คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ยูริ
ยูริ
เสียงกลองของคณะแพทยศาสตร์ดังขึ้นพร้อมกับเสียงเฮของนักศึกษา ว่าที่แพทย์ในอนาคต ทุกคนต่างตื่นเต้นและดีใจ ที่ตนได้เป็นน้องใหม่ปีหนึ่งของที่นี่ มหาวิทยาลัยเค็มโพ มหาวิทยาลัยที่เด็กทั่วทั้งประเทศอยากจะเข้ากันจนตัวสั่น และฉัน ฉันก็เคยเป็นหนึ่งในเด็กพวกนั้น แต่ตอนนี้ วันนี้ นาทีนี้ ฉันได้กลายเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนี้เต็มตัวแล้ว และเป็นที่อิจฉาของใครอีกหลายคนที่สอบไม่ติด แน่นอนว่าฉันก็คงดีใจ ไม่สิฉันดีใจมาเลยทีเดียวหละ
“สวัสดี ยูริ ติดหมอหรอยะ เธอนี่มันเก่งสุดๆไปเลยนะ” ซากิ ทักฉันด้วยน้ำเสียงอันคุ้นเคย เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันเลยหละ แต่ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าเขาติดอะไร แต่ที่แน่นอนคือ เธอคิดมหาวิทยาลัยเดียวกับฉันแน่ๆ
“อ้าว ซากิ คิดว่าจะไม่เจอกันซะอีก” ฉันทักเธอด้วยน้ำเสียงที่ดีใจ
“ฉันติดคณะอะไรรู้มั้ย ฉันติดสื่อสารมวลชน เย้....ดีใจสุดๆเลย” เธอพูดพลางกระโดดโลดเต้นอย่างลิงอย่างค่าง และฉันก็อดหัวเราะเธอไม่ได้
เราคุยกันสักพักหนึ่ง รุ่นพี่ปี 4 ก็ประกาศเรียกตัวนักศึกษาแพทย์น้องใหม่ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่หน้าคณะ
“นักศึกษาแพทย์ปี1 มารวมตัวกันที่หน้าคณะด่วน”
แล้วฉันกับนักศึกษาแพทย์เกือบ200คนก็วิ่งกรูกันเข้าไปที่หน้าคณะ
โคร่ม ร่างของฉันชนเข้ากับผู้ชายคนหนึ่งที่ดูท่าทางไม่เหมือนผู้ชายเลย.....ซักนิด ใจฉันไม่ดีเลยเมื่อเขาพูดว่า
“อ๊าย..............”เขาพูดสำเดียดระเดียดไปทางผู้หญิง......ขอไม่พูดดีกว่าว่าแบบไหนดีกว่า แต่น้ำเสียงแบบนั้น ท่าทางแบบนั้นมันทำให้ฉันกลัว กลัวมากจนตัวสั่น
“เป็นอะไรรึป่าวเธอ ขอโทษทีนะ ฉันซุ่มซ่ามไปหน่อยนะฮะ”เขา ไม่ใช่สิหล่อน หล่อนต่างหากละ หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล พอๆกับผู้หญิงอย่างเราเลย แค่นั้นหละฉันก็โล่งใจไปเลย
“ไม่เป็นไรคะ ฉันเองก็ซุ่มซ่ามเหมือนกัน อยู่คณะแพทยศาสตร์หรอคะ”
“อ๋อ....ไม่ใช่หรอกฮะ ฉัน ปี2 คณะนิเทศศาสตร์ เป็นรุ่นพี่เธอ 1 ปี ฮุฮุฮุ” หล่อนพูดด้วยสำเนียงที่น่ารัก และแน่นอนคงไม่ใช่น้ำเสียงอย่างผู้ชายหรอก
ที่คณะแพทยศาสตร์
“น้องปี1ทั้งหลาย ฟังผมให้ดี 6ปีที่เรียนแพทย์มันยากหนักหนา แต่คงไม่หนักเท่าที่พวกคุณอุตส่าห์ ติว อุสส่าห์เรียน จนคุณได้ก้าวเข้ามาเรียนที่มหาวิยาลัยนี้ 6 ปี แค่ 6 ปี มันไม่ยาวนานไป และ ไม่สั้นเกินไป.....สำหรับการเรียนวิชาแพทย์ พื้นฐานของหมอพวกคุณคงเรียนรู้มันมาบ้าง แต่นับตั้งแต่วันนี้ คุณจะได้รับรู้เรื่องที่คุณไม่เคยรู้ บางคนต้องออกไป และบางคนก็ประสบความสำเร็จ ผมไม่ขอพูดอะไรไปมากกว่านี้ เพราะผมคิดว่าคนที่ติดแพทย์อย่างพวกคุณคงมีจิตสำนึกดี คิดดี และ ทำดี จากนี้ผมขอให้พวกคุณประสบความสำเร็จในการเรียน และเตรียมพร้อมที่จะเป็นแพทย์ที่ดีในอนาคตอันใกล้นี้ละกันครับ”
รุ่นพี่ประธานคณะแพทยศาสตร์กล่าวสุนทรพจน์ จนฉันขนลุกซู่ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังเป็นอย่างมาก ราวกับจะส่งพวกเราไปรบ แต่ในความคิดฉันมันเป็นคำพูดเตือนสติที่ดีมาก ขนาดครูฝ่ายปกครองโรงเรียนเก่าของฉันยังพูดได้ไม่ลึกซึ้งขนาดนี้ คำพูดของรุ่นพี่คนนี้มันช่างตัดกับหน้าตาของเขาจริงๆ ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะเป็นรุ่นพี่ที่ไม่เอาไหนและเป็นClass nova เพราะหน้าตาเขาออกจะดีขนาดนั้น ซ้ำยังหน้าหวานเสียด้วย สาวๆคงจะติดเยอะแน่นอน แต่ความจริงมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นสิ ดูเหมือนเขาจะใส่ใจแค่เรื่องเรียนซะด้วยซ้ำ
