ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว แถมผมยังได้กลิ่นอาหารหอมน่ากินลอยออกมาจากในบ้านของผมอีก แล้วตัวผมมายืนทำอะไรอยู่หน้าบ้านตัวเองตั้งนานสองนานล่ะเนี้ย
วันนี้ผมก็ออกจะเป็นเด็กดี ไม่ได้เอาเงินที่พี่แอบซ่อนไว้ไปซื้อของเล่น ไม่ได้เอาของเล่นไปโรงเรียน แถมเมื่อคืนก็ไม่ได้แอบเอาขนมขึ้นไปกินบนที่นอนอีกด้วย ผมควรจะรีบเข้าบ้านซิเพราะไม่ต้องกลัวว่าจะโดนดุ
“จะยืนอยู่ตรงนั้นอีกนานไหมคี”
เสียงเรียกชื่อเล่นทำเอาผมสะดุ้ง ชื่อเล่นของผมคือ “คี” ส่วนชื่อจริงก็ “คีตะ” ผมไม่รู้ความหมายของชื่อตัวเอง รู้เพียงแต่พี่ชายตั้งให้ผม และจำง่ายดี
“เข้าไปแล้วครับ” ผมรีบเดินเข้าบ้าน ส่งยิ้มให้พี่ชายเล็กน้อยก่อนรีบเดินขึ้นห้อง
“เดี๋ยวก่อนคี วันนี้เราทำตัวแปลกๆนะเรา ไหนเอากระเป๋าหนังสือมาให้พี่ดูหน่อย พี่ว่าข้างในมันต้องมีของเล่นไม่ก็ขนมอยู่แน่ๆ”
“มันจะไปมีได้ยังไงล่ะครับ” ผมรีบเถียงวันนี้ไม่มีแน่นอน พี่ชายหรี่ตามองหน้าผมอย่างไม่ไว้วางใจ พี่ชอบจับผิดผมแบบนี้ทุกที แล้วผมก็....มีพิรุธได้ทุกทีซิน่า โดยไม่ทันตั้งตัวพี่ชายก็ดึงกระเป๋าจากหลังผมไปเปิดดู
ผมก็หน้าซีดเลยซิ กลัวพี่จะเห็นของที่อยู่ด้านใน แต่พี่หยิบไปค้นๆอยู่พักหนึ่งก็ส่งคืนให้ผม ผมแอบโล่งอกที่พี่ไม่เห็นของบางอย่างในกระเป๋าผม
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี้ ไปขึ้นไปเปลี่ยนชุดแล้วลงมากินข้าว วันนี้พี่ซื้อของโปรดพี่มาด้วย”
ผมแยกเขี้ยวใส่พี่ชาย ซื้อของโปรดตัวเองมาแล้วจะบอกผมทำไม ถ้าซื้อของโปรดผมมาซิค่อยมาบอก ก่อนจะรีบหันหลังเดินขึ้นห้องอย่างรวดเร็ว พอเข้ามาในห้องผมก็รีบปิดประตู แล้วก็ถอนหายใจยาวๆ ผมยังไม่เปลี่ยนชุดตามคำสั่งของพี่ชายแต่รีบหยิบแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากกระเป๋า
‘เรียงความวันแม่’
มันคือสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าผม แถมวันแม่ปีนี้ครูยังมีหนังสือเชิญให้แม่ของผมไปที่โรงเรียนเพราะเรียงความของผมเข้ารอบ 10 คนของระดับประถมศึกษาปีที่ 6 เผื่อบางทีถ้าเกิดผมได้ที่หนึ่งในสามขึ้นมา ผมกับแม่จะต้องขึ้นไปรับรางวัลบนเวทีพร้อมกัน
เรียงความของผม ผมได้เขียนเล่าสิ่งต่างๆที่แม่ทำให้ผม เล่าว่าแม่จะค่อยปลุกผมให้ตื่นขึ้นมาไปโรงเรียนในทุกเช้า ช่วยผมแต่งตัวและทำกับข้าวอร่อยๆให้กิน ก่อนจะไปทำงาน ผมก็ไปโรงเรียน พอกลับมาถึงบ้านตอนเย็นแม่ก็จะทำกับข้าวรอผมไว้ก่อนแล้ว กับข้าวที่แม่ผมทำอร่อยมาก หลังกินข้าวเสร็จแม่ก็จะค่อยมานั่งสอนการบ้านที่ผมไม่เข้าใจให้ แล้วก็มานั่งดูโทรทัศน์กันต่อจนถึงเวลาเข้านอน ทุกคืนแม่จะเล่านิทานให้ผมฟังจนผมหลับไป ในวันหยุดบางครั้งแม่ก็จะพาผมไปเที่ยวนอกบ้าน
