จุดจบความรัก - นิยาย จุดจบความรัก : Dek-D.com - Writer
×

    จุดจบความรัก

    คนเราทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนแบบไหน ก็ต้องการกันทั้งนั้นแหล่ะความรักน่ะ จะมีสักกี่คนที่จะพูดและทำได้อย่างเต็มใจว่าไม่ต้องการ "ความรัก"

    ผู้เข้าชมรวม

    180

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    180

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักดราม่า
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  1 ก.ย. 66 / 17:57 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    คนเราทุกคนไม่ว่าจะใครหรือเป็นคนแบบไหน ก็ต้องการกันทั้งนั้นแหล่ะความรักน่ะ จะมีสักกี่คนที่จะพูดและทำได้อย่างเต็มใจว่าไม่ต้องการ "ความรัก"

    ฉัน มิยาบิ โซระ นักเรียนมัธยมปลายแบบปลายสุดๆ เพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ฉันก็ต้องจบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้แล้ว โรงเรียนที่ฉันเรียนนั้นเป็นสถานที่ลูกหลานของผู้มีชื่อเสียงต่างหลั่งไหลเข้ามาศึกษากัน ไม่ว่าจะเป็นลูกของนายกคนปัจจุบัน หลานคนโปรดของบริษัทชื่อดังของญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งดารา นักร้องที่ฮิตเป็นอันดับต้นๆของชาร์ต หรือจะพูดอีกอย่างแบบภาษาบ้านๆก็คือ โรงเรียนลูกคนรวยนั่นเอง

     

    ฉันเข้ามาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนพวกนี้มากนัก ฉันเป็นดาราหนังของค่าย "โคเมะ" ที่มีการเปิดตัวอย่างอลังการเมื่อประมาณสิ้นปีที่ผ่านมานี้เอง และฉันก็ได้รับมอบหมายให้เป็นพิธีกรของค่ายหนังแห่งนี้ ตามที่จริงแล้วฉันก็ไม่ได้อยากมาเรียนที่นี่สักเท่าไหร่ แต่ที่ฉันต้องมาเรียน คงเป็นเพราะที่โรงเรียนแห่งนี้ สอนวิชาที่จะเรียนในสาขาที่ตรงกับความต้องการของบุคคล เมื่อจบไปก็สามารถทำงานได้โดยจะมีบริษัทดังๆ มาคัดตัวเพื่อไปทำงานด้วย และเมื่อจบจากที่นี่ไปก็จะสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองได้ง่ายกว่าเรียนที่อื่น ทำให้ฉันตัดสินใจเรียนที่นี่แต่โดยดี

    เสียงกริ่งดังขึ้นตัดเสียงเด็กหนุ่มสาวที่ดังจอแจบริเวณรอบตัวอาคารเรียนให้สงบลง ฉันเดินเข้าไปในห้องที่มีผู้คนจำนวนหนึ่งนั่งอยู่ เพื่อรอเรียนในวิชาที่กำลังจะเริ่มขึ้น วิชาที่จะเริ่มขึ้นนั้นเป็นวิชาการออกเสียง การออกเสียงที่ว่านั้นก็คือการฝึกไล่เสียง โดยเริ่มจาก โด เร มี ฟา เป็นลำดับ และก็จะมีการหัดร้อง ให้เสียงนั้นมีพลัง แท้จริงแล้วฉันไม่ใช่คนที่ชอบเรียนเรื่องการแสดงสักเท่าไร ฉันชอบเรียนร้องเพลงมากกว่า แต่การร้องเพลงนั้น มันจะดังเพียงแค่ชั่ววูบ เมื่อเพลงผ่านไปนาน คนก็จะเริ่มหลงลืมกันไป นอกจากเพลงที่ได้รับความนิยมนั้นสามารถดังไปยังนอกประเทศได้ มันก็จะคล้ายกับเพลงอมตะ ที่ไม่ว่าจะใครก็จะจำเพลงนี้ได้ แต่การที่จะทำ เช่นนั้นได้ มันก็เป็นเรื่องที่ยากเสียงจริง


    การเรียนเริ่มขึ้นและจบลงอย่างรวดเร็ว โดยที่ฉันรู้สึกไม่อยากให้มันหมดไปเลย แต่จะห้ามเวลาให้หยุดหมุนก็คงจะไม่ได้ แต่ถ้าฉันสามารถหยุดเวลาได้จริงแล้ว ฉันคงจะหยุดมันไว้ ให้ฉันเป็นแบบนี้ตลอดไป

