ๊ะ...... ท่านแม่ เป็นผู้หญิงนี้นา ?? ขี้โกงจัง....... ทำไมต้องห้ามผู้ชายร้องอย่างเดียวนะ...
อยากรู้จัง.......ว่าดาวตกดวงนั้นมันกำลังตกไปที่ไหนนะ......... แล้วเราจะมีพี่สาวไหมนะ.........
“
นักรบแห่งดาวตก และเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว
ผู้กล้าทั้งสองจะออกเดินทางเพื่อตามหาดวงดาวแห่งนักรบ เพื่อหยุดยั้งจอมปิศาจ
“
--------------------------------------------------------------------------------------
อเล็กซ์ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา เขาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงนุ่มๆ ไม่ใช่บนเก้าอี้ไม้แข็งๆของห้องสมุด
แม้จะสลึมสลืออยู่ แต่เขาก็นึกได้ทันทีว่านี้คือห้องของเขาในปราสาท เมื่อคืนเขาคงผล่อยหลับไป
ขนาดได้กินกาแฟของเบเรสไปแล้ว ก็ยังหลับได้เรานี้แย่จัง ทั้งๆทียังหาสิ่งที่ต้องการไม่เจอเลย
....... เดี้ยวนะ....... กาแฟของเบเรส........ .... แล้วก็... องค์ราชินีทรงเป็นห่วงท่านมากนนะ
“ ท่านแม่!!! ” เด็กหนุ่มรีบตื่นขึ้นมาเปลี่ยนชุดแล้วตรงดิ่งไปยังห้องของ องค์ราชินีทันที
เขาเคาะประตู สองสามครั้ง ก่อนจะเปิดเข้าไปโดยรีรอคำอนุญาตใดๆ จากคนที่อยู่ในห้อง
“ ท่านแม่!!! ” เด็กหนุ่มตะโกนในขณะที่ องค์ราชินีกำลัง จิบชาอยู่ เธอไม่มีทีท่าประหลาดใจแม้แต่น้อย
ราวกับว่าเธอกำลังรออเล็กซ์ไซนด์ลูกของเธออยู่ “ อรุณสวัสดิ์จ๊ะ อเล็กซ์ ลูกตื่นสายนะ ”
เสียงขององค์ราชินีฟังดูอ่อนโยนและเรียบง่าย แต่สำหรับอเล็กซ์ มันเหมือนเป็นการประชดเสียมากกว่า
“ ท่านแม่ทำแบบนี้หมายความว่าไงครับ!! ” อเล็กเดินฉับๆ เข้าไปหาแม่ตัวเองพร้อมกับถาม
“ ทำอะไรเหรอจ๊ะ ” เธอวางน้ำชาลงแล้วยิ้มให้กับอเล็กซ์ แล้วเธอก็ทำท่าราวกับว่านึกบางอย่างออก
“ อ้อ... ที่บอกให้เบเรสไปเยี่ยมลูกหน่ะเหรอ ”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วสายตาเขาบ่งบอกว่า อย่ามาแกล้งทำเป็นไม่รู้หน่อยเลย
“ เบเรสไม่มีทางเอายานอนหลับให้ผมกินหรอก แต่ยกเว้นว่าเธอจะไม่รู้ว่ามันเป็นยานอนหลับ ”
“ ต๊าย นี้ลูกเชื่อในตัวเบเรสมากกว่าตัวแม่เหรอเนี้ย ” แม้คำพูดเหมือนกับจะเรียกร้องความสงสารแต่ใบหน้าของเธอนั้นยังยิ้มอย่างอ่อนโยน
“ ก็ราวๆ นั้นหละครับ ” เด็กหนุ่มลากเก้าอี้มานั่งฝั่งตรงข้าม “ แม่คงจะบอกเบเรสว่า ‘ช่วยไปดูอเล็กซ์แทนเราที่ซิ ’ ”
“ แหม..... ใช่แล้วจ๊ะ ก็แม่เห็นลูกไม่กลับมาตั้งหลายวันแล้วนะ แม่ก็เลยเป็นห่วง แม่ว่าเบเรสเองก็คงเป็นห่วงลูกไม่น้อยเลยเหมือนกันหละจ๊ะ ” องค์ราชินีค่อยๆ จิบน้ำชาอีกครั้ง แล้วมองมายังเด็กหนุ่มที่ยังคงทำหน้าบึ้งตึง
“ แล้วท่านแม่คงให้ผงกาแฟที่มียานอนหลับ หรือไม่ก็แอบทายานอนหลับไว้ที่แก้ว หรืออาจจะใช้วิธีอื่นๆ แอบใส่ยานอนหลับในกาแฟ แล้วให้เบเรสเอามาให้ผมกินสินะครับ ” เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“ ผมว่าคงเป็นอย่างแรกมากกว่า ท่านแม่คงรู้อยู่แล้วว่าเบเรสเป็นห่วงผม ยังไงๆเธอก็คงต้องชงกาแฟให้กับผมกิน
แม่เลยแอบไปที่ครัวแล้วเอายานอนหลับไปใส่ปนกับผงกาแฟสินะครับ ”
“ แหม.... อย่าพูดเหมือนแม่เป็นโจรสิ แม่แค่เป็นคนให้ผงกาแฟกับเบเรสเองหละจ๊ะ เห็นว่าลูกคงอยู่ดึกหน่ะจ๊ะ”
องค์ราชินีตอบพลางฟังที่อเล็กซ์พูดอย่างตั้งใจ
“ ยังไงก็ช่าง ผมไม่ทันนึกอะไร เพราะคิดว่าเบเรสคงไม่ทำอะไร และอีกอย่างผมไม่คิดว่าท่านแม่จะทำด้วยหละ ”
