คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : -- 5 --
-5-
“เคียวยะ นายมาที่นี่ทำไม” ทามากิถามคนตรงหน้า ที่ลากเขามาสถานีรถไฟ ลูกชายคนเล็กของบ้านโอโทริคงไม่จำเป็นต้องนั่งรถไฟแน่ๆ
แต่เคียวยะเพียงแค่มองหน้าโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะลากทามากิให้มาที่ชานชาลาเดียวกัน ระหว่างที่ทามากิเดินตามแรงของเคียวยะอยู่นั้น จู่ๆก็มีเด็กคนหนึ่งวิ่งมาชนเข้าจนทามากิล้มลง เคียวยะหันมาด้านหลังเมื่อเห็นว่าทามากิล้มลงไปนั่งกับพื้น ก็รีบเข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา ผิดกับเด็กอีกคนที่นั่งอยู่กับพื้นโดยไม่มีใครช่วย
“ถ้ามีปัญญาก็ลุกขึ้นมา ชนคนอื่นแล้วยังไม่ขอโทษ” เคียวยะว่าเข้าให้ เด็กชายตัวน้อยเงยหน้ามอง แต่พอมองเห็นหน้าเคียวยะกับสายตาว่าทำจริงตามที่พูด เลยหันไปมองอีกคน ทามากิตีแขนเคียวยะ ก่อนจะส่งมือให้เจ้าหนูน้อยตรงหน้าที่อายุคงราวๆแปดเก้าขวบ
“นายจะไปส่งมือให้ทำไมทามากิ เด็กนั่นอาจเป็นพวกต้มตุ๋นก็ได้” เคียวยะร้องห้าม เด็กน้อยได้ยินดังนั้นก็รีบคว้ามือทามากิทันที ก่อนจะอาศัยแรงทามากิฉุดตัวเองขึ้นมาจากพื้น
“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงถามดังออกจากปากทามากิ เจ้าเด็กน้อยส่ายหน้าก่อนจะอาศัยความมือไวขโมยกระเป๋าสตางค์จากมือทามากิ แล้วทำท่าจะวิ่งหนีไป ถ้าไม่ติดที่เคียวยะเห็นตั้งแต่เจ้าเด็กนั่นจ้องกระเป๋าสตางค์ เคียวยะเลยคว้าคอเสื้อเด็กน้อยให้ลอยขึ้น เด็กชายดิ้นไปมาบนอากาศ จนกระเป๋าสตางค์หล่นลงไปอยู่ในมือทามากิตามเดิม แล้วเด็กนั่นก็เริ่มโวยวาย
“ปล่อย ปล่อยผมสิ ปล่อย”
“นายตั้งใจจะขโมยตั้งแต่แรกแล้วใช่มั้ย เรื่องอะไรฉันจะปล่อย ฉันจับนายส่งตำรวจแน่ เจ้าตัวแสบ” เคียวยะหิ้วเด็กชายที่ทำท่าว่าจะพาส่งตำรวจจริงๆ ทามากิเห็นแล้วอดสงสารไม่ได้เลยขอให้เคียวยะปล่อย
“ฮะ นายจะบ้าเหรอทามากิ เจ้าเด็กนี่มันหัวขโมยชัดๆ”
“ได้ของคืนมาแล้วนี่ ยังจะจับส่งตำรวจอีกหรือไง” เด็กน้อยเริ่มท้วงบ้าง มันไม่ยุติธรรม
“ใช่ เคียวยะ ปล่อยไปเถอะ ถือว่าฉันขอร้องละกัน” เพราะสายตาอ้อนของทามากิ เคียวยะเลยปล่อยตัวเด็กน้อยลง
เจ้าเด็กชายตัวแสบเลยรีบคว้ากระเป๋าสตางค์อีกรอบ คราวนี้ไม่มีใครระวังตัว เด็กชายเลยวิ่งหนีจากการจับตัวของเคียวยะไว้ได้
เด็กชายเดินฮัมเพลงในลำคอเบาๆ ก่อนจะเปิดกระเป๋าสตางค์ออก
“สองพันเยน เฮ้อ มีแต่บัตรอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลยแฮะ” เด็กชายรื้อๆค้นๆ ก่อนจะรีบเก็บกระเป๋าใส่กางเกงตัวเองเมื่อเดินมาถึงบ้านตัวเอง
