[WFcontest] ปฏิบัติการตามล่า...วัตถุดิบ
หนึ่งเด็กชายผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นพ่อครัว กับอีกหนึ่งนักล่าฝีมือดีผู้ใฝ่หาพลัง โชคชะตาของทั้งคู่มาบรรจบกันที่สำนักงานนักล่าในเมืองเล็ก การว่าจ้างตามหาวัตถุดิบ 3 อย่างเพื่อนำมาทำอาหาร 1 อย่าง แลกกับไข่มุกดำเม็ดเล็กๆ ที่ซ่อนพลังอันยากที่จะหยั่งถึง...
ผู้เข้าชมรวม
233
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
แผนที่...นั้นคือสิ่งจำเป็นที่ควรจะมีติดตัวไว้สักฉบับเวลาเข้าไปในสถานที่ๆ ไม่คุ้นเคย
และเพราะเด็กชายไม่มีของแบบนั้นเขาเลยกำลังตกที่นั่งลำบาก ยังดีที่เด็กชายพอจะมีไหวพริบอยู่บ้าง ไม่เช่นนั้นเห็นทีคงต้องเดินวนรอบเมืองสักหลายๆ รอบกว่าจะเจอกับสำนักงานของนักล่าประจำเมืองที่ได้ยินมาว่ามันค่อนข้างจะคล้ายกับสถานที่ทำการของเมืองอย่างยากที่จะแยก
“ขอโทษนะฮะ พี่ชายพอจะรู้ทางไปสำนักงานนักล่าไหมฮะ”
เสียงใสเอ่ยขึ้นจากปากเด็กชายวัยย่างสิบสองปี ใบหน้าเล็กเงยขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองหน้าคู่สนทนาที่มีส่วนสูงมากกว่าเขาพอควร ดวงตาสีฟ้าอ่อนทอประกายสดใสน่ามอง เช่นเดียวกับเส้นผมสีฟ้าอ่อนที่ขยับเล็กน้อยไหวไปตามกระแสลมแผ่วเบา
เพน ไฮวิน คือชื่อของเด็กชายตัวน้อยที่กำลังหลงทาง ความจริงมันก็น่าอายอยู่เล็กน้อยที่เขาเป็นคนของเมืองนี้โดยกำเนิดแท้ๆ แต่กลับพึ่งจะได้เข้ามาในเมืองของตัวเองครั้งแรกก็วันนี้ หมู่บ้านของเขาอยู่ไกลออกไปจากเมืองไม่มากนักแต่ถูกกางกั้นด้วยพื้นป่าใหญ่
เพนจดจำคำบอกทางโดยละเอียดก่อนกล่าวขอบคุณและก้มหัวให้เล็กน้อยอย่างมีมารยาท เด็กชายตัดสินใจเดินเลียบตามแนวร้านค้าไป แต่ถึงทำแบบนั้นเขาก็ยังต้องคอยเดินหลบผู้คนตัวโตไปมาซึ่งเป็นอุปสรรคให้ไม่น้อยทีเดียว กว่าจะมาถึงจุดหมายปลายทาง มันก็เกือบจะปิดทำการเสียแล้ว
“ทันทีเถอะ”
เด็กชายรีบวิ่งเข้าด้านในอย่างรีบร้อนจนลืมกล่าวขอบคุณผู้ที่เปิดประตูให้เขาด้วยซ้ำ ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ไม้ที่มีความยาวไปจนสุดห้อง ด้วยความสูงของเขาทำให้มีแค่ส่วนหัวเท่านั้นที่โผล่พ้นขอบเคาน์เตอร์ แต่แค่นั้นก็พอแล้วที่จะทำให้เด็กชายรู้ว่าด้านหลังมีคนอยู่
“ขอโทษนะฮะ ผมมาขอความช่วยเหลือ”
หญิงสาวด้านหลังเคาน์เตอร์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาอยู่ ละสายตาหันมามองตามเสียงเรียก แวบแรกเธอมีสีหน้าแปลกใจเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็ก แต่พอนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จากสีหน้าแปลกใจก็เปลี่ยนเป็นความเห็นใจ
“หลงทางกับพ่อแม่เหรอครับตัวเล็ก”
ก็มีบ่อยๆ เหมือนกันที่เด็กหลงทางคิดว่าที่นี่เป็นสำนักงานของเมืองเลยเข้ามาขอความช่วยเหลือ ทั้งๆที่ป้ายด้านหน้าก็เขียนชื่อไว้ชัดเจนแล้วแท้ๆ แต่ก็อย่างว่าบางทีเด็กๆ ก็ไม่ค่อยสนใจอ่านกันนัก ซึ่งทุกครั้งเธอก็จะให้คุณฟลานช่วยพาไปส่งที่สำนักงานของเมือง
ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นแบบนั้น
เพนยิ้มเจื่อนถึงเขาจะหลงทางจริงๆ ตอนจะมาที่นี่ก็เถอะ แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพราะเรื่องนั้นเสียหน่อย สงสัยเขาคงใช้คำพูดผิดไปเล็กน้อย เขาเคยอ่านเจอในหนังสือ มันต้องใช้คำว่า...
“หมายถึงผมจะมามอบภารกิจฮะ”
“มอบภารกิจ....” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงฉงน ก่อนจะขอคำอธิบายเพิ่มเติมจากเด็กชายตรงหน้า จึงได้รู้ว่าที่เด็กชายต้องการไม่ใช่การมอบภารกิจ แต่เป็นการว่าจ้าง สิ่งที่เด็กชายต้องการจริงๆ อาจพอจะเขียนเป็นใบภารกิจให้นักล่ามารับไปได้ แต่ข้อกำหนดที่ต้องพาเจ้าตัวไปด้วยทำให้ภารกิจนี้กลายเป็นการว่าจ้างคุ้มกัน
ข้อแตกต่างสำคัญของการมอบภารกิจกับการว่าจ้างอยู่ที่ระยะเวลา ตัวนักล่า และความเป็นอิสระของงาน ซึ่งเป็นหน้าที่ของเธอที่จะวิเคราะห์คำร้องขอเพื่อจำแนกว่ามันเป็นภารกิจหรือการว่าจ้าง
“ค่าจ้างของการว่าจ้างคุ้มกันจะสูงกว่าค่าจ้างของการมอบภารกิจเยอะเลยนะ พี่ว่าเอางี้ไหมมอบภารกิจตามหาวัตถุดิบพวกนั้นไว้ พี่ว่าอีก....”
“แพงขนาดไหนฮะ” เพนถามขัดขึ้นก่อน เด็กชายอยู่ในครอบครัวฐานะปานกลางจึงไม่ได้มีเงินเหลือกินเหลือใช้ เขามีเงินติดตัวมาเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าเป็นเงินเขาคงไม่มีจ่าย แต่เขามีบางอย่างที่ลุงหัวหน้าหมู่บ้านบอกว่าใช้จ่ายแทนค่าจ้างได้แน่นอน
“อันนี้ต้องแล้วแต่ตกลงกับนักล่า แต่น่าจะไม่น้อยกว่าห้าร้อยเหรียญทอง แพงใช่เล่นเลยนะ” หญิงสาวบอกไปตามความจริงจากประสบการณ์ทำงาน ความจริงราคาอาจจะสูงกว่านี้เล็กน้อยด้วยซ้ำ เทียบกันแล้วถ้าเด็กชายใช้วิธีมอบภารกิจมันจะถูกกว่านี้มากเพราะสิ่งที่เด็กชายต้องการก็ไม่ใช่ของหายากอะไร
เพนคิดหนักกับจำนวนเงินที่ได้ยิน เขาได้ค่าขนมจากพ่อและแม่แค่วันละ 5 เหรียญเงินเท่านั้น ถ้าจะต้องเก็บเงินห้าร้อยเหรียญทอง เขาก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ชาติกันกว่าจะครบ มันไม่ใช่จำนวนเงินที่เด็กชายคิดว่าตัวเองจะหาได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นซัก 5 เหรียญทองก็ว่าไปอย่าง
“ใช้นี่จ่ายแทนได้ไหมฮะ”
พูดจบเพนก็หยิบไข่มุกสีดำเม็ดเล็กออกมาจากกระเป๋า ก่อนส่งให้พี่สาวตรงหน้าดู เขาว่ามันก็ดูสวยดี สีดำเงาวับ แถมต่อให้เอาค้อนทุบก็ไม่แตก บางทีอาจจะมีคนอยากได้มันแทนเงิน 500 เหรียญทองก็ได้...หวังว่าคงมีนะ
“ซิสนายออกมานี้หน่อยได้ไหม ฉันขอเวลาห้านาที” หญิงสาวที่รับไข่มุกสีดำไปหันไปตะโกนเรียกนักล่าเพียงคนเดียวในตอนนี้ที่อยู่ประจำสำนักงาน ไม่นานเพื่อนร่วมงานของเธอก็เดินออกมา
ชายหนุ่มวัยยี่สิบปลายๆ เส้นผมสีดำเงายุ่งไม่เป็นทรง เดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แต่พอเห็นไข่มุกสีดำในมือของหญิงสาวจากสีหน้าไม่สบอารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นสีหน้าตระหนก ดวงตาสีรัตติกาลจ้องไข่มุกตรงหน้าตาไม่กระพริบ
“เธอไปเอามันมาจากไหน” ซิสเอ่ยถามขึ้นทันที เจ้าตัวรีบเดินตรงมาหยิบไข่มุกสีดำไปดูให้แน่ใจว่าเขามองไม่ผิด เขาจ้องเข้าไปด้านในไข่มุกดำตรงหน้าด้วยแววตาที่แสดงออกถึงความอยากได้อย่างไม่ปกปิด ขณะเดียวกันก็ฟังคำเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดของเพื่อนร่วมงานไปด้วย
“ฉันตกลงรับงานนี้ ว่าแต่ผู้ว่าจ้างหายไปไหนแล้ว” ซิสถามขึ้นเมื่อหันไปดูแล้วไม่พบผู้ว่าจ้างที่ควรจะโผล่อยู่แถวๆ หน้าเคาน์เตอร์ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าเด็กที่ไหนกันถึงมีของแบบนี้
“ก็...เอ๋ หายไปไหนซะแล้ว” หญิงสาวหันไปชี้ให้ดูแต่ก็พบว่าผู้ว่าจ้างตัวน้อยได้หายแวบไปเสียแล้ว พอลองมองหาดีๆ เธอก็เห็นเส้นผมสีฟ้าโผล่เลยขอบเคาน์เตอร์มาเล็กน้อยเลยลองชะโงกหน้าออกไปดู ก็พบว่าผู้ว่าจ้างของเธอย่อตัวหลบอยู่ เธอเลยหันไปชี้นิ้วบอกตำแหน่งให้ซิสเดินมาดูเอง
“ผมสีฟ้า?” ซิสเอ่ยขึ้นหลังจากเห็นเส้นผมสีฟ้าอ่อนของผู้ว่าจ้าง มันทำให้เขาคิดถึงใครบางคนขึ้นมาตงิดๆ แต่คงจะไม่ใช่หรอกน่า เจ้าเด็กตัวแสบนั้นจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง พอคิดถึงแล้วก็อดโมโหไม่ได้ อย่าให้เขาเจออีกครั้งนะ พ่อจะจับตีให้ก้นลายเชียว ชายหนุ่มต้องสะบัดหัวไล่ความคิดที่ลอยไปไกลเกินควร ก่อนจะยิ้มการค้าได้อย่างอ่อนโยนและเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ
“ลุกขึ้นก่อนเถอะครับ เราจะได้คุยรายละเอียดของงานกัน ผมซิส โนแวน เป็นนักล่าที่ประจำอยู่ที่นี่ครับ”
เพนลังเลเล็กน้อย ค่อยๆเงยหน้าขึ้นสบตาปิ้งๆ กับดวงตาสีรัตติกาลของอีกฝ่าย ก่อนส่งยิ้มเจื่อนๆ ไปให้อย่างเป็นมิตร
“ส...สวัสดีตอนเย็นๆฮะ”
ซิสที่ได้เห็นใบหน้าของผู้ว่าจ้างชัดเจน ค่อยๆ หุบยิ้มการค้าลงช้าๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นกัดฟันแน่นพร้อมกับส่งเสียงเบาๆ ออกมาโดยไม่ขยับปาก
“เจ้าเด็กตัวแสบ...”
อยู่ๆ มือของชายหนุ่มก็ยกขึ้นสูงเหนือกลุ่มผมสีฟ้าอย่างลืมตัว เตรียมพร้อมที่จะเขกสั่งสอนเด็กชายตรงหน้าให้หายแค้น แต่พอนึกได้ถึงสิ่งที่กำอยู่ในมือ เขาก็ระงับอารมณ์ดึงมือกับมาไว้ข้างตัว ก่อนจะยิ้มอีกครั้งอย่าเสแสร้ง
“เคยเจอกันแบบนี้ก็คุยกันง่ายหน่อย เอาเป็นว่าฉันรับงานนี้ตกลงไหม”
“ม...ไม่ตกลงได้ไหมฮะ” เพนลองถามดู บางทีถ้าเขารอพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่อาจจะดีกว่า แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้างได้อย่างน่าขนลุกเด็กชายก็ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ
คงไม่ได้สินะ
“งั้นเราคงต้องเข้าไปเจรจาธุรกิจกันหลังร้านหน่อยแล้วล่ะ”
“ต..ตกลงก็ได้ฮะ”
เมื่อการเจรจาเป็นไปด้วยดีซิสก็ยิ้มกว้างก่อนจะวางมือไว้บนหัวของเพนและหันไปพูดกับเพื่อนร่วมงานของเขา
“ได้ยินแล้วนะ ผู้ว่าจ้างตกลงจ้างฉันแล้ว ฝากจัดการเรื่องเอกสารด้วย ฉันขอตัวพาผู้ว่าจ้างไปเตรียมตัวเดินทางก่อน”
“นักล่าเขาห้ามทำร้ายร่างกายผู้ว่าจ้างใช่ไหมฮะ” เพนหันไปถามพี่สาวพนักงานอย่างรีบร้อน เขาเหมือนจะเคยอ่านเจอกฎข้อนี้จากในหนังสือ เขาถามพี่สาวท่าทางใจดีแต่กลับได้คำตอบจากอีกคนแทน
“ประมาณนั้นแหละ ถ้าฉันทำร้ายนาย นายก็มาร้องเรียนที่นี่ได้เลย ถ้าทำผิดจริงฉันก็อาจถูกริบใบอนุญาต....”
เพนยิ้มน้อยๆกับคำตอบที่ได้รับ รู้สึกอุ่นใจขึ้นที่อีกฝ่ายทำอะไรเขาในฐานะผู้ว่าจ้างไม่ได้ แต่แล้วรอบยิ้มก็ต้องหุบลงกับประโยคต่อมา
“ถ้านายรอดกลับมาร้องเรียนได้นะ ไปกันได้แล้วฉันไม่อยากเสียเวลา” ซิสไม่ได้พูดเปล่าจัดการลากคอเสื้อเพนจากด้านหลังออกนอกสำนักงานไปโดยไม่ถามความสมัครใจของเด็กชายซักคำ
“อย่าลากแบบนี้สิฮะ”
“เราต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งเดือน นายไปเตรียมซื้อของใช้ที่จำเป็นแล้วกลับมาเจอกันที่นี่ในอีกสามชั่วโมง ห้ามสายแม้แต่นาทีเดียว ส่วนค่าจ้างฉันจะยึดไว้ก่อนกันนายเบี้ยว ตกลงตามนี้อีกสามชั่วโมงเจอกัน” ซิสอธิบายพร้อมสรุปสิ่งที่ผู้ว่าจ้างของเขาต้องทำ พูดจบก็เตรียมจะเดินกลับไปยังที่พักเพื่อจัดเตรียมของสำหรับเดินทาง
“เดี๋ยวก่อนฮะ...” เพนรีบถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินหนีไป “เออ...แล้วผมต้องซื้ออะไรบ้างเหรอฮะ”
เด็กชายพึ่งเคยจะออกจากบ้านครั้งแรกแล้วเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง
“นายคิดว่าเดินทางหนึ่งเดือนต้องใช้อะไรบ้างล่ะ” ซิสย้อนถาม เจ้าเด็กแสบที่สามารถสร้างกับดักร้ายกาจทำให้เขาเสียท่าได้อย่างน่าอับอาย คงไม่ได้ฉลาดน้อยขนาดไม่รู้ว่าอะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางหรอกนะ
“เออ...” เพนเอ่ยขึ้นก่อนเว้นช่วงไปเพราะกำลังคิดหาคำตอบเหมาะๆ อะไรกันนะที่จำเป็นที่สุดสำหรับการเดินทาง และในที่สุดเขาก็คิดออก ถึงจะไม่มั่นใจนักก็เถอะ “...อาหารเหรอฮะ”
ซิสแทบอยากยกมือกุมขมับ ไอ้อาหารมันก็จำเป็นอยู่หรอกแต่ถึงไม่พกไปมันก็ไม่ทำให้อดตาย ตราบใดที่ป่าทั้งป่ายังมีสัตว์ให้ล่า มีผลไม้ให้เก็บกิน นอกจากคาราวานเดินทางใหญ่ๆ แล้ว นักเดินทางส่วนใหญ่ไม่พกพวกมันไปให้เป็นภาระหรอก อีกอย่างถ้านักล่าอย่างเขาต้องพกอาหารสำหรับเดินทางเขาเปลี่ยนอาชีพเป็นพ่อค้าไม่ดีกว่าเหรอ...
