เรื่องสั้นเรื่องนี้...ไม่มีแม่ : ขาด? - เรื่องสั้นเรื่องนี้...ไม่มีแม่ : ขาด? นิยาย เรื่องสั้นเรื่องนี้...ไม่มีแม่ : ขาด? : Dek-D.com - Writer

    เรื่องสั้นเรื่องนี้...ไม่มีแม่ : ขาด?

    โดย zero-boy

    เรื่องสั้นส่งร่วมกิจกรรม "เรื่องสั้นเรื่องนี้...ไม่มีแม่" 1 เด็กชาย... 1 พี่ชาย... 1 วันแม่... กับเรียงความ 2 ฉบับ...

    ผู้เข้าชมรวม

    382

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    382

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  12 ส.ค. 57 / 12:16 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    เรื่องสั้นที่ส่งเข้าร่วมกิจกรรม "เรื่องสั้นเรื่องนี้...ไม่มีแม่" เป็นเรื่องสั้นเรื่องแรกที่แต่งลงในเว็บเด็กดีนะครับ
    ยังไงก็ติชมกันได้เลยนะครับ



    zero
     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
          ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว แถมผมยังได้กลิ่นอาหารหอมน่ากินลอยออกมาจากในบ้านของผมอีก แล้วตัวผมมายืนทำอะไรอยู่หน้าบ้านตัวเองตั้งนานสองนานล่ะเนี้ย

          วันนี้ผมก็ออกจะเป็นเด็กดี ไม่ได้เอาเงินที่พี่แอบซ่อนไว้ไปซื้อของเล่น ไม่ได้เอาของเล่นไปโรงเรียน แถมเมื่อคืนก็ไม่ได้แอบเอาขนมขึ้นไปกินบนที่นอนอีกด้วย ผมควรจะรีบเข้าบ้านซิเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดุ

      “จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมคี”

          เสียงเรียกชื่อเล่นทำเอาผมสะดุ้ง ชื่อเล่นของผมคือ “คี” ส่วนชื่อจริงก็ “คีตะ” ผมไม่รู้ความหมายของชื่อตัวเอง รู้เพียงแต่พี่ชายตั้งให้ผม และจำง่ายดี

      “เข้าไปแล้วครับ” ผมรีบเดินเข้าบ้าน ส่งยิ้มให้พี่ชายเล็กน้อยก่อนรีบเดินขึ้นห้อง

      “เดี๋ยวก่อนคี วันนี้เราทำตัวแปลกๆนะเรา ไหนเอากระเป๋าหนังสือมาให้พี่ดูหน่อย พี่ว่าข้างในมันต้องมีของเล่นไม่ก็ขนมอยู่แน่ๆ”

      “มันจะไปมีได้ยังไงล่ะครับ” ผมรีบเถียงวันนี้ไม่มีแน่นอน พี่ชายหรี่ตามองหน้าผมอย่างไม่ไว้วางใจ พี่ชอบจับผิดผมแบบนี้ทุกที แล้วผมก็....มีพิรุธได้ทุกทีซิน่า โดยไม่ทันตั้งตัวพี่ชายก็ดึงกระเป๋าจากหลังผมไปเปิดดู

          ผมก็หน้าซีดเลยซิ กลัวพี่จะเห็นของที่อยู่ด้านใน แต่พี่หยิบไปค้นๆอยู่พักหนึ่งก็ส่งคืนให้ผม ผมแอบโล่งอกที่พี่ไม่เห็นของบางอย่างในกระเป๋าผม

      “ก็ไม่เห็นมีอะไรนี้ ไปขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมากินข้าว วันนี้พี่ซื้อของโปรดพี่มาด้วย”

          ผมแยกเขี้ยวใส่พี่ชาย ซื้อของโปรดตัวเองมาแล้วจะบอกผมทำไม ถ้าซื้อของโปรดผมมาซิค่อยมาบอก ก่อนจะรีบหันหลังเดินขึ้นห้องอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาในห้องผมก็รีบปิดประตู แล้วก็ถอนหายใจยาวๆ ผมยังไม่เปลี่ยนชุดตามคำสั่งของพี่ชายแต่รีบหยิบแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากกระเป๋า

      ‘เรียงความวันแม่’

          มันคือสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าผม แถมวันแม่ปีนี้ครูยังมีหนังสือเชิญให้แม่ของผมไปที่โรงเรียนเพราะเรียงความของผมเข้ารอบ 10 คนของระดับประถมศึกษาปีที่ 6 เผื่อบางทีถ้าเกิดผมได้ที่หนึ่งในสามขึ้นมา ผมกับแม่จะต้องขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีพร้อมกัน

          เรียงความของผม ผมได้เขียนเล่าสิ่งต่างๆที่แม่ทำให้ผม เล่าว่าแม่จะค่อยปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาไปโรงเรียนในทุกเช้า ช่วยผมแต่งตัวและทำกับข้าวอร่อยๆให้กิน ก่อนจะไปทำงาน ผมก็ไปโรงเรียน พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็นแม่ก็จะทำกับข้าวรอผมไว้ก่อนแล้ว กับข้าวที่แม่ผมทำอร่อยมาก หลังกินข้าวเสร็จแม่ก็จะค่อยมานั่งสอนการบ้านที่ผมไม่เข้าใจให้ แล้วก็มานั่งดูโทรทัศน์กันต่อจนถึงเวลาเข้านอน ทุกคืนแม่จะเล่านิทานให้ผมฟังจนผมหลับไป ในวันหยุดบางครั้งแม่ก็จะพาผมไปเที่ยวนอกบ้าน

          ผมเล่าทุกเรื่องเกี่ยวกับแม่ ก่อนจะลงท้ายด้วยคำว่า “ผมรักแม่ที่สุดในโลกเลยครับ” ในความคิดของผมเรียงความฉบับนี้ผมเขียนได้ดีมาก ไม่มีคำผิดที่โดนวงให้มาแก้เลยแม้แต่คำเดียว ตัวหนังสือทุกตัวผมก็เขียนด้วยลายมือบรรจง กระดาษก็สะอาดมีแค่รอยลบสี่ห้ารอยเท่านั้น บางทีผมอาจจะได้ที่หนึ่งก็ได้

          แล้วมันไม่ดีตรงไหนกัน ทำไมผมถึงต้องกลัวพี่ชายเห็นขนาดนี้...ผมว่าทุกอย่างในเรียงความมันก็ดีไปหมด ยกเว้นก็เพียงแค่เรื่องเดียว...เรื่องที่ผมไม่เคยมีแม่ ไม่เคยมีนับตั้งแต่จำความได้



      “เป็นอะไรไปซึมเชียว” พี่ชายผมถามขึ้นหลังจากนั่งกินข้าวเย็นกันมาได้พักใหญ่ๆ คงเป็นเพราะเห็นว่าผมเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวเล่นไป ด้านหน้าของผมเป็นกับข้าวสองสามอย่าง ที่พี่ชายผมบอกว่าเป็นของโปรดของพี่ จริงๆแล้วผมก็ชอบกับข้าวที่พี่ซื้อมาเหมือนกัน ผมเคยเขียนไปในการบ้านด้วยว่ามันเป็นของโปรดของผม แต่ผมไม่เคยบอกพี่

          พี่ชายกับผมคุยกันน้อยมากถึงมากที่สุด คุยกันทีไรไม่ชวนผมทะเลาะก็ต้องหาเรื่องแกล้งตลอด

      “ปวดหัวนิดหน่อยครับ” ผมโกหก จริงๆแล้วผมไม่ได้ปวดหัวเลยซักนิด แต่ผมกำลังไม่สบายใจเรื่องเรียงความโกหกบนห้อง แต่ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไง ในความคิดของผมบอกว่าไปไม่สบายไปนั้นล่ะดีที่สุดแล้ว ผมชอบบอกว่าไม่สบายทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจแล้วไม่อยากบอกให้ใครรู้ ผมมักอ้างว่า ปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง สลับๆกันไป

      “งั้นก็กินข้าวไปให้อิ่ม รองท้องก่อน เดี๋ยวพี่ไปหยิบยามาให้” ผมมองตามพี่ชายที่เดินหลับหายไปอีกห้อง ก่อนจะหันมาตักข้าวกินไปได้อีกไม่กี่คำก็กินไม่ลง เลยหยุด ถ้าพี่ผมรู้ว่าผมเขียนเรียงความโกหกแบบนั้นผมต้องโดนตีแน่ๆ แล้วถ้าคุณครูที่โรงเรียนรู้อีกล่ะว่าผมโกหก

