ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Mila Elelors

    ลำดับตอนที่ #2 : ลำดับตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 56


    �เสียงลมพัดเบาๆคลอไปกับเสียงของนกสารพัดชนิดที่ร้องแข่งกันเป็นระยะๆ มันเป็นบรรยากาศยามเช้าที่ช่วยทำให้ตัวขี้เกียจขยันทำงานมากขึ้น ถึงในที่แห่งนี้จะเป็นกลางป่า ภายในเต็นท์ที่ถูกสร้าขึ้นชั่วคราวชายหนุ่มพลิกตัวนิดๆและวาดมือแปะปะหาร่างเล็กๆที่ควรจะนอนอยู่ไม่ห่างตัวเขามาก แต่มันกลับว่างเปล่า ชายหนุ่มเปิดตาและพยายามมองหาแต่กลับไม่พบแม้แต่เงาจนกระทั่งสมองของเขาประมวลผลสำเร็จ
    "มิล่า!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"
    � �ชายหนุ่มโวยวายจนเสียงของเขาดำให้เด็กชายตัวเล็กๆที่เดินผ่านหน้าเต็นท์สดุ่งตัวจนเผลอทำสมุดบันทึกในมือตกและเมื่อเด็กคนนั้นก้มลงเก็นชายหนุ่มก็ทะเลอทะลาออกมาจนสะดุดเข้ากับลำตัวของเด็กชายและล้มไปกองอยู่กับพื้นทั้งคู่ "อิตชา!เธอเห็นมิลารึเปล่า!" เมื่อเขาเห็นเจ้าของร่างที่เขาสดุดคือเด็กชายผิวเข้มซึ่งเป็นลูกชายของลูกมือของเขาเองชายหนุ่มก็ไม่รอช้าที่จะถามแต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะกำลังทำให้คนตรงหน้าตกใจเพราะตอนนี้ตาของเด็กชายที่ปกติก็โตอยูแล้วยิ่งโตมากขึ้นอีกทั่งยั่งนั่งตัวแข็งทื่ออีกตางหาก "อิตชา!อิตชา! เธอเห็นมิลาใหม!" ชายหนุ่มพยายามสงบสติอารมณ์และถามเด็กตรงหน้าต่อแต่อิตชากลับส่ายหน้านิดๆและจ้องไปที่ตัวเขาก่อนชายหนุ่มจะรู้ตัวว่ากำลังนั่งทับสมบัติล้ำค่าของเด็กชายอยู่ "เออ...ขอโทษนะมันเลอะหมดเลยไม่ว่ากันใช่ใหม่" ชายหนุ่มลุกขึ้นและไม่ลืมที่จะดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นด้วยและหยิมสมุดปกหนังสีน้ำตาลแก่ที่ตอนนี้เลอะไปด้วยดินและน้ำค้าง เด็กชายบุ้ยปากและรับสมุดคืนจากมือของชายตรงหน้าเห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกโกรธนิดๆ "นี้ไอ้หนุ่มน้อยเป็นอะไรแต่เช้าเลยเนียไม่พูดอะไรสักคำยัยตัวดีสั่งไม่ให้พูดอะไรละสิ" ชายหนุ่มแกล้วต่อยที่ต้นแขนร่างเล็กๆตรงหน้าเบาๆอย่างหยอกล้อ อิตชาเป็นเพื่อนสนิดกับมิลาและมักจะถูกมิลาลากไปนูนำไปนี่และเล่นด้วยกันประจำ ถ้ามิลาหายไปจริงๆเด็กตรงหน้าต้องมีปฏิกริยาตกใจมากกว่านี้ แต่นี้กลับไม่พูดอะไรสักคำ "เอาละใบ้ให้หน่อยได้ไหมว่ายัยแมวตัวแสบไปแอบอยู่ที่ไหน" ชายหนุ่มถามต่อแต่คำตอบที่ได้กลับมาก็เหมือนเดิม คือส่ายหน้าลูกเดียว
    � "เอาแบบนี้ดีกว่า มิลาให้เธอบอกอะไรอาได้มั่ง"�
    � "อยู่บนต้นไม้..."