ในที่สุดซิสก็ต้องจำใจพาเพนเดินหาซื้อของที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง ตอนแรกคิดจะให้เพนเป็นคนออกเงินซื้อให้เขาด้วยซะเลยเป็นค่าจ้างในการให้ช่วยเดินซื้อของ แต่ที่ไหนได้เพนดันมีเงินติดตัวมาแค่ 5 เหรียญทอง ซึ่งมันหมดไปกับกระเป๋าเวทมนตร์มือสองตั้งแต่ร้านแรกแล้ว ที่เหลือเลยเป็นซิสที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายแทน คิดแล้วมันน่าปวดหัวไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับชายหนุ่ม
ถ้าไม่ติดว่ารับงานมาแล้ว กับค่าจ้างเป็นไข่มุกเม็ดนั้นนะ เขาจะจับเพนไปส่งสำนักงานของเมืองให้เป็นเด็กหลงทางไปซะเลย
“ขอบคุณนะฮะ ที่ซื้อของให้ผมเยอะแยะเลย” เพนพูดขึ้นหลังจากสำรวจของในกระเป๋า กระเป๋าของเด็กชายเป็นสีน้ำตาลที่มีสายหนังสีเดียวกันหนึ่งเส้นสำหรับพาดไหล่ ความจริงมันยาวจนระดินแต่คนขายได้ปรับมันให้มีขนาดพอดีแล้ว เด็กชายอดทึ่งในความสามารถของมันไม่ได้จริงๆ ใบก็นิดเดียวแต่ใส่ของตั้งมากมาย แถมยังรู้สึกหนักแค่เล็กน้อยเท่านั้น
ซิสเหลือบตาไปมองเจ้าเด็กแสบที่กำลังสนอกสนใจกระเป๋าเวทมนตร์อย่างกับมันเป็นสิ่งมหัศจรรย์จากต่างมิติ
“เราต้องเดินทางพรุ่งนี้เช้า” ชายหนุ่มเอ่ยถึงกำหนดการที่เขาคิดไว้ในระหว่างเดินซื้อของ ที่เขาพูดขึ้นมันเป็นแค่ประโยคบอกเล่าที่บอกให้ผู้ว่าจ้างเขาทำใจไว้เฉยๆ ไม่ได้ขอความคิดเห็นแต่อย่างใด และถึงผู้ว่าจ้างเขาจะไม่อยากไปในวันพรุ่งนี้ เขาก็จะลากไปอยู่ดี
“ทำไมต้องรีบขนาดนั้นล่ะฮะ” เพนที่เลิกสนใจกระเป๋าใบใหม่ของตนแล้วหันกลับมามองหน้าคู่สนทนา ไม่ใช่จะขัดหรือมีปัญหาอะไร แต่เด็กชายก็แค่อยากรู้เท่านั้น
“เรือที่เดินทางไปเมืองท่าทางเหนือจะเทียบท่าพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายแล้ว ถ้าไม่รีบนายจะต้องรอไปอีกสองอาทิตย์ ซึ่งถ้ารอนานขนาดนั้นเราจะไปไม่ทันงานประลองของเมืองทอเมอร์”
“แล้วทำไมเราต้องไปงานประลองอะไรนั้นด้วยล่ะฮะ” เพนยังคงถามต่ออย่างอยากรู้
ซิสหันกลับไปทำตาดุใส่เจ้าหนูจำไมที่ถามนั้นนี่ไม่หยุด ทำเอาคนถามยิ้มเจื่อนๆ
“วัตถุดิบสุดท้ายที่นายอยากได้เป็นรางวัลสำหรับผู้ชนะงานประลองประจำปีของที่นั่น”
และแล้ววันเดินทางก็มาถึง ซิสต้องปลุกเจ้าเด็กแสบที่เมื่อคืนเขาให้มาอาศัยนอนด้วยแต่เช้าตรู่ ทั้งๆ ที่เขาจำได้ว่าเมื่อคืนให้เพนนอนบนพื้น แต่ไหงตื่นมาดันมาโผล่อยู่บนเตียงเขาได้อย่างน่าฆ่าทิ้งเป็นที่สุดก็ไม่รู้ แถมยังตื่นมาอรุณสวัสดิ์แบบง่วงๆ มึนๆ อีก เขาเลยจัดการเขกหัวปลุกไปหนึ่งที
แน่นอนว่าทั้งค่าอาหารเช้าและค่าโดยสารเรือเขาต้องเป็นคนออกทั้งหมด สรุปแล้วเพนเป็นผู้ว่าจ้างที่เป็นภาระที่สุดตั้งแต่เขาได้ใบอนุญาตนักล่ามาเลย งานนี้รู้สึกได้เลยว่าเงินในกระเป๋าเขาคงหมดไม่ใช่น้อย ทั้งๆ ที่มันควรจะเพิ่มมากขึ้นเพราะเขามาทำงาน
ตอนนี้ซิสก็ออกเดินทางจากเมืองมาได้ร่วมชั่วโมงแล้ว คาดว่าอีกไม่เกินสามชั่วโมงเรือที่เขาโดยสารก็คงเดินทางถึงท่าเรือแดนเหนือ ความจริงตอนที่เขาเห็นชื่อวัตถุดิบชนิดแรก ก็ตั้งใจไว้ว่าพอถึงท่าเรือน่าจะหาซื้อได้จากตลาดในเมือง แต่พอรู้ว่าเพนมีเงินติดตัวมาแค่ 5 เหรียญทองแถมยังหมดแล้วด้วย ก็เลยจำใจต้องเปลี่ยนแผนเป็นเข้าไปเก็บเองเพื่อประหยัดเงินในกระเป๋า ชายหนุ่มที่ว่างงานหยิบเอาไข่มุกสีดำขึ้นมามองดูอีกครั้ง
ไข่มุกดำวัตถุดิบระดับกลางที่มีราคาสูงถึงประมาณ 300 เหรียญทอง หรืออาจสูงขึ้นไปถึง 500 เหรียญทองในฤดูมรสุม ปกติมักนำไปทำเครื่องประดับมากกว่าอาหาร แต่ก็มีพ่อครัวระดับสูงหลายคนที่สามารถปรุงมันออกมาได้อย่างเลิศรส
ในฐานะนักล่าเขาไม่ได้สนใจทั้งความสวยงามและรสชาติของมัน แต่ที่เขาสนใจคือคุณสมบัติของไข่มุกดำที่สามารถกักเก็บพลังเวทไว้ด้านในได้เป็นจำนวนมากมายมหาศาลขัดกับรูปร่างภายนอกของมันลิบลับ จนหลายคนที่พยายามลองใส่พลังเวทเข้าไปต่างพากันบอกว่ามัน “ไม่มีวันเต็ม” และเพราะคุณสมบัติเป็นตัวเก็บกักพลังเวทชั้นดี มันจึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของอุปกรณ์เวทระดับสูงหลายชิ้นของนักล่า
แต่คำว่า “ไม่มีวันเต็ม” เห็นจะผิดเสียแล้วเพราะไข่มุกในมือเขามีพลังเวทอัดแน่นอยู่อย่างเต็มเปี่ยมจนน่ากลัว เขารู้สึกได้ถึงพลังเวทบริสุทธิ์มากมายที่หลับใหลอยู่ในไข่มุกเม็ดนี้ มหาศาลชนิดที่ว่านับตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเห็นคนหรือสิ่งของชิ้นใดมีพลังเวทอยู่ภายในมากขนาดนี้มาก่อน ถ้าเขามีพลังเวทขนาดนี้บางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่เขาต้องการสำเร็จก็เป็นได้ นี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่เขายอมรับงานนี้ทันที และอีกเหตุผลหนึ่งคือเขาต้องขอร้องให้คนที่สร้างมันช่วยบางเรื่อง และกุญแจที่จะตามหาตัวผู้ใส่พลังเวทเข้าไปในไข่มุกดำก็กำลังนั่งลูบๆ คลำๆ กระเป๋าเวทอยู่ไม่ไกล
“นี่นายยังไม่เลิกสนใจเจ้ากระเป๋าเวทมนตร์นั้นอีกเหรอ” ซิสเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าเพนยังคงเอาแต่ลูบๆ คลำๆ กระเป๋าเวทมนตร์เกรดต่ำราวกับของมีค่า ของแบบนั้นเขาก็มีเช่นกันแต่มันเกรดดีกว่ากันเยอะ จุของได้เยอะกว่าแถมยังลดน้ำหนักได้มากกว่ากันนับสิบเท่า แถมยังมีระบบป้องกันไม่ให้คนอื่นมาใช้งานได้อีกด้วย แน่นอนว่าราคามันก็ต่างกันลิบลับ
“ก็มันน่าสนใจนี่ฮะ กระเป๋าใบนิดเดียวแต่ใส่ของได้ตั้งเยอะ แถมยังเบาอีกต่างหาก” เพนจ้องมองกระเป๋าในมือตาเป็นประกาย มันดูน่าทึ่งเหลือเกินในความคิดของเด็กชาย
“ถ้าอยากรู้ว่ามันทำงานยังไงนายต้องลองไปถามพวกจอมเวทดู” ซิสพูดแบบขอไปที เขาก็พอรู้ขั้นตอนการทำงานของมันบ้างเล็กน้อยเพราะมีเพื่อนที่เป็นจอมเวท แต่ป่วยการที่จะไปอธิบายให้เด็กตัวเล็กๆ ฟัง บางทีเขายังไม่รู้เลยว่าจะเอาไอ้สิ่งที่รู้มาไปทำประโยชน์อะไรได้
“ก็มันน่าสนใจนี้ฮะ”
“เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะ ฉันอยากรู้ว่านายไปเอาไข่มุกนี้มาจากไหน” ซิสเอ่ยถามถึงสิ่งที่อยากรู้ เขาเดาไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กแบบเพนไปเอาไอ้ของที่ไม่ควรมีอยู่บนโลกนี้มาจากไหน
“ได้มาจากในกล่องของขวัญวันเกิดตอนสิบขวบฮะ” เพนตอบโดยที่ยังไม่เลิกลูบๆ คลำๆ กระเป๋าของตัวเองอย่างทะนุถนอม
“ใครเป็นคนให้” ซิสรีบถามต่อ ใครกันที่ให้ของแบบนี้เป็นของขวัญวันเกิดกับเด็กอายุแค่สิบขวบ แล้วเด็กอายุแค่นั้นจะเอาขุมพลังเวทมหาศาลขนาดนี้ไปทำอะไรได้
“ไม่รู้ฮะ มันส่งมาจากที่อื่นแถมไม่ระบุผู้ส่งอีกต่างหาก” เพนที่เลิกสนใจกระเป๋าหันมาตอบคำถามของซิสอย่างจริงจัง เด็กชายจำได้ว่าตอนเขาได้มาทีแรกมันเป็นกล่องใบเล็กๆ สีฟ้าอ่อน พอเปิดไปด้านในก็เจอไข่มุกเม็ดนี้อยู่ ข้างๆ กันนั้นก็มีคำอวยพรวันเกิดอยู่
“ไข่มุกนั่นมันแพงมากเลยเหรอฮะ”
“...” ซิสนิ่งเงียบไม่ตอบคำถาม ค่าของมันมากพอที่เขาจะแลกทุกสิ่งเพื่อให้ได้มา ขอไว้เพียงชีวิตเพื่อทำบางอย่าง
“ก็น่าจะแพงนะฮะ สีมันก็สวยดี แถมผมเคยลองเอาค้อนทุบดูแล้วมันแข็งมากๆ เลยแหละฮะ” เมื่อเห็นว่าซิสเงียบไปเด็กชายเลยสรุปมันเอาเองเสียเลย
ซิสที่กำลังจมอยู่ในห่วงความคิดราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็นจัดสะดุ้งตื่นจากภวัง หันขวับไปมองเพนที่นั่งยิ้มร่าอยู่ เมื่อกี้เขาได้ยินไม่ชัดเจ้าเด็กนี้ทำอะไรกับของในมือเขานะ
“เมื่อกี้นายพูดว่าเคยทำอะไรกับมันนะ”
“เอาค้อนทุบฮะ อ๋อ ผมเคยลองเอาไฟเผาดูด้วยนะฮะ” เด็กชายพูดอย่างนำเสนอความแข็งแรงทนทานของเจ้าไข่มุกสีดำเป็นที่สุด เลยโดนซิสเขกหัวไปหนึ่งทีด้วยความหมั่นไส้ที่เด็กชายกล้าทำกับของในมือเขาแบบนั้น ถ้ามันเกิดบุบสลายไปขึ้นมาใครจะรับผิดชอบกัน
วัตถุดิบอย่างแรกที่เด็กชายต้องการคือ ผลของต้นเยือกแข็ง ต้นไม้ที่มีแต่เฉพาะป่าทางเหนือเท่านั้น ผลไม้สีฟ้าใสราวแก้วที่รสชาติไม่หวานมากแต่ให้ความรู้สึกเย็นสบายเมื่อกลืนมันลงไป วัตถุดิบระดับต่ำที่เก็บได้ไม่ยากนัก เป็นผลไม้ขึ้นชื่อของแดนเหนือที่ร้านค้าแทบทุกร้านต้องมีวางขายเลยทีเดียว
เนื่องจากอยู่ใกล้เมืองจึงไม่มีสัตว์อสูรที่เป็นอันตรายมากนัก การเดินป่าของซิสและเพนจึงค่อนข้างราบรื่น โดยซิสไม่ต้องเหนื่อยแรงมากนัก จะมีก็แค่พวกหมาป่าหิมะที่ใช้แค่จิตสังหารก็ไล่ได้แล้ว ปัญหาสำหรับการเดินทางของซิสคงมีเพียงอย่างเดียวคือเพนที่ชอบวิ่งไปดูนั่นดูนี่จนเขาต้องคอยลากกลับมาเพราะกลัวจะหลงป่า
นี้ถ้าไม่เกรงใจเขาจะเขาโซ่มาล่ามไว้ให้ดู...
ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็เดินกันมาจนมาหยุดอยู่เขตบริเวณรอยต่อที่พื้นดินตรงหน้าถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งบางๆ ที่แช่แข็งพื้นดินเบื้องล่างเอาไว้ ใจกลางของพื้นน้ำแข็งมีเพียงต้นไม้น้ำแข็งสีฟ้าอ่อนที่ทอประกายระยิบอยู่อย่างโดดเด่น รอบๆ บริเวณพื้นน้ำแข็งมีรูปปั้นของสัตว์ป่าหลายๆชนิดให้เห็นอยู่ประปรายมองดูสวยงาม
“สวยจังเลยนะฮะ รูปปั้นพวกนั้นก็เหมือนจริงสุดๆ เลย” เพนอดที่จะชมความสวยงามของภาพที่เห็นเบื้องหน้าไม่ได้ ต้นไม้น้ำแข็งที่ทอประกายระยิบ ผลสีฟ้าของมันเมื่อต้องแสงตะวันก็สะท้อนออกมาเป็นประกายระยิบราวกับดวงดาวที่อยู่ไกลเกินกว่าจะไขว่คว้า รอบๆ บริเวณมีรูปปั้นน้ำแข็งของสัตว์ต่างๆ ที่เหมือนจริงซะจนอดชื่นชมคนแกะสลักไม่ได้
“ใครบอกนายว่าพวกนั้นเป็นรูปปั้น...” ซิสเอ่ยเสียงเรียบดวงตาสีดำเงาจับจ้องไปยังภาพตรงหน้า แต่หาได้เพื่อชื่นชมความสวยงามไม่ แต่กลับเป็นการประเมินเจ้าต้นไม้ตรงหน้า ต้นไม้แห่งความตายที่แช่แข็งทุกชีวิตที่คิดจะเก็บผลของมัน ในอดีตมีผู้คนมากมายที่ต้องสังเวยชีวิตเพราะต้องการผลของมัน “...พวกนั้นคือพวกสัตว์ที่คิดจะกินผลของต้นเยือกแข็ง นายอยากเป็นหนึ่งในนั้นไหมล่ะ”
เพนกลืนน้ำลายลงคออย่างลำบากจ้องมองรูปปั้นเหล่านั้นอีกครั้ง ก็พบว่าแต่ละตัวอยู่ในท่าทีหวาดกลัวอะไรบางอย่างด้วยกันทั้งนั้น บางตัวก็มีท่าทีเหมือนพยายามดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากความตาย เป็นภาพที่ชวนให้ขนลุกเสียจริง ถึงเด็กชายจะสงสารสัตว์พวกนั้นที่ต้องตาย แต่เขาก็ไม่คิดมีน้ำใจไปยืนแข็งเป็นเพื่อนพวกมันแน่นอน
แล้วไหนในหนังสือบอกว่าเก็บง่ายๆ ไง ไม่ว่าเด็กชายมองมุมไหนมันก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าง่ายเลยแม้แต่น้อย เพนหันไปมองหน้าซิสอย่างขอความช่วยเหลือ
ซิสถอนหายใจปลดกระเป๋าสะพายของตัวเองออกมาก่อนล่วงมือลงไปหยิบเอาลูกบอลกลมๆ ออกมาลูกหนึ่ง เขาบีบมันเบาๆ ก่อนปล่อยมือ มันก็ยังคงลอยอยู่ในระดับเดิมก่อนเปล่งแสงสีแดงออกมาก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเล็กน้อยปรากฏเป็นแขนเหล็กเล็กจิ๋วสองข้างโผล่ออกมา พร้อมกับผิวด้านหนึ่งที่เปิดออกเผยให้เห็นดวงตาโลหะขนาดใหญ่เกือบเท่าขนาดของลูกบอล
ด้านหน้าของชายหนุ่มคือหุ่นยนต์สำหรับเก็บวัตถุดิบ สิ่งประดิษฐ์เวทมนตร์ที่ทำให้วัตถุดิบมากมายถูกปรับลดละดับความยากลงอย่างมาก ไม่เว้นแม้แต่ต้นไม้แห่งความตายตรงหน้าที่ในปัจจุบันทำได้แค่ยืนต้นรอให้ผู้คนมากมายมาเก็บเกี่ยวผล
“นายจะเอากี่ลูก...” ซิสถามเสียงเบา แต่กลับไม่มีคำตอบจากผู้ว่าจ้าง ชายหนุ่มเลยต้องละสายตาไปดู ก็เห็นว่าเด็กชายกำลังจ้องมองหุ่นยนต์เก็บวัตถุดิบของเขาตาเป็นประกาย จนเขาต้องเอ่ยถามซ้ำด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“นายจะเอาผลเยือกแข็งกี่ลูก”
เพนที่ได้ยินเสียงอะไรแว่วๆ ละสายตามามองหน้าซิสแบบงงๆ แต่พอเจอสายตาดุ เด็กชายก็ได้สติจะรีบตอบคำถาม แต่พอจะเอ่ยปากก็ไม่รู้จะตอบอะไรดีเพราะเขาไม่ได้ฟังคำถาม เลยได้แต่หุบปากลงยิ้มเจื่อน ยกมือขึ้นมาจิ้มกันเล่นอย่างใช้ความคิด
“ฉันถามว่าอยากได้ผลเยือกแข็งกี่ผล” ซิสเอ่ยถามคำถามเดิมเป็นครั้งที่สาม และมันจะเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเด็กชายยังไม่ยอมตอบเขาอีก เขาจะเก็บเจ้าหุ่นตรงหน้าซะ แล้วปล่อยให้เด็กชายหาทางเก็บผลเยือกแข็งด้วยตัวเอง แต่ไม่ต้องห่วงเขาไม่ปล่อยให้ผู้ว่าจ้างตายหรอก ถ้าเห็นว่าจะโดนแช่แข็งเมื่อไหร่เขาจะส่งไฟไปละลายให้!