จริงๆแล้วมันว่าเรียกว่าบ้านก็ไม่ถูกนัก เพราะมันเป็นเหมือนร้านอาหารเล็กๆร้านหนึ่งมากกว่า ไม่เหมือนภัตตาคารใหญ่โตฝั่งตรงข้ามนู้น ที่มีคนเข้าออกแน่นร้านทุกวัน เมื่อก่อนร้านนี้เคยมีลูกค้ามากมาย ใครๆก็ติดใจฝีมือของพ่อทั้งนั้น จนกระทั่งวันนึงจู่ๆ พ่อก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ แม่จึงต้องรับภาระนี้คนเดียว
แล้วภัตตาคารนั่นก็มาสร้างที่นี่ จากร้านที่แทบไม่ค่อยมีคนอยู่แล้วตอนพ่อเสีย พอมีภัตตาคารนั่น ลูกค้าจึงหายไปหมด ในที่สุดร้านนี้ก็ต้องปิดตัวลง แม่เลยไปรับจ้างเป็นแม่บ้านแทน หาเลี้ยงเขากับน้องสาว แต่ตอนนี้แม่ป่วยหนัก หวังว่าเงินที่เขาไปขโมยมามันจะช่วยพาแม่ไปหาหมอได้
“กลับมาแล้วฮะ”
“พี่คะ พี่กลับมาแล้ว” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งมาหาพลางกอดพี่ชายตัวเองแน่น เด็กชายเลยกอดตอบ พร้อมทั้งหอมแก้มซ้ายขวา
“แล้วแม่อยู่ไหนฮานะ ตื่นหรือยัง” เด็กชายถามพลางจูงมือฮานะเดินเข้าไปข้างใน
ผู้หญิงคนนึงนอนซมอยู่ปลายเตียง ไข้ขึ้นสูง แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร หากแต่เพราะไม่มียาและอาหารดีๆ ทำให้เธอนอนซมมาเป็นอาทิตย์
“ไปไหนมาเคนตะ” หญิงสาวมองหน้าเด็กชายตัวน้อยก่อนจะส่งเสียงถามออกไป
“ผม ผมไปช่วยคุณลุงร้านปลายกของฮะ คุณลุงใจดีมากเลยเห็นว่าแม่ป่วยเลยให้เงินมาพาแม่ไปหาหมอ” เคนตะพูดเสียงเบาพลางก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ เพราะกลัวว่าแววตาของตัวเองจะทำให้แม่จับผิดเอาได้ว่าไม่ได้ไปช่วยคุณลุงยกของมา “นี่ฮะ”
เด็กชายยื่นเงินสองพันเยนให้ผู้เป็นแม่ หญิงสาวรับเงินมาแล้วตบหน้าลูกชายตัวเองพร้อมตวาดลั่น
“เคนตะ แม่ไม่เคยสอนให้ลูกไปขโมยของๆใคร แล้วลูกทำแบบนี้ทำไม”
“ตะ แต่ว่า คุณลุงเขาให้มาจริงๆนี่ฮะ”
“พี่คะ” ฮานะเดินเข้าไปกอดพี่ชายตัวเองพร้อมกับร้องไห้งอแง แล้วก่อนที่แม่ของเด็กทั้งสองจะตีเคนตะอีกรอบ ก็มีใครบางคนเดินผ่านหน้าเคนตะกับฮานะเข้าไปช่วยพยุงให้เธอนั่งลงกับเตียงตามเดิม
“เขาพูดจริงนะครับคุณน้า แต่ที่พูดไม่จริงก็คือเงินนั่นผมเป็นคนให้” ทามากิเข้าไปช่วยพยุงหญิงสาวให้นั่งลง พร้อมทั้งอธิบายให้เข้าใจ ก่อนจะหันไปขอเสียงสนับสนุนจากเคนตะ “ใช่มั้ยละ เคนตะคุง”
“ฮะ”
“ลูกของน้าทำให้พวกเธอเดือดร้อนหรือเปล่า น้าขอโทษด้วยนะจ๊ะ” เธอพูดขอโทษพลางทำท่าจะโค้งคำนับจนทามากิทำหน้าไม่ถูก สุดท้ายเคียวยะจึงเป็นฝ่ายพูดแทน
“เปล่าครับ พวกผมแค่เห็นแกขนยันเลยให้เงินไปเท่านั้นแหละครับ เพราะเห็นเคนตะว่าจะพาคุณน้าไปหาหมอ พวกผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร”
หญิงสาวมองเด็กหนุ่มตรงหน้าสองคนที่ดูจากการแต่งกายแล้วคงเป็นลูกเศรษฐีทั้งคู่ ถ้าจะให้เงินลูกของเธอแล้วไม่เดือดร้อนอะไรก็คงจะจริงอย่างว่า เธอจึงเปลี่ยนคำพูดแทน