ผมเล่าทุกเรื่องเกี่ยวกับแม่ ก่อนจะลงท้ายด้วยคำว่า “ผมรักแม่ที่สุดในโลกเลยครับ” ในความคิดของผมเรียงความฉบับนี้ผมเขียนได้ดีมาก ไม่มีคำผิดที่โดนวงให้มาแก้เลยแม้แต่คำเดียว ตัวหนังสือทุกตัวผมก็เขียนด้วยลายมือบรรจง กระดาษก็สะอาดมีแค่รอยลบสี่ห้ารอยเท่านั้น บางทีผมอาจจะได้ที่หนึ่งก็ได้
แล้วมันไม่ดีตรงไหนกัน ทำไมผมถึงต้องกลัวพี่ชายเห็นขนาดนี้...ผมว่าทุกอย่างในเรียงความมันก็ดีไปหมด ยกเว้นก็เพียงแค่เรื่องเดียว...เรื่องที่ผมไม่เคยมีแม่ ไม่เคยมีนับตั้งแต่จำความได้
“เป็นอะไรไปซึมเชียว” พี่ชายผมถามขึ้นหลังจากนั่งกินข้าวเย็นกันมาได้พักใหญ่ๆ คงเป็นเพราะเห็นว่าผมเอาแต่นั่งเขี่ยข้าวเล่นไป ด้านหน้าของผมเป็นกับข้าวสองสามอย่าง ที่พี่ชายผมบอกว่าเป็นของโปรดของพี่ จริงๆแล้วผมก็ชอบกับข้าวที่พี่ซื้อมาเหมือนกัน ผมเคยเขียนไปในการบ้านด้วยว่ามันเป็นของโปรดของผม แต่ผมไม่เคยบอกพี่
พี่ชายกับผมคุยกันน้อยมากถึงมากที่สุด คุยกันทีไรไม่ชวนผมทะเลาะก็ต้องหาเรื่องแกล้งตลอด
“ปวดหัวนิดหน่อยครับ” ผมโกหก จริงๆแล้วผมไม่ได้ปวดหัวเลยซักนิด แต่ผมกำลังไม่สบายใจเรื่องเรียงความโกหกบนห้อง แต่ผมก็ไม่รู้จะบอกยังไง ในความคิดของผมบอกว่าไปไม่สบายไปนั้นล่ะดีที่สุดแล้ว ผมชอบบอกว่าไม่สบายทุกครั้งเวลาที่มีเรื่องไม่สบายใจแล้วไม่อยากบอกให้ใครรู้ ผมมักอ้างว่า ปวดหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง สลับๆกันไป
“งั้นก็กินข้าวไปให้อิ่ม รองท้องก่อน เดี๋ยวพี่ไปหยิบยามาให้” ผมมองตามพี่ชายที่เดินหลับหายไปอีกห้อง ก่อนจะหันมาตักข้าวกินไปได้อีกไม่กี่คำก็กินไม่ลง เลยหยุด ถ้าพี่ผมรู้ว่าผมเขียนเรียงความโกหกแบบนั้นผมต้องโดนตีแน่ๆ แล้วถ้าคุณครูที่โรงเรียนรู้อีกล่ะว่าผมโกหก
“กินอีกหน่อยซิคี แค่นั้นมันกินยาไม่ได้หรอกนะ”
ผมทำตามโดยการตักข้าวกินไปอีกสองสามคำ ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะเถียงหรือดื้อ เม็ดยารีๆสีส้มถูกวางลงบนฝ่ามือของผม
‘ยานี่อีกแล้ว’
ผมคิดในใจเมื่อเห็นยาที่ดูคุ้นเคย เจ้ายาสีส้มที่ไม่ว่าผมจะบอกว่าปวดหัว ปวดท้องหรือไม่สบายอย่างอื่นพี่ก็เอามาให้ผมกินประจำ มันไม่ขมเหมือนยาที่คุณหมอให้กิน มันออกเปรียวๆนิดๆเวลาอยู่ในปาก ผมเคยถามพี่ๆก็บอกแค่ว่ายาสำหรับเด็กมันไม่ขม