“ขอเริ่มการรับน้องใหม่ ณ บัดนี้” รุ่นพี่คนเดิมประกาศการเริ่มพิธีการรับน้อง แค่นั้นแหละทันทีที่ประกาศจบรุ่นพี่ที่เป็นคนคุมน้องก็นำแป้งนับสิบกระป๋องพร้อมน้ำอีก ห้าถัง สาดมายังกลุ่มของพวกฉัน ร่างกายของฉันและเพื่อนร่วมคณะก็เปียกปอนพร้อมๆกับเละไปพร้อมๆกัน
รุ่นน้องและรุ่นพี่ต่างก็เละและเลอะไปพร้อมๆกัน และแล้วกิจกรรมช่วงเช้าของพวกเราก็หมดลงไปพร้อมกับความสนุกสนาน
“ขอให้น้องๆทุกคนไปรับประทานอาหารตามความพึงพอใจแล้วเวลา 13.00 น. ให้มารวมตัวกันที่หน้าคณะโดยความพร้อมเพียงกันด้วย ห้ามโดด ห้ามสาย ห้ามลา เด็ดขาด” น้ำเสียงอันเด็ดขาดของรุ่นพี่คนเดิม ทำให้ฉันกลัวที่จะเรียนคณะเดียวกับเขามากขึ้น
ที่สวนอาหารของมหาวิทยาลัย
ตื้ด.................เสียงโทรศัพท์ระบบสั่นของฉันดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อของคนที่ชื่อ ฮันนี่ และในที่สุดฉันก็กดปุ่มรับ
“อ้าว...ฮันนี่ มีอะไรหรอ”
“อยู่ไหนเนี่ย ยูริ” เธอถาม
“สวนอาหาร จะมาหรอจ๊ะ”
“อ๋อ...ไม่ไปหรอก พูดไงอย่างนั้นหละ อิอิ”
“โธ่...ทำไมแกทำกับฉันอย่างนี้ละ และฉันจะกินข้าวกับใครเนี่ย” ฉันพูดด้วยความน้อยใจ
“ก็กินไปคนเดียวไง แล้ววันหลังฉันจะมากินกับเธอนะ”
และฮันนี่ก็วางสายลงไปทำให้ฉันต้องนั่งเหงาอยู่คนเดียว พร้อมกับสเต็กปลาแซลมอนที่วางอยู่ตรงหน้าที่แสนจะอร่อยแต่ ฉันไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย กลับคิดว่ามันจะจืดชืดซะอีก เพราะฉันก็ไม่เคยกินข้าวคนเดียวด้วย
“เอ่อ...นั่งด้วยได้ไหมครับ”รุ่นพี่ประธานคณะของฉัน มาถามฉันด้วยเสียงที่ต่างจากเมื่อครู่มาก จนฉันคิดว่าคนละคน
“ได้สิคะ ฉันก็ไม่มีใครทานเป็นเพื่อนอยู่แล้วหละคะ ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวเพียงผู้เดียว....เศร้าจัง” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงที่เกร็งและสั่น แต่ยังพูดติดตลกอยู่
“ผมก็เช่นกัน เพื่อนของผมมันไปฉลองกันหมดแล้ว เหลือผมที่ต้องดูแลคณะเพียงคนเดียวเลย ถึงเวลาหละกว่าพวกนั้นจะกลับ”
“ทำไมคุณไม่เหมือนตอนที่กล่าวสุนทรพจน์เลยหละ ตอนนั้นฉันกลัวจนแทบจะบ้าตาย”ใจของฉันมันเริ่มสั่นน้อยลงขณะที่พูด ราวกับว่าฉันเริ่มไม่กลัวเขาแล้ว
“งั้นหรอ ผมนี่มันแย่จังพูดจนคุณกลัว แล้วรุ่นน้องทั้งคณะก็คงจะกลัวผมกันใหญ่เลย” เขาเป็นคนละคนกับรุ่นพี่คนเมื่อครู่จริงๆ เขามีความเป็นสุภาพบุรุษเต็มตัวเลยหละ
“ไม่รู้สิ แต่ก็ดีนะรุ่นน้องจะได้เกรงใจไง รุ่นพี่บางคนใจดีเกินไปรุ่นน้องก็เลยเหริง”
“ก็จริงนะ แต่ผมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คุณคิดหรอกนะครับ ผมน่ะแค่จริงจังมากไปแค่นั้นเอง”
“แค่นั้นเอง แน่ใจหรอคะว่าแค่นั้นเอง ไม่แค่นั้นหรอกมั้ง น่ากลัวออกขนาดนั้น”
“ครับ.....ครับ ว่าแต่เมื่อไหร่จะทานข้าวกันเสียที่ละครับ ท้องผมร้องไปหมดแล้วนะครับ”
และเราก็ทานข้าวกัน แต่อย่างไรก็เถอะ ฉันยังอดเกร็งไม่ได้อยู่ดีหละ ก็มานั่งทานข้าวกับรุ่นพี่ที่น่ากลัวแบบนี้สิ
.................................
