ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วรรณคดีสไตล์เกรียน

    ลำดับตอนที่ #81 : สุวรรณเศียร : ชื่อนี้มีแต่หัว!

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 943
      14
      2 ก.ค. 62

    วรรณกรรมเรื่อง "สุวรรณเศียร" หรือ "อ้อมล้อมต่อมคำแบะ" หรือ "ท้าวหัวนั้นปรากฏอยู่ในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคอีสานตามลำดับ 


    ทั้งสามเรื่องมีที่มาจาก "สุวรรณสิรสาชาดกในปัญญาสชาดก โครงเรื่องและแก่นเรื่องของวรรณกรรมล้วนตรงกัน แต่มีการปรับเปลี่ยนจากชาดกดังกล่าวในรายละเอียดปลีกย่อยเพื่อความสนุกสนาน

    .

    .

    .

    ในกาลอดีต มีหญิงผู้หนึ่งชื่ออินดี้ว่า จัณฑาลบัณฑิต (จันทาระบัณฑิตย์) เป็นคนอนาถา อาศัยอยู่ในบ้านจัณฑาลนอกเมืองพาราณศรี คืนหนึ่งนางฝันไปว่า กบตัวหนึ่งลอยอยู่บนอากาศได้กลืนกินดวงจันทร์แล้วลงมาถูกท้องของนาง นางจัณฑาลจึงไปถามฝันกับพราหมณ์เฒ่า


    พราหมณ์ได้ทำนายว่า นางจะได้ลูกที่มีแค่หัว แต่จะเป็นผู้ที่มีบุญและปัญญามาก แล้วความฝันนั้นก็เป็นจริง พระโพธิสัตว์ได้จุติลงมาในครรภ์ของนาง พอนางท้องได้ห้าเดือน ผัวก็ไปเข้าเฝ้าพญายมอย่างไม่มีวันกลับ 


    พบครบสิบเดือนในเวลาจะคลอด ความปริวิตกได้เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ว่า ถ้าออกจากท้องไปเหมือนทารกอื่น มารดาของตนเป็นคนอนาถาอยู่แล้วจะลำบาก จึงให้กายหดลงไปจนเหลือแต่หัวทองงามอร่ามจึงได้ชื่อว่า สุวรรณเศียร


    เมื่อคลอดออกมา นางแทบจะกรี๊ดที่เห็นลูกมีแต่หัว จึงซ่อนเลี้ยงหัวนั้นไว้แต่ในห้อง ไม่ให้ใครมาเห็น ครั้นเวลาที่นางจัณฑาลพาวัวควายไปกินหญ้านั้น สุวรรณเศียรก็ได้ออกจากหัวทองมากวาดเรือน หุงข้าวต้มแกงไว้คอยท่ามารดาแล้วกลับเข้าไปในหัวดังเก่า (สังข์ทองเป๊ะๆ)


    ครั้นหนึ่งพระโพธิสัตว์บอกแก่มารดาว่าจะไปเลี้ยงโคแทน แม่ก็ตอบไปขำไปว่ามีแต่หัว จะมีตัวไปเลี้ยงโคได้อย่างไรกัน สุวรรณเศียรจึงขอให้แม่นำหัวตนวางในถาดแล้วไปวางไว้ที่โคนไม้เถิด พอนางทำอย่างนั้น ถาดนั้นได้กลายเป็นทองด้วยอานุภาพของพระโพธิสัตว์


    พอสุวรรณเศียรมีอายุได้ 7 ขวบ คิดอยากจะการค้าขายมาเลี้ยงแม่ จึงขอให้แม่ไปยืมทอง 500 ลิ่มจากนายบ้านมาเป็นทุนทำการค้าขาย พอนางออกปากคำเดียว นายบ้านก็หยิบทอง 500 ลิ่มส่งให้อย่างไม่รีรอ แล้วนางก็ไปอ้อนวอนพวกพ่อค้าให้ฝากฝังสุวรรณเศียรไปด้วย 