“ขอบคุณนะคะที่กรุณา”
“ไม่เป็นไรครับ คุณน้าไม่สบายอยู่ พวกผมว่าไปโรงพยามบาลดีกว่า” ทามากิพูดแล้วก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดแทรกอะไร เคียวยะก็พูดประโยคที่หญิงสาวไม่มีทางเถียงชนะว่า
“ไม่ต้องห่วงครับ มันเป็นธุรกิจของครอบครัว ผมไม่เสียค่าใช้จ่ายแน่”
( ต่อ )
ทามากินึกถึงใบหน้าเหวอสุดขีดของคุณแม่ยังสาวที่คงจะช็อคอีกนาน เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือทายาทคนเล็กของบ้านโอโทริแล้วก็ได้แต่ขำในใจ ตัดสินใจเลิกคิด นั่งมองเด็กน้อยสองคนตรงหน้าที่แข่งกันกินอาหารราวกับชาตินี้ไม่เคยมีโอกาสได้กิน
แตกต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง
ที่เพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมา ก็ดูเหมือนเขาจะมีอะไรหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ใครต่างพากันอิจฉา ทามากิเอื้อมมือเอาผ้าไปเช็ดหน้าให้เด็กหญิงฮานะที่แก้มเลอะซอส ก่อนจะทำแบบเดียวกันกับแก้มอีกข้างของเด็กชายเคนตะ
“ผมโตแล้วนะ พี่ไม่ต้องมาเช็ดหน้าผมหรอกน่า” เคียวยะที่มองการกระทำนั้นอยู่นาน นึกอยากจับเจ้าเด็กปากมากไปถ่วงน้ำ เป็นเขาหน่อยไม่ได้..
เคียวยะสะบัดหัวไล่ความคิดที่ว่าออกไป
นี่เขากำลังอิจฉาเด็กหรือนี่
ทามากิเห็นว่าเคียวยะทำท่าทางแปลกๆเลยหันไปมองหน้า ก่อนมือเรียวจะอังไปบนหน้าผากของอีกฝ่ายสลับกับของตนเอง
“นายไม่สบายเหรอ เคียวยะ” เคียวยะจับมือทามากิเอาไว้แนบแก้ม ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร เจ้าเด็กเคนตะก็พูดแทรกแถมยังแย่งความสนใจของทามากิไปจากเขาอีก
“พี่ทามากิ ผมอยากกินเค้ก” แน่ะ ยังมีหน้ามายิ้มให้เขา บอกแล้วว่าน่าจับไปถ่วงน้ำ เคียวยะคิดในใจอย่างคาดโทษ คราวนี้ฮานะเลยขอมั่ง
กลายเป็นว่าตอนนี้ทามากิสนใจเด็กๆมากกว่าตัวเขาซะอีก
สรุปแล้วคาเทดะ เร็น ต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แต่ก็ยังอดห่วงลูกของเธอไม่ได้ จนทามากิจึงรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะนั่นแหละเธอถึงได้สบายใจ ฝากลูกของตัวเองแล้วนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตามคำแนะนำของแพทย์
ฮานะหลับไปแล้ว เคนตะจึงเดินไปหาทามากิที่อีกห้องหนึ่ง ทามากิกำลังนั่งมองกรอบรูปมากมาย ภาพครอบครัวที่แสนสุข จนเคนตะเดินเข้าไปใกล้ทามากิถึงเพิ่งรู้สึกตัว
“พี่ฮะ ผมเอามาคืน แต่เงินในนั้นพี่ยกให้พวกผมแล้วนะ” ทามากิยิ้มมองหน้าเด็กชายตัวน้อยที่รู้มากเกินตัว ก่อนจะรับกระเป๋าสตางค์ของตัวเองคืนมา ทามากิพูดเมื่อเห็นว่าเคนตะทำท่าสงสัยว่าใครอีกคนไม่ได้อยู่ในห้องนี้หรือ