“ได้เวลาแล้วหละ เราไปกันเถอะ” รุ่นพี่พูดแล้วลากฉันไปอย่าเร่งรีบ
“อะไรกันคะ เพิ่งจะเที่ยงเองนะ จะรีบไปไหนเนี่ย” ฉันพูดทักท้วงการกระทำของรุ่นพี่
“ก็รีบไปเตรียมสถานที่นะสิ ผมเป็นรุ่นพี่นะครับก็ต้องเตรียมสนานที่ไว้ให้น้องๆนะสิ” สิ้นคำของรุ่นพี่ ฉันก็ต้องวิ่งตามเขาไปอย่าขัดขืนไม่ได้
“ว่าแต่ รุ่นพี่ชื่ออะไรคะ” ฉันถามเขาด้วยความสงสัย และอยากรู้
“พี่ชื่อ เคนอิจิ มาโกโตะ ครับ แล้วน้องละ”
“ฉันชื่อ ยูริกะ ซาคานะ”
“ชื่อน่ารักดีหนิ แล้วให้พี่เรียกว่าอะไรดีละ”
ฉันหน้าแดงไปพักนึง เพราะคำชมของรุ่นพี่แท้ๆเลย ^-^
“เรียกฉันว่า ยูริก็ได้นะ หรือ คานะก็ได้”
“แปลกดีนะ เรียกได้ทั้งชื่อทั้งนามสกุลเลย”
“ชื่อรุ่นพี่ก็เหมือนกันนะแหละ”
“เอ้อ...จริงด้วย ผมไม่เคยสังเกตเลยนะเนี่ย^-^” รุ่นพี่ทำท่าเขินอาจ คล้ายๆคนงงกับตัวเองแล้วเดินพลางหัวเราะไปจนถึงหน้าคณะ แล้วรุ่นพี่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อเห็นน้องๆมารออยู่หน้าคณะเป็นบางคนแล้ว
เวลา 13.00 น.
“เอาละนี่ก็ถึงเวลาที่จะรู้จักรุ่นพี่บางคนแล้วละ ผมจะให้พวกพี่ปีเดียวกับผมผูกข้อมือพวกคุณละกัน เพราะรุ่นพี่ปีอื่นก็ไม่มา น้องโปรดให้มาร่วมมือกับผมจัดแถวให้ห่างๆกันหน่อยนะครับ”
และแล้วพวกเราก็จัดแถวให้ห่างกันมากที่สุดเพื่อที่จะให้รุ่นพี่เดินได้สะดวก
เวลามันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน ฉันนั่งจนตะคริวจะกินอยู่แล้วนะ แล้วอยู่ๆมือ มือหนึ่ง ก็มาจับขือมือฉันให้ยกขึ้น วูบแรกที่ฉันเงยหน้าขึ้นไป ฉันอยากจะโวยใส่มันชะมัด แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะ คนที่มาจับข้อมือฉันคือ.....................................................