“เอาสิบลูกฮะ”
“เปิดโหมดเก็บเกี่ยว เป้าหมายผลเยือกแข็ง จำนวนสิบผล” ซิสหันไปสั่งงานอย่างชำนาญ เจ้าหุ่นตรงหน้าดวงตาเปล่งแสง ก่อนรอบตัวจะมีละอองเวทสีแดงฟุ้งออกมาคลุมก่อนจะลอยตรงไปยังต้นเยือกแข็ง ชายหนุ่มมองดูการทำงานของเจ้าหุ่นของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ก็หันไปมองเพนตั้งใจจะถามเรื่องไข่มุกดำต่อ แต่เห็นว่าเพนกำลังสนอกสนใจมองการทำงานของหุ่นเก็บวัตถุดิบแบบไม่กระพริบตา เขาเลยตัดใจเดินไปนั่งรออยู่แถวๆนั้น
เพนมองการเก็บวัตถุดิบตาไม่กระพริบด้วยความสนใจ เจ้าหุ่นตัวน้อยจะเก็บผลเยือกแข็งทีละสองผลมาส่งให้เขาเก็บใส่กระเป๋า รอไม่นานก็ครบสิบผลตามที่เด็กชายต้องการ เขาไม่ได้เก็บผลสุดท้ายใส่กระเป๋า แต่เดินถือมันไปหาซิสที่นั่งหลับตาพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกล
“กินไหมฮะ....” เด็กชายถามเสียงใส ซิสลืมตามามองเขาแบบงงๆ ก่อนจะยื่นมือมารับผลไม้สีฟ้า เด็กชายเลยรีบพูดขึ้นก่อนมือนั้นจะเอื้อมมาถึง “...ผมขายให้ลูกละ 5 เหรียญเงินพอฮะ”
ซิสเลิกคิ้วก่อนจะทำหน้าเบื่อหน่าย มือที่ยื่นไปรับผลไม้ขยับเลยไปเขกหัวเด็กชายก่อนหนึ่งทีแล้วคว้าเอาผลไม้สีฟ้าอ่อนมากัดไปหนึ่งคำใหญ่ๆ ความหวานเล็กน้อยติดอยู่บนลิ้นพร้อมกับความเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วปากทำให้รู้สึกสดชื่นแม้จะอยู่ในเขตอากาศเย็น
“เจ็บนะฮะ ผมแค่ล้อเล่นเอง” เพนบ่นอุบยกมือขึ้นลูบหัวบริเวณที่ถูกเขก ทำไมซิสชอบเขกหัวเขานักนะ
“ฉันเป็นเพื่อนเล่นนายตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็เราสนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอฮะ”
“อย่าคิดเองเออเองฉันไม่คิดจะไปสนิทกับเด็กไร้ประโยชน์แบบนายหรอกนะ” ซิสพูดเสียงเรียบ ออกคำสั่งเก็บหุ่นของเขาก่อนยัดมันลงกระเป๋า แต่พอหันไปเห็นว่าเพนซึมไปเขาก็อดที่จะรู้สึกผิดไม่ได้ เขามันก็ปากไวไปหน่อยแค่นั้นเอง
หรือว่าเขาควรขอโทษดี...
“ผมก็ไม่ได้อยากสนิทกับคนนิสัยไม่ดีเหมือนกัน...” เพนพูดเสียงเบาก้มหน้ามองพื้นนิ่ง
“เราจะย้อนกลับไปพักที่เมืองกันก่อนคืนนี้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางไปถ้ำเพลิง” ซิสเอ่ยเสียงเรียบ แต่ไม่มีเสียงตอบรับอย่างเคยเมื่อเพนเอาแต่นิ่งเงียบ เมื่อไม่มีคำตอบชายหนุ่มก็ออกเดินกลับไปทางเดิม โดยมีเพนเดินตามมาโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ไม่ใกล้เกินไปเหมือนเคยแต่ก็ไม่ไกลเกินไปจนหลง
เวลาผ่านไปเกือบอาทิตย์ ตอนนี้ซิสกับเพนอยู่ในระหว่างเดินทางไปที่ถ้ำเพลิง ซึ่งคาดว่าช่วงบ่ายแก่ๆ ของวันนี้พวกเขาก็จะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง แหล่งที่อยู่ของวัตถุดิบอันดับที่สองจากทั้งหมดสามของเพน
เรดเฟรม ไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่ตอนนี้ค้นพบเพียงไม่กี่พันต้นเท่านั้น ผลของมันมีรสชาติตรงกันข้ามกับผลของต้นเยือกแข็งโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นรสชาติที่เผ็ดมาก และความร้อนที่แผ่ออกมายามอยู่ในปาก ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย และด้วยคุณสมบัติข้อนี้เองทำให้คนในแดนเหนือชอบนำมันไปเป็นส่วนประกอบของอาหารหลายอย่าง ความยากในการเก็บของมันอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้เป็นเพราะสถานที่ๆ ต้นไม้ชนิดนี้ขึ้นอยู่
ยังดีที่เด็กชายไม่ได้ต้องการผลของมันแต่ต้องการเพียงแค่ใบเท่านั้นซึ่งระดับความยากในการเก็บอยู่ในระดับกลางๆ ค่อนไปทางต่ำ เพราะใบของมันมักถูกสายลมพัดกระจายไปจากต้นหลายกิโลเมตร พวกเขาก็แค่ต้องเดินทางไปบริเวณใกล้ๆ กับที่ต้นเรดเฟรมอยู่แล้วก็เดินหาใบไม้รูปเปลวเพลงสีแดงสดก็เท่านั้น
เพนยังคงเดินตามหลังซิสเงียบๆ ไม่พูดไม่จา นับตั้งแต่วันนั้น เด็กชายก็ยังไม่เอ่ยปากพูดกับอีกฝ่ายเลยแม้แต่คำเดียว ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้อึดอัดไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับเด็กช่างพูดแบบเพน แต่ยังไงซะเขาก็จะไม่เอ่ยปากพูดเด็ดขาดถ้าอีกฝ่ายไม่ยอมขอโทษเขาที่พูดจาทำร้ายจิตใจเขาแบบนั้น
เพราะเผลอเหม่อคิดอะไรมากไปหน่อยทำให้เพนสะดุดเข้ากับรากไม้ หกล้มจนหน้าเกือบทิ่มดิน เด็กชายเจ็บจนน้ำตาร่วงแต่ก็รีบดันตัวลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ เขาไม่อยากถูกมองว่าซุ่มซ่าม แต่แล้วก็ต้องทรุดลงไปอีกเพราะความรู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า
“เดินหัดดูทางหน่อยสิ” ซิสพูดจบก็รีบเดินมาดูอาการของเพนที่เหมือนจะเท้าแพลง แต่แล้วอยู่ๆ ชายหนุ่มก็ต้องร้องออกมาเสียงดังเมื่อรากไม้ที่ควรอยู่เฉยๆ ดันขยับมาหวดใส่ขาเข้าจนล้มลงหน้าแทบจูบพื้นตามเพนไป ทั้งๆ ที่เขาก็ระวังตัวแล้วและมั่นใจว่าต้นไม้แถวนี้เป็นต้นไม่ธรรมดา
นี้มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี้ย!?
“เดินหัดดูทางหน่อยฮะ” เพนเอาคืนทันทีเมื่อมีโอกาส ก่อนจะนึกได้รีบหุบปากเงียบ แสร้งมองไปทางอื่นเหมือนกับว่าเขาไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาจะไม่พูดกับอีกฝ่ายจนกว่าจะได้คำขอโทษ เมื่อกี้ก็แค่...ลืมไปหน่อยเท่านั้น
เสียงหัวเราะคิกคักของเด็กดังขึ้นจากต้นไม้ที่ซิสสะดุดล้ม ก่อนลูกบอลแสงเล็กๆ สีเขียวจะลอยออกจากต้นไม้ ลูกบอลแสงนั้นลอยวนลอบตัวของเพนอยู่หลายรอบ ทำเอาเด็กชายนั่งตัวแข็งไม่กล้าขยับเพราะไม่รู้ว่าเจ้าลูกบอลแสงนี้คือตัวอะไรกันแน่ แต่ดูเหมือนท่าทางหวาดกลัวนั้นจะน่าขันในสายตาของลูกบอลแสงเสียเหลือเกิน เสียงหัวเราะเดิมจึงดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนลูกบอลแสงนั้นจะลอยหายเข้าป่าไป
“ภูติแห่งป่านี้เอง” ซิสเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ จะว่าเขาโชคดีที่ได้เจอภูติ สิ่งมีชีวิตที่เกือบจะกลายเป็นตำนานเพราะความยากในการพบเจอ หรือจะเรียกว่าโชคร้ายที่เจอภูติเด็กขี้แกล้งดี
เขายันตัวลุกขึ้นไม่ได้เจ็บอะไรมากมาย แต่เหมือนเพนที่สะดุดล้มด้วยตัวเองโดยไม่ได้โดนแกล้งจะยังลุกไม่ขึ้น ชายหนุ่มยื่นมือออกไปเพื่อช่วยดึงอีกฝ่ายขึ้นมา
เขาก็พอมีน้ำใจให้เพื่อนร่วมโลกบ้างนิดหน่อย
เพนมองมือที่ยื่นมาแล้วหันไปมองหน้าเจ้าของมือ พอเห็นหน้าเด็กชายก็เมินหน้าหนีไปทางอื่น
“ขอโทษผมก่อนสิฮะ แล้วผมจะหายโกรธ” เด็กชายตีความไปเองเรียบร้อยแล้วว่าการกระทำของซิสคือการง้อให้เขาหายโกรธ ซึ่งจริงๆ แล้วมัน...ไม่ใช่ซักนิด
“ทำไมฉันต้องขอโทษ” ซิสตอบกลับทันที
“ก็พูดแบบนั้นผมเสียใจนะฮะ....” เพนตอบแทบจะทันทีเช่นกัน แต่แล้วอยู่ๆ เด็กชายจะก้มหน้าลงต่ำก่อนบ่นกับตัวเองเสียงเบาในประโยคต่อมา “...ถึงจะไม่อยากสนิทกับผมก็ไม่เห็นต้องพูดออกมาเลย”
ซิสมองภาพตรงหน้า แล้วก็ต้องกรอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ถอนหายใจออกมายาวเหยียด ทำไมเขาต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยนะ
“ขอโทษ” คำขอโทษแผ่วเบาดังออกจากปากของชายหนุ่มผมดำ
“อะไรนะฮะ” เพนเงยหน้าขึ้นถามแทบจะทันที ไม่ใช่ว่าฟังไม่ชัดแต่เมื่อกี้มันเบาไป เขาอยากได้ดังกว่านี้อีกหน่อย
“อยากได้อะไรก็ทำให้แล้ว ทีนี้ก็เลิกงอแงเป็นเด็กๆ ได้แล้ว เอานี้ยาเอาไปทาซะ อีกชั่วโมงหนึ่งเราจะเดินทางกันต่อคืนนี้คงจะพักในป่าแล้วพรุ่งนี้จะเริ่มเดินทางไปเมืองท่ากัน” ซิสพูดปัดก่อนโยนกระปุกยาสีดำให้เพน ส่วนตัวเขาเดินไปนอนหลับตาพิงต้นไม้อยู่ไม่ไกล
ได้คืบจะเอาศอกเดี๋ยวก็เจอมะเหงกหรอก...
“เราต้องไปเก็บใบต้นเรดเฟรมก่อนนะฮะ” เพนเอ่ยขึ้นขณะที่กำลังทายาที่ข้อเท้าไปด้วย เขาเอ่ยเตือนเพราะบางทีซิสอาจลืมไปแล้วว่าเขาต้องการวัตถุดิบสามอย่าง
“แล้วข้างๆ ตัวนายมันไม่ใช่ใบต้นเรดเฟรมหรือไง ถ้าเป็นงูนี่มันกัดนายตายไปแล้วนะ” ซิสเอ่ยเสียงเรียบ หลับตาลงคิดถึงภูติป่าตนที่ตัวเองพึ่งเจอไป มันคือความบังเอิญงั้นเหรอที่ภูติป่าเอาใบเรดเฟรมมาให้เพน อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้น ถ้าเป็นสัตว์อสูรอย่างอื่นเขาคงคิดว่ามีคนใช้มา แต่นี้เป็นถึงภูติสิ่งมีชีวิตที่มีพลังเกือบเทียบเท่าทวยเทพ ไม่มีทางเลยที่จะยอมทำตามคำสั่งของมนุษย์
แต่มันก็ไม่แน่เหมือนกันถ้าคนสั่งเป็นคนเดียวกับคนๆ เดียวกับที่ที่อัดพลังเวทใส่ไข่มุกดำ...คนที่มีพลังเวทขนาดนั้นต่อให้เป็นภูติก็อาจจะควบคุมได้
เพนที่หันไปมองข้างๆ ตัวก็พบว่ามีใบไม้รูปร่างคล้ายเปลวไฟประมาณสิบกว่าใบวางไว้ เด็กชายตาเป็นประกายรีบเก็บพวกมันใส่กระเป๋า ถ้ามันเป็นงูมันก็คงกัดเขาตายไปแล้วจริงๆ นั้นแหละ ใกล้เสียขนาดนี้ และเพราะขยับตัวแรงไปหน่อยด้วยความดีใจเลยต้องเจ็บขาจนหน้าเบ้ รีบลดมือลงไปลูบเบาๆ บรรเทาความเจ็บปวด
ซิสเหลือบตาไปมองเพนที่กำลังบ่นอุบพร้อมทั้งทายาที่ข้อเท้าของตัวเอง เขารู้สึกได้ว่าหลายๆ อย่างรอบเด็กชายคนนี้มีอะไรไม่ธรรมดา
เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงทั้งคู่ก็ยังคงพักกันอยู่ที่เดิม เนื่องด้วยซิสตัดสินใจเปลี่ยนแผนไม่เดินทางต่อแต่พักในบริเวณนี้เลย เพราะขาของเพนยังไม่หายดี ชายหนุ่มจ้องมองรอยเขียวช้ำบริเวณข้อเท้าอย่างแปลกใจ
“เจ็บจังเลยนะฮะ” เพนบ่นเบาๆ จ้องมองข้อเท้าของตัวเองที่อย่าว่าแต่เดินเลยแค่ขยับนิดหน่อยก็เจ็บจนน้ำตาร่วงแล้ว เขาไม่น่าซุ่มซ่ามเลย
“นายทายาที่ฉันให้ไปแล้วใช่ไหม” ซิสถามย้ำ ทั้งๆ ที่เขาก็เห็นกับตาว่าเด็กชายทามันแล้ว แต่มันไม่น่าเป็นไปได้ที่เพนจะยังไม่หาย เพราะยาที่เขาให้ไปถึงมันจะไม่ได้ดีเลิศขนาดทำให้หายในทันที แต่แค่ข้อเท้าแพลงสำหรับยาสมุนไพรที่อบด้วยไอเวทสายรักษามันไม่น่าใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมงก็ควรหายสนิทจนกลับมาวิ่งได้แล้ว ไม่ใช่ยังไม่ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อยแบบนี้
หรือว่ามันหมดอายุไปแล้ว?