ผมหยิบยาใส่ปากก่อนกินน้ำตามเข้าไปครึ่งแก้ว เป็นอันว่าจบมื้อเย็นของผม
“ขึ้นไปทำการบ้านเถอะ เดี๋ยววันนี้พี่ล้างจานให้เอง”
“วันนี้ไม่มีการบ้านครับ” วันนี้ไม่มีการบ้านเลยแม้แต่อย่างเดียวเพราะพรุ่งนี้โรงเรียนจะจัดงานวันแม่ ปกติผมคงดีใจแย่เลยไม่มีการบ้านเนี้ย
“งั้นไปดูโทรทัศน์ก็ได้”
“ช่วยพี่ล้างจานก่อนก็ได้ครับ” ผมไม่รู้สึกอยากดูโทรทัศน์เลย
พี่ชายผมขำใหญ่ที่ผมอาสาจะช่วยล้างจานให้ได้ ปกติแล้วผมต้องเกี่ยงให้พี่ชายล้างคนเดียวตลอด แต่ก็ถูกลากไปล้างด้วยทุกที
“วันนี้มาแปลกสงสัยฝนจะตก”
ถ้าฝนตกก็คงจะดี ตกแบบหนักๆเลย เอาให้น้ำท่วมไปเลยนะ พรุ่งนี้ผมจะได้ไม่ต้องไปโรงเรียน
ในที่สุดวันงานวันแม่ก็มาถึง ผมถูกพี่ชายปลุกแต่เช้าแบบไม่เต็มใจนัก เมื่อคืนผมนอนไวมากสงสัยคงเพราะกินยาเข้าไปเลยง่วง เมื่อคืนฝนไม่ตกอย่างที่ผมต้องการ ผมเลยไม่มีข้ออ้างหยุดเรียน พอได้เวลาผมก็ขึ้นรถโรงเรียนที่มารับหน้าบ้านแบบที่ทำประจำทุกวัน ส่วนพี่ผมก็อยู่ในบ้านไม่ยอมไปทำงาน โดยบอกผมว่า
‘หยุดชดเชยวันแม่’
แต่วันแม่มันพรุ่งนี้แล้วปกติเขามีหยุดชดเฉยล่วงหน้ากันด้วยเหรอ
พอเคารพธงชาติเสร็จครูประจำชั้นก็เรียกนักเรียนที่เข้ารอบ 10 คนเรียงความวันแม่ไปเตรียมตัวเพราะต้องขึ้นไปอ่านบนเวทีตอน 10 โมง ผมมองไปรอบๆห้องก็เห็นเพื่อนๆในห้องจูงมือแม่กันมาทุกคน ทุกคนดูมีความสุขจนน่าอิจฉา ถ้าแม่จูงมือผมแบบนั้นผมจะรู้สึกยังไงกันนะ
ผมได้อ่านในลำดับสุดท้ายเลยมีเวลานั่งมองดูเพื่อนๆผมคุยเล่นกับแม่ตัวเอง ส่วนผม... ผมหันมองเก้าอี้ข้างๆก็พบแต่ความว่างเปล่า กระดาษเรียงความในมือที่ต้องมีแค่ฉบับเดียวกับมีอีกหนึ่งฉบับซ้อนอยู่ด้านหลัง
เรียงความอีกหนึ่งฉบับที่มีรอยลมเต็มไปหมดจนดูไม่ได้ แถมลายมือบนนั้นก็ไม่ได้บรรจงอะไร คำผิดก็เยอะจนแค่มองผ่านผมก็ยังเจอ
ผมไม่รู้ว่าจะอ่านฉบับไหนดี ฉบับที่มีแต่เรื่องโกหก หรือต้นฉบับที่มาจากความจริง เนื้อหาของสองฉบับต่างกันไม่มากนักเพราะฉบับหลังผมแค่ลอกมาจากฉบับแรก แต่ที่ต่างกันชัดจนผมสับสนคือ ต้นฉบับเรียงความวันแม่ของผม ไม่ได้พูดถึงแม่เลยซักนิด
เสียงประกาศเรียกชื่อนามสกุลของผมดังขึ้น ผมรีบหยิบกระดาษเรียงความของผมก่อนจะเดินขึ้นไปบนเวที สายตาของผมมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะสวัสดีและแนะนำตัวตามที่คุณครูสอนมา ผมจ้องกระดาษในมือ ไม่รู้ทำไมแต่มือของผมเริ่มสั่น
ผมตัดสินใจเริ่มอ่านย่อหน้าแรกของเรียงความ เรียงความที่เป็นความจริงทั้งหมดของผม....