      “กินอีกหน่อยซิคี แค่นั้นมันกินยาไม่ได้หรอกนะ”

          ผมทำตามโดยการตักข้าวกินไปอีกสองสามคำ ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงหรือดื้อ  เม็ดยารีๆสีส้มถูกวางลงบนฝ่ามือของผม

      ‘ยานี่อีกแล้ว’

          ผมคิดในใจเมื่อเห็นยาที่ดูคุ้นเคย เจ้ายาสีส้มที่ไม่ว่าผมจะบอกว่าปวดหัว ปวดท้องหรือไม่สบายอย่างอื่นพี่ก็เอามาให้ผมกินประจำ มันไม่ขมเหมือนยาที่คุณหมอให้กิน มันออกเปรียวๆนิดๆเวลาอยู่ในปาก ผมเคยถามพี่ๆก็บอกแค่ว่ายาสำหรับเด็กมันไม่ขม

          ผมหยิบยาใส่ปากก่อนกินน้ำตามเข้าไปครึ่งแก้ว เป็นอันว่าจบมื้อเย็นของผม

      “ขึ้นไปทำการบ้านเถอะ เดี๋ยววันนี้พี่ล้างจานให้เอง”

      “วันนี้ไม่มีการบ้านครับ” วันนี้ไม่มีการบ้านเลยแม้แต่อย่างเดียวเพราะพรุ่งนี้โรงเรียนจะจัดงานวันแม่ ปกติผมคงดีใจแย่เลยไม่มีการบ้านเนี้ย

      “งั้นไปดูโทรทัศน์ก็ได้”

      “ช่วยพี่ล้างจานก่อนก็ได้ครับ” ผมไม่รู้สึกอยากดูโทรทัศน์เลย

          พี่ชายผมขำใหญ่ที่ผมอาสาจะช่วยล้างจานให้ได้ ปกติแล้วผมต้องเกี่ยงให้พี่ชายล้างคนเดียวตลอด แต่ก็ถูกลากไปล้างด้วยทุกที

      “วันนี้มาแปลกสงสัยฝนจะตก”

          ถ้าฝนตกก็คงจะดี ตกแบบหนักๆเลย เอาให้น้ำท่วมไปเลยนะ พรุ่งนี้ผมจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน


          ในที่สุดวันงานวันแม่ก็มาถึง ผมถูกพี่ชายปลุกแต่เช้าแบบไม่เต็มใจนัก เมื่อคืนผมนอนไวมากสงสัยคงเพราะกินยาเข้าไปเลยง่วง เมื่อคืนฝนไม่ตกอย่างที่ผมต้องการ ผมเลยไม่มีข้ออ้างหยุดเรียน พอได้เวลาผมก็ขึ้นรถโรงเรียนที่มารับหน้าบ้านแบบที่ทำประจำทุกวัน ส่วนพี่ผมก็อยู่ในบ้านไม่ยอมไปทำงาน โดยบอกผมว่า

      ‘หยุดชดเชยวันแม่’

          แต่วันแม่มันพรุ่งนี้แล้วปกติเขามีหยุดชดเฉยล่วงหน้ากันด้วยเหรอ

          พอเคารพธงชาติเสร็จครูประจำชั้นก็เรียกนักเรียนที่เข้ารอบ 10 คนเรียงความวันแม่ไปเตรียมตัวเพราะต้องขึ้นไปอ่านบนเวทีตอน 10 โมง ผมมองไปรอบๆห้องก็เห็นเพื่อนๆในห้องจูงมือแม่กันมาทุกคน ทุกคนดูมีความสุขจนน่าอิจฉา ถ้าแม่จูงมือผมแบบนั้นผมจะรู้สึกยังไงกันนะ

          ผมได้อ่านในลำดับสุดท้ายเลยมีเวลานั่งมองดูเพื่อนๆผมคุยเล่นกับแม่ตัวเอง ส่วนผม... ผมหันมองเก้าอี้ข้างๆก็พบแต่ความว่างเปล่า กระดาษเรียงความในมือที่ต้องมีแค่ฉบับเดียวกับมีอีกหนึ่งฉบับซ้อนอยู่ด้านหลัง

