คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Chapter 1 / Part 1 : Bravers
Chapter 1 : Let's Adventure Together
Part 1 : Bravers
ตอนที่ 1 : เหล่าผู้กล้า
ดาวหางสีเงินผู้เปิดประตูที่ปิดตาย
จอมปิศาจหลุดออกจากคุกน้ำแข็ง ที่พันธนาการตนไว้กว่าพันปี
เหล่าสมุนผู้ซื่อสัตย์ต่างกลับไปรับใช้นายผู้ยิ่งใหญ่ของตน
กาลียุคจะกลับคืนสู่โลกทั้งสาม
ปีกสีดำแห่งความสิ้นหวังถูกสยายขึ้นบนฟากฟ้า
หากแต่แสงสว่างอันริบหรี่ยังไม่มอดไหม้
นักรบแห่งดาวตก และเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว
ผู้กล้าทั้งสองจะออกเดินทางเพื่อตามหาดวงดาวแห่งนักรบ เพื่อหยุดยั้งจอมปิศาจ
ประกายแสงสีขาวลากผ่านท้องฟ้าสีดำม่วงของราตรีเหนือกำแพงสีขาว แห่งมหานครเรเฟรียน่า
แม้จะพริบตาเดียว แต่มันก็ช่างสวยงาม สำหรับผืนฟ้าอันไร้หมู่ดาวเช่นนี้
“ ดาวตกนี่นา.... ” หญิงสาวพูดกับเด็กน้อยในอ้อมกอดด้วยเสียงกระซิบ
“ ดาวจก ? ” เด็กน้อยทวนคำแม้จะผิดเล็กๆน้อยๆ แต่หญิงสาวผู้นั้นก็ไม่ถือสาพร้อมกับยิ้มตอบให้
“ ใช่จ๊ะ ดาวตก ” เธอไล้ผมสีดำเข้มของเด็กน้อย “ เขาว่าจะขอพรกับดาวตกนี้ได้หนึ่งอย่าง ด้วยหละนะ ”
“ พร? ”
“ ใช่จ๊ะ พรหนึ่งข้อ ”
“ ถ้าผมขอให้ได้เจอพี่สาว จะได้เจอจริงไหมฮะ ” เด็กน้อยพูดในเวลานั้นเอง รอยยิ้มที่อ่อนโยนของหญิงสาวก็ดูจะเศร้าสร้อยลงในทันใด
“ ได้สิจ๊ะ... ” เธอตอบอย่างติดๆขัดๆ ก่อนจะโอบกอดร่างของเด็กน้อยไว้ ราวกับว่าเขากำลังจะจากเธอไป
หยาดน้ำเล็กๆ ค่อยๆไหลผ่านแก้มของหญิงสาวแล้วร่วงหล่นสู่พื้นพร้อมคำโกหกของตน “ ต้องได้แน่นอนลูกแม่... ”
-------------------------------------------------------------
ที่ทิวทัศน์เดิม หากแต่วันนี้เด็กน้อยในกาลนั้นได้เติบโตเป็นหนุ่มวัย 16 ปี ร่างกายสูงใหญ่กว่าเด็กหนุ่มในวัยเดียวกัน เล็กน้อย ดวงตาสีมรกรตเข้ม และ มี ผมสีดำสนิท ใบหน้าฉายแววสุขุมและรอบคอบ
ทั้งๆ เป็นที่เดียวกัน แต่เขากลับรู้สึกว่า กำแพงสีขาวที่ล้อมรอบเมืองนั้น จะดูเล็กลงกว่าเมื่อก่อนมากนัก
“ ท่านอเล็กไซนด์.......ครับ ” ทหารรับใช้นายหนึ่งทัก เด็กหนุ่มขึ้น
“ มีอะไรรึ ” เด็กหนุ่มตอบโดยยังไม่ละสายตาจากทิวทัศน์เดิม
“ คือว่า องค์ราชาเรีย..ก....... ”
“ บอกท่านพ่อ อีกสักพักใหญ่ๆ ” เด็กหนุ่มพูดตัดบทและยังคงจ้องมองทิวทัศน์เดิม
“ ขอรับ ” นายทหารรับคำ พลางโค้งเคารพเจ้าชายหนุ่ม แล้วออกจากห้องนั้นไปอย่างเงียบๆ
เมื่อทหารออกจากห้องไปในที่สุด อเล็กไซนด์เหลียวหลังมองดูให้แน่ใจว่า ทหารนายนั้นไม่ได้จับตามองเขาอยู่อีกแล้ว
ครู่ต่อมาเจ้าชายหนุ่ม ก็ทิ้งตัวลงทางหน้าต่างออกมาจากห้อง และสู่พื้นดินอย่างนิ่มนวล และไร้อาการเจ็บปวดใดๆ แม้จะเพิ่งกระโดดลงมาจาก ชั้น 4 ของปราสาทก็ตามที
เด็กหนุ่มมองซ้ายที ขวาที เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเขา ณ เวลานี้ จากนั้นก็แหงนมองไปยังดวงอาทิตย์เพื่อประมาณเวลา ณ ตอนนี้ ก่อนจะหนีออกจากปราสาทที่มีทหารยามหนาแน่นและรัดกุม ได้อย่างไม่มีใครรู้ตัว
อเล็กไซนด์ไม่ได้ใส่ฉลองพระองค์ที่หรูหรา เพียงแต่เขาใส่ชุดสีขาวประดับด้วยสีน้ำเงินส่วนกางเกงนั้นเป็นผ้าฝ้ายสีเขียวอ่อน ทั้งตัวนั้นคลุมทับด้วยผ้าคลุมหนังหยาบสีน้ำตาลอีกชั้นและพกดาบเล่มหนึ่งไว้ข้างเอว ถ้าหากไม่ได้สังเกตที่ใบหน้าชัดๆ แล้ว คงไม่มีใครรู้หรอกว่า เด็กหนุ่มคนนี้ คือ เจ้าชายแห่งกรุงเรเฟรียน่า คงคิดว่าเป็นเพียงแค่นักเดินทางเร่ร่อน
ตั้งแต่อเล็กไซนด์ยังจำความได้ เขาถูกยัดเยียดให้ฝึกสิ่งต่างๆ นาๆ มากมาย เพียงเพราะเขาคือ รัชทายาท คนสุดท้าย
ดังนั้นขุนนาง รวมไปถึงองค์ราชันย์ ได้ฝากฝังความหวังมากมายไว้กับเขา ให้มีทั้งความสามารถในเชิงการต่อสู้ และ เชิงวิชาการ
สำหรับเขาในวัยเด็กเรื่องเหล่านั้น ล้วนเป็นสิ่งหน้าเบื่อ บ่อยครั้งที่เขาหนีจากการฝึกที่น่ารำคาญเหล่านั้นมา แล้วเล่นซนตามประสาเด็กเสียมากกว่า
แต่ทว่าตัวเขาในตอนนี้กลับมีดวงตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นแฝงไปด้วยความรู้และความสามารถ ผิดกับเจ้าชายจอมแก่นในวัยเด็กโดยสิ้นเชิง
เด็กหนุ่มเดินผ่านประตูเมืองของเรเฟรียน่ามาได้โดยไม่มีใครสงสัย ถัดจากเมืองเรเฟรียน่ามา หากเร่งฝีเท้าซักนิดก็ราวๆ 15 นาที ก็จะพบกับต้นไม้ยักษ์ เพียงแค่กิ่งก้านของมันก็เป็นเงาครอบคลุมไปรอบๆ รัศมี เกือบร้อยเมตรแล้ว
ยิ่งไปกว้านั้นถ้าหากแหงนมองขึ้นไปด้านบนก็จะไม่พบยอดของต้นไม้ของต้นนี้เลยด้วยซ้ำ