    พอเรือแล่มไปได้ 7 วันก็ถึงเกาะทราย พระโพธิสัตว์แลเห็นทรายงามนักก็จะอยู่ที่นี้เลย จึงบอกกับนายเรือว่า อยู่ต่อเลยได้ไหม อย่าพึ่งแล่นเรือไป เธอก็รู้ทั้งหัวใจฉันอยู่ที่เกาะทรายหมดแล้วตอนนี้ นายสำเภาจึงทิ้งสุวรรณเศียรไว้กลางทางพร้อมถุงทอง และพืชพันธุ์ต่างๆ ให้พระโพธิสัตว์ไปทำฟาร์มอยู่ที่นั้น พืชเหล่านั้นได้เจริญงอกงาม


    ครั้งนั้น มีธิดานาคอยู่ 2 นาง ชื่อ นางปัญจปาปี (จำปีทอง) และ นางปทาริกา (สวาทกุสุมา) ได้ขอพ่อแม่มาเที่ยวเกาะทราย ครั้นถึง สองนางนาคเห็นฟักแฟงแตงน้ำเต้า ก็เข้าเก็บหักเล่นตามสบายใจ 


    พระมหาโพธิสัตว์เห็นนางนาคทั้งสองจึงเข้าไปถามว่า มาทำลายพืชพันธุ์ชาวบ้านนี่ สนุกไหม! นางทั้งสองได้ยินก็ตกใจจึงตอบว่าหนูไม่รู้ เดี๋ยวหนูจะไปบอกพ่อให้นำเงินทองมาให้ ครั้นถึงนาคพิภพ พระยานาคได้ฟังแล้วจึงพูดว่าให้นำเงินทองไปให้เขาเสีย


    ครั้นพวกพ่อค้าทั้งหลายมาถึง นายสำเภาก็คิดว่าเจ้าสุวรรณเศียรจะเป็นอย่างไร จึงขึ้นไปบนเกาะเห็นพืชพันธุ์ทั้งหลายมีสีเขียวชะอุ่มก็แปลกใจ ขณะนั้นพระโพธิสัตว์เห็นเรือก็รีบหายกายเข้าไปในหัวทันที นายสำเภอไปหาพระโพธิสัตว์ พร้อมพาลงเรือและขนสมบัติกลับบ้านไปด้วยกัน นางจัณฑาลบัณฑิตทราบเรื่องทั้งหมดดีใจเอามากๆ


    ครั้นพระโพธิสัตว์อายุได้ 16 ปี ก็เกิดปรารถนาจะได้พระราชธิดาของ พระเจ้าพรหมทัต มาเป็นภรรยา ธิดาทั้ง 3 นี้มีชื่อว่า สุวรรณเทวี นางสุวรรณจันทา และนางสุวรรณคันธา ราชธิดาทั้งสามนั้น มีอายุเรียงกันคือ 16 ,15 ,14 ปี 


    พระโพธิสัตว์ขอให้แม่ไปหาเสนาบดีวานให้เขาไปช่วยทูลขอพระธิดากับพระเจ้าแผ่นดินดู


    พระเจ้าพรหมทัต กรุงพาราณสีได้ทราบก็โกรธเอามากๆ บอกไปว่าถ้ากุมารเจ๋งจริง ก็ให้สร้างสะพานเงิน สะพานทองตั้งแต่เรือนของตน มาถึงพระราชนิเวศน์ของเราได้ แล้วจะยกธิดาให้ แต่ถ้าไม่ได้ ต้องรับราชอาญาแทนนะจ๊ะ สุวรรณเศียรจึงอธิษฐานตามสไตล์วรรณคดีชาดกไปนะบัดดล รุ่งเช้าพอพระเจ้าพรหมทัตเห็นสะพานเงินและสะพานทองแล้วก็ยกนางสุวรรณคันธาธิดาให้ทันที