    "โซระ ไปเดินเล่นแถวชิบุย่ากันไหม มีร้านราเมงเปิดใหม่ด้วยนะ" เสียงของอายะ เด็กสาวร่างผอมบางคนนึงที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยอยู่ประถมร้องเรียกด้วยน้ำเสียงสดใส
    "โทษทีนะจ๊ะ ^/\^" วันนี้คงไปไม่ได้จริงๆน่ะ"ฉันตอบกลับด้วยท่าทีที่อดเกรงใจไม่ได้
    "แหม!! วันนี้ไปถ่ายหนังอีกแล้วหร๋อ" ดูท่าทางอายะคงจะงอนฉันนิดๆที่ฉันเริ่มไม่มีเวลาว่างให้กับเธอ เพราะเมื่อก่อนตอนที่ฉันจะได้เป็นดารานั้น ฉันก็ไปกับอายะทุกที่ และการไปทุกที่ของฉันนี่แหล่ะที่ทำให้ฉันถูกแมวมองทาบทามให้ไปเป็นดารา
    "งั้น... ฉันไปกับเธอก่อนไปถ่ายหนังก็ได้จ๊ะ แต่ว่าแป๊บเดียวเท่านั้นนะ" อายะยื่นหน้ามาใกล้ฉันและยิ้มกว้างด้วยความพอใจ ก่อนจะจับมือฉันลากออกจากห้องด้วยความรีบร้อน
    ฉันรู้สึกดีใจที่มีอายะเป็นเพื่อน ฉันไม่รู้สึกว่าเหงาหรือโหยหาความรัก ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะเลือกเพียงแค่ฉันกับพ่อเท่านั้นก็ตามนั่นเพราะฉันมีอายะคอยอยู่ข้างๆฉัน ไม่ว่าจะเวลาแบบไหนเราจะอยู่ด้วยกัน ฉันถึงอยากจะหยุดเวลาความทรงจำเหล่านี้ไว้ มันจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดของฉัน

    ฉันมองรอบข้างที่มีผู้คนเดินผ่านอยู่รอบกาย และก็มีหลายต่อหลายคนที่หลังกลับมามองฉัน นั่นอาจเป็นเพราะมีคนจำลักษณะของฉันได้ก็เป็นได้ แต่ฉันก็พยายามทำเป็นไม่สนใจในสายตาของผู้คนเหล่านั้น และยังคงเดินต่อมาจนถึงห้างชื่อดังในแถบนี้
    'เพล้ง!!!' มีวัตถุบางอย่างลอยลงมาจากด้านบนของดาดฟ้าที่ถ้านับชั้นแล้วก็คงจะได้ประมาณ 25 ชั้นได้และมันก็ค่อยๆล่วงหล่นลงมากระทบกับพื้นดินและแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียงของมันดังมากจนทำให้ผู้คนบริเวณนั้นหูอื้อได้ จนทำฉันต้องหลับตาลงด้วยความหวาดกลัว
    "โอ้ย!!" ฉันรู้สึกว่าสิ่งของที่ตกลงมานั้นกระเดนกระดอนไปในทิศทางต่างๆ แต่สิ่งที่รู้สึกได้ดีในตอนนั้นคือ ขาขวาที่มีเลือดไหลออกมา ทำให้ฉันรู้ว่าถูกของมีคมบาดเข้า
    "กรี๊ดดดดดดดดดดด!!!" เสียงกรี๊ดร้องของเพื่อนรักทำให้ฉันลืมตาขึ้นสู้กับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า
    ฉันหันมองอายะที่ยืนอยู่ซ้ายมือ
    "โซระ!! โซระ!! > < ฉันเจ็บ!! เจ็บจัง!!" อายะนำมือยกขึ้นพยายามจะจับที่ลูกตาของเธอ แต่เธอก็ยากที่นำนิ้วมือลูบลงบนเปลือกตา
    "อายะ!! อายะ เธอเป็นอะไรไป" ฉันจับไหล่ด้านขวาของอายะและดึงตัวของเธอให้หันกลับมาขนาดกับตัวเอง
    "ไม่นะ.. อายะ.. อายะ............"

     

    ลูกพ่อ ไม่เป็นไรนะ พ่ออยู่นี่แล้ว ฉันได้ยินเสียงเหล่านี้ดังก้องอยู่ในหัวที่หนักอึ้ง ฉันภาวนาให้ตัวเองเพียงแค่ฝันร้ายไปเท่านั้น ฉันไม่อยากให้อะไรเกิดกับเพื่อนของฉัน ฉันพยายามลืมตาขึ้นเพื่อบอกกับตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเพียงแค่ฝันไป

    ลูกพ่อ ตื่นแล้วเหรอ เป็นยังไงบ้าง ลูกร้องเรียกชื่อของคนที่ชื่ออายะไม่หยุดเลย ลูกเป็นอะไรไปหรือเปล่า ไม่สบายตรงไหนอีกไหม

    พ่อตั้งคำถามด้วยความเป็นห่วงลูกสาวอย่างฉัน แต่ฉันกลับคิดถึงแต่เรื่องของอายะ

    พ่อค่ะ หนูอยู่ที่ไหนค่ะ ฉันถามพ่อด้วยอาการที่ยังมึนงงไม่หาย แต่พ่อกลับมีสีหน้าที่งุนงงกว่าฉันเสียอีก

    เราก็อยู่บ้านยังไงลูก สงสัยลูกคงจะเหนื่อยมาก ไม่เป็นไรนะ ลูกนอนพักเถอะ เดี๋ยวพ่อจะโทรไปบอกทางโรงเรียนกับทางกองถ่ายเองว่าลูกไม่สบาย แล้วลูกนอนพักอยู่บ้านดีๆ นะ เดี๋ยวพอจะไปทำงานแล้วล่ะ พ่อเริ่มลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินออกนอกห้องไป