อเล็กหยุดพูดเล็กน้อย เพื่อดูปฎิกิริยาของแม่ตัวเอง เธอยังคงยิ้มอย่างสนุกๆ คงอยากรู้หละมั้งว่าเราทายถูกไปมากเท่าไร
“ ผมเลยดื่มกาแฟไป แล้วซักพักผมก็หลับลงไป..... แม่คงคิดไว้แล้วด้วยหละมั้งว่า เบเรสจะต้องอุ้มผมกลับมาให้นอนบนเตียงสบายๆ ของปราสาท..... ”
พูดจบแล้ว องค์ราชินีก็ปรบมือให้เด็กหนุ่ม “ แหม ทายถูกเกือบหมดเลยนะ แต่ที่ทายผิด ตรงยานอนหลับจ๊ะ
แม่ไม่ได้ให้ยานอนหลับนะ แต่ให้สมุนไพรที่สกัดจากดอกโซวิลผสมกับหญ้าอาราซัน มันเป็นยาที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายจ๊ะ แต่มีผลค้างเคียงทำให้ง่วงนอนนิดหน่อย เหะๆ ”
เด็กหนุ่มกุมขมับเบาๆ เขาคิดอยู่แล้วว่าท่านแม่ต้องเป็นคนวางแผนเรื่องพวกนี้ แม่ของเขาเป็นคนฉลาดมากๆ
เธอเป็นคนที่ทายนิสัยคนอื่นได้ง่าย และเธอมักมีความรู้ในทุกๆเรื่อง แต่เธอมักมีนิสัยขี้เล่นไปนิด
“ แล้วก็แม่เป็นห่วงลูกจริงๆนะ ออกไปนอกปราสาทหลายๆวัน มันอันตรายมากนะ แล้วไหนจะอดหลับอดนอนอีก”
ในครั้งเสียงของเธอฟังดูหนักแน่นและเป็นห่วงเด็กหนุ่ม อย่างไร้การเสแสร้งใดๆ ทั้งนั้น
“ แต่แม่ก็ไม่ควรจะทำแบบนี้กับผมนะ ” เด็กหนุ่มโมโหนิดๆ
“ แล้วถ้าแม่เดินไปบอกให้ลูกกลับมาที่ปราสาทเอง ลูกจะกลับมาเหรอ... ” องค์ราชินียิงคำถามที่เล่นเอาเด็กหนุ่มถึงกับสะอึก
เธอเว้นช่วงให้เด็กหนุ่มคิดแปปนึง แล้วค่อยพูดต่อ “ คงไม่ใช่ไหมหละ แม่รู้อยู่แล้วว่าลูกต้องหาบางอย่างในห้องสมุดให้เจอก่อนแล้วค่อยกลับมาใช่ไหมหละ... เพราะลูกเป็นคนแบบนี้นั้นหละ จะทำอะไรก็ต้องทำให้ได้ ”
เด็กหนุ่มเถียงอะไรไม่ออก แม่ของเขาจึงพูดต่อ “ มันเป็นนิสัยของลูกแม่เข้าใจจ๊ะ แต่ว่านี้แม่ก็เป็นแม่นะ..... แม่ก็ต้องห่วงลูกซิ ถ้าลูกไปอ่านหนังสือแบบอดหลับอดนอน โหมทำอะไรจนร่างกายลูกรับไม่ไหวขึ้นมาหละ .....
แม่รู้อยู่แล้วว่าลูกต้องเดาแผนของแม่ออก เช้านี้แม่เลยรอรับฟังคำต่อว่าของลูกอยู่ยังไงหละ ”
เด็กหนุ่มกุมขมับนิดๆ เขาเข้าใจความเป็นห่วงของแม่เขาดีแต่วิธีการแบบนี้มันก็รับไม่ได้โดยเฉพาะการที่หลอกใช้เบเรส
“ เดี้ยวแม่จะตามไปขอโทษ เบเรสทีหลังเองจ๊ะ ” องค์ราชินีพูด ราวกับเดาว่าภายใต้สีหน้าของเด็กหนุ่มนั้นคิดอะไรอยู่ได้
เธอส่งยิ้มให้เล็กๆ แล้วถามอีกประโยคนึง “ ไม่ถามเหรอว่าแม่รู้ได้ยังไง ”
เด็กหนุ่มเองก็ยิ้มเล็กๆให้กับตัวเอง มันเป็นคำตอบที่เขาเคยได้ยินมาหลายต่อหลายรอบแล้ว “ ไม่ดีกว่าครับ ”
เขารู้ดีว่าคำตอบนั้นคืออะไร...
“ ถ้าอย่างนั้นนั่งจิบชากับแม่หน่อยไหมจ๊ะ ” เธอถามเด็กหนุ่ม และแทบจะในทันทีเขาก็ลุกขึ้น
“ ไม่ดีกว่าครับผมค่อนข้างเข็ดกับ กาแฟนั้นนิดหน่อย ” เขาหันหลังแล้วกล่าวลา “ ถ้างั้นผมไปก่อนนะครับ ”
“ เดี้ยวก่อน... ” แม่ของเขาเรียกขึ้น นั้นทำให้เด็กหนุ่มหยุดเดินหลางหันกลับมาถาม “ มีอะไรเหรอครับ ? ”
สายลมเล็กๆ วูบหนึ่งพัดเข้ามา องค์ราชินีทำท่าราวกับว่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วเธอก็กลืนคำพูดของตัวเองลงไป
“ รักษาสุขภาพด้วยนะ...... ”
“ ครับ ผมจะพยายาม โดยเฉพาะ การไม่กินกาแฟเกินความจำเป็น ” เด็กหนุ่มตอบเชิงประชดแล้วโค้งเคารพเล็กน้อยก่อนจะจากไป
ทิ้งองค์ราชินีผู้เป็นแม่ให้อยู่ในห้องกับสายลมแห่งความเงียบ มือนึงของเธอกุมที่ทรวงอกตัวเอง
มันจะดีเหรอ..... ที่ไม่บอกเขาไป.......