    ครั้งนั้นพระเจ้าพรหมทัตออกไปเดินเล่นชมสวน ชาววังตามเสด็จเป็นขบวนยกเว้นลูกเขยไม่มีตัวนี่แหละ นางสุวรรณคันธาก็งอนสุวรรณเศียร สุวรรณเศียรจึงยืดกายออกจากศีรษะพร้อมควบม้าไปยังอุทยานราชภักดิ์ (เผี๊ยะ!! เดวก็คุกหรอก) เอ้ย! ไปยังอุทยานก่อนขบวนเสด็จจะไปถึง พระราชาเห็นก็นึกว่าเป็นเทวดาก็อนุญาตให้ชมสวนได้ ครั้นตอนเย็นก็กลับไปโดยไม่ใครสงสัยแต่ประการใด


    กลาวฝ่ายเสนาบดีชื่อว่า นันทะ ไปเข้าเฝ้าพระราชาเพื่อจะทูลให้ขับไล่สุวรรณเศียรออกจากวัง เพราะไม่มีกาย มีแต่หัว ทำให้ราชสำนักเสื่อมเสีย 


    พระเจ้าพรหมทัตก็ทรงเห็นตรงกับเสนาบดีนั้น ในทันใดนั้นเอง ก็ร้อนถึง ท้าวสักกเทวราช ตามเคยที่ต้องเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ประทับยืนอยู่บนอากาศแล้วตรัสถามปัญหา 4 ข้อ ดังนี้


    1. สิ่งที่ไม่แก่ไม่ตายเป็นหนุ่มอยู่เสมอได้แก่อะไร
    2. คนที่เรียกกันว่าพระราชานั้นเพราะธรรมอะไร
    3. ที่เรียกกันว่ารถนั้นได้แก่สิ่งอะไร
    4. สิ่งอะไรที่รุ่งเรืองอยู่ในโลกนี้และโลกอื่น


    แล้วให้เวลา 7 วัน ถ้าแก้ไม่ได้ หัวแบะนะจ๊ะ ครั้นรุ่งเช้า พระราชาจึงถามปัญหาเหล่านี้ดู ทุกคนบอกให้ถามสุวรรณเศียร


    พระโพธิสัตว์จึงถอดรูปกายออกจากหัว แล้วเหาะขึ้นไปในอากาศ เฝ้าท้าวสักกเทวราชแล้ว กราบทูลว่า พระองค์ต้องการถามปัญหาอะไรก็จงถามเถิด แล้วท้าวสักกเทวราชก็ถาม พระมหาโพธิสัตว์ตอบปัญหาว่า


    1. ตัณหาและราคะ คือสิ่งที่ไม่แก่ กิเลสไม่รู้จักตาย

    2. ผู้ใดที่เป็นพระราชา ก็เพราะทรงถือเอาสังคหวัตถุ 4 และทศพิธราชธรรม 10 ประการ

    3. เรือนรถมีกง มีล้อ มีเพลา ประกอบด้วยดุม งอน และเชือกเข้าด้วยกันจึงเรียกว่า รถ 

    4. ชนใดที่รักษาศีลเจริญภาวนา ชนเหล่านั้นเรียกว่า รุ่งเรืองในโลกหน้า


    เมื่อพระมหาโพธิสัตว์เจ้าได้ตอบปัญหาทั้ง 4 ข้อจบแล้ว เทวดาทั้งหลายก็โปรยปรายดอกไม้มาสักการบูชา ท้าวสักกะโยนลูกคลีตีไปในอากาศโต้กันไปโต้กันมา เล่นอยู่สักครู่หนึ่งก็หายตัวไป 


    พระโพธิสัตว์ก็ลงมาจากอากาศเข้าไปนั่งอยู่ใกล้พระเจ้าพรหมทัต พระเจ้าพรหมทัตเห็นสุวรรณเศียรมีรูปกายผ่องใสดังเนื้อทอง ก็ทรงเลื่อมใสดีใจ แล้วให้สุวรรณเศียงครองบัลลังก์เคียงคู่กับนางสุวรรณคันธา อัครมเหสีสืบต่อไป 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×