ที่นี้มีตำนานเล่าขานกันไปต่างๆ นาๆ หลายคนก็บอกว่า ต้นไม้นี้ถูกปลูกมากกว่าพันปี บ้างก็ว่าเป็นต้นไม้ต้องสาป
บ้างก็ว่าเป็นต้นไม้เทพเจ้า
ฝีเท้าของเด็กหนุ่มหยุดลง ณ ที่ใต้ต้นไม้ บริเวณที่ไม่ห่างจากลำต้นไปซักเท่าไร ที่เบื้องหน้าเขามี เสาไม้ทรงกระบอกรูปร่างประหลาด มีรูปร่างใกล้เคียงกับมนุษย์ มีแขนทั้งสองข้างที่ถูกตรึงด้วยเชือกคล้ายเป็นกลไก และขาทั้งสองข้างที่มั่นคง
เขาโค้งคำนับไม้ท่อนนั้นน้อยๆ ซึ่งไม้ท่อนนั้นก็ไหวมาด้านหน้าเล็กๆ ราวกับต้องการโค้งคำนับตอบเช่นกัน
“ 12ปีแล้วสินะ........ ” อเล็กไซนด์ชักดาบออกจากฝักอย่างช้าๆ และตั้งท่าเตรียมต่อสู้ ดวงตาทั้งสองของเขาจ้องมองไปยัง ตุ๊กตาไม้ที่อยู่เบื้องหน้าราวกับว่ามันเป็นคู่ต่อสู้คนนึง
ดาบแรกเริ่มขึ้น เจ้าชายหนุ่มวาดดาบลงใส่หุ่นไม้นั้นเต็มกำลัง จนเป็นเสียงราวกับระเบิดขนาดเล็กๆ
หากแต่ท่อนไม้นั้นไม่ได้หักลง มันเอียงไปตามแรงและทิศของดาบ เมื่อมันกำลังจะล้มถึงพื้นแขนของมันกลับเด้งกลับขึ้นมาพุ่งใส่อเล็กไซนด์ ด้วยทิศทางที่แตกต่างและ เร็วกว่าดาบที่อเล็กไซนด์ ฟาดลงไปใส่มันเสียอีก
แต่เจ้าชายหนุ่ม รู้อยู่แล้วว่าหุ่นไม้ตนนี้จะต้องโต้กลับ เพราะนี้คือ “ ตุ๊กตาล้มลุก ของอาจารย์ ”
เขาใช้แขนซ้ายตนปัด หมัดของหุ่นไม้ได้อย่างง่ายได้ แต่แขนอีกข้างของหุ่นไม้กลับพุ่งตรงมายังเขา ราวกับหุ่นตัวนี้มีชีวิต
ในคราวนี้เขาเลือกจะเอี้ยวตัวหลบ ก่อนจะสวนกลับด้วยดาบในมือของตน เข้าที่กลางลำตัวของหุ่นไม้ ในครั้งนี้มันก็ไม่ล้มลงเช่นกัน นอกจากนั้นยังสวนด้วยลูกแตะของมัน
มันเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต แต่จริงๆแล้วมันใช้แค่แรงกระแทกที่อัดเข้าใส่มัน เพื่อเป็นแรงสะท้อนและสวนกลับผู้ที่โจมตีมัน หากยิ่งรุกมันก็ยิ่งสวน ยิ่งออกแรง แรงสะท้อนที่กลับใส่เขาก็ยิ่งเป็นเท่าตัว มันจะหยุดต่อเมื่อการสะท้อนการโจมตีนั้นเข้าเป้าโดยไร้การปัดป้องของคู่ต่อสู้
สำหรับเด็กหนุ่ม นี้เป็นสมบัติอย่างหนึ่งของเขาที่ได้ มาจากอาจารย์ของเขา อาจารย์ที่เขาพบเข้าโดนบังเอิญที่ใต้ต้นไม้นี้
“ แฮ่ก... แฮ่ก !!!! “ เหงื่อไคลเริ่มปรากฎบนใบหน้าของเจ้าชายหนุ่ม ไม่น่าแปลกใจเสียเท่าไหร เพราะนี้ก็ผ่านไปเกือบ สองชั่วโมงแล้ว เจ็ดพันกว่าดาบที่เขาฟาดลงไปยังไม่สามารถล้มตุ๊กตาล้มลุกตัวนี้ได้
จะพูดอย่างนั้นก็ไม่ได้ เพราะตลอดเวลาที่เข้าสู้กับตุ๊กตาล้มลุกตัวนี้ เขาไม่เคยล้มมันได้เลยซักครั้งเลย
จวนเจียนจะถึงขีดจำกัดของร่างกายแล้ว เด็กหนุ่มตัดสินใจจะลงดาบนี้เป็นดาบสุดท้าย วันนี้เขาจะต้องล้มมันลงให้จงได้
“ ย้ากกกก!! ” อเล็กไซนด์แผดเสียง และลงดาบที่รุนแรงที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ แต่เป้าหมายของดาบนั้นไม่ใช่ที่หุ่น กลับเป็นที่พื้น บริเวณที่หุ่นไม้ยืนอยู่
ทันไดที่ดาบกระแทกลงกับพื้น พื้นดินรอบๆนั้นก็แตก เปิดช่องว่างเพียงชั่ววินาทีให้เด็กหนุ่มใช้มืออีกข้างมาช่วยจับดาบแล้ว แทงมันเข้ากลางอกของหุ่นไม้ตนนั้น จนกระเด็นไป และในที่สุดก็ล้มลง
“ แฮ่ก...... แฮ่ก............ ” อเล็กไซนด์ยืนหอบ ทั้งตัวแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ยืนแล้ว แต่เขาต้องมั่นใจเสียก่อนว่าหุ่นไม้จะไม่ลุกขึ้นมาแล้วสวนกลับใส่เขา
ผ่านไปประมาณนาทีกว่าๆ หุ่นไม้ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับตัว จนในที่สุดเขาก็ทรุดลงไปนั่งชันขาโดยใช้ดาบยันตัวไว้ แต่เขายังไม่แน่ใจว่าเขาชนะหุ่นไม้นี้จริงหรือไม่
ในที่สุดก็ผ่านไป ราวๆ สามนาทีหุ่นไม้ยังคงนอนนิ่ง ทำให้เขามั่นใจว่าในที่สุด เขาก็ล้มตุ๊กตาล้มลุกลงได้ในที่สุด
ด้วยความเบาใจจึงทำให้ร่างกายของเริ่มผ่อนคลาย และทรุดตัวลงไปนอนในที่สุด
“ ในที่สุดก็ทำได้.......... ” เขาพลิกตัวขึ้นมาเพื่อแหงนหน้ามองกิ่งก้านของต้นไม้ยักษ์ พลางมองแสงที่รอดผ่านกิ่งก้านของต้นไม้มาอย่างสบายใจ
เวลาผ่านไปไม่รู้เท่าไหร เจ้าชายหนุ่มผลอยหลับไปจนได้ ร่างกายที่เหน็ดเหนื่อยจากการฝึกค่อยๆกลับมาเป็นปกติ เมื่อรู้สึกตัวเขาพบว่าเขากำลังนอนหนุนตักผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ นางมองมายังเขาด้วยสายตาเอ็นดู
“ รู้สึกตัวแล้วเหรอ อเล็กซ์ ” เธอกล่าวพลางลูบหัวเจ้าชาย เขาพยายามจะลุกขึ้นมาแต่เธอก็รั้งตัวให้เขานอนอยู่แบบนั้นต่อเสียก่อน
“ ไม่ได้นะ อย่าเพิ่งขยับตัวจะดีกว่านะ ”
“ แต่ว่า.......... ” เขาพยายามจะพูดว่าตัวเขาเองไม่เป็นไรแล้ว
“ น่า~~~ ” เธอลากเสียงก่อนจะให้เหตุผล “ ทำแบบนี้แล้วเหมือนคู่รักกันดีออกนะ ”