ตั้งแต่วันแรกที่จำความได้ใบหน้าที่ผมเห็นทุกวันคือใบหน้าของพี่ชาย เท่าที่จำได้คำๆแรกที่ผมพูดคือคำว่า “พี่” ตอนนั้นพี่ชายเป็นเหมือนทุกๆอย่างของผม ไม่ว่าผมจะหิว ตกใจ กลัว หรือไม่สบายคนที่ผมเรียกหาก็คือ “พี่” พี่ชายที่ชอบยิ้มให้ผมเสมอ จนเมื่อเข้าโรงเรียนผมจึงได้รู้จักกับคำว่า “พ่อ” และ “แม่” ในเมื่อทุกคนมีผมก็แค่อยากมีเหมือนคนอื่นบ้าง สำหรับ “พ่อ” แล้วผมบอกเพื่อนๆว่าพี่ชายเป็นพ่อของผมทุกคนก็เชื่อผมหมด แต่พอผมบอกว่าพี่ชายเป็น “แม่” ของผมกลับไม่มีใครเชื่อผมเลยซักคน ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงถึงจะมีแม่เหมือนคนอื่น ผมเลยโกหกไปว่าแม่ผมไปทำงานนานๆถึงจะกลับบ้าน แล้วผมก็โกหกแบบนั้นมาตลอด
ตลอดจนถึงวันนี้...
ผมหยุดอ่านมองไปรอบว่าจะมีใครว่าอะไรผมเรื่องที่โกหกไหม แต่ทุกคนยังนั่งเงียบตั้งใจฟังที่ผมอ่าน เมื่อคุณครูพยักหน้าให้ผมอ่านต่อผมจึ่งเริ่มอ่านช่วงต่อไป
พี่ชายของผมเป็นหมอ โตขึ้นผมก็จะเป็นหมอแบบพี่ชาย ผมเห็นหน้าพี่ชายทุกเช้าเพราะพี่เป็นคนเข้ามาปลุกผมไปโรงเรียนทุกวัน พี่ชายผมทำอาหารไม่เป็นซักอย่างแต่ทุกวันจะมีข้าวเช้าตั้งรอให้ผมลงไปกินทุกเช้า หลังจากนั้นพี่ก็จะไปทำงานส่วนผมก็ไปโรงเรียน พอกลับไปถึงบ้านผมก็จะเจอพี่กำลังยุ่งวุ่นวายอะไรซักอย่างอยู่ในครัว แล้วผมก็จะโดนไล่ให้ขึ้นไปเปลี่ยนชุดก่อนลงมากินข้าวเย็น พี่ชอบกินปลาเหมือนผมอาหารทุกมื้อเลยมักมีปลา แต่ปลาที่ผมกินที่บ้านมันไม่เหมือนกันที่โรงเรียนเพราะมันไม่มีก้างเลยซักนิด พอกินข้าวเสร็จพี่ก็จะเข้ามาสอนการบ้านให้ผม ก่อนจะไล่ผมที่นั่งดูโทรทัศน์ไปนอนเมื่อได้เวลา ที่ห้องผมมีหนังสือนิทานเต็มไปหมดจนไม่มีที่จะเก็บ เมื่อก่อนพี่จะเล่านิทานให้ผมฟังทุกคืน.....