“ทาแล้วฮะ เดี๋ยวก็คงหายเองแหละฮะ” เพนกล่าวเสียงเบา ไม่อยากทำให้คนอื่นเป็นห่วง
“ทำไมนายต้องออกมาเก็บวัตถุดิบพวกนั้นเองด้วย หาซื้อหรือไม่ก็มอบภารกิจเอาน่าจะดีกว่าไม่ใช่หรือไง” ซิสเอ่ยถามขึ้น ตอนแรกเขามัวแต่สนใจไข่มุกดำเลยไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดพวกนี้ เด็กตัวเล็กๆ อย่างเพนทำไมจะต้องทำอะไรแบบนี้ด้วย
“ในกฎเขาห้ามถามเหตุผลของงานไม่ใช่เหรอฮะ” เพนพูดเสียงเบาโดยไม่หันไปมองหน้าคู่สนทนาเอาแต่ก้มหน้ามองข้อเท้าตัวเองพร้อมกับใช้มือลูบเบาๆ
ซิสเหลือบมองเพนที่เหมือนจะรู้กฎของนักล่าดีเกินคาด ใช่ นักล่าอย่างเขามีกฎที่จะไม่ถามถึงเหตุผลของงานจากผู้ว่าจ้าง การตัดสินใจรับงานจะดูแค่ผลตอบแทนที่ได้รับกับระดับความยากของงานเท่านั้น ไม่ว่าขาวหรือดำขอแค่มีผลตอบแทนมากพอนักล่าอย่างพวกเขาก็พร้อมจะทำ
“ก็ไหนบอกว่าสนิทกันแล้วไง แค่นี้บอกไม่ได้หรือไง” ซิสกัดฟันลองใช้ไม้นี้ดู
เพนหันมามองหน้าซิสแทบจะทันทีที่ได้ยินประโยคที่ไม่คาดคิด ก่อนจะก้มหน้าลงใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง และเอ่ยตอบในที่สุด
“ผมจะเอาไปทำอาหารให้เพื่อนฮะ แต่ต้องออกมาหาเองถึงจะใช้ได้”
“เพื่อนนายนี้เรื่องมากจังเลยนะ”
“ก็นิดหน่อย...” เพนเอ่ยพร้อมกับยกมือขึ้นเกาแก้มตัวเองเบาๆ เมื่อนึกถึงเพื่อนสนิทของเขา “แต่ก็เป็นเฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นแหละฮะ”
“บ้านนายมีกันกี่คนใครบ้าง แล้วทำอาชีพอะไรกันบ้าง” ซิสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาจากเรื่องทั่วไปมาที่เรื่องครอบครัวของเพน ยังไงเขาก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเด็กชายเป็นใครกันแน่แล้วเอาไข่มุกดำแบบนี้มาจากไหน
“มีกันสามคนฮะ พ่อแม่แล้วก็ผม พ่อผมเป็นนายพราน แม่เป็นแม่ครัวฮะ ส่วนผมก็อยากเป็นเหมือนแม่” เพนตอบพร้อมกับจินตนาการภาพพ่อกับแม่เขาในหัว ก่อนจะมีสีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาหนีออกมาแบบนี้พวกท่านจะเป็นยังไงบ้าง ถึงจะเขียนจดหมายบอกเอาไว้แล้วก็เถอะ
“อยากเป็นเหมือนแม่...” ซิสเอ่ยขึ้น เว้นช่วงไปพักหนึ่งเพื่อให้เพนหันมาสนใจรอฟัง ก่อนจะต่อให้จบประโยค “...อยากเป็นผู้หญิงน่ะเหรอ”
“พ่อครัวต่างหากล่ะฮะ!” เพนโวยวายทันที ถ้าไม่ติดว่าขาเจ็บนะเขาลุกขึ้นไปตะโกนใส่หูแล้ว คิดได้ไงเนี้ย ใบหน้าบูดบึ้งของเด็กชายเรียกรอยยิ้มของซิสได้เล็กน้อย
“นายแน่ใจนะว่าพ่อกับแม่นายไม่ใช่คนให้ไข่มุกดำ บางทีอาจจะเอามาให้แล้วโกหกว่าคนอื่นให้ก็ได้”
“ไม่ใช่แน่ๆ ฮะ พ่อแม่ผมไม่โกหกผมแน่นอน” เพนกล่าวอย่างมั่นใจ
“แน่ใจขนาดนั้นเชียว”
“อย่ามาพูดทำลายความเชื่อใจในครอบครัวคนอื่นสิฮะ”
“ของจากคนที่ไม่ระบุชื่อนี่ นายได้แค่ไข่มุกดำเม็ดนี้ใช่ไหม” ซิสถามต่อโดยไม่สนใจคำโวยวายของผู้ว่าจ้าง พ่อและแม่ของเด็กชายยังคงอยู่ในบัญชีรายชื่อที่เขาต้องสืบว่าเป็นคนทำไข่มุกดำเม็ดนี้หรือไม่
“ผมได้ทุกปีแหละฮะ”
“นายมีไข่มุกดำแบบนี้ 11 เม็ดเลยเหรอ” ซิสถามขึ้นอย่างตกใจ เขารู้วันเกิดและอายุของเด็กชายจากบัตรประจำตัวที่เด็กชายต้องเอามาแสดงตอนขึ้นเรือออกจากเมือง ถ้าเขาขอซื้อมันทั้งหมดเด็กชายจะยอมขายให้เขาไหมนะ ไม่ซิ เขายังต้องรู้ให้ได้ว่าใครสร้างมันขึ้นมา
“ใครจะไปได้ซ้ำๆ กันทุกปีฮะ ผมมีไม่ซ้ำกันเลยซักปีต่างหาก แต่พกมาแค่สองอย่างนะฮะไข่มุกนั้นแล้วก็สร้อยคอนี้” เพนรีบตอบ ใครจะไปให้ของซ้ำๆ กัน 11 ชิ้นเชียว จะให้เขาเอาไปทำสร้อยแขวนคอหรือไง เขาไม่ได้ชอบมันขนาดนั้นซักหน่อย ความจริงเจ้าไข่มุกสีดำนี้เป็นของที่เด็กชายชอบน้อยที่สุดแล้วล่ะเพราะมันไม่เห็นจะเล่นอะไรได้เหมือนของชิ้นอื่นๆ ที่เขาได้มาเลย
ไม่งั้นเขาคงไม่เอามาให้คนอื่นง่ายๆ หรอก แต่ดูๆ ไปเหมือนซิสคงจะชอบมันมากนะเนี้ย เพราะเอาแต่ถามถึงเรื่องนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั้นแหละ
“ฉันขอดูสร้อยคอนายหน่อยได้ไหม” ซิสพูดพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหาเพนทันที ซึ่งเพนก็ยอมถอดให้เขาดูทันที มันเป็นสร้อยคอที่มีจี้รูปลูกเต๋าสีเงินเล็กๆ ห้อยอยู่ เขาลองทดสอบดูก็พบว่ามันมีพลังเวทอ่อนๆ แผ่ออกมา ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร สำหรับสิ่งของในปัจจุบันที่มักลงเวทเอาไว้เพื่อความคงทนหรือความสวยงาม มันธรรมดาเกินกว่าที่เขาจะสนใจ เมื่อไม่มีอะไรแล้วซิสก็ส่งมันคืนให้เจ้าของ พร้อมทั้งเตรียมเดินกลับไปนั่งที่เดิม
“นั่งตรงนี้ก่อนนะฮะ ทีนี้ก็ตาผมถามบ้าง” เพนกล่าวขึ้นพร้อมกับใช้มือตีที่ว่างข้างๆ ตัวของเขา ในเมื่อซิสถามเขาแล้วตั้งหลายคำถามทีนี้ก็มาถึงตาเขาถามบ้างแล้ว เด็กชายมีคำถามมากมายอยากจะถามคนตรงหน้าจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ขืนถามมากๆ มีหวังโดนไม่พอใจอีกแน่
“มีอะไรก็ว่ามา” ซิสยอมนั่งลงตามคำขอ
“วันนั้น เออ...วันที่โดนกับดักของผม พี่ซิสเข้าไปทำอะไรในป่าแถวนั้นกันแน่ฮะ” เพนตัดสินใจถามถึงเรื่องวันนั้น พอได้มาอยู่ด้วยกันนานๆ เข้า เด็กชายเชื่อว่าวันนั้นเรื่องมันอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิด
“ล่าสัตว์แบบผิดกฎหมาย” ซิสตอบกลับโดยไม่ต้องคิด มันเป็นข้อหาที่เพนยัดเยียดให้เขาตอนเจอหน้ากันครั้งแรก มันเป็นการเจอกันที่น่าประทับใจจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว
“ผมขอโทษฮะ ก็ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าพี่ซิสเป็นนักล่านี้หน่า แล้วแถวนั้นก็ชอบมีพวกคนนิสัยไม่ดีไปแอบล่าสัตว์กันบ่อยๆ ด้วย ผมก็ต้องปกป้องพวกสัตว์ไร้ทางสู้สิฮะ วันนั้นพี่ซิสก็ไม่ติดบัตรด้วย ปกติตามกฎนักล่าเขาต้องติดบัตรเวลาทำภารกิจไม่ใช่เหรอฮะ แล้วอีกอย่างหนึ่ง....”
“วันนั้นฉันเข้าไปหาวัตถุดิบ” ซิสรีบขัดขึ้นก่อนเพนจะยกแม่น้ำทั้งห้ามาสาธยายให้เขาฟังเพื่อให้ทราบถึงเหตุผลที่ตัวเองควรโดนกับดักเล่นงานจนมีสภาพไม่ต่างจากลูกหมาตกน้ำ
“แล้วหาได้ไหมฮะ” เพนถามขึ้นอย่างอยากรู้ ก่อนจะต้องยิ้มเจื่อน เมื่อถูกซิสทำตาดุใส่ เพนหันกลับมาลูบๆ คลำๆ รอยเขียวตรงข้อเท้าตัวเองต่อ ตอนนี้เขารู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะยาพึ่งจะได้ผล หรือเพราะเขาอารมณ์ดีกับการมีเพื่อนคุยกันแน่
ถ้านับเฉพาะเพื่อนที่คุยกันได้ซิสเป็นเพื่อนคนแรกของเขาเลยแหละ...
“หมดชั่วโมงคำถามแล้ว เดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้กิน อย่าลุกขึ้นไปวิ่งซนที่ไหนล่ะ”
“ผมจะไปทำแบบนั้นได้ยังไงล่ะฮะ”
“ว้าว นี้น่ะเหรอฮะ เมืองทอเมอร์” เพนกล่าวเสียงใส ดวงตาสีฟ้าอ่อนทอประกายระยิบมองสำรวจสองข้างทาง บรรยากาศของการเฉลิมฉลอง ร้านค้าและผู้คนมากมายทำให้เด็กชายอดคิดไม่ได้ว่านี้คงต้องเป็นงานประลองประจำปีที่เขาต้องมาเอาวัตถุดิบอย่างสุดท้าย
ละอองดาวสีรุ้ง วัตถุดิบที่เด็กชายได้มาแค่ชื่อจากเพื่อนของเขา แต่ไม่ว่าเด็กชายจะพยายามหาข้อมูลของมันจากหนังสือของผู้เป็นแม่เท่าไหร่ก็ไม่พบชื่อของมันเลยแม้แต่น้อย จะเอ่ยปากถามแม่ก็ไม่กล้า กลัวจะถูกจับได้เรื่องที่เขาตั้งใจออกตามหาวัตถุดิบ เขาก็พึ่งมารู้จากปากของซิสนี้ล่ะว่ามันเป็นวัตถุดิบที่ได้จากการชนะในงานประลอง
ดูท่าแล้วมันน่าจะเป็นวัตถุดิบหายากที่สุดในบรรดาวัตถุดิบทั้งสามของเขาเลย
“จะพูดแบบนั้นก็ได้ แต่จริงๆ แล้วทอเมอร์เป็นเกาะอยู่กลางทะเล ส่วนที่นี่ผู้คนเรียกมันว่า ‘สะพานสู่ทอเมอร์’ มันเป็นสถานที่ๆ ผู้คนที่หาที่อยู่ในทอเมอร์ไม่ได้บุกเบิกและอยู่อาศัย” ซิสอธิบายรายละเอียดให้กับเพนอย่างไม่ปกปิด เผลอแปบเดียวเขาก็อยู่กับเพนมาถึงสามอาทิตย์แล้ว อีกแค่ไม่กี่วันงานของเขาก็จะจบลงแล้ว แต่เขายังไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสร้างไข่มุกดำเม็ดนี้
ความจริงสถานที่แห่งนี้ปกติจะไม่ได้คึกคักขนาดนี้ ออกจะเงียบเหงาเสียด้วยซ้ำเพราะผู้คนที่มาที่นี่ก็มีแต่คนที่คิดจะไปเมืองทอเมอร์ทั้งนั้น เลยมีน้อยคนนักที่จะแวะท่องเที่ยว เห็นทีจะมีแค่ช่วงเทศกาลประจำปีเท่านั้นที่คึกคักเป็นพิเศษ จากพ่อค้าแม่ค้าที่มารวมตัวกันเปิดตลาดค้าขายสินค้า
“มันจะมีสะพานให้ข้ามไปเมืองทอเมอร์เลยเหรอฮะ” เพนสรุปเอาจากชื่อสถานที่ เขาอยากเห็นเสียจริงว่าสะพานที่ว่านั้นจะยาวขนาดไหน
“มันจะไปมีได้ยังไงกันเล่า มีแต่ท่าเรือเท่านั้นแหละ” ถึงจะมีชื่อว่าสะพานแต่จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ที่ตั้งของท่าเรือไปสู่เมืองทอเมอร์เท่านั้น
เพนพยักหน้ารับรู้ก่อนก้มลงไปนับนิ้ว เขาใช้เวลาเดินทางไป 21 วันแล้ว อีกแค่ 9 วันก็จะครบหนึ่งเดือน มันเร็วจนน่าใจหายเลยทีเดียว แต่คิดอีกแง่เขาก็ใกล้จะได้กลับบ้านไปเจอพ่อกับแม่แล้ว เด็กชายเดินดูของต่างๆ ไปเรื่อยๆ อย่างสนอกสนใจ และจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกับวัตถุดิบบางอย่างที่เด็กชายเคยอ่านเจอในหนังสือ อยากจะซื้อใจแทบขาดแต่เงินในกระเป๋าไม่อำนวยเลยทำได้แค่มองตาละห้อย
เงินเก็บ 5 เหรียญทองเขาก็ใช้ซื้อกระเป๋าเวทไปหมดแล้ว ตอนนี้เด็กชายไม่มีเงินติดตัวแม้แต่เหรียญทองแดงเดียว อย่าว่าแต่วัตถุดิบเลย แค่ข้าวซักจานเขายังซื้อไม่ได้เลยในเวลานี้ ถ้าหลงกับซิสมีหวังเขาได้อดตายแน่ๆ
ทั้งคู่ต้องไปต่อแถวยาวเหยียดเพื่อขึ้นเรือ กว่าจะได้ขึ้นเรือก็ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าๆ ทำเอาเพนหน้างอเพราะยืนรอจนปวดขาไปหมด และต้องใช้เวลาอยู่ในเรืออีกประมาณ 2 ชั่วโมง ซิสใช้เวลาว่างอ่านแผ่นพับประชาสัมพันธ์ของงานประจำปีที่เขาได้รับแจกมาตอนขึ้นเรือ ส่วนเพนหลับปุ๋ยกอดกระเป๋าเวทอยู่บนเตียง
อย่างแรกที่ซิสทำคือการหาที่พัก เพราะถ้าไม่รีบแล้วที่พักเต็มหมดเขาคงได้นอนข้างถนนเป็นแน่ และเขาขอบอกเลยว่าการนอนกลางแจ้งในเมืองกลางทะเลที่ลมแรงตลอดปีอย่างทอเมอร์เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคิดจะทำ
ค่าที่พักถูกปรับขึ้นอีกกว่าเท่าตัว แค่นั้นยังไม่พอแถมยังมีห้องว่างเหลือเพียงห้องเดียวเท่านั้น ครั้นจะไปดูที่อื่นก็กลัวว่าจะหาไม่ได้แล้ว ซิสเลยต้องจำใจยอมให้เพนนอนห้องเดียวกับเขา
“ลงไปเดินเที่ยวกันไหมฮะ” เพนถามขึ้นทันทีที่นั่งลงบนเตียงภายในห้องพัก เขายังไม่ทันได้มองดูของข้างทางเลยสักนิด ก็ถูกซิสรีบร้อนลากมาหาที่พักเสียแล้ว มันรู้สึกค้างคาใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าเขาไม่ได้เดินดูของพวกนั้นคืนนี้เห็นทีคงนอนไม่หลับแน่ๆ
“ลงมาจากเตียงฉันเดี๋ยวนี้เลย นายนอนพื้น” ซิสพูดจบก็โยนกระเป๋าสะพายขึ้นไปบนเตียงเฉียดใบหน้าเด็กชายไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เหมือนคนบนเตียงจะรู้ว่าเขาไม่ได้จะโยนให้โดนจึงนั่งเฉยไม่คิดขยับหลบ
“เราสนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอฮะ ผมขอนอนบนเตียงด้วยนะ”
ซิสกำลังจะปฏิเสธแต่พอคิดได้ว่าถึงปฏิเสธไปเพนก็แอบขึ้นมานอนเองอยู่ดี เขาก็เลยจำใจต้องยอมพยักหน้าส่งๆ ไป
“ฉันต้องไปลงทะเบียนเข้าร่วมการประลอง นายรออยู่นี้ก่อน...” ซิสพูดยังไม่ทันจบประโยคเพนก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“ผมไปด้วยสิฮะ”
“เรื่องเที่ยวเอาไว้ก่อน เดี๋ยวเย็นๆ ค่อยออกไป นายนี้ห่วงแต่เรื่องเที่ยวนะ ตกลงมาเที่ยวหรือมาหาวัตถุดิบกันแน่” ซิสถือโอกาสบ่นผู้ว่าจ้างตัวน้อยที่เอาแต่จ้องจะออกไปเที่ยวให้ได้
“ผมไม่ได้จะไปเที่ยวเสียหน่อย ผมจะลงประลองด้วยต่างหากล่ะฮะ” เพนทำหน้ามุ่ยเมื่อถูกกล่าวหาว่าเอาแต่จ้องจะเที่ยว เขาไม่ได้เป็นเด็กแบบนั้นเสียหน่อย เขาออกจะมีสาระเป็นการเป็นงาน ส่วนเรื่องเที่ยวนี้...ถ้าได้ก็ดี