“ พอเถอะครับท่านราชินี ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ” อเล็กขมวดคิ้ว แล้วตั้งตัวขึ้นมาคุยกับองค์ราชินีแห่งเรเฟรียน่า
จริงๆแล้วปีนี้ องค์ราชินีอายุประมาณสี่สิบปี ได้เสียแล้วแต่ว่าดูจากภายนอกนั้นเหมือนอายุยี่สิบกว่าๆเองด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อเทียบกับอเล็กไซนด์ในตอนนี้ ทั้งคู่ดูจะมีอายุพอๆ กันจนเหมือนเป็นเพื่อน หรือไม่ก็คู่รักอย่างที่นางบอกจริงๆ
“ อยู่ที่แบบนี้เรียกว่าแม่ว่า ‘แม่’ ก็ได้นะอเล็กซ์ แล้วราชาศัพท์ก็ไม่ต้องพูดด้วยเข้าใจไหม ” เธอกล่าว
“ หม่อมฉันจะพยายาม ” อเล็กซ์แกล้งทำหูทวนลม นั้นเป็นเหตุให้เขาโดนดึงหูกลับมาให้เข้าทางพร้อมกับคำพูดที่ย้ำคำเดิมๆ “ เข้าใจ มั้ยจ๊ะ~~~ ”
“ ก็ได้ครับท่านแม่ “ อเล็กซ์ตอบอย่างเหนื่อยใจนั้นทำให้แม่เขาปล่อยมือจากหูที่เริ่มกลายเป็นสีม่วงแล้ว “ แล้วท่านแม่มาที่นี้ทำไมรึครับ? ”
“ จะไม่ถามเหรอว่าแม่รู้ได้ไงว่าลูกมาอยู่ที่นี้ “ นางถามกลับ
“ ไม่ดีกว่า ” อเล็กซ์ตอบ สำหรับเขาแล้วคำถามนี้ในตอนเด็กๆเขาถามแม่เขาไปไม่รู้กี่พันรอบจนเขาฟังคำตอบนั้นจนเบื่อเสียแล้ว
“ ใจร้าย........จังเลยนะอเล็ก ” องค์ราชินีแกล้งสำออยร้องไห้ ซึ่งนั้นทำให้เขาลำบากใจนิดๆ แต่ไม่นานท่านก็กลับมาพูดแบบปกติ
“ แต่หายากนะ ที่ลูกจะหนีออกจากปราสาทมา จนแม่คิดว่าลูกเลิกไปแล้วเสียอีก ” นางพักพิจารณาเด็กหนุ่มครู่หนึ่ง แล้วนึกถึงวัยเด็กของลูกชายที่แตกต่างกับตอนนี้โดยสิ้นเชิง
ในวัยเด็กอเล็กซ์มักจะหนีออกจากปราสาทมาบ่อยๆ แล้วไปเล่นกับเด็กๆในเมือง จนเรียกได้ว่าเป็นหัวโจกของเด็กเกเร
ที่เที่ยวแกล้งคนในเมืองให้ป่วนกันยกใหญ่ ทหารตั้งแต่ยศล่างๆไปถึงขุนนางชั้นสูงก็ไม่กล้ายุ่ง ทำให้เขายิ่งได้ใจ
ไม่น่าแปลกใจซักเท่าไหร เพราะว่าถ้าหากเขาอยู่ในปราสาทจะต้องถูกฝึกและสอน ทุกอย่าง ตั้งแต่การใช้ดาบรวมไปถึงการเรียนหนังสือ เพราะเขาเป็นทายาทเพียงคนเดียวของราชวงค์ที่เหลืออยู่ ดังนั้นความหวังของจึงถูกตั้งไว้สูงมาก
กระทั่งวันหนึ่งอเล็กซ์ก็ดูจะผิดไปจากเดิม เขาดูจะทุ่มเทให้กับการฝึกและการเรียนมากจนน่าตกใจ ถึงแม้ว่าจะมีการหนีออกจากปราสาทบ้างก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนอีกแล้ว กลับกันเขามักจะออกมาฝึกตัวเองและไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดเสียมากกว่า
“ อันที่จริง ก็อยากจะออกมาแบบปกติหรอกครับ แต่ท่านพ่อชอบเห็นผมเป็นเด็กอยู่เรื่อย ต้องให้ทหารติดตามมาอย่างน้อย3คนตลอด ” อเล็กซ์เกาหัวตัวเองเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปถามคำถามที่ตัวเองถามแม่ทิ้งไว้ “ ท่านแม่ยังไม่ตอบเลยนะครับ ว่าแม่ออกมาหาผมทำไม ”
“ อ้อ.......... ” นางทุบมือเหมือนนึกเรื่องสำคัญออก “ ลูกบอกพ่อใช่ไหมจ๊ะ ว่าอีกสักพักจะไปหาท่านหน่ะ ”
“ ครับ ผมก่ะว่าหลังจากล้ม ‘ตุ้กตาล้มลุกของอาจารย์’ ได้แล้วจะรีบกลับไปทันทีเหมือนกันครับ ” เขาตอบพลางมองตุ๊กตาไม้ที่ยังล้มอยู่ที่เดิม แม่ของเขามองตามไป
“ โห..... แม่คิดว่ามันไม่มีทางล้มเสียอีกนะ....... ” นางมองอย่างทึ่งๆ บ่อยครั้งที่นางเห็นอเล็กซ์มาสู้กับหุ่นตัวนี้ จึงอดออกปากชมไม่ได้ “ แสดงว่าลูกเก่งขึ้นมาเลยนะ ”
“ ไม่หรอกฮะ “ คำตอบนี้ไม่ใช่ว่าเขาถ่อมตน แต่ว่ามีคนสามารถล้มหุ่นไม้ตัวนี้ได้ด้วยหมัดเดียวจริงๆ
“ เรื่องนั้นไว้ก่อนแล้วกันนะ อีกประมาณหนึ่งชั่วโมงราชทูตจากกรุงSoluna ก็กำลังจะมาถึงแล้วหละจ๊ะ ”
“ อ่า จริงสิหม่อม....ฉั.. “ เขาหยุดเมื่อแม่เขาจ้องเขม็งมายังเขาแล้วจึงเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ ”..... ผมลืมไปเลยครับ ”
“ ลูกนี้หละก็ ” องค์ราชินีลูบหัวอเล็กซ์อย่างเอ็นดูพลางดันตัวเขาลงมาให้นอนหนุนตักเธอเช่นเดิม
“ ตั้งแต่เมื่อไหรกันนะที่แม่ไม่ได้ทำแบบนี้กับลูก ”
“ เมื่อกี้ไงครับ ” อเล็กซ์ตอบอย่างฉุนๆ
“ แหม....... จริงเหรอ ” นางเอามือทาบหน้าตัวเองพยายามทำให้ดูเหมือนเขินอาย แต่สำหรับอเล็กซ์มันเหมือนพยายามทำให้เขาใจอ่อนเสียมากกว่า
“ แต่พอทำแบบนี้แล้วรู้สึกเหมือนกับลูกยังตัวนิดเดียวอยู่เลยนะ ”
“ พอเถอะฮะ ผมโตแล้วนะ ”
“ จ้า..... ” นางตอบพลางยิ้มน้อยๆ เหมือนกับว่าคำพูดของอเล็กซ์ไม่ได้ทำให้เขาดูโตขึ้นในสายตาเธอเลย
-------------------------------------------------------------------------
“ ว่าไงนะ!!!!! ” อัศวินร่างใหญ่นายหนึ่งทุบกำแพงเสียงดังยิ่งกว่าเสียง และเสียงต่อมาดังเสียยิ่งกว่าเมื่อครู่เสียอีก