    ชายหนุ่มสะอึก เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์แต่มันก็เป็นคำตอบที่กว่างมาก กว่างพอๆกับเขตป่าดิบชื้นทั้งหมดในเม็กซิโก "ยอมแพ้แล้วก็ได้ไปบอกยัยมิลาด้วยว่าถ้ายอมออกมาจะยอมสอนยิงปืนให้...ทั้งคู่เลย" ชายหนุ่มถอนหายใจและยกมือขึ้นท้าวเอว เมื่อเด็กชายได้ยินคำตอบก็ยิ้มร่าแต่ยังคงไม่ขยับไปไหนชายหนุ่มเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างนึกสงสัยแต่ก่อนที่ปากเขาจะถามอะไรออกไปก็มีร่างเล็กๆอีกร่างหนึ่งกระโดดรวดเดียวขึ้นขี่คอเขาโดยไม่ทันให้ตั่งตัว
    �"คุณอาพูดแล้วนะ!"เด็กสาวตัวเล็กหัวเราะคิกคักด้วยความดีใจแบบสุดๆชายหนุ่มเซไปข้างหน้านิดๆก่อนจะตั่งหลักได้และเงยหน้ามองเด็กสาวตัวเล็กๆที่กระโดดรวดเดียวขี่คอเขาจนเกือบได้ล้มไปอีกรอบ "ไม่อะ อาแค่พูดเล่น แค่หกขวบก็จะยิงปืนแล้วหรอยังเร็วไปสิบปีไอ้หนูทั้งสองเอ๋ย" ชายหนุ่มหัวเราะหึๆในลำคอและทำหน้าแบบไม่รับผิดชอบ "ไม่เอา!คุณอาพูดแล้วอย่าคืนคำดิ!" เด็กสาวโวยวายพลางใช้กำปั้นเล็กๆทุบหัวเขาแบบไม่ยัง แต่แรงแค่เด็กผู้หญิงวัยหกขวบคงจะทำอะไรให้สมองของเขากระทบกระเทื่อนไม่ได้มาก "ผิดคำพูดแบบนี้ไม่น่านับถือผมผิดหวังในตัวคุณอามากเลยนะครับ" อิตชาผสมโรง คำพูดของเขาถึงกับทำให้ชายหนุ่มรู้สึกคันๆแปลกๆแต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรต่อร่างที่ขี่คอเขาอยู่ก็เปลี่ยนจากมือเป็นใช้ขาล็อกคอแทนและเริ่มล็อกแนนขึ้นเรื่อยๆจนเขาหายใจไม่ออก "ถ้าอาไม่ยอมสอนหนู่ก็จะรัดคอคุณอาเป็นงูเหลือมไปแบบนี้แหละ!" เด็กสาวแผดเสียงก่อนจะเริ่มหัวเราะผสมโรงกับอิตชา "โอ๊ย!ยอมๆๆๆอยู่ๆเปลี่ยนจากแมวป่าเป็นงูเหลือมซะงั้นก็ได้ๆเดี๋ยวเย็นนี้อาสอนให้" ชายหนุ่มพูดกระท่อนกระแท่นพยายามเอาขาเล็กๆที่รัดคอของเขาอยู่ออก แต่เมื่อทั้งคู่ได้ยินคำตอบก็กลับดีใจจนลืมว่าตัวเองกำลังรัดคอคนที่จะสอนยิงปืนให้อยู่...

    � � เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้นภายในห้องเล็กๆ มันดังพอที่จะทำให้เด็กสาวที่นอนอยู่ตื่นขึ้นได้ อากาศตอนเช้านี้ค่อนข้างหนาว ช่วงนี่เริ่มเข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้วพนังบางๆของอาพาตเม้นห่วยๆไม่ค่อยจะเก็บอุณหภูมิมากนัก เด็กสาวเป็นคนที่ชินกับอากาศร้อนมากกว่าเมื่อตื่นมาเจอกับอากาศเย็นๆแบบนี้ยิ่งทำให้เธอไม่อยากจะเอาส่วนใดของร่างกายออกจากผ้าห่ม แต่สุดท้ายเธอก็บังคับร่างกายของตัวเองให่เมื่อมือไปหยิบโทรศัพท์ที่หัวเตียงจนได้
    �"อือ...อิตชาหรอ?"�
    � "มิลา เธอยังอยู่ที่อเมริกาอยู่ใช่ไหม?"
    � "อือ อยู่เวกัสมีไร?'