“ไหนลองบอกเหตุผลมาว่าทำไมฉันต้องเสียค่าสมัครให้นายไปตกรอบแรกด้วย” ซิสพูดพร้อมกับมอง ผู้ว่าจ้างของเขาอีกครั้งตั้งแต่หัวจรดเท้า และจากเท้าขึ้นมาจรดหัว มองยังไงเด็กที่ความสูงต่ำกว่ามาตรฐานอย่างเพนก็ไม่น่าไปสู้รบปรบมือกับใครไหว ขนาดยกดาบของเขาขึ้นฟันเด็กชายยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำล่ะมั้ง จะบอกว่าเป็นจอมเวทเขาก็ไม่เห็นจะรู้สึกได้ถึงพลังเวทของเด็กชายเลยแม้แต่น้อย และตั้งแต่อยู่ด้วยกันมาจะเดือนหนึ่งแล้วก็ยังไม่เคยเห็นเด็กชายใช้เวทแม้แต่บทเดียว
สรุปแล้วมองยังไง เพน ไฮวิน ก็เป็นแค่เด็กอายุย่างสิบสองธรรมดาสามัญที่พบเห็นวิ่งเล่นได้ทั่วไปตามเมืองต่างๆ ไม่มีแววที่จะเป็นนักสู้ที่เก่งกาจได้เลย...อย่างน้อยก็ในตอนนี้
“นะฮะ ผมอยากลองดู นะ” เพนไม่ให้เหตุผล แต่ใช้วิธีอ้อนขอมันดื้อๆ เลย ก็นะเด็กชายก็ไม่ได้มีความมั่นใจแม้แต่น้อยว่าตัวเองจะผ่านรอบคัดเลือก เขาก็แค่อยากลองดูเท่านั้นจริงๆ
“ถ้าอยากหาเรื่องเจ็บตัวขนาดนั้นก็ตามใจ” ซิสขี้เกียจจะเถียงกับเด็กเอาแต่ใจตรงหน้า ค่าสมัครมันก็ไม่ได้แพงอะไร แถมยังเป็นการประลองที่จัดโดยทางการที่รับรองความปลอดภัยของผู้เข้าแข่งขัน ซึ่งยืนยันด้วยผลการจัดการประลองทั่วโลกที่ไม่เคยมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บหนักเลยแม้แต่คนเดียว
ในที่สุดซิสก็ต้องพาเพนไปลงทะเบียนเข้าร่วมการประลอง สถานที่ลงทะเบียนไม่ได้คึกคักมากนักมีแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่มาลงทะเบียนในวันนี้ คงเพราะคนอื่นลงทะเบียนกันไปในวันก่อนหน้าแล้ว ทั้งคู่ถูกแยกไปคนละห้องเพื่อทำการลงทะเบียน การลงทะเบียนจะทำเป็นการลับเพราะการให้ผู้เข้าแข่งคนอื่นรับรู้ความสามารถของผู้สมัครเป็นสิ่งที่อาจทำให้การประลองขาดความยุติธรรม
“เชิญทางนี้เลยครับ” เสียงของพนักงานรับสมัครเอ่ยขึ้น น้ำเสียงเจือด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าผู้เปิดประตูเข้ามาเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆ ดูแล้วน่าจะอายุน้อยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา ชายหนุ่มขอดูบัตรประจำตัวของเพนก่อนจะจดรายละเอียดลงไปในใบสมัครอย่างชำนาญ
“อาชีพปัจจุบันมีไหมครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นเมื่อกรอกรายละเอียดในบัตรจนเสร็จ
“ไม่มีฮะ”
พนักงานหนุ่มพยักหน้าอย่างไม่แปลกใจอะไรที่ผู้สมัครตัวน้อยจะไม่มีอาชีพ
“ช่วยบอกความสามารถที่จะใช้ในการต่อสู้ด้วยครับ ทางเราจะใช้เป็นข้อมูลเพื่อปรับเปลี่ยนการลงอาคมสนามให้เหมาะสม แต่จะไม่มีการเปิดเผยโดยเด็ดขาดครับ” ชายหนุ่มถามตามหน้าที่ต่อไป รายละเอียดข้อนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้เพื่อให้ฝ่ายสนามจัดเตรียมพื้นที่สนามได้อย่างเหมาะสม
คำถามที่เด็กชายไม่คาดคิด ทำเอาเพนได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ ไปให้คุณพนักงานแทนคำตอบ ความสามารถในการต่อสู้งั้นเหรอ? เขาจะไปมีของแบบนั้นได้ยังไง ในหัวพยายามใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อจะหาความสามารถที่พอจะใช้ต่อสู้ได้ของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ก็ในเมื่อเขาไม่เคยมีของแบบนั้นติดตัวมาเลยนับตั้งแต่จำความได้
“ไม่มีได้ไหมฮะ”
พนักงานหนุ่มเลิกคิ้ว ก่อนจะคลี่ยิ้มอ่อนโยน
“ถ้าไม่ระบุความสามารถในการต่อสู้ ทางเราก็ต้องขอแสดงความเสียใจที่คงไม่สามารถให้คุณร่วมประลองได้นะครับ ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและผู้เข้าแข่งขันท่านอื่น”
เพนมีสีหน้าจืดสนิทเมื่อรู้ว่าอาจไม่ได้เข้าแข่ง แต่ก่อนที่เด็กชายจะตัดใจเขาก็รู้สึกถึงไออุ่นบริเวณหน้าอก พอก้มลงมองก็เห็นว่าสร้องคอรูปลูกเต๋าของเขากำลังเปล่งแสงสีทองอ่อนๆ ราวกับเรียกร้องความสนใจ ทันใดนั้นเองเด็กชายก็นึกขึ้นได้ถึงความสามารถของหนึ่งในของเล่นชิ้นโปรดของเขา ซึ่งน่าจะใช้ในการต่อสู้ได้ล่ะมั้ง
“ความจริงผมเรียกสัตว์อสูรได้หกตัวเลยนะฮะ”
“ผู้อัญเชิญงั้นเหรอครับ งั้นช่วยเรียกสัตว์อสูรที่มีระดับสูงสุดของคุณมาให้ผมดูหน่อยนะครับ” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับจดรายละเอียดลงไปในใบสมัคร เขาดีดนิ้วเบาๆ ห้องแคบก็กลายเป็นลานกว้างซึ่งจำลองมาจากสนามประลองเพื่อให้ผู้สมัครได้แสดงความสามารถของตนออกมาได้อย่างเต็มที่ เขาไม่คิดว่าเด็กชายตรงหน้าจะโกหกเพราะเป็นที่รู้กันดีถึงโทษของการโกหกคนของทางการ
“มันเลือกไม่ได้นะฮะ ต้องสุ่มเอา” เด็กชายอธิบายรายละเอียดความสามารถของสร้อยคอรูปลูกเต๋า
“ถ้ามีแค่หกตนจริงก็ช่วยสุ่มมันจนกว่าผมจะเห็นครบทั้งหกชนิดเลยก็แล้วกันนะครับ” พนักงานหนุ่มยังคงยิ้มได้อย่างอ่อนโยนผิดกับคำพูดที่แฝงไปด้วยความกดดันอย่างประหลาด ในฐานะผู้รับสมัครเขาจำเป็นต้องรู้ขีดความสามารถสูงสุดของผู้ลงแข่งขัน
“เออ...แบบนั้นก็ได้ฮะ” เด็กชายตอบอย่างลังเล ให้เขาสุ่มให้ครบหกตัวเลยเหรอ แล้ววันนี้เขาจะสมัครเสร็จไหมเนี้ย แต่ถึงบ่นไปก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เด็กชายจึงทำได้แต่ใช้มือทั้งสองข้างจับสร้อยคอไว้ ก่อนมันจะทอแสงหกสีออกมาสลับกันอย่างรวดเร็ว
เด็กชายใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมงในห้องสมัคร ในที่สุดลานประลองก็สลายหายไปเหลือเพียงห้องเล็กๆ ดังเดิม พนักงานหนุ่มยิ้มให้ก่อนจะส่งบัตรประจำตัวผู้สมัครให้กับเด็กชายเก็บไว้เป็นหลักฐาน เด็กชายรับมันมาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
สามชั่วโมงในห้องสมัครดูจะหนักหนาสาหัสสำหรับเด็กชายไม่น้อย
เพนเดินคอตกออกจากห้องสมัคร หมดแรงไปไม่น้อยกับการที่ต้องตกใจกับเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่ในจี้ลูกเต๋าของเขา แถมยังต้องคอยห้ามทัพไม่ให้พวกมันงับหัวของคุณพนักงานอีก
เขาจำได้ว่าตอนได้มาทีแรกมันไม่ใช่แบบนี่นะ...อย่างน้อยพวกมันก็ไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้
“นายเข้าไปทำอะไรมาตั้งสามชั่วโมง” ซิสที่อ่านหนังสือรออยู่เอ่ยถามขึ้นทันทีที่เห็นเพนเดินคอตกออกมาจากห้องสมัคร ทีแรกชายหนุ่มคิดว่าเพนอาจจะสมัครไม่ผ่านเลยเดินคอตกกลับมา แต่พอเห็นบัตรสีเงินในมือเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิด
เพนเบ้หน้ากับคำถาม อย่าให้เขาต้องนึกถึงประสบการณ์ประหลาดในห้องนั้นเป็นครั้งที่สองมันจะเป็นการดีต่อสุขภาพจิตเขามากมาย
“กลับห้องกันดีกว่าฮะ” เด็กชายเพลียจนอยากจะล้มตัวลงนอนตรงนี้ซะด้วยซ้ำ
“ไม่ไปเที่ยวแล้วหรือไง” ซิสแกล้งเอ่ยถามขึ้น ดูจากสภาพเพนตอนนี้อย่าว่าแต่เที่ยวเลย แค่นั่งคุยกับเขาต่อซักครึ่งชั่วโมงก็คงไม่ไหว ท่าทางอ่อนเพลียของเพนทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเด็กชายไปเจออะไรมากันแน่ในห้องสมัคร
“อย่าเอาเรื่องเที่ยวมาล่อสิฮะ ผมเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
ในที่สุดวันแห่งการประลองก็มาถึง ในด้านของซิสเขาผ่านรอบคัดเลือกได้อย่างง่ายดายสมแล้วกับที่เป็นนักล่าฝีมือดี แต่สำหรับเพน ชายหนุ่มดูไม่อออกจริงๆ ว่าเด็กชายเอาความสามารถที่ไหนมาผ่านรอบคัดเลือกมาได้
วันที่สองเหลือผู้ผ่านรอบคัดเลือก 64 คน แข่งพร้อมกันทั้งหมดใน 32 สนาม สนามประลองจะถูกสร้างขึ้นโดยนักเวทสายมิติสนามละสองคนโดยใช้รายละเอียดที่ได้จากใบสมัครมาใช้ในการลงอาคมป้องกัน การประลองจะถูกจัดขึ้นพร้อมกันหมดแต่แยกกันไปคู่ละมิติ แต่ละมิติจะมีบัตรให้เข้าไปชมการต่อสู้ขายอยู่จำนวนหนึ่ง
วันนี้วันเดียวซิสแข่งไปสองรอบติดๆ กัน แน่นอนว่าชายหนุ่มชนะรวดแต่ก็ทำเอาเขาได้แผลกลับมาเล็กน้อย ถ้าเป็นแผลเล็กน้อยหรือรอยพกช้ำที่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงอาคมสนามจะยกเว้นไม่รักษาให้เมื่อออกนอกสนาม มันเป็นข้อกำหนดเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้การต่อสู้มีสีสันมากขึ้น
ทางด้านเพนเด็กชายก็ผ่านเข้ารอบมาได้อย่างน่าประหลาดใจในสายตาของซิสอีกเช่นเคย แต่เด็กชายก็ดูจะเหนื่อยใจกับการประลองสองรอบที่ผ่านไปไม่น้อย ดูได้จากการที่นั่งคอตกถอนหายใจอยู่ตลอดช่วงเย็น
วันที่สามเหลือผู้เข้ารอบทั้งหมด 16 คน แข่งกันทั้งหมด 4 สนาม โดยแต่ละสนามจะมีผู้ลงสนาม 4 คนและคนที่เหลือบนสนามเป็นคนสุดท้ายจะเป็นผู้ชนะ เป็นการเพิ่มระดับความยากในการประลองขึ้นอีกขั้น ทั้งยังเป็นการลดจำนวนผู้เข้ารอบลงอย่างรวดเร็ว
รอบนี้หนักหนาเอาเรื่องสำหรับซิสเพราะคู่แข่งแต่ละคนเป็นพวกนักล่าเช่นเดียวกับเขา แถมแต่ละคนก็ไม่ใช่กระจอก พวกนั้นก็คงมีคนว่าจ้างให้มาแข่งเพื่อชิงรางวัลเช่นกัน กว่าเขาจะเอาชนะได้ก็พลาดได้แผลไปหลายจุด และเสื้อผ้าขาดไปอีกหลายแห่ง แต่พอออกมาจากสนามก็ต้องอึ้งเมื่อเห็นเพนยืนรอเขาอยู่ด้วยเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน พร้อมกับรอยยิ้มเจื่อนๆ พอมองที่หน้าอกก็เห็นว่าบัตรประจำตัวยังไม่ถูกยึดคือ นั้นก็หมายถึงเด็กชายผ่านเข้ารอบชิง
ในที่สุดวันสุดท้ายของการแข่งขันก็มาถึง การแข่งขันนัดนี้ถูกจัดขึ้นบนสนามลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่เงาของมันบดบังแสงอาทิตย์ที่ส่องไปยังเมืองเบื้องล่างจนหมดสิ้น สนามนี้ใช้เวลาสร้างเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้นด้วยนักเวทฝีมือดีร่วมร้อยชีวิต ผู้คนเกือบทั้งเมืองต่างมารวมตัวกันที่นี่เพื่อรอดูศึกรอบชิงชนะเลิศ
โดมสีดำขนาดใหญ่ค่อยๆ ปิดคลุมสนามไว้จนมืดมิด บ่งบอกว่าการประลองจะเริ่มขึ้นในไม่ช้า ไฟเวทสีฟ้าถูกจุดขึ้นรอบสนามไล่ตามเข็มนาฬิกา ให้แสงสว่างแก่สนามทั้งสนาม จนมองเห็นว่าทั้งสี่ทิศของสนามมีประตูเหล็กที่สลักตราประทับของเมืองทอเมอร์เอาไว้ตั้งตระหง่านอยู่ ผู้คนที่เคยชมการประลองต่างรับรู้ว่าด้านหลังบานประตูแต่ละบานคือผู้แข่งขันที่ผ่านเข้ามาจนถึงรอบสุดท้าย
“เอาล่ะครับทุกท่าน การประลองประจำปีของเมืองทอเมอร์ก็มาถึงนัดตัดสินแล้ว ใครกันที่จะเป็นผู้ที่ได้ครอบครองตำแหน่งผู้ชนะอันทรงเกียรติ และได้รับรางวัลเป็นวัตถุดิบหายากที่ในโลกนี้มีเพียงที่เมืองกลางทะเลทอเมอร์แห่งนี้เท่านั้นที่สามารถเก็บเกี่ยวมันได้ วัตถุดิบขึ้นชื่อแห่งฝากฟ้าแดดเหนือ...ละอองดาวสีรุ้ง”
เสียงผู้ดำเนินงานดังขึ้นพร้อมกับแสงไฟที่ติดพรึบขึ้นกลางอากาศเหนือลานประลอง ภายในเปลวไฟนั้นค่อยๆ ปรากฏโหลแก้วเนื้อดีที่ฝาของมันถูกทำรูปดาวห้าเฉกดวงใหญ่ ด้านในโหลบรรจุไว้ซึ่งผงละเอียดราวทรายบริสุทธิ์ที่เปลี่ยนสีไปมาช้าๆ นับได้เจ็ดสีตามชื่อของมัน ประกายที่แผ่ออกมาจากวัตถุดิบหายากมองดูสวยงามน่าหลงใหลแม้อยู่ถ้าท่ามกลางเปลวเพลิงสีฟ้า
“ต่อไปก็ได้เวลาแนะนำผู้ท้าชิงทั้งสี่ เอาล่ะครับ เอาล่ะใครกันจะเป็นคนแรกที่ได้ก้าวขึ้นมาบนเวทีอันทรงเกียรตินี้”
ทันทีที่คำประกาศจบลง บานประตูเหล็กทั้งสี่บานที่ปิดสนิทก็เรืองแสงสีทองขึ้น ไล่ไปตั้งแต่ทิศเหนือวนรอบตามเข็มนาฬิกา ความเร็วถูกเพิ่มขึ้นจนมองดูเหมือนเส้นแสงที่หนุนรอบลานประลอง ก่อนที่มันจะค่อยๆ ช้าลง...ช้าลง และหยุดในตำแหน่งทิศใต้ ประตูบานที่ส่องแสงเปิดออกช้าๆเผยให้เห็นผู้เข้าแข่งขันคนแรก
เส้นผมสีเขียวมรกตปลิวไสวไปตามกระแสลม ดวงตาทั้งสองที่ปิดสนิทค่อยๆลืมขึ้น เผยให้เห็นดวงตาสีดำงามซึ่งทอประกายสีเขียวออกมาวูบหนึ่ง ไอเวทสีเขียวบางเบาน่ามองลอยวนรอบร่างบาง หญิงสาวก้าวเดินออกมาจากประตูช้าๆ อย่างงดงาม ก่อนหยุดอยู่ในมุมของตน มือขาวยื่นไปด้านหน้าในระดับอก เพียงพริบตาก็มีเถาวัลย์งอกขึ้นมาจากพื้นหินอย่างอัศจรรย์ ก่อนสานตัวเป็นคทาปรากฏในมือของหญิงสาว เพียงแค่เธอวาดคทาจากขวาไปซ้ายด้านหน้าก็ปรากฏหมู่มวลดอกไม้ขึ้นบนพื้นสนาม ก่อนต้นไม้ขนาดใหญ่จะแทงยอดทะลุพื้นหินขึ้นมาด้านหลังของเธอ
“สตรีผู้มาพร้อมกับเวทมนตร์แห่งพงไพร วีอา” เสียงพิธีกรประกาศชื่อพร้อมทั้งฉายาที่ได้รับในการแข่งขันของผู้เข้ารอบคนแรก เสียงโห่ร้องของผู้คนทั้งสนามดังขึ้นแทบจะทันที มีหลายต่อหลายคนที่มีโอกาสได้ชื่นชมการต่อสู้อันงดงามของเธอในรอบที่ผ่านมา