“โธ่ ฉันก็นึกว่าใครซะอีกที่แท้ก็พี่เคนอิจินี่เอง” ฉันเกือบจะซัดหน้าเขาให้แล้วมั้ยละ
“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ มานั่งอยู่แถวท้ายๆนี่เอง กว่าพี่จะหาเจอก็เล่นเอาเหนื่อย พวกแถวหน้าๆลากพี่ไปผูกข้อมือกันหนะ” รุ่นพี่พูดน้ำเสียงสั่นๆ เขาคงรู้มั้งว่าตะกี้ฉันจะยกหมัดซัดเขาอยู่แล้ว เขาคงกลัว ว่าแต่เมื่อกี้เขาบอกว่าตามหาฉันนี่น่าถามเขาให้ดีดีกว่า
“พี่มาตามหาฉันหรอ ใช่มะเมื่อกี้ฉันได้ยินนะ”
“อืมใช่ พี่มาตามหาเธอ”
“เธอเป็นรุ่นน้องคนแรกที่ฉันรู้จักนะ ดังนั้นเธอก็ต้องเป็นคนสำคัญสิ” รุ่นพี่พูดให้ฉันฟังเหตุผลของฉัน
แค่ไม่กี่ชั่วโมงฉันก็เริ่มปลื้มเขาแล้วหละ เขาดีกับฉันมากๆเลย ถ้าเป็นที่อื่นฉันจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดรุ่นพี่แบบนี้มั้ยนะ
ณ บ้านของยูริ
“กลับมาแล้วนะคะ”
“เป็นยังไงบ้างลูก ที่มหาวิทยาลัยสนุกมั้ย”
“สนุกคะคุณแม่ แต่เหนื่อยหน่อย เราต้องนั่งรถไฟฟ้าไปที่มหาวิทยาลัย”
“ถ้าลำบากก็อยู่หอดีมั้ยลูก”
“โธ่...คุณแม่ มันก็หลายตังอยู่นะ”ฉันพูดปัดไปที่ประเด็นอื่น แต่ที่จริงฉันไม่อยากอยู่หอพักเลย
“ไม่เป็นไร ถ้าลูกไม่อยากอยู่หอก็อยู่บ้านเราก็ได้นะลูก”คุณแม่พูดเหมือนรู้ใจฉัน
“คะ คุณแม่น่ารักที่สุดเลย” ฉันยิ้มและโผเข้าไปกอดคุณแม่ด้วยความดีใจ
ความจริงฉันก็อยากอยู่หอเหมือนกันนะ เพราะฉันก็ขี้เกียจตื่นเช้าๆมานั่งรอรถไฟฟ้า และที่สำคัญในชีวิตฉัน ฉันยังไม่เคยไปอยู่ข้างนอกเลย ฉันจึงไม่อยากไปอยู่ที่อื่น ถึงจะลำบากหน่อยแต่ก็อุ่นใจดี
“ถ้ามันเหนื่อยนัก ก็ไปอยู่หอซะสิแก ทำมาเป็นลำบากลำบนอยู่ได้ หมั่นไส้ชะมัด” ยัยป้าที่แสนเลวร้ายตะคอกใส่ฉัน ในตอนที่ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับ เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ของฉัน ซึ่งถูกคุณตาเก็บได้ที่ข้างถังขยะเมื่อ40ที่แล้ว เขาคิดว่าตนเองเป็นคนที่อาวุโสที่สุดในบ้านและคงจะได้เป็นทายาทอันดับ1ของตระกูลเรา แต่เมื่อ 5 ปีที่แล้วคุณตาเพิ่งจะตายไป คุณตาเขียนพินัยกรรมให้แม่ฉันและตัวฉัน ทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากซึ่งตัวเขาเองก็มีลูกสาวอยู่คนหนึ่ง สามีของเขามาด่วนจากไปด้วยความทนนิสัยของเธอไม่ไหว จึงกินยานอนหลับฆ่าตัวตายในที่สุด เขาอิจฉาฉันมากที่ฉันสอบติด มหาวิทยาลัยเค็มโพ แต่ลูกของเขาที่อายุเท่ากับฉันนั้นสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยใดๆเลยจึงต้องเลิกเรียน แล้วออกมานอนกินสมบัติของแม่ฉัน
“มันจำเป็นด้วยหรอคะ ที่ฉันจะต้องไปอยู่หอพักนักศึกษา เอาไว้ให้ลูกคุณอยู่เถอะคะ จะได้มั่วให้มันสุดๆไปเลย” ฉันพูดแทงใจดำเธอ เธอง้างมือออกมาทำท่าจะตบฉันแต่แล้วร่างเธอกลับต้องกระเด็นเพราะฉันใช้เท้าซัดเธอเต็มๆ
“นังเด็กบ้า ฉันจะเล่นงานแกให้ได้เลยคอยดู”
“ลุกให้ขึ้นก่อนเถอะ แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ยัยถังขยะ”ฉันจ้องเธอด้วยแววตาที่น่าสมเพศ ร่างเธอดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ความริศยาเธอบดบังทุกย่างก้าวที่เธอเดิน จนฉันสงสัยว่าเธออาจจะเดินสะดุดความริศยาของเธอตายก็เป็นได้