    � "ฉันได้ข่าวพวกมันมาพอดีหนะ ที่เวกัสนั้นแหละแต่งานนี้หนักหน่อยนะจะให้ฉันไปช่วยรึเปล่า"
    � "ไม่จำเป็น นายอยู่ที่ตุรกีไปหนะดีแล้วว่ามีเรื่องอะไร"
    � "มีสำนักงานใหญ่ของพวกนั้นอยู่ที่นั้นเป็นแหล่งเก็บข้อมูลขององกรนี้ทั่วยุโรปเลยดูเหมือนตอนนี้หัวหน้าองค์กรที่คุมอังกฤษทั้งเกาะเลยก็ไปที่นั่นพอดี ถ้าเราจัดการได้ก็ไม่ต้องเปลืองแรงไปนู่ไปนี่อีก เออ อีกอย่าง ฉันปลอมเอกสารให้เธอเรียบร้อยแล้วนะ"�
    � "เร็วดีสมกับเป็นนายว่าแต่สำนักงานนั้นอยู่ที่ไหน"
    � "เดี๋ยวจะส่งข้อมูลไปให้ตอนนี้ฉันว่าเธอลุกไปหาอะไรกินก่อนดีกว่าตื่นสายซะมัดนี่มันเก้าโมงแล้วนะ"
    � "รู้เยอะชะมัดฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ"
    เด็กสาวถอนหายใจและอดหัวเราะยิมๆให้กับเพื่อนหนุ่มของตนที่ยังคอยเป็นหวงและไปหนีเธอไปไหนคงเป็นเขาเองก็มีความแค้นที่คุกรุ่นอยู่ในอกไม่ต่างจากเธอ มิลารวบรวมความกล้าถีบผ้าห่มอุ่นๆนุ่มๆออกจากตัว เด็กสาวลุกขึ้นและลูบแขนเปลือยเปล่าของตัวเองเบาๆ ยังดีที่ช่วงกลางวันอากาศยังอุ่นๆอยู่ มิลาหยิบเสื้อฮู้ดสีน้ำตาลช็อกโกแล็ตคู่ชีวิตมาสวมพร้อมกับปืนคู่ใจขนาด3.8มม.อีกสองกระบอกโดยไม่ลืมล็อกเก็ตนาฬิกาสีเงินที่ใส่ติดตัวตลอดเวลา 'หวังว่าวันนี่คงจะได้ออกกำลังบ้างไม่งั้นเบื่อแย่' มิลาถอนหายใจพลางผูกเชือกรองเท้าผ้าในหนังของตนและหยิบกระเป๋าเป้ใบสีดำอีกใบออกจากห้องไป การเตรียมพร้อมเป็นเรื่องสำคัญ สำภาระที่เธอนำติดตัวตลอดจึงไม่มากมีแค่อุปกรณ์ปลอมตัวพื้นฐานนิดหน่อย โน๊ตบุ๊คเรื่องเล็ก สายชาร์จ เสื้อและกางเกงชั้นในสองสามตัวโทรศัพท์อีกหนึ่งเครื่องและอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ที่ดูเหมือนจะกินพื้นที่ในกระเป๋าเธอมากที่สุดเพราะมีตั่งแต่อุปกรณ์พื้นฐานไปยันอุปกรณ์ผ่าตัด สรุปงายๆคือตอนนี้ที่ห้องของเธอนอกจากเตียงตู้แล้วไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปมากหลังจากไม่มีคุณอา เด็กสาวขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซด์ของตนหรือที่เธอตั่งชื่อเรียกเล่นๆว่า 'ดาร์คช็อค' มันเป็นมอเตอร์ไซด์R6ขนาดกำลังพอเหมาะและเครื่องเงียบเหมาะกับการหลบหนีหรือแอบไปทำเรื่องผิดกฎหมาย อีกทั้งยังอึดแบบไม่น่าเชื่ออีกด้วย เธอได้มันมาจากสถาณีตำรวจ ซึ่งตอนนั้นเธอเห็นมันจอดอยู่ตรงจุดที่เขาจอดรถที่ยึดมา มันเป็นเหมือนรักแรกพบก็ว่าได้ ไม่ได้ขโมยมาได้มาเพราะความสามารถล้วนๆ ใครจะไปรู้ว่ามารยาเด็กวัยสิบขวบจะทำได้ขนาดนั้น มิลาจอดเจ้าดาร์คช็อคเอาไว้ที่หลังตึกแห่งหนึ่งซึ่งจุดนี่เป็นเป็นตรอกซอกซอยที่ลับตาคนทั่วไป แต่ไม่ลับตาพวกผิดกฎหมาย พวกวัยรุ่นที่คึกคะนองจับกลุ่มสร้างแก๊งกันมักจะมารวมตัวกันตามที่แบบนี้ ถึงตอนนี้จะเป็นช่วงสายแต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังอยู่ มิลาจอดมันไว้ล่อตาล่อใจถ้าเป็นคนอื่นคงจะเปลี่ยนใจไปหาที่จอดที่อื่นแต่สำหรับมิลา เธอคิดว่าตรงนี้แหละเหมาะสุด เพราะต้องการให้ออกหางจากสายตาของตำรวจมากกว่า เมื่อจัดการล็อกเรียบร้อยแล้วเด็กสาวก็หันไปยักคิ้วข้างหนึ่งใส่พวกที่อยู่แถวๆนั้นและจูบกุญแจเจ้าดาร์คช็อคโชวก่อนจะยกเป้ขึ้นสะพายข้างหนึ่งและเดินล้วงกระเป๋าไปจากตรงนั้นแบบชิวๆ �สิบโมงแล้วอากาศไม่ค่อยหนาว โกโก้อุ่นๆกับขนมปังร้อนๆทำให้เธอรู้สึกไม่อยากทำอะไรมาก และแล้วเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง "โกโก้เป็นไงมั่ง" เสียงของอิตชาพูดขึ้นอย่างรู้ทันทำให้มิลาอดยิ้มไม่ได้ "อร่อยดีแต่สูฝีมือนายไม่ได้แต่ขนมปังนี่คนละเรื่องกับนายเลย" เด็กสาวสวนกลัวพลางทาเนยอย่างเชื่องๆไม่ใส่ใจ "ฉันส่งที่อยู่ไปให้แล้วที่เหลือเธอก็ต่อเองเลยแล้วกัน"�
    "อือ ขอบใจสำหรับขอมูล ฉันไม่มีอะไรทำมาหลายวันแล้ว"
    "...ก็...ฉันว่ามันดีนะ"
    เด็กสาวเงียบทันที อีกฝ่ายก็เช่นกันและตอนนี้มันก็เริ่มมีความรู้สึกรุนแรงบางอย่างลุกขึ้นอยู่ในอก"มิลา...ฉันเข้าในว่าเธอแค้นที่คุณอาถูกฆ่าอย่างนั้น...แต่มั่นจะไม่เหนือยไปหรอ...ที่จะไล่ฆ่าที่ละคนที่ละที่จนกว่าจะพบว่าใครเป็นคนทำ" อิตชาถอนหายใจและเงียบไปหลังจากพูดจบ เพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย "ไม่...ฉันจะไม่ยอมหยุดจนกว่าจะเจอ ตราบใดที่ยังไม่รู้ตัวคนฆ่า ไอ้คนในองค์กรนี้ก็อยู่ร่วมโลกกับฉันไม่ได้ ถ้ามันไม่ตายหมดฉันก็ตองตาย...เสียดายนะ...พอดีฉันตายยากวะ" เสียงของเด็กสาวแสดงออกถึงโทสะอย่างเห็นได้ชัด อิตชาได้แต่ฟังมันโดยไม่อาจทำอะไรได้เลย เขารู้นิสัยของเธอดี เผลอๆจะรู้เยอะกว่าอาของเธออีกด้วยซ้ำ และเขารู้ว่าเสียงแบบนี้ไม่ใช่สัญญานที่ดี "ถ้าอย่างนั้นขอให้โชกดีนะ...แล้วเจอกัน" อิตชาตัดบทก่อนจะได้ยินเสียงอีกฝายตอบกลับมา "อืม...แล้วเจอกัน ถ้าเป็นไปได้" มิลากดตัดสายก่อนจะมองข้อความที่เข้ามาพอดี เด็กสาวท้าวคางมองที่อยู่ตรงหน้า สมกับเป็นองค์กรใหญ่เพราะชื่อสถานที่ที่ปรากฎอยู่บนหน้าจอเป็นโรงแรมหรูชื่อดัง งานนี้คงต้องเข้าไปสำรวจหาทางหนีทีไล่กันก่อนและแน่นอน ต้องหาข้อมูลให้แน่ใจว่าใครเป็นคนขององค์กรบาง เพราะอย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่อยากฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข่อง โรงแรมนี้อยู่ไม่ไกลร้านกาแฟที่เธออยู่มากนัก อันที่จริงแค่เดินไปก็ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีเด็กสาวจึงตัดสินใจเดินไปแทนการใช้เจ้าดาร์คช็อค�
    � �
    � โรงแรมสูงแปดสิบกว่าชั้นดูหรูหราด้วยกระจกสีดำสนิดป้องกันการมองเห็นจากภายนอกเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับคนที่อยู่ภายใน ภายในห้องนั้นพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสารพัด แต่ก็เหมือนทุกๆที่ มันช่างไร้ชีวิต�
    "อีกหนึ่งชั่วโมงนี้มีเข้าประชุมกับคนอื่นๆในองค์กร นายน้อยจะให้คนอื่นไปแทนรึเปล่าครับ" เสียงของชายวัยสี่สิบปลายๆดังขึ้นทำให้อีกคนที่นั่งเอาขาพาดโต๊ะตัวเล็กและมองออกไปข้างนอกอย่างเหมอลอยถึงกับสะดุ่ง "เออ...ครับใครก็ได้ไปแทนผมที" เด็กหนุ่มเอาขาลงจากโต๊ะและยืดตัวตรงให้ดูเป็นทางการหน่อย "แล้วมื้อเย็นนี้ต้องการอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าครับ" ชายแก่ถามอีกครั้งพลางมองเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตนโขแต่ก็เป็นนายของเขา "ไม่ครับเดี๋ยวผมคงจะไปเดินเล่นหาอะไรกินเอง" เด็กหนุ่มหัวเราะแฮะๆนิดๆก่อนจะมองตามแผ่นหลังของพ่อบ้านประจำตระกูลของตนเดินออกจากห้องไป "เวรกรรมห่าเหวอะไรวะเนีย" เมื่อลับจากสายตาของใครๆเด็กหนุ่มก็ทิ้งตัวลงเก้าอี่อีกครั้งและถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ถึ่งว่าชายคนนั้นจะเป็นพ่อบ้านประจำตระกูลแต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้สนิดสนมอะไรกับเขามาตั่งแต่เด็กแล้ว ด้วยนิสัยที่ผ่าเหล่าทำให้เขาดูแปลกแยกจากคนในครอบครัว เด็กหนุ่มเสยผมยาวๆที่ลงมาปรกหน้าตัวเองขึ้นและมองออกไปยังนอกหน้าตาง เมื่อย่างเข้ายามราตรีเมืองคนบาปแห่งนี้ยิ่งคึกคัก แสงสีมากมายถูกประดับที่พื้นเบื่องล่างจนดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ "หวังว่าคงจะมีเรื่องน่าสนใจบ้างมาที่เมืองคนบาปทั้งที..."เด็กหนุ่มบนกับตัวเองเบาๆพลางยิ้มประชดออกมาอย่างไร้เหตุผล แต่ใครจะรู้ละว่าสิ่งที่เขาหวังกลับมีคนมาเห็นใจและทำให้คืนนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงของเขาไปตลอด
    � �
    � "หือ?ฝึกงานหรอ ใครเป็นคนนัดเธอมาละทำไมไม่ยักเห็นมีใครมาบอกฉัน" เสียงของหัวหน้าพนักงานของ
    ภัตตาคารหรูในโรงแรมดังขึ้นพลางมองเด็กสาวตัวเล็กชาวเอเชียตรงหน้า "ใช่ค่ะ คุณอเล็กซ์บอกให้ฉันมาวันนี้แล้วบอกคุณถ้ายังไม่เชื่อให้เอานี้ให้ดูค่ะ" มิลาที่ตอนนี้อยู่ในชุดแบบเด็กสาวธรรมดาทั้งกระโปรงยาวเสื้อยืดและวิกผมยาวสีดำสนิดแต่ก็ยังคงใส่เสื้อฮู้ดสีน้ำตาลช็อกโกแล็ตคู่ใจเอาไว้ เด็กสาวยื่นใบประกาศรับสมักพนักงานของทางภัตตาคารให้ซึ่งเธอปลอมมันขึ้นเองกับมือเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี้เอง "ว่าแต่พ่อแม่อนุญาติแล้วใช้ไหม? ถ้าฉันเป็นแม่เธอนะไม่ยอมให้ออกจากบ้านกลางค่ำกลางคืนแบบนี้หรอก" สาวหัวหน้าพนักงานถอนหายใจเฮือกแต่เนื่องจากตอนนี้งานเธอก็ยุ่งอยู่แล้วจึงไม่อยากจะวุ่นวายอะไรมาก สุดท้ายเธอก็ได้แต่กวักมือเรียกให้เด็กสาวตามมาและพาไปเปลี่ยนยูนิฟรอมพนักงาน มิลาแอมยิ้มในใจยังไงแค่การปลอมตัวเขามาก็ถือเป็นเรื่องง่ายของเธออยู่แล้วแต่ก็ไม่คิดว่าจะง่ายขนาดนี้