    นี่เราฝันไปเหรอเนี่ย ทำไมเราถึงฝันได้แย่แบบนี้นะ ฉันล้มตัวนอนอีกครั้ง เพื่อให้ตัวเองตั้งสติให้กลับมาเป็นอย่างเดิม แต่สุดท้ายฉันก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความเหนื่อยล้าของสมองที่เหมือนถูกกดทับเข้าอย่างแรง

     

    โซระ..โซระ..ทานข้าวได้แล้วลูก เสียงเล็กแหลมที่ถูกบีบออกจากลำคอดังออกมาเพื่อปลุกคนที่อยู่บนบ้านให้ตื่นขึ้น ฉันหันมองไปรอบห้อง และทำให้รู้ได้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาก่อน 6 โมงเย็นแน่นอน เพราะในห้องที่ฉันอยู่นั้น ไม่ต่างอะไรกับคนตาบอดที่มองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง นั่นเป็นเพราะ สวิตท์ที่ไม่ได้เปิดให้ใช้งาน และประตู หน้าต่างที่ถูกปิดสนิท จนเรียกได้ว่าแม้แต่แมลงตัวเล็กยังยากที่จะเข้ามาได้

    หนูกำลังจะลงไปค่ะ  ฉันตอบกลับเสียงนั้นด้วยอาการที่เพิ่งจะหายจากอาการงัวเงียได้ชั่วครู่เท่านั้น ฉันลุกขึ้นยืน และหยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นที่เป็นฝาพับ ก่อนจะลงไปทานข้าวตามเสียงเรียกของคุณป้าที่ท่านจะแวะมาที่บ้านทุกวันในตอนเย็น และฉันก็เคยถามคุณพ่อในเรื่องนี้ว่าทำไมคุณป้าถึงมาทานข้าวกับเราได้ทุกเย็น แต่คุณพ่อไม่ตอบอะไรฉันเลยสักครั้ง มีเพียงรอยยิ้มที่ปรากฎบนในหน้าเท่านั้น ทำให้ฉันหยุดข้อสงสัยและไม่คิดจะถามอะไรอีก นั่นคงเป็นเพราะถึงถามไปก็คงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาก็ได้กระมั้ง

    สวัสดีค่ะ คุณป้า เมื่อลงมาถึงห้องทานอาหาร ฉันก็กล่าวคำทักทายพร้อมกับเดินเข้าไปกอดท่านจากด้านหลัง เหมือนฉันเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่อยากได้รับความรักจากบุคคลซึ่งคล้ายกับแม่ของฉัน

    แหม๋!!! ทำตัวเป็นเด็กเลยนะเรา ไปทานข้าวได้แล้ว เดี๋ยวอาหารเย็นหมด อ๋อ...วันนี้คุณพ่อของหนูฝากบอกว่างานยุ่งมากเลย ก็เลยกลับมาไม่ทันทานข้าวด้วย ให้ทานไปก่อนได้เลย คุณป้าพาฉันมานั่งที่โต๊ะก่อนที่จะตัดข้าวสวยสีขาวโพลนใส่ชามที่อยู่ตรงหน้าของฉัน ฉันเริ่มทานอาหารอย่างบรรจงจนหมดชาม นั่นก็เรียกได้ว่าอิ่มมากแล้ว เพราะฉันเป็นคนทานน้อย มันก็คงเป็นข้อดีของฉันอยู่ เพราะมันทำให้ไม่อ้วนและไม่ไปกระทบต่องานที่ทำอยู่ด้วย

    อิ่มจังเลยค่ะคุณป้า ^^ อาหารมื้อนี้อร่อยมากเลยค่ะ ฉันอดชมคุณป้าไม่ได้

    เด็กคนนี้นี่ปากหวานจริงๆ เลย คุณป้าแอบยิ้มแบบเขินๆ ก่อนจะหยิบจานชามทั้งหมดไปล้าง

    ป้าว่า เดี๋ยวโซระรีบขึ้นไปพักผ่อนอีกหน่อยดีกว่านะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงไปโรงเรียนแล้วก็ไปทำงาน วันนี้คนของกองถ่ายโทรหาลูกกันให้ควักเลย คุณป้าพูดกับฉันด้วยความเป็นห่วง ทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้ เพราะไม่ใช่แค่พ่อเท่านั้นที่เป็นห่วงเรา ยังมีอีกตั้งหลายคนที่เป็นห่วงเราเช่นนี้

    งั้นเดี๋ยวหนูไปพักอีกหน่อยแล้วกันนะค่ะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงทำอะไรอีกมากมาย งั้น ราตรีสวัสดิ์นะค่ะคุณป้า ฉันเดินเข้าไปกอดคุณป้าอีกครั้ง

    จ้า... ราตรีสวัสดิ์จ๊ะ คุณป้าลูบศรีษะของฉันก่อนที่ฉันจะกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นบันไดไป

     

    อรุณสวัสดิ์โซระ วันนี้มาเร็วนะ ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย เสียงจากเพื่อนๆ ที่อยู่ในห้องร้องทักตามมารยาทเมื่อเห็นเพื่อนเดินเข้าห้องมา

    อรุณสวัสดิ์จ๊ะทุกคน ฉันหันไปและยิ้มให้กับทุกคนก่อนที่จะเดินไปวางกระเป๋าที่อยู่ชิดหน้าต่างของห้องเรียน และโต๊ะตัวที่ 2 นับจากด้านหลัง