“ ยังหาตัวเจ้าชายไม่เจออีกรึ!! พวกเจ้าทำอะไรตอนเจ้าชายอยู่ในห้อง ในปราสาทการป้องการหละหลวมขนาดนี้เชียวหรือ ”
“ แต่ท่านไดอารค์ ครับ ” ทหารนายหนึ่งหรืออย่างน้อยๆ หนึ่งในหลายๆนายพยายามจะพูดบางอย่างแต่สุดท้ายเสียงของ อัศวินที่ถูกเรียกว่า ไดอารค์ก็กลบเสียงพวกเขาไป
“ ทำไมถึงได้ละเลยเช่นนี้!!!!!!!!!! คงต้องมีการตรวจวินัยกันอีกสักรอบแล้วกระมั่ง!! ”
“ ท่านไดอารค์ครับ ” ทหารนายหนึ่งเดินผ่านประตูมารายงานตัวด้วยท่าทีเร่งรีบ แต่ด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวของได้อารค์แทบจะในทันทีเขาตะโกนสั่ง
“ มาสาย!!! วิดพื้น 60 ครั้งใน 1 นาที! ”
“ แต่ท่านครับ.... ” นายทหารผู้นั้นอึกอัก
“ 120 ครั้ง!! ”
“ ท่..... ” แทบจะในทันทีเสียงของไดอาร์คกลบเสียงเขา “ 300ครั้ง ใน 1 นาที!! ”
“ คะ.............ครับ “ นายทหารผู้นั้นรับคำแล้วก้มลงไปวิดพื้นอย่างรวดเร็ว ไดอาร์คไม่ได้สนใจและหันกลับมาตวาดใส่เหล่าทหารในสังกัดของเขาต่อ
“ ข้าไม่เคยสอนให้ทหารมีวินัยหละหลวมเช่นนี้ ไม่เลยสักครั้ง!! ” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ครู่ใหญ่จึงค่อยกล่าวต่อ
“ ถ้าเจ้าชายสามารถหนีออกนอกปราสาทได้ หมายความว่าโจรหรือผู้ไม่หวังดีก็สามารถเข้ามายังในปราสาทได้เช่นกัน!! ”
“ ไม่ใช่ว่าท่านเจ้าฟ้าเก่งและเฉลียวฉลาดเกินกว่าคนทั่วไปหรือ ถึงสามารถหลบออกนอกปราสาทได้เช่นนี้ “ เสียงหนึ่งแทรกขึ้น
“ นั้นใคร!! ” ไดอาร์คหันกลับไปเขาก็ต้องถึงกับหน้าซีดลงในทันที
เจ้าของเสียงนั้นเป็นชายร่างเพรียวบางดูจะเตี้ยเมื่อเทียบกับไดอาร์คแต่ถือได้ว่ามีขนาดเท่ากับคนทั่วๆไป ผมสีดำเข้มสนิท ดวงตาสีนิลเข้มใบหน้าเคร่งขรึม ใส่เสื้อเกราะของอัศวินชั้นสูงเช่นเดียวกับไดอาร์ค หากแต่เขานั้นใส่เกราะที่มีสีดำสนิท มือข้างหนึ่งถือหมวกเกราะที่ประดับพู่สีแดงไว้
“ ทะ... ท่านเบเลส ” ไดอาร์ครีบยืดตัวตรงนำแขนขวาตั้งขนานกับแนวไหล่ ซึ่งเป็นการแสดงความเคารพในแบบของอัศวิน
“ ขอโทษที่มารบกวนระหว่างที่ท่านว่าตักเตือนทหารของท่าน... แต่ข้าเกรงว่าท่านควรจะออกไปเตรียมการต้อนรับ ท่านทูตจากเมือง Soluna ได้แล้ว ” อัศวินในชุดดำพูดด้วยเสียงเรียบ
“ แต่ท่านทูตจะมาหลังจากนี้ในอีก 1 ชั่วโมงไม่ใช่หรือท่าน เบเลส.... ? ” ไดอาร์คแย้งขึ้น
“ นั้นเป็นสาเหตุที่นายทหารผู้นี้โดนลงโทษไงหละ.... ” เขาหันไปมองนายทหารผู้เพิ่งวิดพื้น สามร้อยครั้งในหนึ่งนาทีได้สำเร็จ ซึ่งมีสภาพที่จะแทบจะลุกขึ้นมายืนไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วส่งสายตาเชิงตำหนิมายังไดอาร์ค
“ เขาพยายามจะมาบอกว่าท่านทูตได้เดินผ่านประตูเมืองทิศใต้มาแล้ว....... ข้าว่าท่านเองก็ควรจะฝึกวินัยใหม่อีกกระมั่ง ท่าน ผู้กอง? ”
ไดอาร์คกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ลงคอ เหงื่อแตกพลั่ก ในระหว่างที่เบเลสทิ้งช่วงประโยคของเขา ไปครู่หนึ่ง
“ ........แต่คงต้องไว้ก่อน ตอนนี้ขอให้ท่านจัดทหารไปต้อนรับท่านทูตจากเมือง เสียก่อน ” Soluna
“ แต่ว่า.ยัง... ” ไม่ทันจบเบเลสก็แทรกราวรู้ว่าไดอาร์คต้องการจะพูดอะไร “ ถ้าเรื่องท่านเจ้าฟ้าหละก็ ท่านกำลังกลับมาและข้าเชื่อว่าเขาจะกลับมาร่วม พิธีต้อนรับได้แน่นอน ”
“ ท่านรู้~~..... ” ไดอาร์คอ้าปากครู่หนึ่งแต่เมื่อเห็นสายตาของเบเลสเขาก็ต้องเงียบลง
“ ข้าพูดไม่ซ้ำสองหรอกนะ ไดอาร์ค เนเรคาน เราเสียเวลากันมากแล้ว............. รีบไป” อัศวินเกราะดำสวมหมวกเกราะพร้อมกับสะบัดผ้าคลุมแล้วเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ
“ ไม่รู้ว่าผู้กองหรือท่านเบเรสกันแน่ที่น่ากลัวกว่ากันนะ... ” เสียงกระซิบของทหารในแถวพูดขึ้นเบาๆ หลังจากบรรยากาศผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเบเรสเดินจากไป
“ ทั้งหมดตรง!!! ” ไดอาร์คสั่งในทันใด และประกาศต่อ “ อย่างที่ท่านเบเรสกล่าว.... เราจะต้องทำการต้อนรับท่าราชทูต ขอให้ทุกคนไปตั้งแถวเป็นแนวซ้ายขวา ในห้องโถง...... ไปได้!!! ”
เหล่าทหารวิ่งเรียงแถวไปอย่างเป็นระเบียบนำโดยไดอาร์ค ไปตามทางจากที่พักของอัศวินไปจนกระทั่งถึงห้องโถงกลาง ซึ่งท่านเบเรสได้ยืนรออยู่แล้ว และไดอาร์คก็ต้องแปลกใจที่เห็น ท่านอเล็กไซนด์กลับมาแล้วถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้เปลี่ยนฉลองพระองค์ก็เถอะ
“ ขอโทษด้วยนะครับ เบเลส ผมคงทำความเดือดร้อนให้กับทุกคนมากเลยสินะฮะ ” เจ้าชายพูดกับเบเรส
“ หามิได้ท่านเจ้าฟ้า ” เบเรสโค้งเคารพเจ้าชาย ซึ่งตัวเจ้าชายเองก็พูดตอบ “ เบเลสท่านไม่ต้อง.... ”
