ลำดับตอนที่ #84
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #84 : สามกรุง : วรรณคดีวิจารณ์การเมือง
สามกรุง เป็นนิพนธ์เรื่องสุดท้ายของกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ในขณะไปผ่าตัดต้อกระจกที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เมื่อปี 2485 ช่วงสมัยสงครามมหาเอเชียบูรพา จนกระทั่งจบเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2487 โดยลักษณะคำประพันธ์ครบครันทั้ง 5 ประเภท (ร่าย โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน)
สามกรุงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่กรมหมื่นท่านทรงรัก หวงแหนและภูมิใจมากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อเขียนเสร็จแล้วก็เขียนภาคผนวกซึ่งประกอบไปด้วยสาระสำคัญในวรรณคดีไทยเป็นอันมาก ต่อมาก็คัดสำเนาต้นฉบับมาพิมพ์ดีดถึง 3 ชุด แล้วนำไปฝากไว้กับผู้ที่ไว้ใจว่าจะคุ้มครองจากภัยสงครามพร้อมเก็บไว้เองชุดหนึ่ง เมื่อหยิบมาอ่านตรวจทานพลางพึมพำว่า
"ไม่ว่าจะเปิดอ่านแห่งไหน ดูมันฝังเพชรพราวทั่วไปหมด" ถีงขนาดมีมาขอซื้อลิขสิทธิ์ในการพิมพ์ถึง 300,000 บาท!!!!
สามกรุงนั้นประกอบไปด้วย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี และ กรุงรัตนโกสินทร์ โดยไล่เลี่ยงตั้งตอนพระเจ้าเอกทัศน์เสียกรุงไปถึงตอนญี่ปุ่นบุกรุงในรัชกาลที่ 8 เนื้อหาส่วนใหญ่ของเรื่องจะเป็นการสรรเสริญพระเกียรติคุณของพระเจ้าตากสิน กับ ร.1 สองกษัตริย์มหาราชที่รักชาติเป็นปฐมเหตุ เศวตฉัตรเป็นแต่ผลของการกระทำ
ภาคที่ 1 : อยุธยาตอนเสียกรุง
เก้าปีเอกทัศได้ ครองดิน
สมเด็จสุริยามรินทร์
ฤกษ์ร้าย
เสียฉัตรปิ่นปัฐพินทร์
เสียชีพ
ขาดปุดดุจดังด้าย
ดิ่งด้นหนสลาย
น.ม.ส. วิเคราะห์ว่าการที่ไทยต้องเสียกรุงนั้นมีสาเหตุอยู่สองประการ คือ ไทยไม่ปลงใจกันและ ขาดคนดีเป็นประมุข จากเหตุการณ์ครั้งนี้ กรมหมื่นได้หวนไปถึงกรุงศรีในยุคพระนเรศและพระเอกาทศรถที่ทุกชนชั้นได้ร่วมแรงร่วมใจกันต่อต้านศึกพม่าอย่างเข้มแข็ง
แต่กับพระเจ้าเอกทัศน์นั้นแม้ส่วนลึกในใจจะรักและเป็นห่วงประเทศอยู่บ้าง แต่สิ่งที่ทำกับอยู่แต่ในวัง ควงสนมกิ๊บน้ำจัณฑ์ ปล่อยให้เหล่าแม่ทัพออกทัพบัญชาการทัพอยู่แต่ในป้อม จนเกิดการตั้งตัวเป็นใหญ่อยู่หลายกลุ่มหลายก๊กจนทำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรอันเกรียงไกรในที่สุด
ภาคที่ 2 : ธนบุรี
รณรงค์ทรงปราบจลาจล จูงสยามมณฑล
ประสบซึ่งสามัคคี
เอกจิตเอกฉัตรสวัสดี รบล้างไพรี
เอกจิตเอกฉัตรสวัสดี รบล้างไพรี
ปะระประเทศเฉทไป
น.ม.ส.ได้เริ่มภาคนี้ด้วยการสดุดีถึงบุคลิกผู้นำของพระเจ้าตาก วีรกรรมขับไล่พม่าออกจากอาณาจักร รวมไทยเป็นหนึ่งเดียว โดยเฉพาะความสามัคคีนั้น อย่างเหตุการณ์ในเขมรที่กรมหมื่นท่านได้ชี้ให้เห็นถึงความแตกความสามัคคีของชาวกัมพุชจนถูกเจ้าต่างแดนมีอำนาจเหนือประเทศตัวเอง
ภาคที่ 3 : รัตนโกสินทร์
ฉันนั้นธนบุเรศสิ้น รัศมี
ไทยจะเกิดกาลกลี รุ่มเร้า
ภายในไม่สามคี ครัดเคร่ง
โอกาศชาติอื่นเข้า ขี่ข้าม ตามเคย
ภาคนี้ น.ม.ส. กล่าวถึงคุณสมบัติความเป็นผู้นำของพระมหากษัตริย์ทุกราชการที่ต่างพระองค์ต่างก็ได้ทะนุบำรุงและนำพาชาติให้พ้นภัยจากภยันตรายร้ายต่างๆนานา
น่าแปลกที่กรมหมื่นท่านได้นิพนธ์เกี่ยว เก้าปี ถึงสามครั้งด้วยกัน ครั้งแรก พระเจ้าเอกทัศน์ครองเมืองได้ 9 ปีก็เสียกรุง ครั้งที่สอง รัชกาลที่เจ็ดครองราชย์ได้ 9 ปีก็สละราชสมบัติ ครั้งที่สาม คณะราษฎรมีอำนาจอยู่ 9 ปี ญี่ปุ่นก็ยกพลขึ้นบกสู่ประเทศไทย
ทั้งสามมีความหมายเหมือนกันคือการสูญเสียอำนาจการปกครองประเทศของผู้นำที่อยู่ในฐานะที่พึงมีพึงได้
เรื่องนี้ น.ม.ส มุ่งเสียดสีพฤติกรรมของผู้นำไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไปเข้าร่วมกับญี่ปุ่นโดยหวังว่าไทยจะได้เป็นมหาอำนาจโดยเห็นว่าประวัติศาวสตร์จะซ้ำรอยเหมือนพระเจ้าเอกทัศน์นี้แหละ ทำให้กรมหมื่นอดไม่ได้ที่จะคิดไปถึงยุคของพระนเรศพระเอกาทศรถ กับยุคของพระเจ้าตากและกษัตริย์ 7 รัชกาล
ด้วยกลวิธีที่นำเสนออีกทั้งโวหารอันแยบคายทำให้สามกรุงเป็นทั้งวรรณคดียอพระเกียรติ วรรณคดีประวัติศาสตร์ และ วรรณคดีวิจารณ์การเมืองไปในคราวเดียวกัน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น