บานประตูถัดมาเรืองแสงขึ้นอย่างเจิดจ้าทำให้ทุกคนเงียบเสียงเพื่อรอดูว่าผู้เข้าแข่งอีกคนเป็นใคร ก่อนบานประตูเหล็กจะค่อยๆ เปิดออก
สิ่งแรกที่ผู้ชมเห็นคือดวงตาสีดำภายใต้กรอบแว่นตาอันใหญ่ ชายหนุ่มยกมือขึ้นดันกรอบแว่นเล็กน้อยแล้วก้าวเดินออกมาจากบ้านประตูอย่างเก้ๆกังๆ จนผู้ชมที่เห็นอดสงสัยไม่ได้ว่าพ่อหนุ่มร่างเล็กคนนี้มาทำอะไรบนเวทีแห่งนี้ ชายหนุ่มโบกมือให้กับคนดูเล็กน้อยด้วยท่าทีประหม่า ก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวอีกรอบ เขาเหมือนกับพูดอะไรกับตัวเองอยู่พักใหญ่ แล้วอยู่ๆ ก็ชูมือขึ้นบนฟ้า ลำแสงสีดำพุ่งจากฝ่ามือขึ้นไปเหนือของหัวชายหนุ่มหลายเมตรก่อนจะปะทะเข้ากับบางอย่างจนดังสนั่น ห้วงมิติบริเวณนั้นปรากฏรอยร้าวที่ลากยาวเป็นบริเวณกว้าง ก่อนจะมีบางอย่างพุ่งแหวกออกมาจากรอยแยกจนมันแตกกระจายราวเศษแก้ว ภาพที่เห็นทำเอาผู้ชมอ้าปากค้างเพราะสิ่งที่ปรากฏตัวออกมาคือมังกรสีดำขนาดใหญ่ ที่บินลงมายืนอยู่ด้านหลังชายหนุ่มก่อนโก่งคอคำรามเสียงดัง
“นักรบมังกรผู้ครอบครองมังกรทมิฬ เบฟอส” พิธีกรประกาศชื่อผู้เข้าแข่งคนต่อมา ผู้ชมที่ยังอึ้งกับเจ้ามังกรไม่หายพากันเงียบ ก่อนซักพักจะโห่ร้องกันดังก้องไม่ต่างจากผู้เข้าแข่งคนแรก แค่สองคนแรกก็ทำให้การต่อสู้ในรอบนี้น่าจับตามองแล้ว
ศึกระหว่างผู้ใช้เวทอันสาบสูญกับผู้ใช้มังกรร้ายแห่งอดีตกาล
บานประตูถัดมาเรืองแสงสีทองเรียกความสนใจจากผู้ชมก่อนจะเปิดออกช้าๆ ภายในปรากฏร่างของชายหนุ่มเจ้าของเส้นผมสีดำเงา เขาค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาอย่างสม่ำเสมอมั่นคง ในมือถือดาบยาวเล่มหนึ่งออกมาด้วย ผู้ชมต่างรอการเปิดตัวอย่างใจจดจ่อ แต่ผ่านไปพักใหญ่ชายหนุ่มก็ยังยืนเฉย จนเริ่มมีเสียงพูดคุยจากผู้ชมดังขึ้นอย่างสงสัย
“นักล่าฝีมือดี ซิส” พิธีกรรีบประกาศชื่อผู้แข่งขันเมื่อเห็นว่าผู้ชมเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ ครั้งนี้ไม่มีเสียงโห่ชื่นชมหรือเสียงใดๆ ทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบ ผู้ชมส่วนใหญ่มองข้ามชายหนุ่มไปที่บ้านประตูต่อไปเรียบร้อยแล้ว
ซิสไม่ได้ใส่ใจท่าทางของคนดูมากนัก งานของเขาไม่ใช่สิ่งที่จะถูกชื่นชมอยู่แล้ว ‘นักล่า’ อาชีพที่รับงานเพื่อค่าตอบแทนไม่ว่างานนั้นจะถูกหรือผิด อาชีพแบบนี้มันจะไปมีที่จะมีที่ยืนในกลุ่มของคนที่คิดว่าโลกมีเพียงสีขาวสีเดียวได้อย่างไร
ที่เขาไม่แสดงอะไรเลยก็เพราะไม่ต้องการเปิดเผยความสามารถของตนให้ศัตรูรับรู้เพื่อแลกกับเสียงร้องเชียร์เพียงเล็กน้อย มันไม่คุ้มค่าในความคิดของชายหนุ่ม
บานประตูสุดท้ายทอแสงสีทองเรียกสายตาของผู้ชมทั้งสนามให้จดจ่ออยู่กับผู้เข้าแข่งคนสุดท้าย สิ่งแรกที่เหล่าผู้ชมมองเห็นคือเส้นผมสีฟ้าอ่อนที่ขยับเล็กน้อยเมื่อต้องลม เส้นผมนั้นอยู่ในระดับต่ำกว่าที่หลายคนคาดคิดไว้มาก รอยยิ้มสดใสคือสิ่งต่อมาที่เหล่าผู้ชมได้เห็น เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากคนที่ไม่เคยดูการต่อสู้ของเด็กชายดังขึ้นทันที ที่เห็นว่าผู้เข้าแข่งคนสุดท้ายเป็นแค่เด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ผิดกับเหล่าผู้ชมที่เคยดูการต่อสู้ของเด็กชายที่กำลังเตรียมตัวตะโกนต้อนรับตอนพิธีกรเอ่ยชื่อ ผู้เข้าร่วมคนสุดท้ายยิ้มร่าอารมณ์ดีพร้อมกับโบกมือให้กับคนดูรอบสนาม โดยไม่ได้สนใจพื้นเลยแม้แต่น้อยทำให้สะดุดขอบเวทีจนล้มลงไปกองกับพื้น
ทั้งสนามตกอยู่ในความเงียบจนได้ยินแม้แต่เสียงหายใจอยู่หลายวินาที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงหัวเราะขบขันของคนดู หลายคนถึงกับส่ายหัวไปมา ส่วนเด็กชายที่ล้มลงไปก็ยันตัวลุกขึ้นมานั่งยิ้มเจื่อนๆ ได้อย่างน่ารักน่าชัง
“เด็กน้อยผู้มากับดวง เพน” พิธีกรที่เผลออึ้งไปกับเขาด้วยรีบกลับมาประกาศชื่อผู้เข้าแข่งคนสุดท้าย พร้อมกับเสียงเชียร์ที่ดังขึ้น ถึงจะไม่มากเท่าสองคนแรกแต่ก็ไม่เงียบเท่าคนก่อนหน้านี้ ส่วนฉายาของเด็กชายก็มาจากความไม่แน่นอนของเจ้าสร้อยคอรูปลูกเต๋าบนขอเด็กชายนั้นเอง
“เอาล่ะครับในเมื่อผู้ท้าชิงทุกคนได้ก้าวขึ้นสู่เวทีแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขอเริ่มการแข่งขัน ณ บัดนี้” เสียงตะโกนเชียร์ดังขึ้นจากรอบสนามก่อนที่นักสู้คนใดจะขยับเสียอีก
ความได้เปรียบเสียเปรียบปรากฏขึ้นตั้งแต่ลำดับการก้าวขึ้นมาบนเวทีแล้ว ผู้ที่ได้ขึ้นมาด้านบนก่อนก็มีเวลาสำรวจเวทีและคู่ต่อสู้มากกว่าคนที่ขึ้นมาทีหลัง และก็เป็นดังคาด
คนแรกที่ลงมือวีอาคทาในมือขยับชี้ไปที่ซิสก่อนรากไม้แหลมคมจำนวนมากจะพุ่งขึ้นจากพื้นตรงเข้าใส่ชายหนุ่มผมดำราวกับมีชีวิต แต่ซิสก็เบี่ยงตัวหลบได้อย่างฉิวเฉียดพร้อมกับพุ่งตรงเข้าหาวีอาทันที สำหรับเขาที่เป็นสายโจมตีระยะประชิดสิ่งแรกที่ควรทำคือการเข้าประชิดศัตรู โดยเฉพาะกับนักเวทด้วยแล้วถ้าเขาเข้าประชิดตัวได้โอกาสชนะก็มากถึงหกในสิบส่วน แต่ก่อนจะถึงตัววีอา นักล่าหนุ่มก็ต้องเบิกตากว้างกระโดดถอยหลังหลบหางของเจ้ามังกรดำที่หวดเข้าใส่
เบฟอสที่เห็นศัตรูกำลังเสียจังหวะรีบสั่งให้มังกรของตนพ่นไฟเข้าซ้ำทันที ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งออกจากปากของมังกรดำในเสี้ยววินาทีอย่างไม่ต้องเสียเวลารวมพลังเวทบ่งบอกได้ชัดว่ามังกรตนนี้แข็งแกร่งแค่ไหน แต่แล้วนักรบมังกรก็ต้องเลิกคิ้วเมื่อลูกไฟนั้นถูกดาบในมืออีกฝ่ายฟันขาดเป็นสองซีกก่อนจะสลายไปอย่างง่ายดาย
ซิสชะงักไปหลายวินาทีเพราะต้องตั้งรับการโจมตีของมังกรดำ การที่เขาต้องทำลายลูกบอลไฟขนาดใหญ่นั้นไม่ง่ายดายเหมือนที่ใครหลายคนเห็น ถ้าเลือกได้เขาคงหลบมากว่าที่จะต้องป้องกัน ชายหนุ่มคิดจะขยับตัวเพื่อพุ่งเข้าโจมตีผู้ควบคุมมังกรแต่กลับไม่สามารถทำได้ เมื่อข้อเท้าของเขาถูกเถาวัลย์รัดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ
เบฟอสไม่คิดปล่อยให้เป้านิ่งตรงหน้าได้เป็นอิสระ หางมังกรดำฟาดเข้าใส่ตำแหน่งของซิสดังสนั่น สิ่งที่ตามมาควรจะเป็นแสงสีทองจากอาคมสนามที่ทำงานส่งนักล่าหนุ่มออกจากสนาม การกำจัดศัตรูที่มีโอกาสกำจัดเป็นการสร้างโอกาสชนะ ทันทีที่วีอาเล็งเล่นงานซิส เขาก็ตั้งชายหนุ่มเป็นเป้าหมายแรกทันที การอาศัยช่องว่างที่ถูกสร้างขึ้นเล่นงานศัตรูโดยไม่เปลืองแรงนับว่ามีแต่ได้กับได้ ที่เหลือก็แค่จัดการนักเวทสาวและเด็กน้อยท่าทางไม่ได้ความ มันไม่เกินความสามารถของเขาอยู่แล้ว
แต่แล้วทุกอย่างก็ไม่เป็นดังคิดเมื่อเวทอาคมสนามกับไม่ทำงาน!
“หาฉันอยู่เหรอ” เสียงดังขึ้นด้านหลังของเบฟอสทำให้ชายหนุ่มรีบหันไปตามเสียงพร้อมกับสั่งให้มังกรของเขาพ่นไฟไปยังด้านที่มาของเสียงทันที โดยไม่คิดเสียจังหวะ ในเมื่อศัตรูโง่ขนาดร้องบอกก่อนจะโจมตีเขาก็จะให้บทเรียนความโง่เขลานี้อย่างสาสม
จงถูกแผดเผาและสูญสลายไปด้วยเพลิงอันร้อนระอุเสีย
แต่ภาพที่เห็นคือเปลวไฟอันร้อนแรงที่ทะลุผ่านร่างทั้งสามไปราวกับไม่มีตัวตน ชายหนุ่มเบิกตากว้างรู้ตัวทันทีว่านั่นเป็นภาพลวงตา แต่คิดได้ตอนนี้ก็ช้าไปเสียแล้ว สายลมวูบหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังของเบฟอส ความผิดพลาดในสนามรบแม้เพียงเล็กน้อยนำพามาซึ่งความผ่ายแพ้
ซิสที่ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังของเบฟอสในระยะจู่โจม แทงดาบเข้าใส่ร่างตรงหน้าในตำแหน่งหัวใจ แต่กลับถูกสกัดไว้ด้วยเถาวัลย์เส้นหนึ่ง เขาส่งเสียงขัดใจออกมาเบาๆ กระโดดถอยออกห่างจากบริเวณนั้นเพื่อพักหายใจ เขามั่นใจว่าศัตรูที่เกือบพลาดท่าจะยังไม่รีบโจมตีเข้ามาตอนนี้ และก็เป็นดังคาดเมื่อทั้งนักเวทสาวและนักรบมังกรต่างหยุดนิ่งคุมเชิง
เมื่อกี้เขาก็เกือบไม่รอด ในพริบตาที่เกือบโดนห่างมังกรดำฟาดใส่เขาก็อัดเวทลงในดาบปักลงพื้นทำลายเถาวัลย์ที่พันขาเขาอยู่ก่อนจะกลิ้งตัวหลบ ใช้เวทมายาที่เขาชำนาญสร้างร่างปลอมสามร่างเข้าเล่นงานเบฟอสจากด้านหลัง ส่วนเขาก็หลบอยู่ในมุมอับของเจ้ามังกรดำอย่างชำนาญ อาศัยขนาดตัวที่ใหญ่โตของมังกรดำให้เป็นประโยชน์กับตัวเอง ตามแบบฉบับนักล่าเมื่อต้องต่อสู้กับสัตว์อสูร
สำหรับนักล่าที่ฝึกมาเพื่อสู้กับสัตว์อสูรโดยเฉพาะกับสัตว์อัญเชิญอสูรผลมันแทบจะออกมาตั้งแต่เริ่มสู้แล้ว ติดอยู่ที่ว่านี้ไม่ได้การต่อสู้แบบตัวต่อตัว
แต่ถ้าต้องใช้พลังเวทแบบฉุกละหุกแบบนี้บ่อยๆ เห็นทีเขาก็คงไม่ไหวเหมือนกัน
“ผมพึ่งรู้ว่างานนี้เขาร่วมมือกันได้ด้วย” ซิสเอ่ยขึ้นพร้อมกับคลี่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์
วีอานิ่งไม่ตอบโต้เพราะกำลังใช้สมาธิร่ายเวทระดับสูงเพื่อปิดบัญชีคู่แข่งทั้งหมดบนสนาม ที่เธอต้องยื่นมือเข้าช่วยเบฟอสก็เพราะว่าถ้าเบฟอสโดนจัดการ ด้วยฝีมือระดับซิสเธอคงโดนจัดการเป็นรายต่อไป ยิ่งอีกฝ่ายเป็นพวกที่เน้นความเร็วเธอยิ่งไม่ถนัดที่จะสู้ด้วย เธอคงถูกจัดการได้ก่อนจะร่ายเวทจบบทเสียด้วยซ้ำ และอีกอย่างดูเหมือนเบฟอสจะจ้องจัดการซิสก่อนเหมือนกัน
เธอถือคติที่ว่าศัตรูของศัตรูก็คือมิตรในยามขับขัน
“ถ้าไม่อยากเจ็บตัวก็รีบลงไปซะ ข้าต้องได้ละอองดาวสีรุ้ง” เสียงของเบฟอสดังขึ้น ชายหนุ่มในตอนนี้ไม่ได้มีมาดของหนุ่มน้อยตื่นสนามเหมือนตอนเริ่มแข่งขันอีกแล้ว ทั้งน้ำเสียงและท่าทางดูน่าเกรงขามราวกับอัศวินผู้ชำนาญศึก ยิ่งเมื่ออยู่บนหลังมังกรยักษ์สีดำยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูโดดเด่น
ซิสมองลึกเข้าไปในแววตาของเบฟอสก็เห็นว่ามันมีประกายอำมหิตของสัตว์ร้ายซ่อนอยู่ มันเหมือนกับแววตาของมังกรดำซ้อนทับเข้าไปอยู่ในแววตาของนักรบหนุ่ม มองแค่นั้นซิสก็พอเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่เบฟอสที่ควบคุมมังกรแต่เป็นมังกรดำนั้นต่างหากที่ควบคุมผู้ขี่
ถ้าแบบนั้นเรื่องก็ง่ายขึ้น...
“งั้นถ้าฉันร่วมมือกับเด็กนั้นบ้างคงไม่ผิดสินะ” ซิสกล่าวพร้อมกับเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ เหลือบตามองไปอีกด้านของเวทีภาพที่เห็นทำเอาชายหนุ่มอยากเขกหัวเพนซักหลายๆ ที
สิ่งที่เขาเห็นคือเด็กชายผมฟ้ายังคงนั่งสบายอารมณ์อยู่บนพื้น ดวงตาสีฟ้าอ่อนมองสลับกันไปมาระหว่างผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ดูแล้วเหมือนเด็กชายมานั่งชมการแข่งขันซะมากกว่ามาแข่งขัน แต่มันเป็นการนั่งชมถึงในเวทีชนิดอภิมหากิตติมศักดิ์เลยทีเดียว
และเด็กชายคงจะได้นั่งเป็นอุปกรณ์ประกอบฉากไปอีกนาน ถ้าซิสไม่ดันใจดีโยนงานชิ้นโตมาให้เพน
“ฉันจะถ่วงเวลาให้ นายร่ายเวทธาตุแสงขั้นสูงแบบที่ใช้เมื่อรอบที่แล้วจัดการเจ้ามังกรนี้ก่อนส่วนนักเวทอีกคนฉันจัดการเอง แล้วเราค่อยมาสู้กัน”
“ด...ได้ฮะ” เพนตอบรับแบบงงๆ ก่อนหันหน้าไปมองมังกรตัวโตซึ่งซิสบอกให้จัดการ ตอนนี้มันกำลังจ้องเขม็งมาที่เขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร...ไม่ใช่แล้วล่ะ เขาใช้เวทมนตร์อะไรแบบนั้นได้ที่ไหนกัน! มานึกได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วทันทีที่ตอบตกลงรับข้อเสนอ ร่างของมังกรดำก็อ้าปากกว้างพุ่งเขามาทันที
เมื่อเห็นท่าทางที่จะพุ่งเข้ามางาบเขาไปกินเป็นอาหารว่างของเจ้ามังกรยักษ์ เด็กชายก็ต้องรีบยกมือขึ้นกุมสร้อยคอรูปลูกเต๋าบนคอทันที ภาวนาในใจขอให้สุ่มได้อะไรดีๆ ที่จะช่วยให้เขารอดจากการตกเป็นอาหารว่างของมังกรดำ ลูกเต๋าในมือทอแสงจ้า เด็กชายรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งเวลาอยู่ในแสงนี้
“มังกรแสง” เสียงเพนพึมพำกับตัวเองเบาๆ ทวนคำที่ดังขึ้นมาในหัวที่บอกถึงสิ่งที่เขาสุ่มได้ เด็กชายคิดย้อนไปถึงอดีต เมื่อก่อนเขาก็เคยสุ่มได้เจ้ามังกรตัวน้อยสีขาวสว่างจ้านี่ มันตัวเล็กๆ น่ากอดแถมยังเชื่องเป็นที่สุด คิดแล้วเด็กชายก็อดคิดถึงมันในตอนนั้นไม่ได้ ใช่ ในตอนนั้น...
แต่...ตอนนี้มันดันโตขึ้นมาซะจนน่าตกใจแล้วนะสิ!
โครม!