“ อย่าลืมสิขอรับท่านเป็นถึงเจ้าฟ้าแล้วนะขอรับ ” เบเลสตอบทั้งๆที่ยังโค้งให้กับเจ้าชายน้อยอยู่
“ ท่านรีบไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ เสียเถิด เรื่องอื่นเอาไว้เถอะขอรับ เชื่อได้ว่าอีกไม่นาน ท่านทูตคงจะมาถึงประตูใหญ่แล้ว”
“ ได้ๆ แต่ว่า ชุด..... ” เจ้าชายหนุ่มยังพูดไม่ทันจบ เบเรสก็เงยหน้าขึ้นแล้วชี้ไปทางหนึ่ง “ ผู้น้อยได้เตรียมให้ท่านเรียบร้อยแล้ว รีบไปเถอะ ”
“ ท่านแม่คงนัดแนะกันเรียบร้อยเลยสิเนี้ย ” อเล็กซ์ขมวดคิ้ว ในขณะเดียวกับที่เบเลสยิ้มน้อยๆอย่างมีนัยผ่านหมวกเกราะให้กับเขา
เวลาไม่มากนักเขาไม่อยากให้งานนี้ต้องเละเทะไม่เป็นท่านเพราะเขาคนเดียว จึงไม่ถามอะไรเบเลสอีกพลั้นวิ่งไปตามทางที่เบเลสชี้
ในขณะเดียวกันเหล่าทหารก็จัดแถวกันเป็นระเบียบเรียบร้อยเสร็จพอดี พรมสีแดงจากประตูทอดยาวจนมาถึงบัลลังก์ที่อยู่สูงขึ้นไปประมาณสี่ขั้นบันใด โดยมีกองทหารสองกองขนาบข้างพรมและ ที่ด้านหน้าผู้กองไดอาร์ค ยืนเป็นหัวแถวของทหารอยู่บนบันใดขั้นที่หนึ่ง ถัดขึ้นไป บันใดขั้นที่3 มี เบเรสอัศวินหนุ่มในชุดดำที่ใส่หมวกเกราะเรียบร้อยแล้วในตอนนี้ และตามมาด้วยอเล็กไซนด์ที่แต่งฉลองพระองค์เรียบร้อยแล้ว เขามาในชุดสีดำในแบบชนชั้นสูง ตัดกับผ้าคลุมสีขาวที่ปักด้วยลายปักษาหมุนวนในวงกลมหมุนวนในวงกลมกับดาบ อันเป็นสัญลักษ์ของเมืองเรเฟรียนน่า มงกุฎสีทองประดับมรกรตสีเขียวสดตรงกลางแสดงให้เห็นถึงฐานนะ
ในทันใดอเล็กไซนด์ยืนอยู่ข้างบัลลังก์ ทุกอย่างในห้องก็เงียบลง ไม่มีใครพูดจาใดๆ ไม่แม้แต่จะขยับกันด้วยซ้ำ
ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงฝีเท้าก็ค่อยๆดังมาจากระเบียง ค่อยๆเข้ามาใกล้ห้องเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูห้องเปิดขึ้น ชายสามคนที่ใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาลหยาบคลุมทับตั้งแต่หัวไปจนถึงเท้าได้เดินเข้ามายังห้องโถงเดินไปตามพรมสีแดง แล้วนั่งคุกเข่าลง
“ ทั้งหมด!! ” เบเลสตะเบ็งเสียงดังทิ้งช่วงไว้เล็กน้อยพอให้แถวหน้าที่ขนาบพรมไว้เอื้อมมือมาจับดาบได้อย่างถนัด รวมไปถึง ผู้กองไดอาร์คและ เบเลสด้วย
“ เคารพ !! ” แถวหน้ารวมถึงอีกสามคนดึงดาบออกจากฝักอย่างพร้อมเพรียงแล้วตั้งดาบขนานกับลำตัว ส่วนคนที่อยู่ด้านในแค่ยกมือขวาขึ้นมาขนานกับแนวไหล่
อเล็กไซนด์ค่อยๆ เดินลงมาจากข้างบันลังก์ทีละก้าว อย่างช้าๆแล้วโค้งให้แขกผู้มาเยือนสามคน ตามมารยาท จากนั้นค่อยเดินกลับมายังตำแหน่งเดิม
“ ขอเชิญองค์ราชันย์เสด็จ!! ” อเล็กไซนด์ตะเบ็งเสียง ในเวลาเดียวกันนั้นเหล่าทหารที่ถือดาบขนานกับลำตัวนั้นค่อยๆชูดาบขึ้นเหนือหัว และกล่าวตามอเล็กไซนด์ “ ขอเชิญองค์ราชันย์เสด็จ ”
พักหนึ่งหลังจากนั้น ราชาแห่งเมืองเรเฟรียน่าก็ได้เสด็จเข้ามาในห้อง จากด้านหลังอเล็กไซนด์
ทุกฝีก้าวของท่านนั้นดูจะเงียบเชียบและสง่างาม ถึงแม้ท่านจะเริ่มมีริ้วรอยของความแก่ชราแล้วก็ตาม แต่ร่างกายของท่านดูจะแข็งแรงและมีสง่าราศรี
พระองค์ทรงใส่ฉลองพระองค์คล้ายกับของอเล็กไซนด์ แต่ของพระองค์ จะดูหรูหรากว่าและคลุมทับอีกชั้นด้วยผ้าคลุมสีแดงสด ยาวจรดพื้น และมงกุฎสีทองที่ด้านข้างถูกสร้างขึ้นคล้ายกับปีกนกประดับด้วยอัญมนีสีแดงสดตรงกลาง
เหล่าทหารยังคงชูดาบเหนือหัวอยู่จนกระทั่ง องค์ราชานั่งลงแล้วเหล่าทหารจึงเก็บดาบลงในฝักข้างลำตัวอย่างพร้อมเพรียง
“ ต้องขอขอบคุณที่พวกท่านได้ให้การมาเยือนแก่พวกเรา ท่านคงเหนื่อยจากการเดินทางมามากสินะ “ องค์ราชากล่าว เสียงของท่านทั้งทุ้มและลึกล้ำ
ทูตทั้งสามคนโค้งเคารพ ก่อนจะตอบ “ หามิได้........ ฝ่ายเราต่างหากที่มารบกวนท่าน ”
“ ไม่เป็นไรหรอก.... พวกท่านต้องการจะพักเสียก่อนไหม? ” องค์ราชาถาม
“ โอ้.... ไม่ต้องหรอกท่าน เกรงว่าจะเสียเวลาท่านเสียเปล่าๆ มากกว่า ”
“ เช่นนั้นรึ ” องค์ราชาพยักหน้าน้อยๆ พลางกวาดมือ เป็นการบอกให้ทหารทั้งหมดไปพักได้ ซึ่งเหล่าทหารก็ค่อยๆออกจากห้องไปอย่างช้าๆ และเป็นระเบียบที่สุด
จะเหลือก็แต่ผู้กองไดอาร์ค ,เบเลสและ องค์ชายอเล็กไซนด์ ที่ยังคงอยู่ที่เดิม
“พวกท่านดั้นด้นมาแต่ไกล คงเหนื่อยไม่ใช่น้อย ” องค์ราชากล่าวอย่างห่วงใน และถามประโยคเดิมอีกรอบ “ พวกท่านจะไม่ไปพักก่อนหรือ? หรือพวกท่านมีธุระด่วน? ”
“ โอ้.... หามิได้ครับท่าน พวกเราไม่เป็นไรจริงๆ ” เสียงของท่านทูตดูจะแหบห้าวกว่าปกติ เขาเงยหน้าขึ้นแต่ยังไม่เปิดผ้าคลุมออก ทำให้อเล็กซ์มองเห็นหน้าของผู้มาเยือนไม่ชัดนัก