    นี่...โซระ เธอรู้อะไรหรือเปล่า วันนี้จะมีเด็กใหม่เข้ามาล่ะ โทโมมิ เพื่อนร่วมชั้นพูดขึ้นอยู่ด้านหน้าของฉัน

    เห็นว่าเป็นผู้ชาย เพิ่งมาจากเมืองนอกด้วยล่ะ โอโนะ พูดต่อจากโทโมมิที่เป็นเพื่อนสนิทกัน

    เห็นว่าหัวดี หน้าตาดี นิสัยดี แถมรวยอีกด้วย  เคโกะ พูดปิดประโยคสุดท้ายตามแบบฉบับของเพื่อนสนิท

    ละ...แล้วทำไมเหรอ ฉันมองหน้าพวกเขาโดยที่ฉันก็ไม่เข้าใจความในแฝงสักเท่าไหร่ เด็กเมืองนอกมาเรียนที่โรงเรียนเรา และก็ดีทุกอย่าง อาจจะเป็นดีทุกอย่างมั้ง พวกเขาถึงมาบอกกับฉัน แต่...มาบอกกับฉันทำไมล่ะ??

    เธอไม่สนใจเด็กคนนั้นเลยเหรอไง โทโมมิ พูดขึ้นทำให้สิ่งที่ฉันคิดได้คลี่คลายลงไป

    นี่พวกเธอ คนๆ นั้นเขาเป็นใครก็ไม่รู้นะ แล้วแถวมาจากเมืองนอกเมืองนา จะเข้ากับพวกเราได้มากแค่ไหนก็ไม่รู้นะ และฉันก็ไม่ใช้ว่าจะคบคนที่หน้าตา หรือเงินทองนะ ต้องรู้จักกัน และก็สนิทกันก่อน ถึงจะรู้ว่าฉันจะตัดสินใจยังไงสิ ฉันสาถยายจนเพื่อนที่อยู่ตรงหน้า ทำตาแป๋วใส่ฉันด้วยอาการงงๆ เพราะอาจจะไม่คิดว่าฉันจะพูดเช่นนี้ออกมาก็เป็นได้

    เธอนี่...สุดยอดจริงๆ เลย เคโกะพูดขึ้นอย่างชื่นชม ก่อนจะจับมือฉันยกขึ้นแล้วเอาแก้มถูกับมือของฉัน อย่างกับแมวไม่มีผิด

    ฉันชักจะชอบเธอซะแล้วสิ ให้พวกเราเป็นเพื่อนกับเธอด้วยนะ โอโนะ พูดขึ้นพร้อมกับเดินมายืนด้านหลังของฉัน และก็สวมกอดฉันจากด้านหลัง

    นี่พวกเธอ เราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วหนิ ^^ ฉันตอบกลับไปเพราะเราก็อยู่ห้องเดียวกัน แะพวกเขาก็ไม่ได้มาร้ายกับฉันหรอก

    ดีใจจริงๆ เลย เธอนี่ไม่หยิ่งเลยนะ โทโมมิที่ยืนอยู่ตรงหน้าลากเก้าอี้ที่อยู่ด้านหน้าของฉันมานั่ง และโทโมมิก็ท้าวคางและยิ้มกว้างให้กับฉัน

    ขนาดกับผู้หญิงยังเนื้อหอมได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย ทสึโตชิ เพื่อนร่วมชั้นชายอีกคนหนึ่ง เดินเข้ามาทางหลังห้อง และเดินตรงเข้ามายังโต๊ะของเขาที่อยู่ด้านหลังของฉัน ทุกคนเหมือนตกอยู่ในความเงียบ เพราะไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก มีแต่โอโนะที่กระซิบข้างหูเบาๆ ว่า จะกลับไปนั่งที่ของตัวเอง แล้วค่อยคุยกันใหม่นะ ทำให้ฉันในตอนนี้รู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด แบบเมื่อวาน แต่ความเงียบเหล่านั้นก็ถูกทำให้จางหายไป เนื่องจากบุคคลที่พาความเงียบเข้ามาด้วยนะ เอ่ยปากพูดขึ้นก่อน

    ไปทานข้าวกัน ทสึโตชิ พูดแบบห้วนๆ และเมื่อฟังๆ ดูก็ไม่ใช่ประโยคคำถามหรือชักชวนแต่อย่างใด แต่มันเหมือนประโยคแกมบังคับให้ไปด้วยต่างหาก >x<

    ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ ฉันตอบกลับโดยที่ไม่หันไปมองหน้าของทสึโตชิ เพราะความจริงแล้วนั้นฉันไม่กล้าที่จะสบตาสีเขียวมรกตที่เปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นนั่น ฉันเคยบอกรักกับทสึโตชิ แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับมา ฉันจึงไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับสถานการณ์เช่นนี้

    ฉันไม่ได้ชวน แต่ฉันบังคับต่างหากล่ะ ไม่หิวก็ต้องไป ทสึโตชิดึงปกเสื้อของฉันขึ้นเพื่อให้ฉันยืนขึ้น ก่อนจะลากฉันออกจากห้องไป

    ทั้ง 3 คนหันมองฉันก่อนที่จะก้มหน้าลง ลักษณะเหมือนกับอยากจะบอกว่า ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้จริงๆ