ผมหยุดอ่านน้ำตาเริ่มไหลออกมาเมื่อถึงถึงเรื่องนี้ เมื่อก่อนพี่จะเข้ามาอ่านนิทานให้ผมฟังทุกคืน แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เพราะผมเผลอบอกไปว่าเบื่อไม่อยากฟังแล้ว ทั้งๆที่จริงๆผมไม่เคยเบื่อเลย ผมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วอ่านต่อ
เมื่อก่อนพี่จะเล่านิทานให้ผมฟังทุกคืน ผมชอบฟังนิทานที่พี่เล่าที่สุด ตอนวันหยุดถ้าพี่ชายผมว่างพี่จะพาผมไปเที่ยวที่ต่างๆทุกครั้ง ผมเคยขอให้พี่พาไปเที่ยวที่โรงพยาบาลแต่พี่ผมไม่ยอมพาไป พี่ชายชอบขัดใจผมเป็นประจำ บางครั้งก็แกล้งจนผมร้องไห้ บางทีพี่ชายก็ตีผมเมื่อผมทำผิด แต่ยังไงผมก็รักพี่ชายผมที่สุดในโลก......
อ่านจบผมก็รีบหันหลังกลับลงมาจากเวที แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพี่ชายผมนั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างๆผมที่เคยว่างเปล่า พร้อมกับยิ้มให้ผม
“พี่มาได้ยังไงครับ” ผมรีบเช็ดน้ำตาที่อยู่บนหน้า
“พี่ก็มาทุกปีแหละ....”
ไม่จริงแน่ๆ ผมไม่เห็นเคยเห็นพี่ชายผมมาที่โรงเรียนเลยยกเว้นวันประชุมผู้ปกครองที่จำเป็นต้องมาจริงๆ พี่ชายผมเคยบอกว่าไม่ค่อยชอบมาโรงเรียนผมซักเท่าไหร่ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องที่ผมเอาพี่ชายมาโกหกเพื่อนๆว่าเป็นพ่อไหม
“....ไม่ต้องมองแบบนั้นพี่มาจริงๆ แต่แอบๆมาไม่ให้เด็กแถวนี้รู้”
ผมก้นหน้าเดินลงไปนั่งข้างๆพี่ชาย มองไปที่เพื่อนๆก็เห็นเขานั่งคู่กับแม่กันทุกคน ส่วนผม...
“ทำไมพี่ต้องแอบมาด้วยครับ” ผมถามเสียงเบา มันไม่มีวันพี่แห่งชาตินี้หน่า
“ถ้าไม่มาจะได้ฟังอะไรแบบเมื่อกี้เหรอ”
ผมหันขวับไปมองหน้าพี่ชายไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำหน้าแบบไหนออกมาแต่พี่ผมขำยกใหญ่
“วันนี้ก่อนนอนเดี๋ยวพี่เล่านิทานให้ฟังแล้วกัน....” ผมพยักหน้าแล้วหันไปรอฟังว่าพี่ชายผมจะพูดอะไรต่อ “...ความจริงพี่รู้สึกอายๆเหมือนกันนะที่ต้องพูดอะไรแบบนี้ แต่ในเมื่อคียังกล้าเอาเรียงความฉบับเรื่องจริงไปอ่าน พี่ก็จะลองพูดอะไรที่ไม่เคยพูดบ้างก็แล้วกัน....”
“พี่รู้...” ผมเอ่ยขัดเสียงเบา พี่ชายผมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ว่าเรียงความของผมมีสองฉบับ
“พี่เป็นหมอนะรู้ทุกเรื่องแหละ อย่าพึ่งขัดซิเดี๋ยวลืมว่าจะพูดอะไร...” พี่ผมก็ชอบเอาอาชีพตัวเองมาอวดแบบนี้ประจำ ผมถึงได้อยากเป็นไง
“...พี่ขอโทษ แล้วก็ขอบคุณมาก.....”
ขอโทษ...ขอบคุณ...