-------------------------------------------------------------------------------------
บ่ายวันเดิมอเล็กซ์ยังคง หมกตัวอยู่ในห้องสมุด ถึงแม่เขาจะบอกว่าอย่าหักโหมร่างกายให้หนักไป
จะพูดว่าไม่สนใจก็ไม่ใช่ แต่เขาตั้งใจจะหาบางอย่าง ให้เจอ
“ จอมปิศาจ ขึ้นครองราช พร้อมกับโค่นล้ม หนึ่งใน 4จอมเทพ.... ” เด็กหนุ่มไล่นิ้วไปตามตัวอักษรที่เขาอ่าน
“ เล่มนี้ก็ไม่เขียนไว้..... ” เด็กหนุ่ม เอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ อย่างเหนื่อยใจ พลางปิดหนังสือเล่มนั้นลงก่อนจะเปิดเล่มใหม่ขึ้นมาอ่านอีก
ตำนานแห่ง อัลคารอส....
นานมาแล้ว โลกทั้งสามอันประกอบไปด้วย นอร์สเนบิวล่า , เอนด์ฟีเดลอาร์ช และ เอนด์ฟีเดลอาร์ช
นอร์สเนบิวล่า โลกที่เป็นที่อยู่ของ เผ่าเทพ ที่เต็มไปด้วยความรอบรู้ และเวทย์มนต์ ลักษณ์ภายนอกคล้ายกับมนุษย์ แต่มีรอยสักษ์สีดำ ตั้งแต่กำเนิด
เอนด์ฟีเดลอาร์ช หรือที่เรียกในนามโลกสีดำ หรือ โลกบาดาล โลกที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้าย และเผ่าอสูร ที่เต็มไปด้วยพลัง และยากจะต่อกรด้วย ลักษณ์ภายนอกนั้นคล้ายๆกับมนุษย์ แค่ส่วนใหญ่นั้นจะมีดวงตาสีแดงเข้ม และปีกสีดำ
และ เอนด์ฟีเดลอาร์ช โลกสีฟ้า ที่อยู่ของสัตว์หลาก เผ่าพันธุ์ และ มนุษย์
ทั้งสามโลก อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข และติดต่อกัน มาเป็นเวลานาน ภายใต้การปกครอง ของ 4 มหาเทพ
แต่แล้ว สงครามก็เริ่มขึ้น โดย “ จอมปิศาจ ” โดยนำทัพจาก เอนด์ฟีเดลอาร์ช
มารุกรานโลกอื่นๆ
สงครามที่รุนแรงสั่นสะท้านทั้งสามภพ
จนถูกขนาน นามว่า “ มหาสงคราม
แห่งสามภพ ”
และแล้ว การต่อสู้ครั้งตัดสินครั้งสุดท้าย และเป็นการรบที่รุนแรงที่สุด
ในมหาสงคราม
สิบกว่าล้าน ชีวิตที่ถูกสังเวย ให้กับเพลิง สงคราม.........
และที่เหนือท้องฟ้าที่นั้น จอมเทพ และ จอมปิศาจ ได้ตัดสินกัน ณ
ที่เหนือท้องฟ้า
ฝ่ายจอมปิศาจดูจะเหนือกกว่า เล็กน้อย
แต่ทว่า กลับมีมนุษย์ผู้กล้า ขี่นกไฟ เข้ามาช่วยเหลือ จอมเทพ
อเล็กซ์อ่านมาถึงตรงนี้ก็ปิดหนังสือลง.... อีกครั้งที่หนังสือเล่มนี้ไม่มีสิ่งที่เขาหาอยู่
เช่นเดียวกับหนังสือเล่มอื่นๆที่เขาอ่าน ทำไมเขาพึ่งสังเกตุเอาป่านนี้
หนังสือเกี่ยวกับตำนานเหล่านี้
ล้วนแต่เขียน คล้ายๆ กัน คือ ทุกเล่ม ไม่ได้เจาะจงรายละเอียดของสงครามมากนัก
ทุกเล่มไม่มีเขียน
ชื่อของ “ จอมปิศาจ ” ไม่บอกแม้กระทั่ง สงครามครั้งนั้นรบที่ไหน
และทุกเล่ม
มักเขียน ต่อด้วย เรื่องเล่าแปลกๆ ที่ต่างกันออกไป บ้างก็เขียนว่า ปิศาจตนนั้นได้ตายไปแล้ว
บ้างก็
บันทึกไว้ว่า มันเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยและรอ การแก้แค้น บ้างก็ว่าถูกผนึกอยู่
บ้างก็เล่าว่า
จะมีผู้กล้าไป ปราบ “ จอมปิศาจ” นั้นอีกครั้ง
อเล็ก
อ่านหนังสือเล่มแล้วเล่มเล่า แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก.... บางเล่มถูกเขียนเป็น “ตำนาน”
มากกว่า เป็น
“ความจริง”
ที่เขาอยากรู้ ถ้าหาก ปิศาจหมาป่าตนนั้น
เป็นลูกน้องของ “จอมปิศาจ”
ในตำนานจริง
และเขาคือ “เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว” แล้วหละก็....
“ ท่านเจ้าฟ้า ?? ” เสียงหนึ่งดึงเขาออกจากวังวนความคิดของตน
“ อ้าว เบเรส ” อเล็กซ์หันไปมองอัศวินชุดสีดำ ในชุดเกราะสีดำนี้ ไม่ว่าใครก็มองว่าเธอเป็นผู้ชาย
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอรวบผมไว้ด้วยกระมั่ง
“ มีอะไรงั้นเหรอ ? ”
“ ท่านเจ้าฟ้ามีอะไรให้ผมช่วยรึเปล่าครับ... คือ... ”
อเล็กซ์เดาว่า ท่านแม่เขาของบอกความจริงให้กับเบเรสแล้ว เธอคงอยากจะมีขอโทษตามวิธีของเธอหละมั้ง ??