    ยูนิฟรอมพนักงานนี้นี้ดูง่ายๆแต่ก็เรียบร้อยและแอบหรู แต่ที่ต้องทำใจคือรองเท้ารัดส้นและกระโปรงที่แอบสั้นโดยการผ่าข้างจนเห็นขาอ่อนร่ำไร เสื้อที่รัดนิดๆโชวสัดส่วนโค้งเว้าและผ้ากันเปื้อนขนาดกำลังน่ารัก เด็กสาวอดคิดในใจไม่ได้ว่าอยากจะถอดมันออกซะตอนนี้และเริ่มคิดถึงการมุดช่องแอร์ที่ตอนแรกเธอคิดว่ามันลำบากกว่า "ขอโทษด้วยนะแต่ตอนนี้มันเหลือแต่ชุดพนักงานไซด์นี้ไซด์เดียว เอาเป็นว่าใส่ไปก่อนแล้วเดี๋ยวคอยสั่งตัดตัวใหม่นะ" หัวหน้าพนักงานพูดพลางมองเด็กสาวขึ้นๆลงๆ ถึงเธอจะดูเด็กกว่าวัยแต่ตัวเธอก็ดูสูงและสมส่วนไม่น้อยไม่นึกว่าพอได้มาใส่ชุดจริงๆจะออกมาเป็นสภาพแบบนี้ พนักงานเสริฟเป็นงานแรกของเธอ เมื่อเขายัดถาดอาหารและเมนูที่ต้องไปเสริฟในมือเธอ เด็กสาวก็ปั้นสีหน้าตั่งใจและเดินไปเสริฟทันที...ณ ถังขยะ เมื่อเดินออกมาจากห้องครัวเด็กสาวก็เดินทำทีจะไปเสริฟอาหารและเมื่อถึงจุดลับตาเธอก็เอาอาหารเมนูหรูนั้นเทลงถังทันทีพร้อมกับถาดและเฟอร์นิเจอร์บนนั้นลงถังตามไปด้วย ทั้งจานกระเบื้องสีขาวมุกดูสะอาดตา ช้อนซ้อมทำจากเงินแท้ๆเดินลายสีทองและถามเงินที่แอบหนักเบาๆ เด็กสาวไม่รอช้าที่จะเดินออกจากภัตตาคารหรูด้วยข้ออ้างสารพัดความตอแหลทำให้เธอผ่านพนักงานต้อนรับที่ประจำอยู่ด้านหน้าได้อย่างง่ายดาย มิลาเดินไปตามทางผ่านห้องต่างๆภายในโรงแรมหรูแห่งนี้ เสียงของแกรนเปียนโนขนาดใหญ่สีดำมันดังมาจากล็อบบี้ทางด้านล่าง ต้องยอมรับว่าคนเล่นนั้นฝีมือดีไม่น้อยเลยทีเดียว เสียงดนตรีขับกล่อมให้คนภายในโรงแรมรู้สึกผ่อนคลาย ธาลน้ำจำลองเล็กและสวยหย่อมที่สร้างขึ้นกลางล็อบบี้ทำให้รู้สึกสงบขึ้นไปอีก เด็กสาวมือไว้คว้ารถเข็นสำหรับเสริฟน้ำที่จอดอยู่ใกล้ๆมาเข็ญเพื่อความแนบเนียน บรรยากาศสงบๆแบบนี้ทำให้เด็กสาวไม่ค่อยยากทำอะไรมากเธออยากจะเดินเอื่ยๆและตามหาสิ่งที่ต้องการอย่างไม่รีบร้อน ถ้าไม่ใช้ว่าเวลานั้นมีจำกัด เด็กสาวเหลือบไปเห็นใบกำหนดการที่ติดอยู่ที่รถเข็ญด้วยความบังเอิญ ดูเหมือนเธอคงจะไม่ต้องตามหาเองทุกอย่าง ในใบนั้นมีข้อมูลบอกทุกอย่างรวมถึงข้อมูลที่เธอต้องการด้วย�'ชั้น3ห้องประชุมใหญ่ เวลา21:00'�เด็กสาวเห็นอย่างนั้นก็ไม่รอช้า ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว
    � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � � �
    � เด็กหนุ่มออกมาเดินเล่นพักใหญ่ๆแล้ว เขาเอนหลังพิงกับพนักพิงโซฟาตัวใหญ่หรู่ที่ทางโรงแรมตั่งเอาไว้เพื่อให้แขกมาพักผ่อน เสียงเพลงๆเบาๆและอุณหภูมิห้องที่กำลังทำให้รู้สึกผ่อนคลาย "เฮ้!