เสียงดังสนั่นเมื่อร่างของมังกรดำกระเด็นไปชนเข้ากับกำแพงล่องหนที่กั้นรอบสนามประลองเข้าอย่างจัง ลำแสงแสงสีขาวที่ออกจากลูกเต๋าของเพนและชนเจ้ามังกรดำจนกระเด็น กระจายตัวแตกออกกลายเป็นมังกรสีขาวขนาดใหญ่พอๆ กับเจ้ามังกรดำ มังกรแสงบินขึ้นสูงเหนือหัวผู้เป็นนายก่อนอ้าปากกว้างรวบรวมละอองเวทสีขาวอยู่เพียงไม่กี่วินาที ก็ปลดปล่อยลำแสงสีขาวเข้าใส่มังกรดำที่ไม่ทันตั้งตัวส่งทั้งมังกรและเจ้านายกลายเป็นแสงสีทองลอยออกนอกเวทีแพ้ไปแบบไม่ทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำ จนคนดูหลายคนถึงกับอ้าปากค้างกับพลังทำลายล้างของลำแสงสีขาวที่จัดการมังกรดำสัตว์ร้ายในตำนานได้อย่างง่ายดาย
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วลำแสงนั้นไม่มีพลังมากพอที่จะจัดการเจ้ามังกรดำได้เลย อย่างมากก็ทำให้มันบาดเจ็บได้เล็กน้อยเท่านั้น แต่สำหรับมนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนหลังของมังกรดำพลังทำลายของลำแสงสีขาวนี้มากพอที่จะทำลายร่างนั้นจนไม่เหลือเศษซาก และเมื่อผู้เรียกถูกจัดการสัตว์อสูรอัญเชิญก็ต้องหายไปอย่างไม่อาจแสดงพลัง
ระหว่างที่ทุกคนกำลังตกตะลึงคมดาบของซิสก็ฟันร่างของวีอาจนกลายเป็นแสงพุ่งออกนอกเวทีไปเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีคนทันสังเกตด้วยซ้ำ
“แล้วเอายังไงต่อดีฮะ” เพนถามซิสที่ยืนอยู่ไม่ไกล มังกรแสงยังคงบินวนเวียนอยู่ด้านบน แต่มั่นใจได้เลยว่าลำแสงสีขาวจะทำลายร่างของซิสได้ก่อนที่จะได้มีโอกาสได้ใช้ดาบในมือแน่นอน ถ้าชายหนุ่มมีที่ท่าว่าจะเข้าทำร้ายเจ้านายของมัน
“ฉันยอมแพ้” ซิสเอ่ยเสียงเรียบลดดาบในมือลงข้างลำตัว ตามกฎแล้วเขาทำร้ายผู้ว่าจ้างไม่ได้ อีกอย่างจิตสังหารที่เจ้ามังกรด้านบนส่งมาที่เขาไม่หยุดหย่อนก็ทำเอาขนลุก แต่ไม่ว่าใครจะชนะผลก็เหมือนกันคือได้ละอองดาวสีรุ้งตามที่ต้องการ ผลของการประกาศยอมแพ้ทำให้ร่างของชายหนุ่มกลายเป็นแสงออกนอกเวที
เสียงเฉลิมฉลองดังขึ้นทันทีเมื่อเหลือนักสู้เพียงหนึ่งเดียวยืนหยัดอยู่บนสนามประลอง การมอบรางวัลและฉลองกินเวลาร่วมชั่วโมงในที่สุดเด็กชายก็ได้ขึ้นไปรับวัตถุดิบอย่างสุดท้ายที่เขาต้องการ โดยมีมังกรสีขาวบินวนไปรอบๆ บริเวณ ร่วมฉลองความสำเร็จของผู้เป็นนาย รวมทั้งเป็นการประกาศให้ทุกคนที่มีความคิดแย่งชิงของรางวัลหยุดความคิดนั้นซะ
“น่ากินไหมฮะ” เพนพูดเสียงใสมือทั้งสองข้างประคองถ้วยเล็กๆ ที่ใส่น้ำแข็งจนพูนถ้วย ข้างๆ ตกแต่งด้วยผลของต้นเยือกแข็งที่หั่นเป็นแผ่นบางๆ ด้านบนสุดโรยด้วยผงของละอองดาวสีรุ่งที่เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ มองดูสวยงามและน่ารับประทานในเวลาเดียวกัน ทั้งมันยังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของใบเรดเฟรมที่ชวนให้เจริญอาหารอีกด้วย
ตื่นเช้ามาเพนใช้เวลาหลายชั่วโมงในครัวของโรงแรมกว่าจะได้ขนมหวานถ้วยนี้มา เด็กชายต้องลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง ยังดีที่ชื่อเสียงของการชนะในงานประลองทำให้เหล่าพ่อครัวเต็มใจที่จะช่วยแนะนำหลายอย่างให้เด็กชาย จนสำเร็จออกมาเป็นขนมหวานตรงหน้า
“ก็น่ากินดี” ซิสตอบกลับไป ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบพวกของหวานเท่าไหร่แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าขนมตรงหน้ามันน่ากินซะเหลือเกินจนชวนให้น้ำลายไหล โดยเฉพาะกลิ่นหอมอ่อนๆ จากใบต้นเรดเฟรมที่ปกติมักเอาไว้ใช้หมักเพื่อเพิ่มความหอมให้กับอาหารแต่เด็กชายกับใช้มันในปริมาณเล็กน้อยโรยมาด้านบน ทำให้ของหวานตรงหน้ามีกลิ่นหอมที่ชวนให้ท้องร้อง
“ผมให้พี่ซิสชิมก่อนเลยคนแรก ผมยังไม่ได้กินเลยนะฮะเนี่ย” เพนวางถ้วยขนมลงตรงหน้าซิสพร้อมกับปักช้อนให้หนึ่งคัน
“จะใช้ฉันเป็นหนูลองยาก็พูดมาตรงๆก็ได้”
“อย่าพูดแบบนั้นสิฮะ...” เพนพูดพร้อมกับทำแก้มป่องอย่างงอนๆ ก่อนจะยิ้มร่าออกมา “...ถึงมันจะจริงก็เถอะ ก็มันน่ากินแต่ไม่แน่ใจว่าจะกินได้ไหมนี่ฮะ พี่ซิสชิมให้หน่อยนะฮะ”
ซิสถอนหายใจก่อนตักมันเข้าปากมาหนึ่งคำ ความเย็นของน้ำแข็งแผ่ซ่านไปทั่วปาก กลิ่นหอมของใบเรดเฟรมเมื่ออยู่ในปากก็ยิ่งส่งกลิ่นหอมชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อน้ำแข็งละลายเขาก็รู้สึกได้ถึงรสหวานเล็กน้อยอันเป็นเอกลักษณ์ของผลเยือกแข็ง ทำให้เขารู้ทันทีว่าเด็กชายคั้นน้ำของผลเยือกแข็งมาแช่แข็งก่อนนำมาทำให้เป็นฝอย ความรู้สึกต่อมาคือเกล็ดแข็งๆ ของ ละอองดาวที่ตอนแรกเหมือนจะไม่ละลาย แต่พอสัมผัสกับลิ้นซักพักมันกลับค่อยๆ ละลายให้รสชาติที่เปลี่ยนไปเจ็ดแบบอย่างช้าๆ
“อร่อยไหมฮะ”
ซิสเรียกสติกลับมาจากรสชาติที่ทำให้เขาราวกับได้ล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์ ก่อนจะรีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ กระแอมไอเล็กน้อยอย่างว่างท่า
“ก็อร่อยดี”
“ดีจังเลยฮะ งั้นก็ให้ฟรอสกินได้แล้ว”
“แล้วรีบทำแบบนี้กว่าจะกลับถึงบ้านมันไม่ละลายหมดหรือไง” ซิสถามพร้อมกับเนียนตักขนมตรงหน้าใส่ปากไปอีกหนึ่งคำ เขาไม่ได้กินขนมอร่อยๆ แบบนี้นานขนาดไหนแล้วนะ
“ผมเรียกมาได้ฮะ...” เพนพูดพร้อมกับมองพื้นรอบตัว ก่อนจะเห็นว่ามีบริเวณหนึ่งที่เป็นที่เรียบๆ โล่งๆ เด็กชายก็ขยับไปอยู่ตรงนั้นทันที ก่อนจะใช้นิ้วที่กำลังเปียกขีดเขียนอะไรบ้างอย่างลงบนพื้น ซิสที่มองดูอยู่พร้อมกับขนมเต็มปากรู้ได้ทันทีว่านั้นคือวงเวท พอเขียนเสร็จเพนก็กดมือลงไปกึ่งกลางของวงเวท
ซิสเหลือบตามองพลังเวทบริสุทธิ์สายหนึ่งที่ลอยออกจากกระเป๋าเวทของเขาลงไปที่วงเวทบนพื้น ก่อนวงเวทนั้นจะเรืองแสงจ้าแล้วค่อยๆ ปรากฏร่างของลูกหมาตัวกลมๆสีขาวสะอาดหนึ่งตัว ดวงตาสีฟ้าของเจ้าหมาน้อยจ้องมองที่เขาอย่างหาเรื่อง ใบหูตั้งตรงขยับไปมาเมื่อถูกมือเล็กๆ ลูบหัว
“อย่าบอกนะว่านี้คือเพื่อนที่นายพูดถึง” ซิสจ้องมองหน้าเจ้าหมาน้อยสลับกับผู้ว่าจ้าง
“ใช่เลยฮะ ขอแนะนำให้รู้จักนี้ฟรอสเพื่อนของผมเองฮะ” เพนยิ้มร่าอุ้มเพื่อนสนิทของเขาขึ้นมาโชว์ให้ซิสดูอย่างภูมิใจนำเสนอเป็นที่สุด ก่อนจะปล่อยมันลงแล้วดึงถ้วยขนมไปให้เจ้าหมาตัวน้อยกิน ตอนแรกมันดมเล็กน้อยทำเหมือนจะไม่กินแต่ก็กินจนหมดอย่างรวดเร็ว ส่งให้คนทำยิ้มร่า เด็กชายรับรู้ได้ถึงพลังบางอย่างที่เชื่อมโยงเขาเอาไว้กับฟรอสทันทีที่ทำตามขอแลกเปลี่ยนสำเร็จ
แบบนี้เขาก็ได้เป็นเจ้าของฟรอสอย่างเต็มตัวแล้ว
“นายหลอกให้ฉันชิมอาหารหมาเหรอ” ซิสกดเสียงลงต่ำอย่างน่ากลัวยกมือขึ้นกำแน่นเตรียมเขกหัวเจ้าเด็กแสบที่หลอกให้เขากินอาหารหมา ถึงมันจะอร่อยจนก็เถอะ แต่ยังไงก็รับไม่ค่อยได้อยู่ดี
พริบตานั้นอยู่ๆ เขาก็รู้สึกถึงจิตสังหารจากด้านหลัง ดาบคู่ใจปรากฏขึ้นในมือทันทีหันไปเตรียมตั้งรับการโจมตีที่กำลังจะมาถึง ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นเผชิญหน้ากับแขกไม่ได้รับเชิญในชุดคลุมสีดำอย่างรวดเร็ว ความกดดันที่แผ่ออกมาจากผู้บุกรุกทำให้รู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าฝีมือไม่ธรรมดา ไม่แปลกเลยที่จะเข้ามาใกล้ตัวเขาได้ขนาดนี้โดยไม่รู้สึกตัว แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรอยู่ๆ เสียงของเพนก็ร้องขึ้น
ซิสรีบหันไปมองอย่างลืมตัว ทั้งที่ไม่ควรละสายตาจากผู้บุกรุกแม้แต่วินาทีเดียว ภาพที่เห็นคือเด็กชายผมฟ้าที่ถูกผู้อยู่ในชุดคลุมสีดำอีกคนบีบคอลอยขึ้นจากพื้น มือและเท้าเล็กๆพยายามต่อสู้ดิ้นรนสุดกำลัง ชายหนุ่มคิดจะพุ่งเข้าไปช่วย ชั่ววินาทีที่เขาเสียสมาธิร่างทั้งร่างก็ถูกกดลงกับพื้น ราวกับมีน้ำหนักมหาศาลกดลงมาบนตัว ชายหนุ่มทำได้แค่นอนนิ่งติดพื้น มองดูเพนที่พยายามดิ้นไปมาอย่างเจ็บใจ เด็กชายดิ้นอยู่นานก่อนจะนิ่งไป ทำเอาซิสใจเสียคิด
ชายหนุ่มทำได้แค่กัดฟันแน่นไม่อาจทำได้แม้แต่ตะโกนคำใดๆ ออกมาเมื่อแรงกดบนตัวเพิ่มขึ้นราวกับจะป่นร่างเขาให้เป็นผุยผง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อเห็นผู้ที่จับเพนเอาไว้หยิบมีดปลายแหลมลวดลายประหลาดที่แผ่ไอสีเทาจางออกมาถือไว้ในมือ ก่อนจ่อมันไปที่ตำแหน่งหัวใจของร่างเล็ก แค่ออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นมีดในมือก็คงเสียบทะลุหัวใจของเพน
ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย เขากลับรู้สึกห่วงเด็กชายมากกว่าชีวิตของเขาเสียอีก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขายึดมั่นในหน้าที่หรือเพราะสิ่งใดกันแน่....
ก่อนที่ซิสจะสิ้นสติเพราะความเจ็บปวดจากทั่วร่างที่มากเกินรับไหว อยู่แรงกดก็หายไปซะเฉยๆ ชายหนุ่มรีบกำดาบคู่ใจแน่น อาศัยโอกาสที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พุ่งเข้าตัวตั้งใจจะช่วยไปเพน แค่คนเดียวเขาก็ไม่มั้นใจซักนิดว่าจะชนะ แล้วนี้มากันถึงสอง ตอนนี้ที่เขาทำได้คงมีแต่ต้องพาเพนหนีไปก่อนเท่านั้น
แต่พอหันไปมองในตำแห่งที่เพนอยู่ก็ต้องชะงักเมื่อเด็กชายถูกใครคนหนึ่งอุ้มอยู่
เส้นผมสีดำยาวปลิวไสวไปตามสายลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่างของห้อง มันพัดเอากลิ่นหอมของดอกไม้จากร่างหญิงสาวมาปะทะใบหน้าของซิสและฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ใบหน้าเกลี้ยงเกลาได้รูปมองดูสวยงามโดดเด่น ชุดยาวรัดรูปสีดำ ทำให้เธอผู้มาใหม่มองดูลึกลับราวกับราตรีกาล บรรยากาศรอบตัวของหญิงสาวดูมืดมัวด้วยไอสีดำแผ่ออกจากร่างขาวแทบตลอดเวลา เว้นไว้เพียงรอบตัวของร่างเล็กในอ้อมแขนที่มีละอองสีทองปกคลุม
ซิสกำดาบแน่นเตรียมช่วยเหลือผู้ว่าจ้างของเขา แต่พอสังเกตเห็นสายตาอ่อนโยนของหญิงสาวที่มองไปยังร่างของเด็กน้อยในอ้อมแขนเขาก็รู้ทันทีมาอีกฝ่ายไม่ได้มาร้ายจึงลดอาวุธลง แต่อยู่ๆ สายตาที่เคยอ่อนโยนก็ตวัดมามองเขาอย่างแข็งก้าว จิตสังหารมากมายพวยพุ่งออกมาจนอัดแน่นไปทั่วห้องสะกดเขาไว้จนไม่อาจขยับแม้แต่ปลายนิ้ว แม้จะหายใจเข้าออกก็ยากเย็นเสียเหลือเกิน
หญิงสาวก้าวเดินเชื่องช้าเข้ามาหาเขา แต่สำหรับชายหนุ่มสิ่งที่กำลังเข้ามาคือความตายที่กำลังคืบคานเขาหาเขาอย่างช้าๆ ทุกอย่างก้าวดังก้องสะท้อนไปมาในหัวของเขา ความกลัวสุดขัวหัวใจผุดขึ้นมาแทนที่ทุกความรู้สึก แค่สบกับดวงตาสีดำเงาตรงหน้าก็ราวกับว่าเขาตกอยู่ในความตายไปเรียบร้อยแล้ว ความตายที่ไม่ว่าจะขัดขืนเช่นไหร่ก็ไม่อาจหนีพ้น
แต่แล้วหญิงสาวก็เดินเลยเขาไป ที่แท้เป้าหมายของจิตสังหารนั้นไม่ได้มุ่งมาที่เขาโดนตรง แต่เป็นผู้ที่อยู่ด้านหลังของเขา พอเริ่มขยับตัวได้บ้างซิสก็รีบพุ่งตัวเข้าไปดูร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียง มือของชายหนุ่มรีบวัดชีพจร แล้วก็มีสีหน้าโล่งอก แต่พอสังเกตดูแล้วกับพบว่ามือของเขากำลังสั่นหนักอย่างไม่อาจห้ามได้ ความกลัวเมื่อครู่ยังคงประทับอยู่ในจิตใจของเขาอย่างยากที่จะให้หายไปได้ในเร็ววัน
หญิงสาก้าวเท้าสม่ำเสมอเข้าหาร่างในชุดคลุมดำทั้งสองที่ปลดปล่อยพลังเวทมหาศาลออกมาสร้างเป็นโล่โปร่งใสเพื่อขวางกั้นจิตสังหารของเธอ แต่หญิงสาวหาได้ใส่ใจยังคงเดินช้าๆ เขาหาอีกฝ่าย
แมลงต่ำค่าจะยอมรับความตายโดยดุษณีหรือต่อสู้ขัดขืนผลมันก็ไม่ต่างกัน พอเดินผ่านโล่ป้องกันที่แตกละเอียดเข้าไปจนชิดร่างทั้งสองเธอก็ขยับหน้าไปกระซิบบางอย่างกับทั้งสอง ก่อนร่างในชุดดำทั้งสองจะสูญสลายหายไป ไม่เหลือทิ้งไว้แม้แต่วิญญาณ
“ที่แท้นายก็เก็บไข่มุกดำไว้นี้เอง ไม่น่าละพวกนั้นถึงเล่นงานเขาได้” หญิงสาวหันกลับมากล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ ในมือปรากฏไข่มุกสีดำเงา ดวงตานั้นกลับมาอ่อนโยนอีกครั้ง ไอสีดำที่เคยแผ่ออกจากร่างกายหายไปโดยสิ้นเชิงพร้อมกับบรรยากาศในห้องที่กลับเป็นปกติ เธอสาวเท้าเข้าใกล้เตียงโดยไร้สุ่มเสียง
“คุณ....” ซิสกำลังจะเอ่ยปากถามว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่อยู่ๆ ใบหน้านั้นก็ขยับวูบมาอยู่ตรงหน้าเขาในระยะประชิด ก่อนจะโน้มลงมาเรื่อยๆ เขาอยากหลบใจจะขาดแต่ร่างกายกับไม่ทำตามคำสั่งแม้แต่น้อย ได้แต่มองใบหน้าสวยงามที่ขยับเข้าใกล้เรื่อยๆ ดวงตาดำเงาจ้องลึกมาในดวงตาของเขาราวกับมองทะลุเขาไปถึงจิตวิญญาณ ก่อนที่หน้าผากของเขาจะสัมผัสกับหน้าผากอุ่นๆ ตรงหน้า ชั่ววินาทีใบหน้านั้นก็ถอยห่างออกไป
ซิสก้มหน้าลงพยามปิดบังใบหน้าที่แดงขึ้นมาอย่างเขินอาย ไม่รู้ตัวเลยซักนิดว่าความกลัวที่ราวกับฝังแน่นในจิตใจของเขาได้หายไปจนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่ทำให้หัวใจเต้นแรงผิดปกติ
“ฉันมีข้อเสนอ ไข่มุกดำเม็ดนี้ถึงฉันจะไม่ใช่คนสร้างมัน แต่ก็พอรู้จักคนที่จะดัดแปลงมันให้เข้ากับดาบของนายได้ เรื่องนั้นฉันจะจัดการให้ และฉันจะแถมที่อยู่ของนักเวทที่ใช้หมู่บ้านของนายเป็นเครื่องสังเวยให้....” หญิงสาวเว้นจังหวะเพื่อรอฟังอีกฝ่าย
“แลกกับอะไร” ซิสรู้ว่าของฟรีไม่มีในโลกนี้ ขอเสนอของอีกฝ่ายดีเกินไปนั้นหมายถึงมันต้องแลกมาด้วยอะไรที่มหาศาล เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้ความต้องการของเขาได้อย่างไร แต่เขารู้สึกเหมือนความทรงจำถูกรื้อค้นตอนที่หน้าผากของเขาสัมผัสกับหน้าผากของอีกฝ่าย
“งานง่ายๆ แค่นายช่วยบอกน้องชายฉันตามที่ฉันพูดอย่าให้ขาดตกแม้แต่คำเดียว แล้วก็ทำหน้าที่แทนไข่มุกดำเม็ดนี่”
“ทำหน้าที่แทนไข่มุกดำ?” ซิสเอ่ยขึ้นอย่างไม่เข้าใจ ไข่มุกดำเม็ดมีหน้าที่อะไรกัน
“ปกป้องเพน ปกป้องน้องชายของฉัน ทำในสิ่งที่ฉันไม่อาจทำได้....”