“เคียวยะไม่อยู่หรอก ออกไปไหนไม่รู้ ว่าแต่เรานะอยู่กับแม่แล้วก็น้องสามคนเหรอ”
“ฮะ พ่อเสียไปแล้ว” เคนตะพูดเสียงเบา ก้มหน้าลงเขาไม่อยากร้องไห้ให้ใครเห็น เพราะพ่อบอกว่าเป็นลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้
“นั่นสินะ เหมือนฉันเลย อยู่กับพ่อสองคน” เพราะคำพูดนั้นของทามากิ ทำให้เคนตะเงยหน้ามอง เสียงที่ทามากิพูดออกมากมันไม่ได้ให้ความรู้สึกเศร้าเลย ออกจะมีความสุขด้วยซ้ำยามพูดว่าพ่อไม่ได้กลับบ้าน แต่เพราะในประโยคแรกมันสะท้อนออกมาทางแววตาที่บอกว่าทามากิคิดถึงแม่ของเขา
“พี่ชายคนนั้นเป็นแฟนพี่เหรอฮะ” คำถามที่ไม่คิดว่าจะโดนถามจากเด็กน้อยเคนตะทำให้ทามากิเงียบ แล้วรอยยิ้มบางก็แต้มบนริมฝีปาก ก่อนจะพูดตอบว่า
“แฟนเหรอ ไม่รู้สิ ไม่เห็นเคยพูดถึงเลย อีกอย่างยังมีผู้หญิงอีกมากที่เหมาะสมแล้วก็คู่ควรกับเคียวยะ” พูดออกไปแล้วก็ได้แต่เจ็บในใจ แต่ทามากิคงไม่รู้หรอกว่าแววตาของตัวเองนะมันเศร้าแค่ไหน
“พี่อย่าคิดอย่างนั้นสิฮะ เพราะพี่ชายคนนั้นชอบพี่ ผมรู้” เคนตะว่าพลางลุกจากเก้าอี้ แล้วเดินออกไปจากห้อง เห็นเงาดำแถวๆประตูเลยหันหน้ากลับไปยิ้มร่า
“ผมก็ชอบพี่นะ” จบคำเจ้าตัวก็วิ่งออกไปจากห้อง ไม่รอให้เคียวยะจับตัวเอาไว้ทัน ทามากิอมยิ้มกับคำพูดนั้นน้อยๆแล้วทักเคียวยะว่าทำไมถึงทำหน้าไม่สบอารมณ์ขนาดนั้น
“เปล่า” เคียวยะตอบ จะให้เขาบอกหรือไงว่าเป็นเพราะเด็กเคนตะนั่น เจ้านั่นรู้ว่าเขายืนอยู่หน้าประตูเลยตั้งใจพูดซะเสียงดังกะให้เขาได้ยินตอนประโยคสุดท้ายนั่น
มันน่าโมโหมั้ยละ
“ว่าแต่นานไปไหนมาละเคียวยะ”
“ธุระนิดหน่อย” ตอบก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้
จู่ๆตั๋วรถไฟสองใบก็ถูกชูขึ้นมาตรงหน้าเคียวยะ ก่อนที่มือที่ชูตั๋วนั่นจะถูกจับไว้ เคียวยะลูบหลังมือนั้นเบาๆแล้วคว้าเอวบางมานั่งตัก ดูท่าร่างบางบนตักคงรื้อของๆเขาระหว่างที่เขาไม่อยู่แน่ๆ ซนจริงๆ คิดได้ดังนั้นเคียวยะก็ก้มลงซุกซอกคอทามากิ โทษฐานซนไม่เข้าเรื่อง
แม้ว่าทามากิจะเอียงหน้าหลบ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรเพราะเคียวยะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่แก้แทน มือทั้งสองข้างของทามากิถูกเคียวยะจับไว้แน่นแถมยังนั่งอยู่บนตักอีกฝ่ายอีก ทามากิเลยรีบพูดเรื่องตั๋วรถไฟที่เขาไปค้นเจอมา แล้วมันก็ได้ผลเมื่อเคียวยะเขยิบหน้าออกไปนิดเดียว ย้ำ!!! นิดเดียวจริงๆ
“ที่นายลากฉันไปที่ชานชาลา อย่าบอกนะว่าจะขึ้นรถไฟกันนะ”
“ก็ใช่” เคียวยะตอบ แต่ดูเหมือนคำตอบจะเหนือความคาดหมายของทามากิไปหน่อย เจ้าตัวถึงได้ทำหน้าอึ้งๆ
“แล้วทำไมต้องเป็นรถไฟด้วย แทนที่นายจะ..”