    นี่มันระบบประชาธิปไตยแล้วนะ TTxTT ระบบฮิตเลอร์มันถูกลบไปเรียบร้อยแล้วนะ ฉันพูดออกมา แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่สนใจกับคำพูดของฉันเลยสักนิด

     

    โรงอาหารนั้นอยู่ห่างจากห้องที่ฉันเรียนและใช้เวลาเดินทางประมาณ 10 นาที เมื่อมาถึงฉันก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่ไม่ไปไหน เพราะฉันไม่ได้รู้สึกหิวสักหน่อย แต่ลากฉันมาเองหนิ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากที่ทสึโตชิเดินไปซื้อน้ำและอาหาร

    สวัสดีค่ะ โซระพูดค่ะ ฉันยกโทรศัพท์ขึ้นพูดตามมารยาท

    โซระอยู่ไหนน่ะ เสียงที่ได้ยินจากปลายเสียงอีกฝั่งคือ อายะ นั่นเอง

    อายะเหรอ!! ตอนนี้ฉันอยู่โรงอาหารโรงเรียนจ๊ะ ฉันตอบกลับด้วยความดีใจเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนรักของฉัน

    โรงอาหารโรงเรียน?? อยู่กับใครเหรอ อายะตอบกลับด้วยความงง เพราะฉันเป็นคนไม่ค่อยได้มาทานอาหารเช้าสักเท่าไหร่

    ทสึโตชิลากมาจ๊ะ TTxTT ฉันตอบด้วยน้ำเสียงที่กึ่งดีใจกึ่งเสียใจ เพราะคนที่ฉันชอบชวนมาทานข้าว แต่เสียใจตรงที่เขาชวนมาทานแบบแกมบังคับ แถมเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรในตัวฉัน

    อ้าว!! ทำไมทสึโตชิต้องทำแบบนี้นะ หรือว่าอยากให้กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อน อายะก็ไม่เข้าใจการกระทำของทสึโตชิสักเท่าไรเหมือนกัน

    นี่ โซระ วันนี้ฉันไม่ไปโรงเรียนนะ ฉันมีธุระนิดหน่อย

    ทำไมละอายะ วันนี้มีประชุมกรรมการนักเรียนนะ ฉันสงสัยว่าทำไมคนอย่างอายะที่ไม่เคยหยุดเรียนกลับโทรมาบอกว่าจะหยุดเรียนได้

    ฉันไม่ค่อยสบายน่ะ เดี๋ยวเอาไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ จะไปหาหมอจ๊ะ ยังไงวันนี้ก็รีบกลับแล้วกันนะ อายะบอกกับฉันก่อนที่จะตัดสายโทรศัพท์ไป

    ทานข้าวได้แล้ว ทสึโตชิเดินมาจากด้านหลังของฉันและพูดขึ้นโดยที่ฉันไม่ได้ตั้งตัว

    กลับ...มาตั้งแต่เมื่อไรน่ะ ฉันตกใจและดูท่าทางจิตใจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาเสียเลย ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วงเพื่อนที่เพิ่งจะคุยกันเสร็จเมื่อสักครู่ หรือว่าฉันตื่นเต้นกับบุคคลตรงข้างหน้ามากกว่ากันกันแน่

    ได้ยินตั้งแต่คำว่า ทสึโตชิลากมา นั่นแหล่ะ เขาทำสีหน้านิ่งเฉย เหมือนไม่สนใจอะไร แต่ฉันอยากรู้ว่าเขาคิดอะไรกับคำพูดเล่านี้มากกว่า

    หลังจากทานอาหารเสร็จ ฉันก็ยื่นเงินที่คิดว่าน่าจะเป็นราคาของอาหารในมื้อนี้ให้กับทสึโตชิ แต่ดูท่าทางจะไร้ความหมายในการจ่ายเงินจริงๆ เพราะทสึโตชิไม่เคยรับเงินจากฉันเลยสักบาทเดียว จนบางครั้งฉันก็แอบนึกว่ทสึโตชิก็แอบมีใจให้กับฉันเหมือนกัน  

     

    กริ้ง!!กริ้ง!! เสียงกริ่งร้องเรียกให้บุคคลที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของโรงเรียนให้มารวมตัวกันที่สนามโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่พอที่สามารถจุคนเป็นพันๆ ได้ เสียงกริ่งที่เรียกเวลาเช้าตรู่ก่อนเข้าเรียนก็คงไม่พ้นการประชุมนักเรียน โดยมีอาจารย์ใหญ่มายืนพูดให้โอวาทอยู่ตรงหน้าเวที และใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็เสร็จ แต่ท่าทางฉันจะคาดการณ์ผิดไปอย่ามากจากปกติที่ควรจะเป็น เนื่องจากวันนี้อาจารย์ใหญ่ได้แจ้งให้นักเรียนทุกคนทราบเกี่ยวกับกิจกรรมที่ทางโรงเรียนจะจัดขึ้น โดยนักเรียนทุกคนจะต้องเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมด 2 กิจกรรมด้วยกัน นี่เป็นข่าวที่ฉันไม่ค่อยอยากจะได้ยินสักเท่าไหร่ เพราะในตอนแรกอาจารย์ใหญ่แจ้งไว้ก่อนว่าจะมีการปรับเปลี่ยนในปีหน้า นั่นก็คือฉันเรียนจบจากโรงเรียนแห่งนี้แล้วนั่นเอง

