ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วรรณคดีสไตล์เกรียน

    ลำดับตอนที่ #55 : วงศ์เทวราช : พระราชนิพนธ์ล้อเลียน

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.76K
      16
      28 ก.ค. 64

    บทละครเรื่องวงศ์เทวราช เป็นบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 5 เมื่อปีวอก พ.ศ. 2427 เมื่อคราวทรงประชวร จึงทรงหาหนังสือกลอนที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟังจากที่ไหนมาอ่าน 

    จนพบกับบทละครเรื่องวงศ์เทวราชของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม  สุขยางค์) 

    แต่ทรงสังเกตเห็นข้อวิปลาสมากมาย อันเป็นมูลเหตุให้พระพุทธเจ้าหลวงทรงพระราชนิพนธ์ล้อเลียนต่อโดยทรงนำเรื่องขบขันจากบุคคลจริงมาแต่ง 

    .
    .
    .

    นับแต่บัดนี้ ข้าพเจ้าจะขอเริ่มจับความไปตามเรื่องตามสไตล์เกรียนของข้าพเจ้าล่ะกัน เอ้า! เชิด!

    กล่าวถึงฤษีตนหนึ่งนาม พระพรหมลิขิตมุนี บำเพ็ญญาณที่เชิงเขายุคนธรมานานแสนปีเลยนะเออ วันหนึ่งตาแกอยากจะขยับแข้งขยับขาออกกำลังกายซะบ้างจึงลุกขึ้นเดินจงกรมแผ่ญาณไปตลอดสี่ทิศจนกระทั่งถึงสวรรค์ชั้นดุสิต 

    เทวดาทั้งหลายต่างโปรยข้าวตอกดอกไม้ทิพย์มาบูชา จนกระทั่งมีดอกมณฑาทิพย์ดอกหนึ่งร่วงหล่นลงมาตกอยู่ตรงหน้า พระมุนีรู้ว่าข้างในดอกไม้นั้นมีนางฟ้าอยู่ จึงขอให้ดอกไม้นั้นบานออกดอกไม้ก็บานออกมาให้เห็นนางฟ้าตนนั้น

    นางเล่าว่า นางนั้นเป็นข้าพระอิศวร วันหนึ่งไปเก็บดอกไม้แล้วเดินเพลินไปไกลจากเขาไกรลาสซ้ำยังไปแอบอู้งานข้างทางซะอีก จึงถูกพระอิศวรถีบตกจากสวรรค์และสาปให้ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ใช้กรรมในโลกเป็นการลงโทษ พระฤษีจึงเลี้ยงดูเสมือนลูกสาวพร้อมตั้งชื่อให้ว่า นางมณฑา

    ตัดฉากไปที่ พระอินทร์ ในวันที่ดอกมณฑาทิพย์ตกลงไปนั้น พระแท่นกลับเด้งสปิงขึ้นมาเอง พระอินทร์จึงเบิกเนตรวงแหวนดูก็รู้ว่ามีนางฟ้าองค์หนึ่งไปเกิดในโลกมนุษย์จึงรีบลงไปเกี้ยวพาราสี + ซั่มนางอย่างรวดเร็ว โดยเทพบุตรที่ลงมากับพระอินทร์ได้เข้าไปจุติในครรภ์ของนางทันที

    เมื่อแน่ใจว่านางท้องแน่แล้ว พระอินทร์จึงเสกปราสาททองให้อยู่ อีกทั้งยังเสกจักรแก้วคมกรดออกมาป้องกันเมือง และมีนายประตูคอยคุ้มกันภัย แถมโปรโมชั่นพิเศษเป็นบุษบกที่เหาะเหินเดินอากาศได้ให้นางไว้ใช้  

    ต่อมา นางฟ้ามณฑาก็ถึงกำหนดคลอด ตาฤษีก็รีบตะลีตะลานมาช่วยเป่าเสกมนต์คาถาให้นางบรรเทาอาการเจ็บปวดจนนางคลอดลูกชายออกมาเป็นชายน่ารัก