“จริงๆแล้วผู้น้อย มาด้วยคำสั่งขององค์โซลุน่า ให้มาถวายพระพรท่านเนื่องในโอกาศพระชรรษาครบ หกสิบสองปีครับ”
“ อ่า... ” องค์ราชากระซิบไปหาอเล็กไซนด์ที่อยู่ข้าง “ นี้จวนเจียนจะถึงวันเกิดเราแล้วหรืออเล็กซ์ ? ”
“ พรุ่งแล้วไงครับ ท่านพ่อทรงงานมากไปแล้วนะครับ ”
“ โฮ่ โฮ่..... ” องค์ราชาระเบิดเสียงหัวเรอะออกมา อย่างลืมตัว แล้วจึงหันกลับไปคุยกับท่านทูตต่อ
“ ขออภัยด้วย เราเกือบลืมไปเลยว่าจะถึงวันที่เราต้องแก่ขึ้นอีกปีแล้วสินี้ ”
“ ท่านคงทรงงานหนักไปแล้วกระมั่ง ” ท่านทูตตอบ
“ ฮ่าๆ ท่านเช่นเดียวกับลูกชายของเราไม่ผิดเพี้ยนเลย ท่านราชทูต ” องค์ราชากล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ โอ้........ เช่นนั้นผู้ที่อยู่ข้างกายท่าน คือท่านเจ้าฟ้าเองหรอกหรือ ” ราชทูตดูจะหันมามองเจ้าชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างๆ พระองค์ หากพิจารณาแล้ว ทั้งสองดูเหมือนกันมาก เพียงแต่องค์ราชาจะดูสูงอายุเสียมากกว่า
“ ไม่น่าเชื่อ.... ” ท่านทูตกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นและแหบห้าวกว่าปกติ
“ ท่านคงจะเป็นท่านทูตคนใหม่สินะ ” องค์ราชาถาม แต่ในครั้งนี้ราชทูตตอบช้ากว่าปกติสักเล็กน้อย
“ ใช่ครับ............. ท่านทูตท่านเก่าเพิ่งจะเสียชีวิตไปไม่นานนี้เอง ”
“ อ่า..... เกิดอะไรกับเขางั้นรึ?? ” องค์ราชาถามด้วยความห่วงใย
“ เขาถูกฆ่าตายระหว่างเดินทางมายังเมืองเรเฟรียน่า เพื่อมาถวายพระพรท่าน ไงหละฮึ....ฮึ..... ”
ในยามนี้เองที่ทุกอย่างในห้องดูเงียบลงไปในทันใด ถ้าหากคำพูดนั้นเป็นจริงแล้ว ผู้ที่นั่งคุกเข่าทั้งสามเป็นใครกัน
“ และข้านี้หละที่เป็นคนฆ่าพวกมัน ฮึๆ ” ทูตของเมืองโซลลุน่า ยืนขึ้น เบเลส และไดอาร์ค รีบชักดาบออกมา เดินไปเบื้องหน้าขององค์ราชันย์ในทันใด
“ เจ้าเป็นใคร... !? ” ทั้งสองแผดเสียงใน ในขณะที่ร่างในผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มนั้นพุ่งเข้าใส่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว
เคร้ง!!!!
ดาบของอเล็กซ์ที่พึ่งไปหยิบมาอันหนึ่งจากที่ประดับอยู่บนผนัง มันไม่ใช่สิ่งที่ทำมาเพื่อเป็นศาตราวุธโดยตรง
แต่พอทดแทนกันได้ สำหรับสถานการณ์เช่นนี้
“ โฮ่.......... ฝีมือไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ดาบเจ้าเป็นแค่ของประดับเท่านั้น ท่านเจ้าฟ้า ”
อเล็กซ์สังเกตุว่าสิ่งที่ปะทะกับดาบของเขาไม่ใช่ศาตราวุธใดๆ แต่มันเป็นอุ้งมือที่เต็มไปด้วยเล็มอันแหลมคมของสัตว์ป่า ซึ่งขยี้ดาบปลอมของเขาทิ้งได้ในพริบตา
“ ตายเสียเถิด เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว “ ร่างของอเล็กซ์ลอยขึ้นเหนือพื้น ด้วยแรงกระแทกที่รุนแรงจนอากาศรอบๆสั่นสะเทือน
“ ท่านเจ้าฟ้า!!! ” เบเลสพุ่งเข้าไปรับร่างที่ตกลงมา ส่วนไดอาร์คตรงเข้าไปเล่นงาน ผู้ที่อ้างตัวเป็นราชทูตพร้อมวาดดาบเข้าไปเต็มแรง
แต่ไม่มีสิ่งใดที่ดาบเขาสัมผัส นอกจากผ้าคลุมสีน้ำตาลอันไร้ผู้สวมใส่
“ ฮ่าๆๆ มนุษย์ ผ่านไปกี่พันปีก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอและน่าสมเพชไม่มีเปลี่ยนแปลง ”
เจ้าของเสียงอันแหบกร้าน หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง นัยตาของมันเป็นสีแดงเลือด ร่างของมันนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นมนุษย์หมาป่าขนสีดำเข้ม ในปากของมันมีเปลวเพลิงลุกไหม้ทุกครั้งที่มันหายใจ
“ หมาป่า! ” มนุษย์ทั้ง สี่แทบไม่เชื่อสายตา สัตว์ที่ควรจะมีอยู่เฉพาะในเรื่องเล่า จะมายืนอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
“ ตกใจอะไรกันรึไง ฮึๆ แต่ก็ไม่น่าแปลกหรอกเพราะพวกข้าเองก็ไม่ได้ตื่นมากกว่าพันปีแล้ว ” มันพูดพลางเลียเลือดที่ติดอยู่บนกรงเล็บมัน
“ อ่า..... เลือด....... ไม่ได้สัมผัสมันมานานแค่ไหนกันแล้ว ฮึๆ ”
“ ไดอาร์ค พาองค์ราชันย์ และท่านเจ้าฟ้าหนีไปก่อน!! ” เบเลสกวาดมือตวัดดาบตั้งท่าขวางปิศาจหมาป่าที่อยู่ข้างหน้า
“ แต่ข้า... ไม่สิ ท่าน!! ” ไดอาร์ครู้ตัวเองว่าฝีมือเชิงดาบตนเองนั้นอ่อนกว่าเบเลสกี่ขุมแต่เบเลสเองก็ไม่ใช่คู่มือของมนุษย์หมาป่าตนนี้เช่นกัน
“ ไป!! ” เบเลสย้ำคำอย่างชัดเจน ทำให้ไดอาร์คตัดใจรีบหอบร่างที่บาดเจ็บของเจ้าฟ้าและราชาหนีออกไปทางด้านหลังบัลลังก์
“ จะหนีไปไหน!! ” หมาป่าสีดำพุ่งตามพวกไดอาร์คไป แต่เบเลสก็มาขวางทางเสียก่อน
“ เกะกะ!! ”
เสียงคำรามของมัน แสดงถึงอารมณ์โมโหอย่างชัดเจน มันหวังจะปิดฉากของอัศวินในชุดดำให้เร็วที่สุด