“นายอยากขึ้นไม่ใช่หรือไง” เคียวยะพูดแทรก เริ่มไม่เข้าใจทามากิขึ้นมาครามครัน ก็ไหนเคยบ่นว่าอยากขึ้นรถไฟนักหนา แต่พอเขาจะพาไปจริงๆกลับทำหน้าเหวออยู่นั่นแหละ
“หรือว่านายไม่อยากนั่งรถไฟ งั้นคราวหน้าไม่ขึ้นรถไฟก็ได้นะ” เคียวยะที่คงจะเข้าใจผิดไปไกลบอกแต่ทามากิรีบพูดเสียเร็ว เพระกลัวว่าเคียวยะจะเข้าใจผิด
“เปล่าๆ ฉันแค่ไม่คิดว่านายจะยอมนั่งรถไฟ งั้นคราวหน้าเราค่อยขึ้นกันนะ สัญญาสิ”
“อืม” เคียวยะลอบมองใบหน้าด้านข้างของทามากิ รอยยิ้ม นั้นบอกว่าเจ้าตัวกำลังดีใจ และเหนือสิ่งอื่นใดดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายแห่งความสุข นั่นแหละที่เขาต้องการ แค่ทามากิมีความสุข เขาก็สุขไปด้วย
“แต่น่าเสียดายเนาะ ตั่วสองใบนี้เลยไม่ได้ใช้เลย” ทามากิบ่นงึมงำ หันหน้ามาถามเขาเหมือนจะถามความเห็น
“นายก็เก็บไว้เป็นที่ระลึกก็แล้วกัน”
“เออเนอะ ใช่.. อื้อ” จบคำเคียวยะก็ก้มหน้าลงปิดริมฝีปากบางนั่น
รุ่งขึ้นอาการของคาเทดะ เร็น อาการดีขึ้นมาก จากที่ควรจะต้องนอนโรงพยาบาลเป็นอาทิตย์ เจ้าตัวกลับขอออกจากโรงพยาบาลก่อน แพทย์เจ้าของไข้เลยอนุญาตให้กลับบ้านได้ เมื่อมาถึงบ้านเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะของลูกๆของเธอ เคนตะและฮานะกึ่งเดินกึ่งวิ่งมากอดผู้เป็นแม่ เร็นมองเด็กหนุ่มสองคนแล้วก็โค้งคำนับผู้อายุน้อยกว่าด้วยความขอบคุณอย่างยิ่ง จนทามากิรีบบอกปฏิเสธแทบไม่ทัน
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยดูแลเด็กสองคนนี้แล้วก็ค่ารักษาพยาบาล”
“ไม่เป็นไรครับ” ทามากิก้มลงคุกเข่ากอดเด็กน้อยสองคนตรงหน้า ก่อนจะวางมือลงบนหัวของเคนตะเบาๆ “งั้นพี่คงต้องไปแล้วแหละ เป็นเด็กดีละเคนตะ รู้มั้ยฮานะด้วยนะ”
“อยู่แล้วฮะ”
“ค่ะ”
ก่อนเดินจากไปเคนตะก็วิ่งมาดึงชายเสื้อของเคียวยะเอาไว้ให้ก้มลงมา ก่อนจะกระซิบบอกให้รู้กันแค่สองคนแล้ววิ่งกลับไปตามเดิม เคียวยะมองตามเจ้าเด็กน้อยวิ่งไปจูงมือน้องสาวตัวเองเดินเข้าบ้านแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ก็บอกตัวเองได้คำเดียวว่าเด็กนั่นแก่แดดแก่ลมเสียไม่มี เสียงเล็กๆที่กระซิบกับเขาคงกลัวว่าใครแถวนี้จะได้ยิน
“เมื่อไหร่พี่ชายจะบอกพี่ทามากิซะทีละฮะว่าเป็นแฟนกัน ระวังเถอะเดี๋ยวคนอื่นแย่งไปแล้วมานั่งเสียใจ จะหาว่าผมไม่เตือน ผมยอมให้พี่เป็นแฟนพี่ทามากิคนเดียวหรอกนะ เพราะผมก็ชอบพี่เค้าเหมือนกัน”