    เสียงของนักเรียนฮือฮาขึ้นจากเสียงเล็กๆ ของบุคคลเพียงไม่กี่คน ที่เริ่มพูดกันในเรื่องของกิจกรรม จนนักเรียนแทบทั้งหมดจะกระซิบกระซากกันจนดังกลบเสียงไมค์โครโฟนที่อาจารย์ใหญ่ใช้อยู่เลย ทำให้อาจารย์ใหญ่หยุดพูดไปชั่วขณะ เพื่อรอให้เสียงเหล่านั้นสงบลง ก่อนที่จะพูดถึงกิจกรรมที่ได้กำหนดขึ้นว่ามีกิจกรรมใดบ้าง แต่คนอย่างฉันที่เวลาเรียนยังแทบจะไม่มีเวลาให้มาเรียนแล้ว ยังต้องมาทำกิจกรรมอีก มันคงลำบากต่อการใช้ชีวิตของฉันมากจริงๆ TT^TT

    กิจกรรมเหล่านี้ก็จะคล้ายๆ กับชมรม แต่ที่ต่างกันออกไปก็คือ เราจะต้องทำกิจกรรมนั้นแล้วนำออกไปปฏิบัติจริง หรือมีการแข่งขันด้วยเช่นกัน ทำให้ฉันหนักใจอยู่ไม่น้อยในการเลือกกิจกรรมที่จะลง

    เมื่ออาจารย์ใหญ่แจ้งเรื่องราวให้กับนักเรียนทราบโดยทั่วกันแล้วก็ให้นักเรียนต่างๆ แยกย้ายกันไปเลือกกิจกรรมที่คิดว่าตัวเองสนใจ ฉันเดินไปตามห้องสาขาต่างๆ เพื่อที่จะหากิจกรรมที่ฉันสนใจและอยากจะเข้าไปเป็นส่วนร่วมในการทำกิจกรรมนั้น แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด อาจารย์แจ้งว่าถ้าเรียนในสาขาใดเราก็ห้ามที่จะสมัครในสาขานั้น เนื่องจากต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้สิ่งอื่นๆ นอกจากสาขาที่เราเรียนอยู่

    โซระ เธอสนใจกิจกรรมอะไรเป็นพิเศษไหม เสียงทุ่มและนุ่มนวลดังขึ้นจากด้านหลังที่ร้องเรียกชื่อของฉัน ทำให้ฉันหันกลับไปมองยังต้นเสียง

    สวัสดีค่ะ อาจารย์ทาเคดะ หนูยังไม่แน่ใจเลยว่าจะไปสมัครกิจกรรมไหนดี เพราะว่าหนูยังมีงานที่ต้องทำและก็ไม่ค่อยมีเวลามาเข้าร่วมกิจกรรมด้วยค่ะ ^^  ฉันตอบและฉันยิ้มให้กับอาจารย์ประจำชั้นของฉัน อาจารย์ทาเคดะเป็นอาจารย์หนุ่มผิวขาว แถมยังสุภาพกับนักเรียนมากๆ ทำให้มีนักเรียนที่ทำตัวแก่แดดทั้งหลายคอยตามติดตัวของอาจารย์เหมือนกับเงาของอาจารย์ไม่มีผิด

    เธอชอบกีฬาไหมล่ะ อาจารย์ทาเคดะเสนอกิจกรรมยอดนิยมสำหรับบุคคลที่ต้องการมีสุขภาพที่แข็งแรง และมีเวลาให้กับมัน

    หนูไม่ค่อยอยากเข้ากิจกรรมจำพวกที่เป็นกีฬาสักเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะว่ามันต้องมีเวลาในการฝึกซ้อมด้วยอ่าค่ะ ^^ ฉันยิ้มเจือนๆ เมื่อพูดถึงกีฬาต่างๆ ออกมา

    งั้นครูคงไม่รู้จะแนะนำกิจกรรมไหนแล้วแหล่ะมั้ง ^^ เพราะครูเห็นเธอไม่ค่อยสนใจกิจกรรมไหนเป็นพิเศษเลยนิ งั้นเดี๋ยวเธอลองเดินดูไปเรื่อยๆ แล้วกัน ครูคงต้องไปเฝ้าห้องบ้างแล้วล่ะ ฉันรู้สึกเหมือนทำให้อาจารย์เสียใจอยู่เลย แต่ฉันก็ไม่รู้จริงๆ ว่าฉันควรจะไปเข้ากิจกรรมไหนดี

    ขอโทษนะค่ะอาจารย์ ถ้าหนูหากิจกรรมที่ลงได้แล้วจะบอกให้อาจารย์รู้คนแรกเลยค่ะ ฉันยิ้มกว้างให้กับอาจารย์หลังจากจะแยกกับอาจารย์ไปเดินดูตามห้องต่างๆ

     