    เมื่อพระกุมารเจริญวัยได้ 13 ปี (โปรดสังเกตว่ายังไม่มีชื่อ) ก็สงสัยว่าพ่อตัวเองเป็นใครกันแน่ จึงถามเด็จแม่ดู เด็จแม่ก็ตอบไปว่าพ่อเจ้าคือพระอินทร์ ถ้าอยากจะพบ เพียงออกชื่อพระอินทร์ออกมา พระกุมารได้ฟังก็ดีใจจึงรบเร้าให้เด็จแม่เชิญเด็จพ่อลงมา นางฟ้ามณฑาจึงตั้งจิตอธิษฐานถึงพระอินทร์แล้วออกนามพระอินทร์ออกมา

    ฝ่ายพระอินทร์ได้ทราบ ก็สั่งให้ พระวิษณุกรรม สร้างเมืองใหม่ให้เป็นของขวัญลูกชาย เมื่อสร้างเสร็จ ก็ได้เวลาของปาร์ตี้! ดังในคำกลอนดังนี้ 

    .

    • ครั้นเสร็จแล้วนางสุวรรณมณฑา……เรียกบ๋อยเทวามาสั่งพลัน
    • ท่านจงเอาโต๊ะฝรั่งที่อย่างใหม่……….กับเครื่องแก้วเจียระไนอันฉายฉัน
    • ทั้งเก้าอี้ลักตามาเรียงรัน……………….กับส้อมช้อนมริกันที่อย่างดี

    .

    เมื่อครั้นปาร์ตี้เสร็จ ก็ทำพิธีบายศรีเวียนเทียนสมโภชพระกุมารโดยมีมาตุลีเป็นเจ้าพิธี พลางตั้งให้ว่า วงศ์เทวราช

    เมื่อเสร็จงาน ก็ถึงเวลานำนางฟ้ามณฑากลับสู่สวรรค์แล้ว แต่หากจะปล่อยให้วงศ์เทวราชอยู่คนเดียวในเมืองที่ไม่มีไวไฟ ไม่มี play station ก็กลัวว่าลูกจะเหงา จึงชุบครุฑกับม้า ให้อยู่เป็นเพื่อน
     

    และพระอินทร์ก็รับสั่งแก่วงศ์เทวราชว่าจะสอนมนตร์อย่างหนึ่ง เรียกว่า มนตร์มหาจินดา สามารถเรียกสัตว์ป่าให้มาชุมนุมกันตามต้องประสงค์ ให้แก่วงศ์เทวราช (สังข์ทอง เป๊ะๆ) พร้อมกับประทานแก้วจินดามณี จักร และพระขรรค์  
     

    ส่วนนางฟ้ามณฑาได้มอบแหวนวงหนึ่งให้แก่ลูกชายด้วยวงหนึ่งพร้อมบอกว่า แหวนนี้มีฤทธิ์ หากสวมที่นิ้วก้อยก็จะกลายร่างเป็นหญิง หากสวมที่นิ้วขวาจะกลายร่างเป็นชาย วงศ์เทวราชรับแหวนแล้วสวมที่นิ้วชี้ และแล้วแก๊งค์เทวาจะจรลีกันกลับสรวงสวรรค์ทันที

    ส่วนวงศ์เทวราช เมื่อครั้นเด็จพ่อเด็จแม่จากไปแล้ว ก็ชวนครุฑกับม้าไปเดินเล่นที่ป่าให้สบายใจ

    แต่วงศ์เทวราชอยากจะลองวิชาจึงร่ายมนตร์มหาจินดาเรียกสัตว์ในป่ามาชุมนุมกัน ซึ่งมีพระยาวานรขาวตัวหนึ่ง มีฤทธิ์มาก มีตรีเพชรเป็นอาวุธชื่อ สังขปัด (รามเกียรติ์ เป๊ะๆ)