          เรียงความอีกหนึ่งฉบับที่มีรอยลมเต็มไปหมดจนดูไม่ได้ แถมลายมือบนนั้นก็ไม่ได้บรรจงอะไร คำผิดก็เยอะจนแค่มองผ่านผมก็ยังเจอ

          ผมไม่รู้ว่าจะอ่านฉบับไหนดี ฉบับที่มีแต่เรื่องโกหก หรือต้นฉบับที่มาจากความจริง เนื้อหาของสองฉบับต่างกันไม่มากนักเพราะฉบับหลังผมแค่ลอกมาจากฉบับแรก แต่ที่ต่างกันชัดจนผมสับสนคือ ต้นฉบับเรียงความวันแม่ของผม ไม่ได้พูดถึงแม่เลยซักนิด

          เสียงประกาศเรียกชื่อนามสกุลของผมดังขึ้น ผมรีบหยิบกระดาษเรียงความของผมก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที สายตาของผมมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะสวัสดีและแนะนำตัวตามที่คุณครูสอนมา ผมจ้องกระดาษในมือ ไม่รู้ทำไมแต่มือของผมเริ่มสั่น

          ผมตัดสินใจเริ่มอ่านย่อหน้าแรกของเรียงความ เรียงความที่เป็นความจริงทั้งหมดของผม....

          ตั้งแต่วันแรกที่จำความได้ใบหน้าที่ผมเห็นทุกวันคือใบหน้าของพี่ชาย เท่าที่จำได้คำๆแรกที่ผมพูดคือคำว่า “พี่” ตอนนั้นพี่ชายเป็นเหมือนทุกๆอย่างของผม ไม่ว่าผมจะหิว ตกใจ กลัว หรือไม่สบายคนที่ผมเรียกหาก็คือ “พี่” พี่ชายที่ชอบยิ้มให้ผมเสมอ จนเมื่อเข้าโรงเรียนผมจึงได้รู้จักกับคำว่า “พ่อ” และ “แม่” ในเมื่อทุกคนมีผมก็แค่อยากมีเหมือนคนอื่นบ้าง สำหรับ “พ่อ” แล้วผมบอกเพื่อนๆว่าพี่ชายเป็นพ่อของผมทุกคนก็เชื่อผมหมด แต่พอผมบอกว่าพี่ชายเป็น “แม่” ของผมกลับไม่มีใครเชื่อผมเลยซักคน ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะมีแม่เหมือนคนอื่น ผมเลยโกหกไปว่าแม่ผมไปทำงานนานๆถึงจะกลับบ้าน แล้วผมก็โกหกแบบนั้นมาตลอด

      ตลอดจนถึงวันนี้...
          ผมหยุดอ่านมองไปรอบว่าจะมีใครว่าอะไรผมเรื่องที่โกหกไหม แต่ทุกคนยังนั่งเงียบตั้งใจฟังที่ผมอ่าน เมื่อคุณครูพยักหน้าให้ผมอ่านต่อผมจึ่งเริ่มอ่านช่วงต่อไป

          พี่ชายของผมเป็นหมอ โตขึ้นผมก็จะเป็นหมอแบบพี่ชาย ผมเห็นหน้าพี่ชายทุกเช้าเพราะพี่เป็นคนเข้ามาปลุกผมไปโรงเรียนทุกวัน พี่ชายผมทำอาหารไม่เป็นซักอย่างแต่ทุกวันจะมีข้าวเช้าตั้งรอให้ผมลงไปกินทุกเช้า หลังจากนั้นพี่ก็จะไปทำงานส่วนผมก็ไปโรงเรียน พอกลับไปถึงบ้านผมก็จะเจอพี่กำลังยุ่งวุ่นวายอะไรซักอย่างอยู่ในครัว แล้วผมก็จะโดนไล่ให้ขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนลงมากินข้าวเย็น พี่ชอบกินปลาเหมือนผมอาหารทุกมื้อเลยมักมีปลา แต่ปลาที่ผมกินที่บ้านมันไม่เหมือนกันที่โรงเรียนเพราะมันไม่มีก้างเลยซักนิด พอกินข้าวเสร็จพี่ก็จะเข้ามาสอนการบ้านให้ผม ก่อนจะไล่ผมที่นั่งดูโทรทัศน์ไปนอนเมื่อได้เวลา ที่ห้องผมมีหนังสือนิทานเต็มไปหมดจนไม่มีที่จะเก็บ เมื่อก่อนพี่จะเล่านิทานให้ผมฟังทุกคืน.....