“ผมเนี้ยนะฮะมีพี่สาว” เพนทำหน้าจริงจังกับเรื่องพี่สาวที่มาช่วยเขาไว้ซึ่งซิสเล่าให้ฟังเมื่อซักครู่ ในอ้อมแขนของเด็กชายกอดสัตว์อสูรสีขาวสะอาดภายใต้พันธะสัญญาของเขาเอาไว้หลวมๆ เด็กชายจำได้ลางๆ ว่าโดนใครก็ไม่รู้บีบคอจนสลบไป หลังจากนั้นก็รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนนี้
พอตื่นขึ้นมาซิสก็มาเล่าเรื่องพี่สาวให้ฟัง แล้วจะไม่ให้เขางงได้ยังไง ตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นเคยรู้เลยว่าตัวเองมีพี่สาว หรือว่าซิสจะแค่แกล้งเขาเล่นกัน
“ใช่ฉันขอเอาหัวเป็นประกัน แล้วนายไม่สงสัยบ้างเลยหรือไงว่าใครให้ของขวัญวันเกิดนายทุกปี”
เพนส่ายหน้าแทนคำตอบ เด็กชายไม่เห็นจะเคยสนใจเรื่องพวกนั้นเลยซักนิด แต่ละครั้งที่ได้ของขวัญพิเศษจากคนปริศนามาเขาก็มักยุ่งอยู่กับการหาวิธีเล่นไปหลายเดือนกว่าจะเล่นเป็น เลยไม่ทันได้คิดตามหาคนให้ แต่ถ้าพี่สาวเขาเป็นคนให้ของพวกนี้ เขาก็อยากเจอพี่สาวตัวเองซักครั้ง
“ผมอยากเจอพี่สาวฮะ”
“พี่นายก็บอกว่านายต้องพูดแบบนั้นเลยฝากนี้มาให้” ซิสพูดพร้อมกับส่งกระดาษสีดำให้เพน
เด็กชายรับมันไปเปิดอ่านด้านในเป็นตัวหนังสือสีขาวที่ขึ้นหัวไว้แค่ไม่กี่บรรทัดส่วนที่เหลือเป็นชื่อวัตถุดิบมากมาย จนชวนตาลาย ก่อนจะลงท้ายว่าให้เขาเอาพวกมันไปทำอาหารหนึ่งมื้อแล้วพี่เขาจะกลับไปร่วมโต๊ะที่บ้าน
“ผมต้องไปคุยกับพ่อแม่ก่อน แค่หนีออกมาพ่อกับแม่ก็เสียใจแย่แล้วฮะ” เพนตอบเสียงเบาทั้งๆ ที่อยากเจอพี่สาวใจแทบขาดแต่แค่เขาหนีออกมาหาวัตถุดิบทำอาหารให้ฟรอสก็แย่พอแล้วถ้าหนีหายไปอีก พ่อกับแม่เขาคงเสียใจแน่ๆ
วัตถุดิบมากมายขนาดนี้เขาต้องใช้เวลาเท่าไหร่กันถึงจะหาครบ
“รู้แล้วก็ยังทำ....” ซิสเอ่ยเสียงดุ ก่อนจะถอนหายใจออกมายาวเหยียด “...นายคิดว่าตอนที่ตัวเองสลบไปเป็นอาทิตย์ใครเป็นคนดูแลกัน”
“ก็พี่ซิสไงฮะ หรือว่าพี่สาวผม” เพนกล่าวขึ้นสายตามองสำรวจรอบห้อง หวังเล็กๆ ว่าพี่สาวเขาอาจจะแอบอยู่แถวนี้ แต่แล้วก็ได้แต่ทำหน้าเศร้า ก็ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นหน้าพี่สาวตัวเองซักครั้ง เพราะงั้นถึงพี่สาวมายืนอยู่ตรงหน้าตอนนี้เขาก็ไม่มีทางรู้เลย คิดแล้วเด็กชายก็อดเสียดายไม่ได้ที่ตัวเองดันรีบสลบไปเสียก่อนเลยอดเจอพี่สาว
“พ่อกับแม่นายต่างหาก” ซิสพูดพร้อมกับทำหน้าแหยง เมื่อนึกถึงตอนที่เกือบถูกพ่อกับแม่ของเพนฆ่าทิ้งตอนที่พวกท่านมาถึงที่นี่แล้วเจอเขาอยู่กับเพนที่สลบอยู่ พ่อแม่ของเพนไม่ธรรมดาสุดๆ ยืนยันได้จากการเดินทางมาที่นี่โดยใช้เวลาแค่ครึ่งวันนับจากที่เขาส่งข่าวไปให้
กล่าวจบชายหนุ่มก็เดินไปเปิดประตูห้องเผยให้เห็นร่างของชายหญิงคู่หนึ่งที่จ้องหน้าเขาราวกับจะกินหัวจนชายหนุ่มต้องยิ้มเจื่อนก่อนเดินหลบออกไป
เพนส่งยิ้มแห้งๆ ให้กับพ่อแม่ของเขาที่กำลังทำหน้าบึ้ง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด เขาคงจะโดนดุแน่ๆ ที่กล้าหนีออกจากบ้าน
“ขอโทษฮะ”
“มันน่าทำโทษจริงๆ เลยเจ้าลูกคนนี้” เสียงผู้เป็นแม่กล่าวขึ้นขณะเดินเข้ามาในห้องก่อนนั่งลงข้างๆ ลูกชายตัวน้อยของเธอ สีหน้าแสดงออกชัดว่าไม่พอใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความโล่งใจที่ลูกชายของเธอตื่นขึ้นมาเสียทีหลังจากหลับไปหนึ่งอาทิตย์เต็ม
“เอาน่า เพนอุตส่าห์วางแผนได้ขนาดนี้แถมยังสำเร็จอีก คุณน่าจะดีใจนะที่ลูกเราเก่งขนาดนี้” ผู้เป็นพ่อกล่าวอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับใช้มือขยี้ไปมาบนกลุ่มผมสีฟ้าอ่อนของลูกชายที่ได้มาจากผู้เป็นแม่ ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ช้อนขึ้นมามองเขานี้ก็เช่นกัน
น่าตลกดีลูกชายกลับได้แม่ไปเต็มๆ ส่วนลูกสาวกับได้พ่อเสียอย่างงั้น
“ฉันรู้นะว่าคุณรู้เห็นแผนการของลูกแต่ปิดปากเงียบ” หญิงสาวตวัดดวงตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองผู้เป็นสามีทันที ผู้เป็นสามีหัวเราะในลำคอเบาๆ
“ก็คุณไม่ใช่เหรอที่จับได้ก่อนผมอีกตอนที่ลูกหายเข้าไปค้นหนังสือในห้อง”
เพนนิ่งเงียบได้แต่มองหน้าพ่อทีแม่ทีสลับกันไปมา ถ้ารู้กับแล้วแบบนี้เขาคงไม่โดนทำโทษแล้วใช่ไหม คิดได้แบบนั้นเด็กชายก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ก่อนจะต้องหุบยิ้มเมื่อทั้งพ่อและแม่ปรามขึ้นพร้อมกัน
“ไม่ต้องมายิ้มเลยเจ้าตัวดี”
“ขอโทษฮะ”
“อย่างที่ 23 น้ำพุสีทอง” เพนพูดเสียงใสจ้องมองน้ำสีทองที่เขาตักขึ้นมาใส่ขวดแก้วขนาดเล็กไว้สามขวด เด็กชายเก็บมันใส่กระเป๋าเวท ก่อนจะลูบหัวมังกรสีขาวของเขาอย่างแผ่วเบา ถ้าไม่ได้มังกรสีขาวตัวนี้ช่วย ไม่มีทางเลยที่เวลาแค่สามเดือนที่พ่อแม่เขาให้มาจะทันกับวัตถุดิบกว่าสามสิบชนิดที่เขาต้องหาจากทุกมุมโลก
ก็คิดดูซิขนาดแค่สามอย่างเขายังใช้เวลาตั้งหนึ่งเดือน แล้วนี้สามสิบอย่างแค่สามเดือนมันจะไปพอได้อย่างไร นอกเสียจากว่าเขาจะบินไปไหนมาไหนได้ นี่ถ้าไม่ได้ลูฟเจ้ามังกรขาวตัวโตที่บางทีก็ออกมาแบบตัวเล็กช่วยเข้าไว้ล่ะก็งานนี้คงแย่
“ถ้านายมีเวลาว่างขนาดมานั่งลูบหัวมังกรเล่นก็ช่วยมาจัดการกับวัตถุดิบลำดับที่ 24 หน่อย” เสียงของซิสดังขึ้นเบื้องหน้าของชายหนุ่มมีหมูป่าขนาดตัวสูงกว่าสองเมตรที่จ้องแต่จะเอาเขี้ยวแหลมๆ เสียบเขาให้ทะลุ
ซิสนั้นกำลังสู้อยู่กับหมูป่าหนังเหนียว สัตว์อสูรที่มีความยากในการล่าอยู่ในระดับง่าย ซึ่งก็จริงดังที่ระบุไว้ เพราะมันสามารถถูกจัดการได้อย่างง่ายดายด้วยเวทไม่กี่บทของเหล่านักเวท หรือต่อให้ไม่ใช่นักเวทขอแค่มีอุปกรณ์เวทมนตร์ระดับกลางซักชิ้นสองชิ้นก็จัดการได้แล้ว
แต่เรื่องตลกร้ายคือซิสไม่มีทั้งสองอย่างเพราะถูกบังคับให้เอาติดตัวมาแค่ดาบเล่มเดียว ซึ่งมันไม่อาจระคายผิวหนาๆของสัตว์ตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย ดวงตาที่ควรจะเป็นจุดอ่อนให้เขาจัดการก็ดันไม่มี เพราะเจ้าตัวนี้เหมือนจะพิการโดยกำเนิด
เพนเบ้หน้าหันไปมองซิส
“ก็เราตกลงกันแล้วว่าถ้าเป็นสัตว์พี่ซิสจะเป็นคนจัดการไงฮะ”
นักล่าหนุ่มกัดฟันแน่น ทีแรกกะคิดไว้ว่าจะให้เจ้านักเวทนั่นได้ลิ้มรสดาบของเขาเป็นคนแรกแท้ๆ แต่เห็นทีว่าคงไม่ได้เสียแล้ว ขืนเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่าง คงไม่มีชีวิตรอดไปแก้แค้นเป็นแน่ คิดแล้วก็น่าโมโหเพราะตำแหน่งของเจ้านั่นที่พี่สาวของเพนให้มามันดันอยู่คนละซีกโลก เขาเลยต้องเก็บความแค้นนี้เอาไว้ก่อน
ไหนๆ ก็ไหนๆ ขอหาที่ละบายหน่อยก็แล้วกัน
“ปลดผนึก” คำกล่าวแผ่วเบาดังขึ้น ดาบในมือชายหนุ่มที่ตอนนี้ถูกปรับปรุงให้เป็นอุปกรณ์เวทระดับสูงตอบรับด้วยการเรืองแสงสีทอง ไข่มุกดำเม็ดหนึ่งที่ปลายด้ามจับปลดปล่อยละอองแสงสีทองออกมา ก่อนใบดาบสีเงินจะถูกเคลือบทับด้วยสีทองในชั่วพริบตา พลังเวทมหาศาลราวกับไม่มีวันหมดสิ้นไหลออกมาจากไข่มุกดำเข้าอาบใบดาบ บางส่วนที่ไม่อาจจับตัวบนดาบได้ก็แตกเป็นละอองสีทองลอยไปรอบบริเวณ
บาดแผลเล็กน้อยบนท่อนแขนสมานตัวอย่างรวดเร็วจนหายเป็นปกติ พลังกายที่เหือดหายจากการต่อสู้ถูกเติมเต็ม เขารู้สึกได้ถึงประสาทสัมผัสที่แผ่ขยายของไปตามขอบเขตละอองเวทที่กำลังฟุ้งกระจาย เขารับรู้ได้ชัดเจนถึงร่างของหมู่ป่าที่พุ่งเข้ามา รับรู้ได้แม้แต่ลมหายใจ ได้ยินแม้จังหวะการเต้นของหัวใจของมัน
ชั่วพริบตาที่ร่างใหญ่โตอยู่ในระยะดาบ ชายหนุ่มก็ฟันมันออกไปอย่างรวดเร็ว ตัดผ่านผิวหนังหนาแข็งหรือแม้แต่กระดูก แบ่งร่างของหมูป่าออกเป็นสองซีกอย่างง่ายดายโดยไม่เหนื่อยแรงแม้แต่น้อย
“ปิดผนึก” สิ้นคำสั่งงานไข่มุกดำที่ด้ามดาบก็หยุดการปลดปล่อยพลังเวท ทำให้ตัวดาบและละอองเวทรอบตัวค่อยๆ จางหายไป ชายหนุ่มหอบหายใจสูดอากาศเข้าไปในปอดทันที เม็ดเหงื่อมากมายผุดขึ้นบนใบหน้า เมื่ออยู่ท่ามกลางไอเวทสีทองเขาไม่อาจหายใจเอาอากาศเขาไปได้เลย ราวกับอากาศถูกไอเวทเหล่านั้นผลักดันออกไปจนหมดสิ้น ถ้าเขาไม่รีบปิดผนึกมันออก ดีไม่ดีเขาอาจจะตายไปแล้วก็ได้
‘ของทุกอย่างมีทั้งประโยชน์และโทษเสมอ’ นั้นคือคำกล่าวของหญิงสาวที่มอบดาบเล่มนี้ให้กับเขา รอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้านั้นมองดูสวยงามราวกับพระอาทิตย์ยามเช้า ซิสส่ายหัวไปมาเล็กน้อยไล่ความคิดแปลกประหลาดที่ชวนให้ใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงใบหน้าพี่สาวของเพน
เสียงปรบมือทำให้ชายหนุ่มต้องเบนสายตาไปมองเพน ซึ่งเด็กชายก็รีบหลบสายตาของเขาทันทีอย่างกลัวๆ เขาก็ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา ช่วงนี้เขาออกจะใจดี ทั้งๆ ที่มีเรื่องให้เขกหัวเด็กชายได้เป็นสิบรอบต่อวัน แต่เขาเขกไปแค่วันละครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง
“ขาดอีก 4 อย่างสินะ ส่วนเวลาก็....” ซิสทวนจำนวนวัตถุดิบที่เหลือ หลังจากตัดเนื้อส่วนที่ดีที่สุดของหมูป่าหนังเหนียวมาเก็บไว้ในซองเก็บวัตถุดิบ
“เหลืออีก 24 ชั่วโมง อ๊ะ 23 ชั้วโมง 59 นาทีแล้วฮะ พี่ซิสต้องเผื่อเวลาให้ผมทำอาหารด้วยนะฮะ” เพนตอบกลับพร้อมกับมองนาฬิกาข้อมืออันใหม่ที่แวะซื้อมาระหว่างทาง
“ถ้านายไม่แวะเที่ยวไร้สาระตลอดทาง มันก็ครบไปนานแล้วแหละ” ซิสบ่นเพนด้วยน้ำเสียงตำหนิ เขาเริ่มโมโหขึ้นมานิดๆ แล้วกับเวลาที่งวดเข้ามา จนนี่อาจเป็นครั้งแรกที่เขาทำภารกิจพลาดซึ่งมันจะติดเป็นประวัติไปตลอดชีวิตการทำงานของเขาเลยทีเดียว
“ขอโทษฮะ” เด็กชายยอมรับผิดแต่โดยดี ใบหน้าเล็กก้มลงต่ำอย่างสำนึกผิด มันเป็นจริงอย่างที่ซิสพูดทุกประการ ถ้าเขาไม่มัวแต่เที่ยวเล่นล่ะก็มันคงเสร็จไปนานแล้ว ถ้ามันไม่ทันก็คงโทษใครไม่ได้นอกจากตัวเขาเอง
“นายก็ขอโทษตลอดแหละ ไม่ต้องมาซึมเลยไม่มีเวลาแล้ว ไปกันลำดับที่ 26 ยอดต้นเทียมเมฆ กับ 27 ไข่วิหกสวรรค์ มันอยู่ที่เดียวกัน ของที่เหลือก็อยู่ติดๆ กัน ถ้ารีบหน่อยก็น่าจะทันแบบสบายๆ” ซิสพูดพร้อมกระโดดขึ้นหลังมังกรสีขาวนวล ที่มันไม่ค่อยจะเต็มใจให้เขาขึ้นมาเท่าไหร่นัก
เพนยิ้มได้เมื่อไม่ถูกโกรธ เด็กชายหันไปจ้องมองใบหน้าของอีกฝ่าย ซิสก็เป็นอีกหนึ่งคนที่เด็กชายต้องขอบคุณ ถ้าไม่มีเพื่อนร่วมทางคนนี้คอยช่วยเขาก็คงไม่มีวันทำภารกิจนี้สำเร็จ พี่สาวมาที่บ้านเมื่อไหร่เขาจะเชียร์ให้ซิสจีบพี่สาวเขาให้ได้เลย
เขารู้นะว่าพี่ซิสแอบชอบพี่สาวเขาอยู่
เด็กชายต้องรีบหลบตาทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เมื่อเห็นซิสหันมามองเขา เพนลูบหัวใหญ่ๆ ของมังกรแสงก่อนขอร้องอย่างอ่อนโยน มังกรแสงคำรามตอบรับในลำคอเบาๆ ร่างสีขาวบินขึ้นสูงก่อนพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุดหายลับไปในเส้นขอบฟ้า....
“จบภารกิจนี้แล้วเราไปหาวัตถุดิบมาทำอาหารให้ลูฟกันต่อ ตกลงไหมฮะ”
“ไม่ตกลงได้ไหม”
“งั้นผมจะไปบอกพี่สาว ให้มาพูดแทน”
“...เจ้าตัวแสบ...”
ผลงานอื่นๆ ของ zero-boy ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ zero-boy
ความคิดเห็น