ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    วรรณคดีสไตล์เกรียน

    ลำดับตอนที่ #307 : แหล่โพยมยานนาวา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 156
      5
      23 ก.ย. 62

    แหล่โพยมยานนาวา รวมพิมพ์อยู่ในหนังสือชื่อ "ชุมนุมแหล่เครื่องเล่นมหาชาติ" รวมรวบโดย จ.เปรียญ จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์อำนวยสาส์น เมื่อปี 2523


    เนื้อเรื่องกล่าวถึงเมื่อแรกมีเครื่องบินในสยาม และเหตุการณ์ที่มีเครื่องบินมาโชว์ในกรุงเทพมหานคร
    .
    .
    .
    ในวันที่ 17 ธันวาคม 2446 สองพี่น้องตระกูล ไรท์ (Orville-Wilbur Wright) นำยานพาหนะที่บินได้นาน 12 วินาที สูง 20 ฟุต ไกล 120 ฟุต ซึ่งถือว่ามีที่มนุษย์บินได้ตั้งแต่นั้นมา


    ในวันที 6 กันยายน 2454 สมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 


    แวนเดน บอร์น (Vanden Born) นักบินชาวเบลเยี่ยมนำเครื่องบินปีก 2 ชั้น แบบอังรีฟาร์มัง (Henry Farman) ของฝรั่งเศสบินจากไซ่ง่อน ผ่านน่านฟ้ากัมพูชา มาร่อนลงอย่างสง่างามที่สนามม้าสระปทุม 


    โดยมีกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และกรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ ทรงให้การต้อนรับ ประชาชนในบางกอกมารอชมเครื่องบินลำแรกที่บินมาลงในแผ่นดินสยาม
    .
    .
    .
    กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธินขึ้นประทับก่อน โดยกัปตันพาบินวนเป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที ซึ่งถือว่าเป็นคนไทยคนแรกที่ขึ้นเครื่องบิน


    จากการทดลองบินในวันนั้น ทั้งสองพระองค์ทรงเห็นว่าเครื่องบินจะเป็นประโยชน์อย่างมากทั้งกิจการทหารและพลเรือน ในปีนั้นเองจึงส่งนักเรียน 3 คนไปเรียนการบินที่ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศผู้นำการบินในขณะนั้น


    นักเรียนทั้งสามต่อมาก็คือ
    - พระยาเฉลิมอากาศ (สุณี สุวรรณประทีป)
    - พระยาเวหาสยานศิลปสิทธิ์ (หลง สินศุข)
    - พระยาทะยานพิฆาต (ทิพย์ เกตุทัต)
    .
    .
    .
    รูปจะร่ำสุนทเรศ..............ไปตามเหตุแถลงไข
    เป็นเรื่องที่มีมาใหม่...........ไม่ศิวิไลซ์เอาแต่พอฟัง

    ยังมีฝรั่งต่างประเทศ..........เป็นชาติเศษน้ำใจหวัง
    ทำเรือเหาะเหมาะกำลัง.......ชื่อโด่งดังทุกธานี

    มาสู่ประเทศเขตสยาม........บอกแจ้งความทั่วกรุงศรี
    จะปล่อยเรือยนต์ขึ้นบนเมฆี...ตำบลที่สนามอาชา

    กำหนดมีวันที่สามสิบเอ็ด.....เป็นวันสิ้นเขตเดือนมกรา
    วันหนึ่งวันที่สองรองลงมา....แต่วันที่สามหนาหยุดปล่อยเรือยนต์

    ต่ออีกวันที่สี่ที่ห้า.............เดือนกุมภาที่หกอีกหน
    ชาวประชาในสากล..........อยากจะยลเป็นขวัญตา

    เพราะว่าแปลกแรกจะมี......ที่กรุงศรีอยุธยา
    ถึงเวไลได้เวลา..............ก็เคลื่อนคลาไปตามกัน

    คนมั่งคนมีขี่รถจร...........ไม่ทุกข์ร้อนจะผายผัน
    ที่คนจนต้องทนเบียดกัน.....ที่บนคันมอเตอร์เมล์

    เสียยี่สิบสตางค์ถ้วน.........ไปโดยด่วนไม่หักเห
    บ้างเช่ารถม้าดูทำเก๋.........ไปโชเดเล่นตามกัน

    บ้างเช่ารถก๊าดสะอาดเอี่ยม...ม้าเทศเทียมดูคมสัน
    ที่ขึ้นรถลากก็มากครัน........ใช้เทียมกันด้วยม้าผมเปีย

    ผู้จนถึงขี่มอเตอร์ขา..........ดูแล่นล้าข้อเสือเสีย
    ที่มีลูกเต้าเดินเคล้าเคลีย......ดูอั้วเอี้ยไปตามทาง

    ถ้าแม้นผู้ใดจะใคร่เห็นดี......ต้องเสียค่าที่ห้าสิบสตางค์
    เสียยี่สิบห้าค่าเช่าทาง........ต้องอยู่ข้างล่างนอกรั้วกั้น

    ที่คนจนไม่มีจะให้............บางคนไซร้ก็ดูขัน
    เงินก็มีขี้เหนียวครัน..........หลบหลีกกันเข้าไร่กง

    ทั้งหนุ่มแก่แม่หม้ายสาว......เสียงเกรียวกราวอีกพระสงฆ์
    ในใจตั้งหวังจำนง............คิดตกลงขโมยเขาดู

    คอยดูอยู่จนสนธยา..........ลำนาวาไม่แลเห็น
    ฝูงวินคนกโผเผ่น............บ้างแลเห็นนึกว่าเรือ

    ร้องตะโกนว่ามาโน่นแหละหวา...บ้างแหงนหน้าเหมือนตื่นเสือ
    ครั้นมองไปไม่เห็นเรือ...........ให้แค้นเหลือนึกด่าในใจ

    ตื่นวัวพอรั้งอยู่...............ตื่นคนผู้เหนี่ยวไม่ไหว
    ได้ดำริตริตรองใจ............เขาหลอกให้ก็เชื่อกัน

    สู้สละการงาน................ทิ้งเรือนบ้านดูก็ขัน
    ออกดาษดื่นตั้งหมื่นพัน.......แต่งตัวกันเสียออกฟรี

    แต่งโก้ๆไปโชว์กันเล่น........เมื่อยามเย็นสิ้นแสงรวี
    นึกว่าการมีงานปี.............พอเป็นที่ชื่นอุรา

    ถึงตัวฉันก็ดันไปด้วย.........ไม่งงงวยนึกกังขา
    ไม่เห็นโพยมยานนาวา........เห็นแต่สีกาที่หน้านวลๆ -นั้นแหล่.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×