“คุณแม่คะ คุณป้าหกล้มค่ะ มาช่วยกันหน่อยเร็ว” ฉันร้องเรียกให้คุณแม่มาลากนังริศยาที่นอนสลบอยู่ข้างเตียงฉันออกไปจากห้องฉันโดยเร็วที่สุด
“อ้าว...ตายแล้ว คุณพี่นาระ เรียกรถพยาบาลให้ทีสิลูก”คุณแม่ตกใจร้องเรียกรถพยาบาล
“ไม่ต้องหรอกคะคุณแม่ คุณป้าแค่หกล้มเอง นั่นไงคุณป้าพื้นแล้ว”ฉันกีดกันไม่ให้พาคุณป้าไปที่โรงพยาบาล พอเธอได้สติฉันกับคุณแม่ก็ยกเธอไปที่ห้องของเธอ ฉันจิกข้อมือจนเป็นเลือดออกซิบๆ แต่เธอไม่อาจขัดขืนใดๆเพราะเธอไม่มีแรงแม้แต่จะส่งเสียงร้อง
ที่ห้องของคุณป้านาระ
“คุณแม่คะไปทางข้าวเถอะ นู๋จะดูแลคุณป้าเอง”ฉันพูดให้คุณแม่ไปทานข้าวเพื่อที่จะได้แกล้งยัยนาระ
“จ๊ะลูกแม่ไปละนะ แล้วอย่าลืมลงไปทานข้าวหละ”
“แกเห็นมั้ยว่าพวกฉันดีกับแกแค่ไหน แกยังจะมาทำร้ายฉันอีกหรอ”ฉันพูดกับเธอเหมือนที่เธอพูดกับฉันในตอนที่ฉันยังเด็กๆ ฉันยังจำมันได้ดีคำๆนี้
อดีต
“คุณไม่ใช่ป้าฉัน” ฉันพูดพร้อมกับยกไม้มาทำท่าจะฟาดคุณป้านาระ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อคุณป้าตบลงมาที่หน้าฉัน
“แกจะทำร้ายฉันหรอ อย่ามาเรียกน้ำตา คุณพ่อมาแล้ว แกห้ามพูดอะไรนะ ไม่งั้นแกจะโดนหนักกว่านี้”คุณป้าพูดขู่ฉัน
“เอ้า นาระ ลูกจะไปส่งหลานด้วยเลยใช่มั้ย”คุณตาถามคุณป้านาระ
“คะคุณพ่อ วันนี้น้องนารุไปประชุมแต่เช้านะคะ นู๋เลยต้องไปส่งยูริ หนะ”คุณป้าพูดด้วยมารยาหวังจะให้คุณตาประทับใจ
“ยูริ หลานร้องให้ทำไม”คุณตาถามฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถบอกท่านได้เพราะตอนนั้นฉันกลัวคุณป้าเป็นอย่างมาก
“แกคงไม่คุ้นเคยหนะคุณพ่อ แม่แกไปส่งทุกวัน ได้เวลาไปแล้วหละคะ ลาก่อนนะคะคุณพ่อ”
รถแล่นออกไปจากประตูบ้าน และแล้วฉันก็ถูกทำร้ายต่างๆนานา ทั้งตบบ้าง ตีบ้าง โดยที่ฉันไม่สามารถขัดขืนได้เลย ฉันยอมรับว่าฉันกลัวสายตาเธอมาก สายตาเธอดั่งแมวในเวลากลางคืน
“แกเห็นมั้ยว่าฉันดีกับแกมาก แกอย่ามาหาว่าฉันไม่ใช่ป้าแกอีก ยังไงทายาทอันดับ1ก็เป็นของฉันอยู่ดี”
คุณป้านาระหัวเราะอย่างผู้ชนะ จนถึงโรงเรียนของฉัน
เขาเปิดประตูรถแล้วโยนฉันออกไปอย่างสุดแรง โชคดีที่เพื่อนของฉันยืนรอฉันอยู่ และบังเอิญเห็นเข้าจึงเข้ามารับร่างของฉันได้พอดี
“ยูริ ทำไมเธอถึงยังยอมยัยบ้านั่นอยู่ได้หละ สู้บ้างก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ” ซากิพูดให้ฉันสู้คนบ้าง แต่ถึงยังไงฉันก็ยังกลัวสายตาเขาอยู่ดี
“จ๊ะ ฉันจะพยายาม แต่ตอนนี้เข้าโรงเรียนกันเถอะ”ฉันพูดปัดความสนใจไปที่อื่นซึ่ง ซากิเองก็รู้ดีเพราะเธอพูดเรื่องนี้กับฉันหลายครั้งแล้ว
ปัจจุบัน
“แกมัน นังเด็กเมื่อวานซืนจริงๆ” ยัยป้านาระด่าฉันฉันด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าว
“ใช่ฉันมันเด็กเมื่อวานซืน แต่ไอ้เด็กเมื่อวานซืนเนี่ยหละ ที่เธอก็เคยทำกับฉันเหมือนที่ฉันทำกับเธอ”
“แต่แกไม่มีสิทธิ์มาแก้แค้นฉัน”
“ทำไมหละคะ คุณป้า” ฉันเถียงเธอด้วยน้ำเสียงที่ยอกย้อน หวังจะให้เธอเป็นโรคประสาทไปเลย