          ผมหยุดอ่านน้ำตาเริ่มไหลออกมาเมื่อถึงถึงเรื่องนี้ เมื่อก่อนพี่จะเข้ามาอ่านนิทานให้ผมฟังทุกคืน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เพราะผมเผลอบอกไปว่าเบื่อไม่อยากฟังแล้ว ทั้งๆที่จริงๆผมไม่เคยเบื่อเลย ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วอ่านต่อ

          เมื่อก่อนพี่จะเล่านิทานให้ผมฟังทุกคืน ผมชอบฟังนิทานที่พี่เล่าที่สุด ตอนวันหยุดถ้าพี่ชายผมว่างพี่จะพาผมไปเที่ยวที่ต่างๆทุกครั้ง ผมเคยขอให้พี่พาไปเที่ยวที่โรงพยาบาลแต่พี่ผมไม่ยอมพาไป พี่ชายชอบขัดใจผมเป็นประจำ บางครั้งก็แกล้งจนผมร้องไห้ บางทีพี่ชายก็ตีผมเมื่อผมทำผิด แต่ยังไงผมก็รักพี่ชายผมที่สุดในโลก......

          อ่านจบผมก็รีบหันหลังกลับลงมาจากเวที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพี่ชายผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆผมที่เคยว่างเปล่า พร้อมกับยิ้มให้ผม

      “พี่มาได้ยังไงครับ” ผมรีบเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้า

      “พี่ก็มาทุกปีแหละ....”

          ไม่จริงแน่ๆ ผมไม่เห็นเคยเห็นพี่ชายผมมาที่โรงเรียนเลยยกเว้นวันประชุมผู้ปกครองที่จำเป็นต้องมาจริงๆ พี่ชายผมเคยบอกว่าไม่ค่อยชอบมาโรงเรียนผมซักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเอาพี่ชายมาโกหกเพื่อนๆว่าเป็นพ่อไหม

      “....ไม่ต้องมองแบบนั้นพี่มาจริงๆ แต่แอบๆมาไม่ให้เด็กแถวนี้รู้”

          ผมก้นหน้าเดินลงไปนั่งข้างๆพี่ชาย มองไปที่เพื่อนๆก็เห็นเขานั่งคู่กับแม่กันทุกคน ส่วนผม...

      “ทำไมพี่ต้องแอบมาด้วยครับ” ผมถามเสียงเบา มันไม่มีวันพี่แห่งชาตินี้หน่า

      “ถ้าไม่มาจะได้ฟังอะไรแบบเมื่อกี้เหรอ”

          ผมหันขวับไปมองหน้าพี่ชายไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกมาแต่พี่ผมขำยกใหญ่

      “วันนี้ก่อนนอนเดี๋ยวพี่เล่านิทานให้ฟังแล้วกัน....” ผมพยักหน้าแล้วหันไปรอฟังว่าพี่ชายผมจะพูดอะไรต่อ “...ความจริงพี่รู้สึกอายๆเหมือนกันนะที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ แต่ในเมื่อคียังกล้าเอาเรียงความฉบับเรื่องจริงไปอ่าน พี่ก็จะลองพูดอะไรที่ไม่เคยพูดบ้างก็แล้วกัน....”

      “พี่รู้...” ผมเอ่ยขัดเสียงเบา พี่ชายผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเรียงความของผมมีสองฉบับ

      “พี่เป็นหมอนะรู้ทุกเรื่องแหละ อย่าพึ่งขัดซิเดี๋ยวลืมว่าจะพูดอะไร...” พี่ผมก็ชอบเอาอาชีพตัวเองมาอวดแบบนี้ประจำ ผมถึงได้อยากเป็นไง

      “...พี่ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณมาก.....”