พี่ผมขอโทษเรื่องอะไรแล้วขอบคุณผมเรื่องอะไร ผมไม่เห็นเข้าใจเลยซักนิด แต่ผมก็รู้สึกดีใจ ไม่ใช่หรอก..ผมไม่ได้ดีกับคำพูดเข้าใจยากแบบนั้น แต่ผมดีใจที่ได้เห็นพี่ยิ้มชัดๆแบบนี้ รอยยิ้มที่เหมือนเมื่อก่อนตอนที่ผมยังเด็กกว่านี้ รอยยิ้มที่ผมก็เห็นมันอยู่ทุกวันแต่กลับไม่เคยสนใจเลย
ผมจ้องหน้าพี่ชายนิ่งรอฟังว่าพี่ชายผมจะพูดอะไรต่อ บางทีพี่เขาอาจะพูดอะไรซึ้งๆแบบที่แม่ในโทรทัศน์พูดบางก็ได้ ถ้าเป็นแบบนั้นผมต้องกอดพี่ชายแน่นๆด้วยหรือเปล่า
“มองอะไร จบแล้ว แค่นี้แหละ หมดเรื่องพูด”
ผมจ้องหน้าพี่ชายกระพริบตาปริบๆ พี่ผมพูดแค่นี้เนี้ยนะ ไม่เห็นจะซึ้งเลยซักนิด ผมก้มลงอ่านเรียงความของตัวเองในมืออย่างไม่มีอะไรทำ ภาพเหตุการณ์ต่างๆระหว่างผมกับพี่ชายฉายเข้ามาในหัว ภาพเพื่อนๆคนอื่นนั่งคู่กับแม่ซ้อนทับกับภาพผมนั่งอยู่กับพี่ชาย
ผมหันไปจ้องหน้าพี่ชายอีกครั้ง พี่ชายก็จ้องมองหน้าผม พี่ชายผมไม่เคยเปลี่ยนไปเลยซักนิด แต่เป็นผมเองที่เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับเรื่องอื่นมากกว่า เพื่อนๆผมบอกรักแม่ในวันแม่ แล้วผมที่ไม่มีแม่ที่มานั่งข้างๆล่ะ
“ผมรักพี่นะครับ”
“ก็บอกไปแล้วในท้ายเรียงความไม่ใช่เหรอ จะมาบอกซ้ำทำไม” ผมก้มหน้างุด ไม่อยากเถียงวันนี้ผมจะลองเป็นเด็กดีไม่ถียงพี่ชายซักหนึ่งวัน มันก็จริงที่ผมเขียนไว้ในเรียงความแล้ว แต่ผมก็แค่อยากพูดแบบคนอื่นเขาบ้างก็แค่นั้นเอง
“อยากให้พี่บอกว่ารักไหม”
ผมส่ายหัวไปเบามาแทนคำตอบ ไม่ใช่ไม่อยากนะ แต่ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยากให้พี่บอกรักหรือเปล่า
“แล้วรู้ไหมว่าพี่รักคีมาก”
ผมพยักหน้าเบาแทนคำตอบ ทำไมเรื่องแค่นี้ผมจะไม่รู้
เอ๋...เมื่อกี้พี่ชายบอกว่า...
ผมหันขวับไปมองหน้าพี่ชายอีกครั้ง พี่ชายผมนั่งส่งยิ้มกลับมาให้ผมก่อนจะใช้มือลูบหัวผมไปมาเบาๆ ผมเผลอยิ้มออกมาด้วยความดีใจ วันแม่ปีนี้ผมก็ยังคงไม่มีแม่ที่เป็นผู้หญิงที่ทำให้ผมเกิดมาเหมือนกับเพื่อนๆในห้อง บางทีปีนี้ตลอดทั้งปีผมคงโดนล้อเรื่องนี้แน่ๆ แต่ช่างมันเถอะ....
ถ้าเป็น “แม่” ที่หมายถึงคนที่ค่อยอยู่ข้างๆผมไม่ว่าเมื่อไหร่ คนที่รักผมไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าผมจะดื้อขนาดไหน คนที่ยิ้มให้ผมเสมอแม้ว่าผมจะไม่เคยใส่ใจ คนที่ปลอบผมเสมอเวลาร้องไห้...ผมมีอยู่กับเขาคนหนึ่งเหมือนกัน...
ถึงโดนล้อผมก็มีคนค่อยปลอบอยู่แล้วจะไปกลัวทำไม....
จบ.
“พี่รู้ไหมครับว่าวิตามินซีมันแก้ปวดหัวไม่ได้นะครับ”
“รู้ได้ไงว่าวิตามินซี”
“พี่ติดฉลากไว้ข้างซอง ผมรู้ตั้งแต่อ่านหนังสือออกแล้วครับ”
“แล้วคีรู้ไหมว่าเด็กแกล้งป่วยกินยาไม่ได้”
“พี่รู้...”
“พี่เป็นใคร นี้หมอนะ....”
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น