แต่มันไม่ง่ายเช่นนั้นเลย เบเลสนั้นมีฝีมือมากกว่าที่มันจะปิดฉากได้ภายในกรงเล็บเดียว
“ ถ้าจะผ่านตรงนี้ไป มีแต่ต้องข้ามศพข้าไปให้ได้เท่านั้น เจ้าหมาบ้า ” เบเลสกล่าวยั่วมันอย่างจงใจ
-----------------------------------------------------------
ทางด้านไดอาร์คก็รีบพาองค์ราชาหนีไปตามทางอย่างเร่งรีบ ใจหนึ่งก็เป็นห่วงเบเลส แต่ใจหนึ่งก็กลัวเจ้ามนุษย์หมาป่านั้น
มีสิ่งเดียวที่เขาจะทำได้นั้นก็คือไปตามกองอัศวินทั้งหมดและรีบกลับไปช่วย เบเลสให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ และพาท่านเจ้าฟ้าและ องค์ราชันย์ไปยังที่ปลอดภัยให้เร็วที่สุด
“ ไดอาร์ค.... ” องค์ราชาทักขึ้น เขาตอบรับอย่างรวดเร็ว “ ครับ!! ”
“ ถ้าความจำเราไม่ได้เลอะเลือนเมื่อกี้ท่านแบกอเล็กซ์ อยู่ใช่ไหม? ”
ในเวลานั้นเองที่ไดอาร์ครู้ตัวว่าท่านเจ้าฟ้าไม่อยู่เสียแล้ว
------------------------------------------------------------
“ ถอยไปเจ้ามนุษย์!!! ” ปิศาจหมาป่าพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ โดยหวังว่าจะตามพวกไดอาร์คไปให้ทัน แต่มันไม่ง่ายเสียเลย เพราะโดนเบเลสปิดทางเดินไว้
มันสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพ่นเปลวเพลิงเข้าใส่ เบเลส โดยหวังว่า อัศวินดำจะหลบและเปิดทางให้มัน
แต่ตรงข้ามเบเลสกลับยืนรับเปลวเพลิงอย่างองอาจ ซ้ำร้ายยังฝ่าเปลวเพลิงเข้ามาโจมตีใส่มันเสียจน เซถอยหลังเสียอีก
“ ถ้าหากจะตามองค์ราชันย์ไปหละก็ มีแต่ต้องข้ามศพข้าไปเท่านั้น ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่รึไง ” เบเลสตั้งดาบขึ้น
ถึงแม้เขาจะต้านปิศาจตัวนี้ได้แต่ว่าสภาพเขานั้นดูแทบไม่ได้เสียเลย ชุดเกราะส่วนใหญ่แตกจนไม่อาจช่วยป้องกันอะไรได้อีก บาดแผลใหญ่น้อยทั่วร่างนับไม่ถ้วน โดยเฉพาะแผลที่แขนขวา ของเขานั้นทำให้แทบจับดาบไม่ได้
หมวกเกราะนั้นก็แตกกระจุย จนเรียกได้ว่าไม่ใส่จะดีเสียกว่า
“ พูดได้อวดดีเสียเหลือเกินนะ เจ้ามนุษย์ ”ปิศาจหมาป่าพยายามพูดให้เสียงเรียบที่สุดเท่าที่โทสะของมันจะควบคุมได้ ความคิดที่จะหลีกเลี่ยงเบเลสได้หมดไปจากหัวของมันในที่สุด มันตัดสินใจว่าจะล้มอัศวินดำลงเสียก่อนแล้วค่อยไล่ตามไปก็ยังไม่สาย
บทสนนาสิ้นสุดลง การต่อสู้เริ่มขึ้นอีกครั้งแต่ในคราวนี้เพียงแค่หมัดเดียวเบเลสก็ไถลไปติดกำแพง ยังไม่พอยังกระโจนเข้าใส่เบเลสพร้อมกับตวัดกรงเล็บลงเข้ากลางลำตัวจนเกราะส่วนที่เหลือแตกกระจุยเป็นชิ้นๆ อีกมือหนึ่งง้างหวังจะดับลมหายใจของอัศวินดำให้ได้ แต่ว่าเขากับใช้เรี่ยวแรงที่เหลือ เอาดาบขึ้นมากันได้อย่างหวุดหวิด
“ ยังมีแรงเหลืออยู่อีกงั้นรึ เจ้ามนุษย์ ” หมาป่าถามอัศวินดำที่พยายามดันกรงเล็บมันออกอย่างสุดแรง
“ แต่เสียใจด้วยนะ ข้ามีธุระด่วนอยู่เล่นกับแกได้ไม่นานหรอก ” มันฉีกยิ้มพลางอ้าปาก ให้เปลวไฟไฟในปากของมันปะทุออกมา และรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เบเลสรู้ดีว่ามันจะทำอะไร เขาพยายามออกแรงดันดาบให้มากขึ้นเพื่อหลบเปลวไฟของปิศาจตัวนี้ให้ได้ แต่ก็ไร้ผล
“ ลาก่อน ” เปลวไฟนั้นปะทุถึงขึ้นรุนแรงที่สุด ราวกับพร้อมกับจะเผาทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้าให้เป็นจุล
อัศวินดำพยายามจะหนีออกมาแต่ว่าเขาไม่อาจต่อกรกับพละกำลังของหมาป่าตัวนี้ได้ แต่ทว่าในวินาทีทีเขาคิดว่าจะถูกเปลวไฟนั้นแผดเผานั้นเอง ร่างเงาหนึ่งก็กระโจนข้ามหัวปิศาจมาพร้อมกับตอกกำปั้นใส่กลางกระหม่อม จนปากของมันหุบสนิท
ฟู่มม!!!! เปลวไฟเหล่านั้นไม่อาจหาทางออกได้ เมื่อปากของมันไม่ได้เปิดออกจึงได้แต่ปะทุอยู่ข้างในและแผดเผาตัวมันเอง
ในเวลานั้นเองร่างเงานั้นก็ตวัดดาบในมือทั้งสองข้างอัดกระแทกมันซ้ำเข้าตรงกลางอกและคางมัน แล้วช่วยเบเลสออกมา
“ ไม่เป็นไรนะ เบเลส!? ” เจ้าของร่างเงานั้นถาม
“ ท่านเจ้าฟ้า!! แต่ท่านควรจะหลบไปพร้อมกับองค์ราชา ”
“ ท่านก็รู้ว่าผมไม่ใช่คนที่ชอบทำแบบนั้น ” อเล็กซ์ตอบพลางมอบยาสมุนไพร และดาบอีกเล่มในมือเขาให้
เบเลสจำทั้งดาบและยาได้ในทันที “ เอริกเซอร์!? แล้วก็ เรเฟรียน่าฮาร์ท ท่านแอบเข้าไปที่คลังแสงอีกแล้วหรือ!!!! ”
“ เออ..... ก็ประมาณนั้นหละนะ... ” อเล็กซ์ตอบพลางเกาแก้มอย่างรู้ชะตากรรม ในทุกๆอย่างที่เบเลสกำลังจะพูด(บ่น)...
“ ดาบเรเฟรียน่าฮาร์ท!!!!! ณ ปัจจุบันหาช่างตีและหลอมขึ้นมาใหม่แทบไม่ได้แล้วนะครับ เป็นอาวุธระดับ S Class ที่หลงเหลือจากยุคสงคราม หากใช้โดยพละการต้องถูกลงโทษซ้ำร้ายต้องโดนกักบริเวณอย่างน้อย2 เดือน!!