แต่เล่นมาทั้งๆ ชุดอัศวินเลยนี้นะ....
“ เออ..... ก็ได้นะ แต่ผมว่า ไปเปลี่ยนชุดที่สบายๆ กว่านี้ ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ? ”
“ ไม่เป็นไรหรอก ท่านเจ้าฟ้า ” เธอตอบอย่างทะมัดทะแมง
“ เออ....... ผมหมายถึง ใส่ชุดแบบนี้มาในห้องสมุดมันเสียงดังหน่ะ.. แล้วอีกอย่างใส่ชุดนี้มันเด่นเกินไปนะท่าน ”
อเล็กซ์แจงเหตุผลให้ฟัง ส่วนหนึ่ง เขากังวลว่า เบเรสจะขยับไม่ถนัดในชุดอัศวิน นั้นซักเท่าไหร
อีกอย่าง เขาไม่ค่อยชอบที่เธอต้องทำตัวเหมือนผู้ชาย มันคงฝืนตัวตนของเธอพอตัวเลยทีเดียว
“ อ่า... ครับ งั้น... เดี้ยวผมมานะครับ.. ” เบเรสหันกลับ โดยไม่ทันระวังกองหนังสือที่แถวๆ เท้าของเธอ
“ ระวัง เบเรส!!! ” อเล็กซ์ พุ่งตัวไปรับร่างเธอ ที่ค่อยๆล้มลง จนใหล่เขาต้องกระแทกกับชั้นหนังสือ
ถึงเขาจะรับเบเรสได้แต่หนังสือจำนวนมากที่อยู่บนชั้นหนังสือก็ต้องหล่นลงมาทับ พวกเขา เล่นเอาเจ็บเหมือนกัน
“ ท่านเจ้าฟ้า?? ไม่เป็นไรนะครับ ” เบเรสแหวกของหนังสือที่ทับตัวเองออก ซึ่งเจ้าฟ้าอยู่ใกล้เธอแค่หันหน้าไปก็เจอ
ใกล้เกินไป.... จนเธอเผลอจ้องมองเขาอยู่นาน
“ อยู.... เจ็บเหะ ” อเล็กซ์คราง เบาๆ ก่อนจะหันมามอง เบเรส “ ไม่เป็นไรนะเบเรส? ”
ราวกับเสียงของอเล็กซ์ ดึงเธอออกจากภวังค์ เธอรีบคลานถอยออกมาเล็กน้อย จึงตอบคำถามนั้น “ ม่ะ... ไม่เป็นไร ค่... ครับ~ ”
เธอสับสนที่จะใช้หางเสียง เล็กน้อย แต่อเล็กซ์ไม่ทันได้สนใจฟัง เขาสนใจหนังสือเล่มหนึ่งที่กางอยู่เบื้องหน้าเขา
“ดาวหางสีเงินผู้เปิดประตูที่ปิดตาย
จอมปิศาจหลุดออกจากคุกน้ำแข็ง
ที่พันธนาการตนไว้กว่าพันปี
เหล่าสมุนผู้ซื่อสัตย์ต่างกลับไปรับใช้นายผู้ยิ่งใหญ่ของตน
กาลียุคจะกลับคืนสู่โลกทั้งสาม
ปีกสีดำแห่งความสิ้นหวังถูกสยายขึ้นบนฟากฟ้า
หากแต่แสงสว่างอันริบหรี่ยังไม่มอดไหม้
นักรบแห่งดาวตก
และเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว
ผู้กล้าทั้งสองจะออกเดินทางเพื่อตามหาดวงดาวแห่งนักรบ เพื่อหยุดยั้งจอมปิศาจ”
“ นี้มัน....... ” อเล็กซ์พลิกมันอ่านอย่างพิจารณา เขาพลิกไปอ่านบทอื่นๆ ในเล่มต่อ
“ นี้มัน............... ” เขาพลิกหนังสือเล่มนั้นกลับไปยังหน้าเริ่มแรกอย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มนี้
จะต้องมีสิ่งที่เขาตามหา
แล้วเขาก็ไล่อ่านจนมาเจอชื่อที่เขาตามหา....