เสือน้อย!" เสียงเรียกของใครบางคนดังขึ้นจนทำให้เด็กหนุ่มสดุ่งและหันไปมองทันที "โถ่น้า เลิกเรียกผมแบบนั้นสักทีเล่นซะแบ๊วเลย" เด็กหนุ่มหัวเราะและยิ้มนิดๆให้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตอนนี้ก็เดินมานั่งข้างๆเขาแล้ว "แค่ลองเรียกดูเฉยๆนายมันเหมือนจริงนี้หว่า ทั้งผม ทั้งนามสกุล ไหนจะนิสัยอีก" ชายหนุ่มดึงหางเต่าของเด็กหนุ่มซึ่งไว้ตาวตามธรรมเนียมของครอบครัว เด็กหนุ่มหน้าหงายเงิบแต่ก็ไม่วายมือไวไปคว้าผมของอีกฝ่ายแล้วดึงกลับ "เล่นแรงนะเดี๋ยวนี้ฉันแก่กว่านายนะปล่อยเลย!" ชายหนุ่มโวยขำๆ "อยากรังแกเด็กทำไมละจะดึงอยู่แบบนี้จนหัวหลุดกันไปข้าง" เด็กหนุ่มเถียงคำไม่ตกฟากและไม่มีท่าทีว่านะปล่อยอีกฝ่ายง่ายๆ "ก็ได้ๆยอมแพ้ เฮ้ย!ฉันปล่อยผมนายแล้วนายปล่อยผมฉันได้แล้ว! กัดไม่ปล่อยจริงๆ ว่าแต่ไม่ไปประชุมหรอ?แปลกนะนายมาที่นี้ทำไมเนีย" เด็กหนุ่มได้ยินอีกฝ่ายพูดก็ถอนหายใจ ก่อนจะหันไปยิ้มน้อยๆแบบมีเล่ห์นัยตามนิสัยและพูดขึ้น "ไม่รู้สิ เหมือนมีอะไรดึงมามีลางสังหรว่าจะเกิดเรื่องขึ้นถ้าผมมาที่นี้ ส่วนจะดีไม่ดีต้องรอดู..." ชายหนุ่มได้แต่นั่งฟังไปเงียบๆก่อนจะยิ้มออกมานิดๆ เขารู้มานานแล้วว่าเด็กคนนี้มีสมองที่โตเกินตัว ทั้งการพูดความคิดของเขาก็ไม่เมือนเด็กวัยเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ปีนี้เขาอายุเพียงสิบหก แต่ก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เดียวที่พ่อเขาทิ้งเอาไว้ นับว่าอายุน้อยมากในแวดวงธุรกิจนี้แต่เด็กหนุ่มก็สามารถจัดการเรื่องทุกอย่างได้ดีจนหน้าตกใจ ไหนจะยังพฤติกรรมการพูดจาที่แปลกๆดูผิดวัยทำให้เขาโดงดังไม่น้อยในแวดวงธุรกิจแบบนี้ แต่อีกนัยหนึ่งก็อันตรายต้องกำจัดทิ้ง
    "เรื่องอะไรนั้นช่างมันเถอะแต่ที่แน่ๆตอนนี้หนะเป็นเรื่องดี ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่าฉันเลี้ยงเอง เชฟที่นี้ฝีมือระดับแชมป์ อร่อยไม่น่าเบื่อเหมือนที่อื่นหรอก" ชายหนุ่มขยี่หัวหลานชายไม่แท้ของตนเองก่อนจะลุกขึ้นแล้วลากคอเขาเดินไปที่ภัตตาคาร
    "นี้!ปล่อยได้แล้วไม่เห็นต้องลากกันมาแบบนี้เลยนี้!" เด็กหนุ่มโวยและหัวเราะออกมานิดๆ "ฉันรู้นิสัยนายดี เสนออะไรไปจะตอบไม่อย่างเดียว ไม่ใช่เพราะเกรงใจแต่เพราะไม่อยากจริงๆเพราะฉะนั้นก็ต้องมัดมือชกแบบนี้แหละ" ชายหนุ่มหัวเราะตอบพลางนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามกับหลานชาย "จุดเทียนหน่อยโรแมนติกไม่น้อย...ดูไปๆมานายหน้าเหมือนเมียฉันเลยวะ" ชายหนุ่มกระเซ้าหลานชายตัวเองแล้วขยิบตาให้ เด็กหนุ่มเห็นอย่างนั้นก็แสร้งม้วนผมแก้เขินแบบผู้หญิงแล้วกัดปากตัวเองนิดๆ ก่อนจะเริ่มทนสภาพตัวเองไม่ไหวและรู้สึกขนลุกเหมือนกันทั้งคู่และยิ่งกว่านั้นคือ ผู้เป็นน้ายังไม่ได้แต่งานมีภรรยาหรือครอบครัวอะไรทั้งสิ้น "พอเถอะเดี๋ยวคืนนี้จะจบไม่สวยแล้วจะมองหน้ากันไม่ติด นี้คนสวยขอเมนูหน่อยสิ" เด็กหนุ่มมองน้าของตัวเองเปลี่ยนเรื่องกระทันหันแบบขำๆและมองเขาสั่งเมนูต่างๆด้วยตัวเองหมดโดยไม่คิดจะหันมาถามอีกฝ่าย "เรื่องหลักๆ...ของการประชุมครั้งนี้คืออะไร..."