          ขอโทษ...ขอบคุณ...
          พี่ผมขอโทษเรื่องอะไรแล้วขอบคุณผมเรื่องอะไร ผมไม่เห็นเข้าใจเลยซักนิด แต่ผมก็รู้สึกดีใจ ไม่ใช่หรอก..ผมไม่ได้ดีกับคำพูดเข้าใจยากแบบนั้น แต่ผมดีใจที่ได้เห็นพี่ยิ้มชัดๆแบบนี้ รอยยิ้มที่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ผมยังเด็กกว่านี้ รอยยิ้มที่ผมก็เห็นมันอยู่ทุกวันแต่กลับไม่เคยสนใจเลย

          ผมจ้องหน้าพี่ชายนิ่งรอฟังว่าพี่ชายผมจะพูดอะไรต่อ บางทีพี่เขาอาจะพูดอะไรซึ้งๆแบบที่แม่ในโทรทัศน์พูดบางก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นผมต้องกอดพี่ชายแน่นๆด้วยหรือเปล่า

      “มองอะไร จบแล้ว แค่นี้แหละ หมดเรื่องพูด”

          ผมจ้องหน้าพี่ชายกระพริบตาปริบๆ พี่ผมพูดแค่นี้เนี้ยนะ ไม่เห็นจะซึ้งเลยซักนิด ผมก้มลงอ่านเรียงความของตัวเองในมืออย่างไม่มีอะไรทำ ภาพเหตุการณ์ต่างๆระหว่างผมกับพี่ชายฉายเข้ามาในหัว ภาพเพื่อนๆคนอื่นนั่งคู่กับแม่ซ้อนทับกับภาพผมนั่งอยู่กับพี่ชาย

          ผมหันไปจ้องหน้าพี่ชายอีกครั้ง พี่ชายก็จ้องมองหน้าผม พี่ชายผมไม่เคยเปลี่ยนไปเลยซักนิด แต่เป็นผมเองที่เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่า เพื่อนๆผมบอกรักแม่ในวันแม่ แล้วผมที่ไม่มีแม่ที่มานั่งข้างๆล่ะ

      “ผมรักพี่นะครับ”

      “ก็บอกไปแล้วในท้ายเรียงความไม่ใช่เหรอ จะมาบอกซ้ำทำไม” ผมก้มหน้างุด ไม่อยากเถียงวันนี้ผมจะลองเป็นเด็กดีไม่ถียงพี่ชายซักหนึ่งวัน มันก็จริงที่ผมเขียนไว้ในเรียงความแล้ว แต่ผมก็แค่อยากพูดแบบคนอื่นเขาบ้างก็แค่นั้นเอง

      “อยากให้พี่บอกว่ารักไหม”

          ผมส่ายหัวไปเบามาแทนคำตอบ ไม่ใช่ไม่อยากนะ แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยากให้พี่บอกรักหรือเปล่า

      “แล้วรู้ไหมว่าพี่รักคีมาก”

          ผมพยักหน้าเบาแทนคำตอบ ทำไมเรื่องแค่นี้ผมจะไม่รู้

      เอ๋...เมื่อกี้พี่ชายบอกว่า...

          ผมหันขวับไปมองหน้าพี่ชายอีกครั้ง พี่ชายผมนั่งส่งยิ้มกลับมาให้ผมก่อนจะใช้มือลูบหัวผมไปมาเบาๆ ผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ วันแม่ปีนี้ผมก็ยังคงไม่มีแม่ที่เป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมเกิดมาเหมือนกับเพื่อนๆในห้อง บางทีปีนี้ตลอดทั้งปีผมคงโดนล้อเรื่องนี้แน่ๆ แต่ช่างมันเถอะ....

          ถ้าเป็น “แม่” ที่หมายถึงคนที่ค่อยอยู่ข้างๆผมไม่ว่าเมื่อไหร่ คนที่รักผมไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าผมจะดื้อขนาดไหน คนที่ยิ้มให้ผมเสมอแม้ว่าผมจะไม่เคยใส่ใจ คนที่ปลอบผมเสมอเวลาร้องไห้...ผมมีอยู่กับเขาคนหนึ่งเหมือนกัน...

          ถึงโดนล้อผมก็มีคนค่อยปลอบอยู่แล้วจะไปกลัวทำไม....


      จบ.

      “พี่รู้ไหมครับว่าวิตามินซีมันแก้ปวดหัวไม่ได้นะครับ”
      “รู้ได้ไงว่าวิตามินซี”
      “พี่ติดฉลากไว้ข้างซอง ผมรู้ตั้งแต่อ่านหนังสือออกแล้วครับ”
      “แล้วคีรู้ไหมว่าเด็กแกล้งป่วยกินยาไม่ได้”
      “พี่รู้...”
      “พี่เป็นใคร นี้หมอนะ....”

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×