จอมปิศาจ Sixross
“ ซิกรอส......... ” เขาทวนคำนั้นอย่างชัดเจน เขาไล่สายตาอ่านไปเรื่อยๆ
“หลังจากเซเรฟหนึ่งในสี่มหาเทพ ผู้ปกครอง เอนฟีเดลอาร์ช ถูกสังหาร ซิกรอส ก็ตั้งตนขึ้นเป็น ‘ จอมมาร ’
อ้างการแก้แค้นให้ เซเรฟ อสูร สี่แสนสองพันตน ล้วนอยู่ใต้บัญชา ของ ซิกรอส และประกาศสงครามแห่งสามภพขึ้น”
มือของอเล็กซ์สั่นเทา หนังสือเล่มนี้บันทึกประวัติสงครามไว้ตามที่เขาตั้งใจหา เขารีบพลิกไปยังผลการต่อสู้ของสงคราม
“ จอมปิศาจซิกรอส ถูกผนึกลงสู่น้ำแข็งนิรันด์ โดยฝีมือของมหาเทพองค์สุดท้ายที่เหลือรอด
แต่ทว่า... ผนึกนี้ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลา มันต้องมีวันเสื่อมลง เมื่อหนึ่งพันปีให้หลัง ”
อ่านจบข้อความประโยค อเล็กซ์ถึงกับลืมหายใจไปชั่วครู่ เพราะหนึ่งพันปีในหนังสือเล่มนี้ที่เขียนไว้
มันคือเวลานี้
“ ครืนนนน!!!! ”
แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทำเอาอเล็กซ์ที่อยู่ในท่ากึ่งนั่งถึงกับเซจนล้มไปทีเดียว เขาเกือบลืมไปแล้วว่าเบเรสยังอยู่ในห้องสมุดกับเขา
“ ท่านเจ้าฟ้า!! ” เบเรสเข้ามาช่วยพยุง แผ่นดินไหวครั้งนี้รุนแรงมากเสียจนข้าวของรอบๆ พากันล้มระเนระนาด
หากตู้ไม้นี้ไม่ได้ยึดกับพื้นหละก็ มันคงล้มระเนระนาดเลยทีเดียว
ในขณะที่แผ่นดินไหวอยู่นั้นเอง กระดาษแผ่นสีเหลืองผุๆ แผ่นหนึ่งก็ ร่วงลงมาจากหนังสือที่อเล็กซ์ถือ
เขามองเห็นมันชัดเจน
“
หากท่านกำลังอ่านบทนี้ในขณะที่แผ่นดินไหว
เปลวไฟสีฟ้ากำลังลุกโชน สายฟ้าสีดำฟาดใส่เมืองสีขาว
นาฬิกาที่หยุดเดินมาเป็นเวลาพันปีได้เริ่มเดินอีกครั้ง
เข็มชั่วโมงได้ซ้อนทับกับเข็มนาที
รอเพียงแค่เข็มวินาทีที่หมุนมาซ้อนทับ
ท่านคือ
เข็มวินาทีนั้น เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว
เมืองสีขาวจะถูกเยี่ยมเยือนเป็นครั้งที่สอง
ผู้มาเยือนตนนี้แกร่งกว่าตนแรกมากนักจงระวัง
”
R.z. Endless
“ !!!! ” เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนแล้วออกวิ่งออกไปในทันใด โดยทิ้งให้เสียงเบเรสที่เรียกเขาไว้ด้านหลัง
หัวใจเขาสูบฉีดเลือดแล่นไปทั่วร่างแรงขึ้น บางอย่างกำลังผลักดันให้เขาต้องออกวิ่งไป
บางอย่างที่ เขารู้สึกว่ามันน่ากลัว... บางอย่างที่กำลังกระซิบบอกเขา
ที่นอกห้องสมุด อิมพ์(Imp มอนเสอตร์ที่มีรูปร่างคล้ายคน แต่ใบหน้าของมันหน้าเกลียดกว่า และตัวเล็กกว่าคนมาก)
เป็นฝูง ไม่สิ เรียกว่าเป็นกองทัพจะถูกเสียมากกว่า พวกมันบินว่อนเต็มท้องฟ้า ราวกับเป็นเมฆดำ
และที่สุดสายตาเปลวไฟสีฟ้ากำลังลุกไหม้เมือง และสายฟ้าสีดำที่วิ่งไปมาราวกับว่ามันมีชีวิต
“ นี้มันอะไรกัน !!! ” อเล็กซ์แผดเสียง เบเรสที่วิ่งไล่หลังเขามาได้พักหนึ่ง จึงมองเห็นสิ่งเดียวกับที่อเล็กซ์มอง เธอได้แต่พูดคำเดียวกับอเล็กซ์
“ นะ นี้มันอะไรกัน! ”
“ เบเรส สั่งอพยพ ชาวเมืองไปที่ปลอดภัย!!! สั่งทหาร ชั้น3ขึ้นไปเตรียมรับมือ ส่วนยศ4 หรือต่ำกว่านั้นไปช่วยชาวเมืองที่บาดเจ็บ ” อเล็กกวาดมือ นี้เป็นทั้งคำสั่งในฐานะของเจ้าฟ้า และคำขอร้องของเพื่อน
ส่วนตัวเขาเองหยิบดาบเล่มเดียวกับที่เคยล้ม ปิศาจหมาป่าลงได้ติดมือ พร้อมกับวิ่งไป โดยไม่รอฟังคำตอบของเบเรส
‘เมืองสีขาวจะถูกเยี่ยมเยือนเป็นครั้งที่สอง’ คำนี้ก้องอยู่ในหัวของอเล็กซ์
เขาวิ่งสวนทางกับชาวเมืองไป ดาบที่อยู่ในมือเขาคือศาตราชั้นเลิศ เมื่ออยู่ในมือของอเล็กซ์แล้ว ก็ยิ่งเปล่งอานุภาพได้
ร่างของImp ตัวแล้วตัวเล่าต้องร่วงลงสู่พื้น แม้พวกมันจะมีปีกบินได้บนฟ้า
แต่สำหรับอเล็กซ์ มันไม่ต่างอะไรกับกลปาหี่ เขาเหยียบลังไม้ แล้วออกแรงสปริงตัวเพื่อกระโดดให้สูงพอที่จะต่อกรกับพวกมันได้