“ถ้าวิญญาณคุณตารู้ เขาคงไม่ยอมให้เธอทำอย่างนี่กับฉันแน่”
“หรือไม่ก็ช่วยสาปส่งให้นรกมาสูบคุณป้าเร็วๆหละคะ”
“ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้นะ นังเด็กบ้า” เธอไล่ฉันให้ออกไปจากห้องเธอ
“ไม่ต้องบอกหรอกคะ ฉันคงไม่อยู่ในห้องที่มีแต่ความริศยาอย่างนี้หรอก”และฉันก็เดินออกไปจากห้องนั้น พร้อมกับเสียงประดูปิดที่ฉันปิดมันอย่างรุ่นแรง
ฉันสะใจมากที่ฉันเอาคืน ยัยป้านาระได้สำเร็จหลังจากที่ฉันถูกเขาทารุนมาเกือบยี่สิบปี ความจริงในส่วนลึกฉันก็อดสงสารเขาไม่ได้ ยังไงเขาก็เป็นคุณป้าของฉันอยู่ดี ฉันคงร้ายกับเขามากกว่านี้ไม่ได้ สิ่งที่ฉันทำนั้นมันก็เกินไปจริงๆ ฉันควรที่จะยึดกาลเทศะมากกว่าความแค้น แต่ทำไมฉันทำไม่ได้ สิ่งที่คนอื่นเขาว่ายากหนักหนาฉันก็ชนะมันมาแล้วแต่กับไอ้เรื่องธรรมดาฉันกลับห้ามมันไม่อยู่ ฉันที่มันโง่จริงๆ นี่ฉันทำอะไรลงไป ฉันกำลังทำร้ายคนที่เขาเห็นฉันมาตั้งแต่เล็กหรอ หรือ คือการแก้แค้นที่ไม่มีวันจบวันสิ้น นี่ฉันเห็นความแค้นดีกว่าบุญคุณหรอหรือเขาไม่เคยมีบุญคุณอะไรกับฉันกันแน่ ฉันไม่เข้าใจตัวเองจริงๆเลย นรกคงไม่ให้อภัยฉันแน่ถ้าฉันพลั้งมือทำร้ายเขามากกว่านี้ ฉันยังไม่ต้องการลงไปวิ่งบนนั้น มันไกลเกินกว่าฉันจะไปถึงหรือไม่ มันก็แค่หยิบมือเดียวเท่านั้น นี่ฉันกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่ ฉันเพ้อเหมือนคนใกล้จะตายเลย
มหาวิทยาลัยเอโดะ
เช้านี้อากาศหนาวมาก นักศึกษาต่างพากันสวมเสื้อกันหนาวสุดหรูเดินกรูเข้ามาในมหาวิทยาลัย ยกเว้นฉันที่ไม่ได้สวมเสื้อกันหนาวมาเพราะลืมไว้ที่รถ ฉันขี้เกียจไปเอาแล้วถึงหนาวหน่อยแต่ก็ต้องทน
ลมเย็นวูบหนึ่งปะทะเข้ามาตรงหน้าฉัน แล้วจู่ๆโลกของฉันก็กลายเป็นสีดำ
เมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้ง ฉันยืนอยู่ที่ห้องโถงหลังใหญ่ราวกับราชวัง แต่อาจเล็กกว่านิดหน่อย มันถูกประดับด้วย สิ่งประดิษฐ์ทำมือ
“ยูริกะ”ยายคนหนึ่งเดินมาทักฉัน
“ที่นี่ที่ไหนคะ”
“บ้านของฉันเอง มันชื่อว่า บ้านฮะชิมิ”
แล้วคุณยายและบ้านหลังนั้นก็หายไปในความมืดของฉัน อีกครั้ง
“ระ..รุ่น..รุ่นพี่เคนอิจิ” ฉันลืมตาขึ้น ฉันตกใจมากที่ลืมตาขึ้นมาเห็นรุ่นพี่กำลังนั่งเฝ้าฉันอยู่ในห้องพยาบาล
“เธอเป็นลมที่หน้ามหาวิทยาลัย ผมขับรถมาพอดี เกือบจะชนคุณด้วยซ้ำ”
“ขอโทษนะคะ รุ่นพี่ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ต้องหรอกฉันอาจทำให้เธอตกใจจนเป็นลมไปก็ได้”
“ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่แน่นอนคะ”
“ทำไมเธอมั่นใจจัง แล้วเธอเป็นอะไรกันแน่”
“ไม่รู้สิ ฉันก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน” ฉันงงมากบอกอะไรไม่ถูก และก็ ปวดหัวมากด้วย
ฉันยังนั่งนึกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า ฉันจำมันได้ทุกตอนจนฉันสงสัยว่านั่นอาจ ไม่ใช่ฝัน ยายในฝันคนนั้นอายุน่าจะเท่ากับยายทวดของฉันเลย เธอแก่มาก คนในอายุเท่านี้คงไม่มีแรงลุกขึ้นมาเดินเหินได้หรอก
ที่คณะแพทยศาสตร์