    ฉันเดินมาจนสุดทางเดิน และพบห้องชมรมคาราเต้ ฉันตัดสินใจโทรหาเพื่อนรักที่ไม่ได้มาโรงเรียนในวันนี้ แต่อายะก็ไม่รับสายของฉันเลยสักสายเดียว ฉันโทรอยู่ประมาณ 3 รอบด้วยกัน และฉันก็ตัดใจเลิกโทรไป และเปลี่ยนเป็นส่งข้อความไปหาเพื่อนของฉัน และเล่าเกี่ยวกับการตัดสินใจเลือกกิจกรรมต่างๆ และลงท้ายให้อายะโทรกลับด้วย หลังจากนี้ฉันก็คงทำได้แค่รอให้อายะโทรกลับหาฉันเมื่อเขาว่างที่จะคุยกับฉันแล้ว

    ฟืดดดด เสียงประตูห้องถูกเปิดออกให้เห็นเรือนร่างของชายผมสีทอง นัยตาสีฟ้าที่ดูยังไงก็รู้แน่นอนว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนญี่ปุ่น ฉันหมุนตัวไปมองผู้ชายคนที่เดินออกจากห้องก่อนจะหยุดยืนอยู่หน้าห้อง สีหน้าของชายผู้นั้นดูครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ และเขาก็มองมาทางฉัน ทำให้ฉันที่เป็นคนมนุษยสัมพันธ์ยอดเยี่ยมอยู่แล้วนั้นยิ้มออกมาให้กับชายที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้า

    สวัสดีครับ ชายผู้นั้นยิ้มให้และกล่าวคำทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่น ทำให้ฉันประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

    สวัสดีค่ะ คุณพูดภาษาญี่ปุ่นได้เหรอค่ะ?? ฉันทักทายและถามคำถามแบบคนทั่วไปที่เมื่อเจอชาวต่างชาติพูดภาษาตนเองได้ และอยากให้เขาพูดภาษาเดียวกับเราได้ออกไป

    ครับ ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ยินดีที่ได้รู้จักครับผมกอร์น ไมเนอร์ กอร์นกล่าวทักทายกับฉันก่อนที่จะโค้งให้กับฉัน

    ยินดีี่ได้รู้จักเช่นกันค่ะ ดิฉัน มิยาบิ โซระค่ะ เรียกโซระเหมือนกับคนอื่นๆ ก็ได้นะค่ะ ดิฉันไม่ถือค่ะ ฉันโค้งให้กับกอร์นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท

    ผมเพิ่งจะย้ายเข้ามาวันนี้วันแรกครับ แล้วเห็นว่าอาจารย์ใหญ่มาเลือกกิจกรรม ผมก็เลยเดินหาเรื่อยๆ อยู่ ไม่รู้ว่าจะเข้ากิจกรรมไหนดี ฉันพอเข้าใจกับสีหน้าครุ่นคิดของกอร์นเมื่อสักครู่แล้ว ว่าทำไมเขาถึงได้มีสีหน้าที่หนักใจเช่นนั้น

    ฉันก็คิดไม่ออกเหมือนกันค่ะ แล้วยังจะให้เข้าร่วมตั้ง 2 กิจกรรม ลำบากใจเหมือนกันนะค่ะ

    ครับ เดี๋ยวยังไงผมขอตัวไปดูกิจกรรมของสาขาอื่นก่อนนะครับ

    ดิฉันก็เช่นกันค่ะ

    เราคงได้พบกันอีกนะครับ

    ค่ะ ^^

    หลังจากบทสนทนาจบลง ฉันก็ตัดสินใจเดินเข้าไปยังห้องตรงด้านหน้า เพราะตอนนี้ฉันไม่แน่ใจว่าจะเลือกกิจกรรมแบบไหนดี และเมื่อเดินมาจนสุดทางแล้ว ฉันยังไม่ได้ตัดสินใจจะเข้าห้องไหนเลยสักห้องหนึ่ง ฉันเชื่อโชคชะตาของฉัน ที่ทำให้ฉันเดินมาจนถึงห้องสุดท้ายนี้ และฉันจะเลือกห้องนี้เป็นกิจกรรมอันดับที่ 1 เมื่อฉันเข้ามายังห้องที่มีขนาดใหญ่พอที่จะเป็นห้องประชุมขนาดกลางได้เลย

    นั่น รุ่นพี่โซระนี่!! เสียงของเด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทั้งตกใจและดีใจปนกันอยู่

    ไหนๆๆๆ เด็กหนุ่มอีกคนพูดและมองพยายามมองหาบุคคลที่ชื่อ โซระ อย่างตั้งใจ และมีเด็กสาวอีก 2 คนหันมองตาม

    สวัสดีค่ะ กิจกรรมของคาราเต้มีอะไรบ้างค่ะ ฉันถามเด็ก 4 คนเหล่านั้นก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ที่ถูกจัดไว้สำหรับแขก

    จริงๆ แล้ว ผมก็บอกตรงๆ นะคับพี่ กิจกรรมของเราจะมีแข่งขันทุกปี และปีนี้ก็จะเร็วกว่าปกติ อีกประมาณเดือนนึงก็จะแข่งแล้ว พี่ลองตัดใจเอานะครับ แต่พวกผมอยากให้พี่มาเข้ากิจกรรมของพวกเรานะครับ เป็นประธานก็ได้ พวกเราก็ยินดีนะครับ เด็กชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตอบกลับด้วยความรู้สึกที่ก้ำกึ่งว่าอยากจะให้เข้ากิจกรรมนี้ แต่ก็ไม่อยากให้เข้าเพราะรู้ว่าฉันไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น