ดาบของเขาตัดร่างของ Imp สีดำเป็นส่องท่อนได้ง่ายๆ เมื่อมันตายร่างของมันจะกลายเป็นขี้เถ้าในทันที
ตัวแล้วตัวเล่าที่กลายเป็นขี้เถ้า จนกลายเป็นหมอกสีดำบางๆ
เด็กหนุ่มสู้ไปพร้อมกับปกป้องชาวเมือง เขาเข้าไปช่วยพยุงเด็กที่ล้มลง “ ไม่เป็นไรนะ ”
เขาถามห้วนๆ พลางรีบหันไปฟาด impตัวที่บินวนเข้ามา หาเขาให้กลายเป็นขี้เถ้าอีกตัว
“ รีบไปที่ ปราสาท! ที่นั้นจะปลอดภัย!! ” เขาตะโกนพลางส่ง imp อีกตัวให้กลายเป็นขี้เถ้า
“ ย้าก!! ” เด็กหนุ่มพุ่งเขาไปพร้อมกวาดดาบเป็นวงกว้าง เพียงแค่ครั้งเดียว ก็กวาดimp ไปได้ 4 ตัวแล้ว
เศษขี้เถ้าคลุ่งในอากาศ ที่นั้น ตรงนั้น รอยยิ้มหนึ่งกำลังมองมาทางเขา
มันดีดนิ้วเบาๆ ในทันใดนั้นฝูง impก็หยุดโจมตีชาวเมือง พวกมันพากันรวมตัวกัน บินเป็นสาย
พวกมันไปรวมตัวกันที่ด้านบนของชายร่างหนึ่ง
มันเป็นปิศาจที่มีปีกสีดำของค้างคาว ตัวของมันนั้นสูงราวกๆ เกือบสองเมตร แต่งกายด้วยอาภรสีดำ
“ สวัสดียามโลกวินาศ ” มันโค้งให้อเล็กซ์ “ ท่านคงเป็นเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาวสินะ ”
อเล็กซ์มองไปย่างร่างสีดำร่างนั้นมันยิ้มให้เขาอย่างเยือกเย็น
“ แก.......เป็นใครกัน....... ”
“ อ้าว........ตอบคำถามของผมก่อนสิครับ ” ปิศาจตนนั้นขยับปีกตัวเองเบาๆ ก่อนจะถามคำถามเดิมซ้ำ
“ ท่านเป็นเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาวใช่ไหม ”
“ ถ้าใช่หละ ” อเล็กซ์ตอบ เขาจ้องตรงไปยังดวงตาสีแดงเลือดของมันอย่างมั่นคง
“ เช่นนั้นขออภัย ที่ลืมแนะนำตัว ข้า เมฟิซิส ทหารอสูร ยศ Nightmare หนึ่งใน ทหารใต้บัญชาของท่านซิกรอสโดยตรง ”
มันคำนับอย่างสุภาพอีกครั้ง แต่ดวงตาของอเล็กซ์เบิกกว้าง ทันใดที่ได้ยินชื่อ นั้น
เขาตั้งดาบขึ้นมาในท่าต่อสู้ในทันใด และแทบจะในทันที เด็กหนุ่มพุ่งตรงเข้าไปฟาดดาบใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว
“ เคร้งง!! ” ดาบของอเล็กซ์ ถูกหยุดอย่างง่ายดาย ด้วยเพียงนิ้วเดียวของมัน อเล็กซ์แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
เขารีบถอนดาบแล้วฟาดดาบลงไปอีกครั้ง แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจอีก ดาบของเขาไม่อาจสร้างรอยแผลให้กับมันได้
“ โฮ่... ไม่เลวนี้ครับ รู้สึกคันๆ เล็กน้อยทีเดียวเลยหละ ” เมฟิซิสกล่าวชมเชิญ แต่สำหรับอเล็กซ์แล้วมันไม่ได้ต่างอะไรจากการถากถางเลย
เขาถอนดาบกลับพลั้นหมุนตัว เพิ่มแรงเหวี่ยง เพื่อเป็นแรงกระแทก มันคงแรงกว่าเดิมได้ซักสองสามเท่าได้
“ ปึงง!!! ” อีกครั้งที่ดาบเขาไม่อาจสร้างรอยแผลให้กับปิศาจเบื้องหน้าเขา มันไม่เพียงไม่หลบ แต่ยังยืนเฉยๆ อย่างไม่สะทกสะท้านอะไร
ชั่วอึดใจหนึ่งนั้นเอง เมฟิซิสเหวี่ยงแขนเบาๆ ใส่ร่างอเล็กซ์
“ เปรี้ยง!!! ” ร่างของอเล็กซ์ปลิวไปตามแรง ราวกับตัวเขาเป็นแต่ตุ้กตาผ้าเก่าๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
ร่างของเขากระทบกับหลายสิ่ง ไม่ว่าจะเป็น เศษไม้หิน ร่างของเขาทะลุบ้านไปได้ 4-5หลังได้
“ อ้าวๆ ต้องขออภัยด้วย ” มันโค้งให้กับร่างอเล็กซ์ที่เกือบจะขยับตัวไม่ได้แล้ว
แม้จะรู้ว่าปิศาจตนนั้นกำลังเดินเข้ามาใกล้แต่ร่างของอเล็กซ์กลับไม่ยอมขยับดั่งใจเขา
“ไม่นึกว่าเสี้ยนหนามของนายข้า จะเปราะบางเช่นนี้ ” มันดึงแขนอเล็กซ์ขึ้นมาพร้อมกับร่างของเขา
“ ข้าควรจะกำจัดเสี้ยนหนามเล็กๆนี้ออกไปเลย... ” มันพูดพลางดึงร่างของอเล็กซ์เข้ามาใกล้ๆ
ขยับสิ....
“ แต่น่าเสียดาย.. ”
ขยับ!! แขนของข้า!! ขยับสิ!!
“ ข้ามาแค่ทักทายท่าน เท่านั้น ท่านเจ้าฟ้า ”
โธ่เว้ยยย!! ขยับเซ้!!!!