และยิ่งไปกว่านั้น เอริกเซอร์โพชั่น ยาสมุนไพรขั้นสุดยอด ที่ผู้กินแล้วบาดแผลจะหายไปในพริบตา!! ปัจจุบันหา อาทีซัน(ช่างฝีมือ ,อาชีพที่เกี่ยวกับการสร้างและประดิษ เป็นส่วนใหญ่ )ที่เชี่ยวชาญเรื่องสมุนไพรที่สามารถทำมันได้มีน้อยมาก ถึงทำได้ วัสดุที่ต้องใช้ก็หายากมากๆ เลยนะครับ!!!! ”
ถ้าอเล็กซ์จับเวลาที่เบเลสพูดเมื่อกี้ได้หละก็ มันคงใช้เวลาแค่ 2 นาที เขาได้แต่ถอนหายใจยาวๆ แล้วรับคำอย่างหน่ายๆ “ ครับ ๆ ”
“ หยิบทั้งหมดมานี้ ดาบสองเล่ม แล้วก็เอริกเซอ...!! ” เบเลสจะร่ายต่อแต่อเล็กซ์ผายมือขวางไว้อย่างเคร่งเครียด “ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดถึงเรื่องการลงโทษหรอกนะ... เบเลส ”
สายตาของทั้งคู่จับจ้องไปยังคู่ต่อสู้ที่ตั้งหลักขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว มันปัดเศษหินที่กองรอบๆ ตัวมันออกอย่างฉุนเฉียว
“ เจ้านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ จะพูดว่าอัศวินสองคนพร้อมดาบและยาชั้นเลิศรุม แล้วจะยุติธรรมหรอกนะ ”
“ ฮะๆ คงงั้นหละครับท่านเจ้าฟ้า..... ” เบเลสพูดจบก็ดื่มเอริกเซอร์เข้าไป บาดแผลทั่วทั้งกายก็ค่อยๆสมานและหายเป็นปลิดทิ้ง
นักรบสองคนแยกกันอเล็กซ์พุ่งไปทางซ้าย ส่วนเบเลสไปทางขวาพุ่งเข้าโจมตีขนาบทั้งสองข้างใส่ปิศาจหมาป่าเข้า
ศาสตราวุธ ชั้นเลิศในมือของอัศวินอันดับหนึ่ง และเจ้าฟ้าแห่งเรเฟรียนน่าหาใช่ของแค่ท่อนเหล็กที่กวัดแกว่ง
มันทั้งคมและรวดเร็ว เสียจนปิศาจแทบรับมือไม่ทัน ซ้ำร้ายทั้งสองนั้นเคยฝึกด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก
เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่รู้ใจกัน จนแทบไม่ต้องให้สัญญาณใดๆ การออกท่าทั้งสองก็เข้ากันจนยากแก่การรับมือ
การต่อสู้ที่ดุเดือดและสูสี จนกำแพงในประสาทไม่อาจรับแรงสั่นสะเทือนต้องระเนระนาดไปตามๆกัน
เพดานไม่ต่างจากพื้น สำหรับพวกเขาทั้งสามอีกต่อไป
ทั้งสามรุก รับ กันเสียจนบ้างครั้งลืมไปเสียว่าตัวเองลอยอยู่กลางอากาศเสียด้วยซ้ำไป จากปราสาทชั้น3 ลงสู่สวนของราชวัง
“ ไม่เลวเลย สำหรับมนุษย์สองคน!! “ มันพูดอย่างฉุนเฉียว มือหนึ่งตะปบโดนเพียงแต่อากาศธาตุ เท่านั้น
“ ใครเป็นคนใช้ให้แกมากัน เจ้าปิศาจ!! ” เบเลสอ้อมไปด้านข้างแล้วเข้าโจมตีใส่ทำให้มันเซไปด้านข้างเล็กน้อย
“ ไม่มีมนุษย์คนไหนสั่งข้าได้หรอก!!! ” มันตอบพร้อมซัดเบเรสจนกระเด็นออกไป 7-8ก้าว ในจังหวะนั้นเองที่อเล็กซ์พุ่งสวนร่างของเบเลสขึ้นมาหวังจะปิดฉากการต่อสู้ ด้วยดาบในมือ
“ Execution!! ” ดาบที่ตวัดเป็นวงอย่างรวดเร็วจนเหมือนเคียวของเพรชฆาต เป็นที่มาของชื่อท่าที่รวดเร็วและเฉียบคม
บาดแผลลึกและกินที่ตั้งแต่ไหล่ซ้ายลากมาจนถึงสะโพก เลือดสีแดงฉานทะลักออกมา อเล็กคิดว่าแค่นี้ยังไม่พอจะปิดฉากการต่อสู้ เขาหมุนตัวและกวาดดาบอีกครั้ง จนรอยแผลของมันกลายเป็นรูปกากบาท
“ Cross Execution !!! ”
เจ้าฟ้าดึงดาบออกจากร่างมัน ในทันใดนั้น เลือดสีแดงฉานก็ทะลักออกจากแผลที่สอง ร่างของปิศาจหมาป่าค่อยๆทรุดลง
“ ฮึๆ ... ” หมาป่าตนนั้นหัวเรอะในลำคอเบาๆ “ นี้นะหรือคนที่จะมาล้มนายขอข้า น่าขำสิ้นดี!!! ”
อเล็กไซนด์จี้ดาบประกายสีเงินไปยังลำคอของมัน ไม่ช้าเบเลสก็ตามมาสมทบอีกที
“ นายของเจ้า…? ” อเล็กไซนด์ทวนคำนั้นพร้อมกับเลื่อนดาบเข้าไปใกล้ขึ้นอีก แต่ทว่าหมาป่าตนนั้น กลับไม่มีท่าทีเกรงกลัวใดๆ เลยแม้แต่น้อย ไอสีแดงค่อยๆลอยออกมาจากร่างของมันอย่างช้าๆ เลือดที่ทะลักออกมาจากบาดแผลค่อยๆ แห้งจนในที่สุดก็กลายเป็นไอ ทิ้งไว้แต่สีแดงฉานของมันไว้
“ แล้วเจ้าจะได้รู้..... ในอีกไม่นาน เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว ฮึๆ ” มันฉีกยิ้มอย่างน่ากลัว ในนาทีนั้นเองที่ นักรบทั้งสองรู้สึกได้ถึงไอร้อนรอบกาย ของปิศาจหมาป่าตนนี้ ทั้งคู่รีบดีดตัวออกห่างร่างนั้น
ในไม่กี่วินาที ต่อมานั้นเอง ร่างของมันก็กลายเป็นเปลวไฟสีฟ้าและกลายระเบิดกัมนาท เป็นการโจมตีครั้งสุดท้าย
ไม่ว่าหมาป่าตัวนี้จะเป็นใคร แต่มันจงรักภักดีต่อนายของมัน จนถึงกระทั่งยอมสละชีพตัวเอง เพื่อทำลายศัตรู
และปกปิดความลับต่างๆ เกี่ยวกับนายตน
สำหรับอเล็กไซนด์ แล้ว... แม้เสียงระเบิดจะดังจนหูเขาแทบอื้อ แต่กลับมาสิ่งนึงค้างอยู่ในหูของเขา
“ เจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว ”
เขาเคยเห็นคำนี้จากห้องสมุดของเมือง เป็นหนังสือนิยายปรัมปราเก่าๆ..... ที่ทำนายไว้
ว่าจอมปิศาจจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง.......
“ ฉันคือ เจ้าฟ้า...แห่งเมืองสีขาว ? ” เขาถามคำถามนั้นอย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ
สายลมอ่อนๆ ไหวต้นไม้ใหญ่นอกเมืองเรฟรีน่า ใบไม้กระทบกันเสียงดังแซ่กๆ
บนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง มีชายผู้ยืนมองทุกเหตุการณ์จากที่นี้ ท่ามกลางความเงียบงันนั้น มีเพียงคำพูดประโยคเดียวที่ลอยากับสายลม
“ นักรบแห่งดาวตก และเจ้าฟ้าแห่งเมืองสีขาว
ผู้กล้าทั้งสองจะออกเดินทางเพื่อตามหาดวงดาวแห่งนักรบ เพื่อหยุดยั้งจอมปิศาจ ”
To be continue
ความคิดเห็น