“ เอาละ หนึ่งชั่วโมงของวิชาครูผ่านไปแล้ว ครูขอสั่งรายงานล่วงหน้าละกันนะ พวกเธอคงรู้ดีว่าอาชีพที่พวกเธอเรียนต้อง อาศัยสิ่งใดบ้าง ที่พึ่งพาซึ่งกันและกันอยู่ อาจมีหลายอย่างนะ แต่ครูขอแค่อย่างเดียว เป็นงานกลุ่มนะ กลุ่มละ3 คน ส่งกลางปีละกันนะ มีใครสงสัยมั้ย ฉันไปละนะ”
อาจารย์ บีวอลซ์ อาเกซี่ สั่งงานที่เป็นคำถามคาใจนักศึกษาอย่างมากจน นักศึกษาพากันนินทาว่ากล่าวกันอย่างหนาหูฉันทีเดียว แต่ว่าอะไรนะ ที่เกี่ยวข้อง และเราต้องอาศัยสิ่งนั้นใน การทำงาน อะไรกันนะ
“สวัสดี เธอชื่ออะไรหรอ” หญิงสาว ตัวเล็กคนหนึ่ง ผมสีดำสนิท เข้ามาทักฉันด้วยภาษาที่เป็นมิตร
“สวัสดีจ๊ะ ฉันชื่อ ยูริกะ ซาคานะ เรียกฉันว่ายูริก็ได้นะ” ฉันพูดพร้อมกับยิ้มให้เธอ แสดงความรู้สึกดี
ปั้ง! ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง เดินเข้ามาชนกับฉันจนร่างฉันล้มลงไปกระแทกกับโต๊ะของอาจารย์
“โอ้ย...เจ็บจังเลยอ่า อะเนี่ย เดินไม่ดูทางเลย ตาเซ่อหรือไงฮึ” ฉันพูดด้วยความโกรธ
“เราขอโทษนะ เราไม่ได้ตั้งใจทำเธอเจ็บ เรามันเป็นพวกซุ่มซ่าม เธอจะด่าจะว่าเราก็ได้นะตามสบายเลย”
“นี่นาย เห็นฉันเป็นพวกบ้าอำนาจหรอ พ่อฉันไม่ได้เป็นรัฐมนตรีนะ จะได้วางอำนาจได้อะ” ฉันตัดสินใจไม่ด่าเขาไป เพราะคนเราก็คงมีผิดพลาดกันได้ ฉันเองที่เข้ามาที่นี่วันแรก ก็ชนรุ่นพี่คนนึงไปเองนี่น่า
“คุณไม่คิดจะด่าเราเลยหรอ เรามันซุ่มซ่ามนะ” ชายคนนั้นพูดอย่างน่าสงสารที่สุด และก็น่าสมเพศด้วยที่ว่าเขาให้ด่าตัวของเขาเอง โดยที่ฉันยังไม่ได้ถือโทษเขาเลย
“นี่นายจะบ้าหรือไง ฉันไม่โกรธนายหรอกน่า นายเป็นใครก็ไม่รู้ ฉันไม่โกรธนายหรอก” ฉันพูดโดยที่ไม่ได้มองหน้านายคนนั้นเลย แล้วนายคนนั้นก็มาพูดกับฉันอีกว่า ทำไมฉันถึงไม่มองหน้าเขาเลย เขาคงคิดว่าฉันคงจะโกรธเขามาก จนไม่ยอมมองความจริงฉันไม่อยากจะมีความรู้สึกไม่ดีกับเพื่อนคนไหนในคณะมากกว่า ถ้าเห็นแล้วมันไม่ค่อยจะรู้สึกดี สู้ไม่เห็นยังจะดีกว่ามั้ยละ
“นี่นาย ไปไกลๆก่อนได้มั้ยนายขัดเวลาพวกฉันมามากแล้วนะ” หญิงสาวคนนั้นช่วยไล่นายคนนั้นให้ฉัน
“ยูริ..........”เธอเรียกตัวฉันที่กำลังเหม่ออยู่
“จะ..จ๊ะ อะไรหรอ”
“เธอเป็นอะไรอะ เธอโกรธนายคนนั้นใช่มั้ย”
“ก็นิดหน่อยละ แต่ตัวฉันสิไม่นิดหน่อยเลย ฉันจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว”พอพูดจบ บรรยากาศมันก็เปลี่ยนไปเหมือนเมื่อเช้าเลย โลกมันเป็นสีดำมืด เหมือนอยู่ในอุโมงค์ ที่ไม่มีทางออก และ แสงสว่างก็ปรากฏ ฉันวิ่งไป วิ่ง วิ่งจนสุดทางออก และคุณยายคนนั้นก็เดินออกมาจาก หลังเจดีย์ องค์หนึ่ง
“ว่ายังไงละยูริกะ เจอกันอีกแล้วนะ” คุยยายทักฉันด้วยน้ำเสียงเช่นเดิมกับเมื่อเช้า
“คุณยาย ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ ทำไมคะ ทำไม”
“มันเป็นโชคชะตาของสองเรา โชคชะตาส่งเรามาพบกัน มันจะเป็น มันจำเป็นต้องเป็นแบบนี้ เธอต้องเข้าใจนะ” คุณยายพูดปลอบใจฉัน แต่ยังไงฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“คุณเป็นใครกันแน่ แล้วเราจะเจอกันอีกมั้ย”ฉันถามคุณยาย
“ใช่เราต้องเจอกัน ปราบในที่ยังมีเธอ”คุณยายพูดเป็นสำนวนคล้ายกับเป็นคำใบ้ให้ฉันไตร่ตรอง