    พี่ค่ะ เอาอย่างนี้ไหม เดี๋ยวพวกเราจะให้พี่เป็นประธานของกิจกรรมนี้ อย่างน้อยแค่เทอมเดียวก็ยังดีนะค่ะ เด็กสาวที่ยืนอยู่ด้านข้างเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

    พี่คิดว่า พี่คงจะเป็นประธานที่ดีไม่ได้หรอกจ๊ะ

    พวกเรารู้อยู่แล้วล่ะครับว่าพี่คงไม่สะดวกที่จะทำกิจกรรมแบบนี้สักเท่าไหร่ เด็กเล่านั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยด้วยความผิดหวัง

    แต่พี่ขอฝึกกับพวกเธอแล้วกันนะจ๊ะ ฉันยิ้มมุมปากเล็กน้อยให้กับเด็กเล่านั้น

    พี่จะฝึกกับพวกเราจริงๆ เหรอค่ะ เด็กเล่านั้นย้ำประโยคที่ฉันพูดอีกครั้ง ก่อนที่ฉันจะพยักหน้าตอบรับคำไป

    เสียงเฮของเด็กๆ พวกนั้น ทำให้ฉันถอนตัวออกจากที่นี่ไม่ได้จริงๆ มันทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอที่จะอยู่ในกิจกรรมนี้ และฉันก็ตัดสินใจไปแล้วหนิว่าจะเข้าชมรมนี้ คงไม่ต้องถามอะไรมากมาย ถ้าเกิดว่ากิจกรรมแบบนี้ฉันทำไม่ไหวจริงๆ อาจารย์ใหญ่ก็คงไม่ว่าอะไรกับเด็กเทอมสุดท้ายอย่างฉันหรอกนะ

     

    ฉันเดินออกจากห้องคาราเต้ได้สักพักก็มีเสียงประกาศให้เด็กนักเรียนมัธยมปลายมารวมตัวกันที่หอประชุมโดยเร็ว ฉันตัดสินใจเดินลัดตึกที่ไม่ค่อยมีคนจะเดินผ่าน ขณะที่เดินไปหอประชุม ฉันเห็นทสึโตชิยืนอยู่กับผู้หญิงคนหนึ่งข้างริมสระน้ำ และผู้หญิงคนนั้นก็ร้องไห้ออกมา ทสึโตชิได้แต่นิ่งเฉยและพูดอะไรสักอย่างออกมา แต่ระยะขนาดนี้ก็คงไม่แปลกที่จะไม่ได้ยินอะไร และผู้หญิงคนนั้นก็กระโดดเข้าไปสวมกอดทสึโตชิไว้ ฉันรู้สึกปวดใจเล็กๆ ถึงจะรู้ว่าทสึโตชิปฏิเสธรับรักของฉันไปแล้วแท้ๆ น้ำใสๆ เริ่มจะรินออกมาจากดวงตาของฉัน

    ทำไมนะ ทำไมกัน ทั้งที่คิดไว้แล้ว ตั้งใจแล้วหนิว่าจะตัดใจ /TT^TT\ ฉันยกมือสองข้างขึ้นปิดใบหน้าที่เปื้อนน้ำตา

    ช่างหน้าไม่อายจริงๆ เลยเรานี่ เขาจะรักหรือจะชอบใครแล้วเราจะเสียใจทำไมอีก ฉันรู้สึกว่าหลังมือของฉันไปสัมผัสถูกอะไรเข้า ทำให้ฉันที่ยกมือปิดบังใบหน้าไว้ต้องออกมาพบกับสิ่งที่กระทบอยู่ ผ้าเช็ดหน้าสีขาวบริสุทธิ์ถูกยืบยื่นให้จากผู้ชายที่พบกันเมื่อสักครู่ ฉันหลบตาลงเพื่อไม่ให้ใครเห็นน้ำตาที่กำลังไหลรินอยู่ และรับผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นมากำไว้ในมือ

    เป็นอะไรไปเหรอโซระ กอร์นถาม้วยท่าทางที่เป็นห่วง

    ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันเพียงแค่ฝุ่นเข้าตาค่ะ ฉันนำผ้าเช็ดหน้าที่ได้รับมายกขึ้นเช็ดน้ำตาให้ใบหน้าแห้ง และยิ้มให้กับกอร์น

    คุณกำลังจะไปไหนค่ะ ฉันเป็นฝ่ายเริ่มถามกอร์นก่อนเพื่อกลบเกลือนน้ำตาที่เริ่มจะแห้ง

    ผมกำลังจะไปหอประชุมครับ แต่ว่ารู้สึกว่าผมจะหลงทางล่ะ ^^ กอร์นยกมือข้างหนึ่งขึ้นไว้บนศรีษะ ที่ดูแล้วเหมือนกับกำลังเขินอยู่ ลักษณะของเขาเวลาเขินช่างเหมือนกับทสึโตชิเสียจริง

    ฉันก็กำลังจะไปเหมือนกัน งั้นเราไปพร้อมกันนะค่ะ ฉันนำทางเอง

    ยินดีเลยครับ ^^

    เราเดินไปคุยไปอย่างไม่รีบร้อน แม้ทางประกาศนั้นได้แจ้งให้นักเรียนชั้นมัธยมปลายรีบไปรวมตัวกันที่หอประชุมแท้ๆ...

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น