    �ชายหนุ่มเลิกคิ้วหันกลับมามองอีกฝ่ายทันทีหลังจากส่งเมนูคืนให้สาวเสริฟ "ทำไมจู่ๆถึงถามละขึ้นไปฟังคำตอบตอนนี้เลยก็ได้นะเขายังไม่เริ่มประชุมกันเลย" ผู้เป็นน้าตอบพลางยกไวน์ที่พนักงานพึ่งเอามาเสริฟขึ้นจิบ "เอาเป็นว่ามันสำคัญกับคนอื่นยังไงเธอก็มีตัวแทนขึ้นประชุมแล้วเดี๋ยวก็รู้เองแหละ" ชายหนุ่มยิ้มให้หลายชายพลางเอื้อมมือไปตบบ่าอีกฝ่ายแรงๆ "จริงสิปีนี้สิบหกจะสิบเจ็ดแล้วโตเป็นหนุ่มแล้วเนีย คงเรียกเสือน้อยไม่ได้แล้ว"�
    "นี้เรียกชื่อผมเถอะถือซะว่าคำขอจากเด็กตาดำๆ"
    "ก็ชื่อนายมันแปลกเอาชื่อมาไว้หน้านามสกุลซะงั้น แต่ถ้าเอานามสกุลมาไว้ข้างหน้าฉันก็คิดว่ามันแปลกๆนะ"
    "พ่อแม่ผมไม่ธรรมดาเสียดายตายเร็วไปนิด"
    "ถามจริงเถอะเสียใจรึเปล่าเนียที่พ่อแม่มาตายไล่ๆกันโดยไม่ให้ตั่งตัวแบบนี้..."
    "เหมือนชีวิตมีแต่เรื่องขาดทุน"�
    เด็กหนุ่มยิ้ม ยิ้มในแบบที่ไม่มีความเศร้าปนอยู่ อีกทั้งน้ำเสียงยังปนไปด้วยอารมณ์ขันราวกับมันเป็นเรื่องตลก ผู้เป็นน้าเห็นอย่างนั้นก็อดรู้สึกเอือมนิดๆไม่ได้กับหลานชายคนนี้ "ฉันไม่น่าพูดเรื่องนี้เลย จะว่าไปอาหารที่สั่งยังไม่มาอีกคนก็ออกจะน้อย แปลกเฮะ"�
    "...เออ...ผมว่าคงต้อรอไปอีกพักใหญ่"
    "เซงชะมัดร้านออกจะหรูบริการไม่ได้เรื่องซะงั้น"
    ชายหนุ่มบ่นนิดๆแต่อีกฝ่ายกลับไปสนใจ ตอนนี้สายตาของเด็กหนุ่มจับจ้องไปพนักงานสาวคนหนึ่งที่พึ่งจะเอาอาหารที่ตัวเองต้องเอาไปเสริฟเททิ้งลงถังไป ก่อนจะเดินอย่างไม่รีบร้อนคุยกับพนักงานต้อนรับอีกสองสามคำก่อนจะออกไป เด็กหนุ่มหรี่ตาลงนิดหน่อยเขาชักสนใจขึ้นมาแล้ว พนักงานในภัตตาคารต่อให้เป็นเด็กฝึกงานให้ตายก็ไม่เอาของที่ต้องเสริฟเททิ้งลงถังแน่ แถมเทเป็นเทกระจาดและดูเหมือนอาหารบนถาดนั้นของน่าจะเป็นของโต๊ะของเด็กหนุ่มแน่�
    "เออ...ผมนึกขึ้นได้ว่าต้มน้ำทิ้งไว้บนห้องขอตัวก่อนนะครับเดี๋ยวจะกลับมา" พูดจบเด็กหนุ่มก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไปทันทีทิ้งให้คุณน้าได้แต่มองตามหลังหลานชายตัวแสบตาปริบๆก่อนจะบ่นพึมพำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ "ไอ้กาต้มน้ำนี้มันปิดอัตโนมัติไม่ใช่หรอวะ?"�





    � �
    ��
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×