หลังจากทีโลกของฉันกลายเป็นสีดำอีกครั้งฉันก็มาปรากฏบนโลกแห่งความเป็นจริง ฉันนอนอยู่ที่ห้องพยาบาลห้องเดิมกับเมื่อเช้า เจ้าหน้าที่ประจำห้องจำฉันได้และเข้ามาไต่ถามฉันว่าทำไมฉันถึงได้เป็นลมบ่อยนัก เพราะน้อยคนนักที่จะเป็นลมติดๆกันภายในวันเดียว แต่ฉันก็ยังยืนยันกับเธอว่า ฉันไม่เป็นไร ทั้งๆที่ฉันก็รู้ดีว่ามันมีปัญหาหนักหนามากเลยทีเดียว ฉันไม่กล้าปรึกษาใครเลยสักนิด ฉันกลัวเขาหาว่าฉันเป็นบ้าเชื่อเรื่องฝันมากเกินไป ฉันเริ่มรู้สึกว่าความฝันเข้ามาคุมคามฉันแล้วหละ มันไม่มีวันเป็นจริงได้เลยที่คนๆหนึ่งจะฝันเรื่องเดียวติดต่อกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่ไม่ใช่เวลาเดียวกัน ฉันก็เคยยินนะว่า ถ้าอยากจะฝันต่อไปในเรื่องเดิม ให้กลับหมอนแล้วนอนต่อ แต่ที่ฉันเป็นมันไม่ใช่เลยเพราะเวลามันผ่านไปเกือบสามชั่วโมงแล้ว
“ฉันขอโทษนะ ยูริ ที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้”ชายคนหนึ่งเข้าขอโทษฉัน
“เธอเป็นใคร มีอะไรหรอ เธอทำอะไรฉันหรอไง”
“ก็ผมทำให้คุณเป็นลมไปนี่ครับ ผมเป็นต้นเหตุ” ฉันเริ่มคิดกับคำพูดนั้น ฉันก็เริ่มจำอะไรได้บ้าง
“เธอคือชายคนนั้นเองหรอ ชนฉันแทบจะล้มลงไปตาย แรงเยอะจริงๆเลย” ฉันพูดไปหัวเราะไปเหมือนคนไม่โกรธซักนิด
“เธอไม่โกรธหรอไงเนี่ย มาหัวเราใส่เราอีก” ชายคนนั้นงงมากที่ฉันพูดไปแบบนั้น
“เหอะๆ โกรธไปแล้วหายเจ็บหรอ เธอต้องมาให้ฉันเอาคืนซะดีๆ” ฉันพูดแล้วลุกขึ้นมาไล่ตีเขาอย่างสนุก วิ่งกันรอบๆเตียง โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง เพราะตอนนี้เจ้าหน้าที่ประจำห้องพยาบาลไม่อยู่
“นายชื่ออะไรหรอ”
“เราชื่อ ยูคิโอะ มาโกยะ”
“ยูคิ ชื่อเรียกคล้ายเราเลยเนอะ เราชื่อยูริ เธอชื่อยูคิ เหมือนกันยังกะ
” ฉันพูดให้เขาหยุดแล้วฉันก็ไล่ตีเขาอีก จนฉันล้มลงไป แต่โชคดีที่เขารับไว้ได้ทัน
“สวัสดี ยูริ เธอเป็นยังไงบ้างอะ” เสียงของรุ่นพี่เคนอิจิ กำลังเดินเข้ามาหาฉัน แล้วเขาก็เจอกับภาพที่เขาคงไม่อยากเจอซักเท่าไหร่
“ผมขอตัวก่อนนะยูริ”ยูคิพูดแล้วประครองฉันให้ยืนขึ้นก่อนเดินจากไป
“เป็นยังไงบ้างละ”รุ่นพี่พูดในน้ำเสียงที่แผ่วๆ
“ไม่เป็นไรหรอกคะ ดีขึ้นมากแล้ว”
“มันเกิดอะไรขึ้นหรอ ยูริ ทำไมเธอเป็นลมบ่อยนัก”
“ไม่ ฉันบอกไม่ได้หรอก”
“เธอปิดบังฉันทำไม เห็นฉันเป็นคนอื่นหรอ ฉันเป็นห่วงเธอนะ อ๋อ ฉันพอรู้แล้วว่าทำไม”รุ่นพี่พูดทำให้ฉันตกใจกลัวเขาจะรู้เรื่องความฝันของฉัน
“เพราะหมอนั่นใช่มั้ย ที่ทำให้เธอ...”
“รุ่นพี่...ชอบ..ฉัน..หรอคะ”
รุ่นพี่ยืนนิ่งไปซักพักไม่สบตาฉัน เท่านี้ฉันก็รู้แล้วว่าเขาชอบฉันอยู่
“ใช่ ฉันชอบเธอ ชอบตั้งแต่วันแรกแล้วที่เราเจอกัน”
“รุ่นพี่คะ ฉันก็ชอบรุ่นพี่เหมือนกันนะคะ”ฉันตกลงจะสารภาพความในใจกับเขาไป
“แล้วหมอนั่นหละ”
“เขาเป็นเพื่อนของฉันคะ แค่เพื่อนเท่านั้น”
แล้วเราสองคนก็โผเข้ากอดกัน อ้อมอกของรุ่นพี่ช่างอบอุ่นเสียจริง ไออุ่นๆจากทำเขาทำให้ฉันหวั่นไหว หัวใจของฉันมันเต้นไม่เป็นจังหวะราวกับจะบอกว่า เขาคือคนที่ฉันรัก ที่สุด และฉัน ก็จะรักเขาตลอดไป
ความคิดเห็น