“ แล้วพบกันใหม่นะครับ.. ” มันปล่อยอเล็กซ์ลง ร่างของเขาไม่ต่างอะไรจากตุ้กตาที่ขยับไม่ได้
“ ลาก่อนท่านเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว ” มันกางปีกสีดำของตนออกแล้วบินหายไปในท้องฟ้า พร้อมกับฝูงImp
ทิ้งให้อเล็กไซนด์ นอนมองซาก ของสิ่งที่เรียกว่าเมือง
เศษอิธสีขาวที่กองระเนระนาด เศษไม้ที่เคยเป็นร้านแผงลอย ตุ้กตาผ้าที่หล่นอยู่บนพื้นดินที่พื้น
สายฝนค่อยๆ ตกลงมาเบาๆ ตุ้กตาผ้าตัวนั้นมันยังคงอยู่ที่เดิมและมองมาทางอเล็กไซนด์
น้ำฝนที่กระทบกับมันนั้น ทำให้เหมือนมันมองยังอเล็กซ์พร้อมกลับร้องไห้
“ ท่านเจ้าฟ้า....... ” เสียงของเบเรส สะท้อนในหูเขา แต่ร่างกายเขายังคงไม่อาจขยับตัวไปไหนได้
เขารู้สึกได้ถึงชุดเกราะเย็นๆ ที่โอบอุ้มร่างเขาขึ้นมา
“ ท่านเจ้าฟ้า!! ทำใจดีๆ ไว้นะครับ!! ” เบเรสเรียกอเล็กซ์
“ เบเรส.... ” เขาใช้แรงเท่าที่มีพูดกับ อัศวินชุดดำที่อุ้มเขาอยู่ “ ฮะๆ.... ”
“ ท่านเจ้าฟ้า!! ” เบเรสเขย่าร่างอเล็กซ์เบาๆเพื่อเรียกสติของเขา
“ ไม่ต้องเรียกเราบ่อยก็ได้น่า เรายังไม่ตายหรอก... ” อเล็กซ์พูดพร้อมกับเสียงหัวเราะน้อยๆ
“ นี้เบเรส.... ”
“ ครับ ? ”
“ ขอเราร้องไห้ซักครู่นึง..... จะได้ไหม ” เด็กหนุ่มพูดราวกับเสียงกระซิบ
“ .....ได้ซิค่ะ ” อัศวินในชุดดำตอบอย่างอ่อนโยน
ท่ามกลางสายฝนนั้น เจ้าชายกำลังร้องไห้ อัศวินคนหนึ่งกำลังมองผู้ที่ร้องไห้ ส่วนองค์ราชินีที่แอบตามมาเงียบๆนั้น
ได้แต่มองทั้งสองแล้วร้องไห้เช่นเดียวกัน........
“ ถึงเวลาแล้วซินะ......... ” เธอกระซิบบอกตัวเอง
เมืองสีขาวจะถูกเยี่ยมเยือนเป็นครั้งที่สอง
ผู้มาเยือนตนนี้แกร่งกว่าตนแรกมากนักจงระวัง
R.z. Endless
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ในคืนนั้นเอง หลังจากเหตุการทุกอย่างสงบลง.... หลุมศพไร้ ร่างของผู้ตาย จำนวนมากถูกฝังไว้ในสุสานนอกเมือง
ส่วนบางคนนั้นยังดีที่มีก้อนเนื้อเหลืออยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถดูได้ว่าเป็นของใคร ทุกคนล้วนแต่ร้องไห้จนเหนื่อย
เวลาตี2 นิดๆ จึงไม่มีใครอยู่ในเมืองแม้ซักคน
ที่ในปราสาทยังคงมีทหารคุ้มกันอย่างรัดกุม แม้จะอยากเหนื่อยและโศกเศร้ากับเพื่อนที่ตายไปซักเท่าไหรก็ตาม
แต่หน้าที่ย่อมอยู่เหนือ น้ำตาที่จะหลั่งให้กับเพื่อนๆ
ในตอนนี้นั้นเอง ร่างเงาหนึ่งได้กระโดดลงมาจากหน้าต่างชั้น 3 ของปราสาท อย่างเงียบเชียบ
เขาหลบสายตาของทหารยาม ที่เฝ้าอย่างรัดกุมได้อย่างง่ายดาย เขาหลุดออกมาจากปราสาทได้อย่างง่ายดาย
เหมือนดังที่เขาเคยทำ
เพียงแต่ครั้งนี้ คงจะไม่ได้กลับมาอีกนาน...
คราวนี้เขาได้แต่กายด้วยชุดธรรมดาของนักเดินทาง และแบกสัมพาระไปเท่าที่จำเป็น
ดาบสีเงินเล่มงาม อาวุธที่เคยใช้สู้กับปิศาจมาแล้วสองตัว ถูกพกไปด้วย
ครั้งนี้ไม่ใช่การหนีออกนอกปราสาทดั่งเช่นครั้งก่อนๆ เขาเหลียวหลังไปมองปราสาทที่ตนเองอาศัยอยู่มากว่าสิบปี
นี้อาจจะเป็นครั้งแรกมั้งที่ เขาสังเกตุว่ามันทั้งใหญ่และแข็งแรง และอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขามองมันก็เป็นได้
เด็กหนุ่มสาวฝีเท้าไปเรื่อยๆ ลงไปตามทางเรื่อยๆ ผ่านที่ๆ เคยเป็นส่วนหนึ่งของเมือง และตอนนี้ก็เป็นได้แค่ซากปรักหักพัง
เขาเดินไปตามทางและตัดสินใจออกจากเมืองโดยใช้ประตูเมืองทางใต้
แต่ก่อนหน้านั้นเขาเดินผ่านผ่านโบถส์ของเมือง.... น่าแปลกที่ในตัวโบถส์ยังคงส่องสว่างอยู่ด้วยแสงเทียนสลัวๆ
ไม่น่าเชื่อ..... แต่เรื่องที่เราแอบออกมาไม่น่าจะมีใครรู้ แต่จะเป็นไปได้เหรอ?? ถ้ามีคนที่รู้หละก็....