    สังขปัดวานรเกิดรุ่มร้อนด้วยฤทธิ์มหาจินดามนตร์ก็ออกมาจากเงื้อมผาที่อาศัย ครั้นเห็นวงศ์เทวราช ก็แผลงเกรียนให้กายสูงใหญ่เทียมตะวัน ท้าวงศ์เทวราชให้มาไฝว้กัน วงศ์เทวราชไม่ยอมรบด้วย แต่ให้น้องม้าสุริกานต์ออกไปรบแทน สุดท้ายสังขปัดก็ถูกม้าสุริกานต์ถีบจนตาย

    วงศ์เทวราชกลับสลดใจที่เห็นวานรตายกันมากมายถึงหยิบเอาแก้วจินดามณีมาเสกเป็นน้ำทิพย์แล้วรดที่ศพสังขปัดและพลวานรให้ฟื้นคืนชีพ   เมื่อวานรเหล่านั้นฟื้นขึ้นก็พากันมากราบขอขมาโทษวงศเทวราช  วงศเทวราชให้อภัยแก่พวกวานรและสังขปัด  พญาวานรพร้อมกับเหล่าสัตว์ทั้งหลายจึงถวายตัวเป็นข้ารับใช้ 

    ต่อไปจะกล่าวถึง ท้าวมหานพสูร ซึ่งเป็นยักษ์เก้าเศียร สิบหกกร ครองเมืองสมุทคีรีซึ่งอยู่ใกล้ทะเลตรงบริเวณปากน้ำคงคา ใกล้เมืองนี้  ยังมีภูเขา 2 ภูเขา เป็นภูเขาเงิน (หิรัญคีรี) กับภูเขาทอง (สุวรรณคีรี ไม่ใช่ซอสนะ!!) และมีถ้ำแก้ว

    ท้าวมหานพสูร มีน้องชายสุดเลิฟชื่อ ท้าวสาตราสูร เป็นยักษ์มีเจ็ดเศียร สิบสองกร  มีตำแหน่งเป็นเจ้านายฝ่ายหน้า กินเมืองกึ่งหนึ่งของท้าวมหานพสูร

    ท้าวมหานพสูร มีลูกสาวอายุสิบสี่ปีชื่อ นางบุศบง อยู่มาคืนหนึ่ง ท้าวมหานพสูรสลิปปิ่งฝันไปว่าพระอินทร์ขี่ม้าเหาะมาประทับตรงหน้า  มือข้างหนึ่งถือดวงแก้วมามอบให้ท้าวมหานพสูรแล้วเหาะจากไป ดวงแก้วนั้นส่องรัศมีสุกใสส่องสว่างไปทั่วปราสาท ท้าวเธอจึงได้มอบดวงแก้วดังกล่าวแก่ลูกสาว ครั้นพอตื่นขึ้นมาก็ให้โหรช่วยทำนายฝันให้ทันที

    โหรหลวงได้ฟังรับสั่งดังนั้นก็รีบทำนายสุบินทันที ได้ความว่า จะมีกุมารอันมีฤทธิ์เดชเกรียงไกรปราบได้ทั้งสี่ทิศ มากด้วยบุญบารมีมาสู่เมืองสมุทคีรีนี้ (นัยว่ากุมารนี้เกิดมาจิ้นเป็นคู่กับพระธิดา) แต่กุมารดังกล่าวจะทำให้ท้าวเธอตกใจและขุ่นเคืองใจเสียก่อน

    ท้าวมหานพสูรได้ทรงฟังโหรหลวงทำนายแล้วจึงนำธนูชัยประจำเมืองสมุทคีรีไปไว้ที่ยอดเขาหิรัญคีรีกลางมหาสมุทรแล้วขออธิษฐานว่าหากใครยกธนูนั้นได้คงจะเป็นเนื้อคู่ของพระธิดา

    เมื่อวงศ์เทวราชทราบเรื่องจึงปลอมตัวเป็นแม่ค้าขนมหวานเข้าไปดูตัวนางบุษบง ก็ชอบพอกัน ท้าวนพสูรทราบเรื่องจึงให้ลงโทษทั้งสององค์ แต่วงศ์เทวราชช่วยนางหนีมาได้ 