มันก็สมควรอยู่หรอกที่เด็กนั่นต้องยอมเขา บางทีถ้าพรุ่งนี้มาถึง หรืออาจจะเป็นเย็นนี้ เด็กนั่นอาจมาขอบคุณเขาด้วยซ้ำ
จริงๆแล้วพ่อของเด็กคนนั้นไม่ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่เป็นเพราะใครบางคนจงใจให้ดูเหมือนว่าเป็นอย่างนั้น เพื่อการเปิดกิจการภัตตาคารของตัวเองจะได้ไม่มีปัญหา แถมยังปล่อยข่าวลือเสียๆหายๆทำให้ร้านอาหารเล็กๆของสามแม่ลูกนั่นต้องปิดกิจการ ส่วนตัวเองกลับค้าขายอย่างดรทั้งๆที่สูตรอาหารทั้งหมดของภัตตาคารตัวเองก็มาจากครอบครัวคาเทดะทั้งนั้น
เขาก็แค่ทำอะไรนิดๆหน่อยๆอย่างเช่นการบังคับให้เจ้านั่นขายภัตตาคารตัวเองทิ้งซะ แล้วจะทำอะไรที่ไหนก็เชิญขอแค่อย่ามาให้เขาเห็นหน้าอีก แล้วเขาก็แค่จ้างคาเทดะ เร็นมาเป็นเชฟประจำภัตตาคาร เท่าที่รู้ผู้หญิงคนนั้นทำอาหารเก่งพอตัวถ้าไม่ถูกคนอื่นใส่ร้ายปล่อยข่าวลือแปลกๆออกไป ร้านอาหารเล็กๆแห่งนั้นคงไม่ปิดลง
นึกหน้าตอนเห็นจดหมายที่ได้เรียกตัวให้ไปเป็นเชฟภัตตาคารตรงหน้าคงตกใจน่าดู เคียวยะหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เรื่องนี้ก็คงมีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ส่าทำอะไรลงไป ทามากิคงไม่รู้อะไรแน่ๆถึงได้มองหน้าเขาตอนหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“หัวเราะอะไรของนายเคียวยะ”
“เปล่า”
“ก็เห็นอยู่ว่าหัวเราะ มีความสุขอะไรนักหนา หรือว่าเรื่องที่เคนตะบอกนาย”
“นายอยากรู้เหรอ” เคียวยะหยุดเดินหันมามองหน้าทามากิ ดวงตาสีม่วงนั่นมีแววอยากรู้อยากเห็น แต่เพราะเห็นแววตาล้อเลียนของเคียวยะ ทามากิเลยสะบัดหน้าไปอีกทาง ปากก็ปฏิเสธ
“ไม่” แต่อีกฝ่ายกลับรีบรวบเอวบางไว้จากด้านหลัง เพราะคนตรงหน้าทำท่าจะหนีไม่ยอมฟังประโยคที่เขาตั้งใจจะบอก เคียวยะเลยก้มหน้าลงไปใกล้หูของอีกฝ่าย ลมหายใจร้อนพัดผ่านผิวแก้มให้แดงระเรื่อ แล้วก็ดูเหมือนมันจะแดงหนักกว่าเดิมเมื่อใครบางคนกระซิบบอกคำบางคำ พร้อมทั้งสัมผัสแผ่วเบาที่ริมฝีปากบาง
“ฉันจะอยู่ข้างๆนาย”
ฉันจะอยู่ข้างๆนาย
คำๆนี้มันแปลได้อีกความหมายนึงมั้ยนะ
มันจะแปลได้อีกความหมายนึงได้มั้ยว่า
นายรักฉัน เคียวยะ
เหมือนที่ฉันรักนาย
รักนายมาตลอด
และฉันก็จะรักนายตลอดไป
(ทามากิ)
- THE END -
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เย่ !!!!!!!!!
จบแล้วฟิคคู่นี้
หวังว่าคงมีความสุขกับการอ่านนะคะ
ยิ้มอย่างมีความสุขกับทามากิแล้วก็เคียวยะ
: ]
ความคิดเห็น