เด็กหนุ่มยืนนิ่งเมื่อเห็นแสงไฟนั้น บางอย่าง.... ทำให้เขาค่อยๆก้าวเดินไปยังโบถส์แห่งนั้น
ประตูที่ถูกสร้างไว้ให้ใหญ่และสวยงาม เขาค่อยๆเปิดมันเข้าไปข้างใน ก็พบคนที่รอเขาอยู่ข้างในอยู่แล้ว
เธอกำลังคุกเข่า สวดมนต์ต่อหน้าไม้กางเขนอันใหญ่ ที่อยู่เบื้องหน้าเธอ
“ ลูกมาช้านะ อเล็กซ์...... ”
“ ท่านแม่....... ” เด็กหนุ่มยืนนิ่งเมื่อ เห็นแม่ของตัวเอง กำลังสวดมนต์รอเขาอยู่
“ จะออกไปข้างนอกเหรอจ๊ะ....... ” เธอหยุดสวดมนต์แล้วลุกขึ้นมาคุยกับเด็กหนุ่ม
ในวันนี้องค์ราชินีใสฉลองพระองค์สีเขียวอ่อน ประดับด้วยลายปีกนกสีทอง สวมมงกุฎของเธอเอง
แสงเทียน ไหวนิดๆ ที่ไหวนิดๆ ทำให้ผิวเธอดูเปล่งประกายแม้ว่าไม่ได้แต่งหน้าไดๆ มาก็ตามเธอก็ดูสวยหมดจด
“ ลูกรู้ไหมว่าโบถส์นี้มีความสำคัญ ยังไง... ” เธอถาม พลางย่างเท้าเข้าไปหาลูกชายของคน
“ สมัยก่อน ตั้งแต่เมืองเรเฟรียน่า ยังทำการรบ กับเมืองโซลุน่าอยู่ ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งมาแกะสลักชื่อของทหารนายหนึ่งไว้ที่ข้างกำแพง โดยหวังว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัย... ” องค์ราชินีหยุดพูดพลางมองไปรอบๆโบถส์
ณ ตอนนี้ มีชื่อจำนวนนับไม่ถ้วนที่เรียงรายกัน อยู่ข้างกำแพงด้วยการแกะสลัก จนกลายเป็นลวดลายของโบถส์ไป
ไม่เว้นแต่กำแพง เพดาน, พื้น และที่ไม้กางเขนก็เช่นกัน ทุกที่ถูกชื่อของนักรบจำนวนนับไม่ถ้วนสลักไว้
“ จนไม่รู้เมื่อไหรก็ไม่รู้ ชื่อเหล่านั้นก็เคยๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ...... แต่แม่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้กลับมาอย่างปลอดภัยหรอกนะ... ” องค์ราชินีพูดแล้วหัวเรอะคิกคักเบาๆ
“ ท่านแม่ครับ..... ”
“ เรียก ‘ แม่ ’ เฉยๆก็พอ ” เธอหันมาพูดกับเด็กหนุ่มแล้วยิ้มให้กับเขา มันไม่ใช่รอยยิ้มที่สดใส แต่ยังแฝงไปด้วยความอ่อนโยนเช่นที่เธอเคยมอบให้กับเขา
“ เบเรสรอลูกอยู่ที่ประตูทางใต้แล้วนะ ” เธอบอกกับลูกตัวเอง เขาทำท่าจะพูดอะไรซักอย่างแต่ก็อึกอักราวกับคำพูดเหล่านั้นติดอยู่ในคอเขาเอง
“ แม่เตรียมม้าเอาไว้สองตัวแล้วจ๊ะ มันคงลำบากถ้าลูกจะเดินทางไป ‘โคเซ็นเบิร์ด ’ โดยการเดินนะ ”
อเล็กซ์ถึงกับประหลาดใจที่แม่เขาไม่เพียงรู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่รู้แม้กระทั่ง เขาจะไปที่ไหนด้วย
“ ท่านแม่รู้ได้....”
“ ในที่สุดลูกก็ถามคำถามนี้นะ ” ราชินีแห่งเรเฟรียน่ายิ้มออกมาน้อยๆ เพราะคำตอบนี้อเล็กซ์น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ
เขาเคยถามคำถามนี้กับ แม่เขานับครั้งไม่ถ้วนในยามเด็ก
“ อ่า.... นั้นสินะครับ..... ในที่สุดผมก็ถามไปอีกจนได้.... ” อเล็กซ์นิ่งเงียบราวกับรอคอยคำตอบของคำถามที่เขาถามไว้
“ เพราะแม่เป็นแม่ของลูกไงหละ ”
ทั้งๆที่มันเป็นคำพูดที่เราเคยได้ยินมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งๆ ที่เรารู้ดีว่าเมื่อถามคำถามนี้ไปแม่ก็จะตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
ทั้งตอนที่เขาไปเล่นซ่อนแอบเมื่อยังเด็ก ทั้งตอนที่เราเคยโกหกเรื่องทำจานแตก แล้วก็ตอนที่แอบหนีการเรียนคำนวณ
แต่ครั้งนี้ต่างออกไป
ราชินียิ้มน้อยๆ เธอไม่เคยเบื่อที่จะพูดคำนี้เลย.. เธอมองลูกชายตัวเอง
แล้วคิดว่าเขาโตขึ้นมาแค่ไหนกันแล้วนะ..... แต่ในสายตาเธอนั้น อเล็กซ์ก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี
“ โชคดีนะ อเล็กซ์.... ” องค์ราชินียิ้มส่งให้กับลูกชายตนเอง เธอพยามยิ้มให้ดูดีที่สุด แต่ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม รอยยิ้มของเธอก็ยังคงดูเศร้าสร้อยอยู่ดี
ในวันนี้และที่นี้.... ก็ได้มีอีกชื่อหนึ่งถูกจารึกไว้ไว้ในโบถส์แห่งความทรงจำ ที่นี้
ชื่อ Alexine Fantasia ได้ถูกสลักเพิ่มหลังจากไม่ได้มีคนสลักชื่อในโบถส์นี้มานาน
To be continue
ความคิดเห็น