    และแล้วก็เกิดสงครามระหว่างยักษ์กับมนุษย์ สังขปัดเป็นแม่ทัพรบกันอยู่หลายครั้ง(รามเกียรติ์ เป๊ะๆ) จนในที่สุดท้าวนพสูรถูกจับได้จึงยอมแพ้ และจัดให้มีการยกศรต่อไป วงศ์เทวราชยกศรได้ จึงได้เตรียมการพิธีอภิเษก จัดการจัดกองบอลลูนไปรับนางบุษบงมาที่เมืองของตน

    .

    • บาลูนเอยบาลูนชัย…………กลมใหญ่สูงเยี่ยมเทียมเวหา
    • ข่ายรัดด้วยไหมวิไลตา……พื้นแดงดูจ้าจับอัมพ

    .

    เจ้าเมืองต่างๆก็เดินทางข้ามาไม่ว่าจะเป็น 

    สุลต่านสุวิทธิไชย กับ นางเวฬู แห่งเมืองสุบรรณบรรพต 

    คิงโยเซฟ กับ ควีนไรท์ แห่งเมืองกรอบสเกต 

    อุ่นอ๋อง กับ ก๋งจู้ แห่งเมืองจีน 

    แต่แล้วสังขปัดกลับหลงรักควีนไวท์ จึงส่งสารรักมอบให้แก่นาง ซึ่งควีนไวท์ผู้ชอบของแปลกก็มีไมตรีตอบ และหลงรักพญาลิงมากกว่าคิงโยเซฟ

    .

    • อันมนุษย์บุรุษทั้งผอง………….เราได้เคยลองมานักหนา
    • แต่ยังไม่ได้พบมักฏา(ลิง)……..จักมีรสโอชาฉันใด
    • จำกูจะเล่นลองดู………………….ให้รู้ว่ารสชาติเป็นไฉน
    • ตริเสร็จทรงอักษรทันใด……….แล้วพับใส่ในซองผนึกพลัน

    .

    สังขปัดจึงได้ทำอุบายเผาเมืองชิงนางทำให้เกิดไฟไหม้ในพระนคร ผู้คนอลหม่านหนีกันไปคนละทางสองทาง แขกเมืองหนีกลับประเทศกันหมด นางบุษบงไม่รู้จะทำอย่างไรจึงหนีไปบวชเป็นชีซะอย่างนั้น (อิเหนา เป๊ะๆ)
     

    วงศ์เทวราชหลบไปถึงเมืองบางซื่อ ได้ปลอมชื่อเป็นคงญวน และลอบเข้าไปในวังแอบซั่มพระธิดา เลื่อนลอยฟ้า
     

    ต่อมาวงศ์เทวราชก็ถูก เทพเป๋อ พระเจ้าอาของนางเลื่อนลอยฟ้าจับตัวได้ ม้าวิเศษกับสีหราชตามไปช่วยหนีออกมาได้ทัน จึงออกติดตามหานางบุษบงต่อไป
     

    ทั้งหมดได้เดินทางมาถึงอาศรมของ พระธรรมภาณฤาษี ซึ่งมีบุตรี 2 คนคือ นางวันงอ กับ นางแสงจันทร์แจ่ม จึงซั่มไปเป็นชายาอีกทั้ง 2 คน 

    แล้วพากันออกติดตามจนพบนางบุษบง ได้สึกชีและเดินทางกลับบ้านเมือง (ที่ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว)

    ต่อมาเทพเป๋อติดตามมารบ จึงถูกฆ่าตาย (ไม่รู้จะมาทำไม) วงศ์เทวราชสงสารจึงใช้แก้วสารพัดนึกชุบชีวิตให้ฟื้นขึ้น 

    แล้วได้จัดการอภิเษกนางเลื่อนลอยฟ้า + นางวันงอ + นางแสงจันทร์แจ่ม บุตรีพระฤาษี + นางบุษบงด้เป็นชายา 4 องค์

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×