ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    the thief. จอมใจจอมโจร (yaoi)

    ลำดับตอนที่ #6 : ผูกพัน.

    • อัปเดตล่าสุด 2 ม.ค. 56


     

    “ตัวหมากในมือยังเต็มกระดาน จะให้เรายอมแพ้เช่นนั้น?” ชายหนุ่มสูงศักดิ์ในเครื่องแต่งกายหรูหราของราชวงศ์ใช้ปลายนิ้วดันเบี้ยหนึ่งในกระดานหมากที่อยู่ตรงหน้าออกไป สีหน้าครุ่นคิดไม่ได้ทำให้ใบหน้านั้นลดความดูดีลงเลย ประกอบกับดาบยาวประดับอัญมณีข้างลำตัวยิ่งส่งเสริมให้ความเป็นเลือดสีน้ำเงินเด่นชัดขึ้น

              “หากตัวหมากที่ขาดไปจะเป็นเพียงเบี้ย คงมิหนักใจเท่านี้” เสียงตอบจากอีกฝั่งของกระดาน เรียกรอยเหยียดยิ้มจากริมฝีปากคู่งาม

    “ต่อให้ตัวหมากที่ขาดไปเป็นคิงแล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้มันไม่มีค่า ไม่มีความหมายใดมากไปกว่าเบี้ยบนกระดานที่ต้องเดินตามคำสั่งทีละก้าวจนกว่าจะตาย”

     

     

             

                เรย์เดินกลับไปกลับมาหน้าห้องของเขาเองด้วยความรู้สึก.. สับสน ไม่ใช่สิ มันแค่ความรู้สึกแปลกๆที่เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมต้องยอมให้เจ้าเด็กนั่นตามมาพักด้วย ยิ่งนึกถึงตอนที่พาเข้าบ้านแล้ว ทั้งพ่อกับแม่เขาต่างพากันเห็นว่าน่ารักไปซะอย่างนั้น

    เสียงคนอาบน้ำในห้องหยุดลง เรย์สูดหายใจเรียกสติ นี่บ้านเขา ห้องเขา จะมัวมาเดินวนๆอยู่ทำไมนะ คิดแล้วทหารหนุ่มก็เปิดประตูห้องเข้าไปเห็น คนตัวเล็กกว่าในเสื้อตัวหลวมโคร่งของเขา ผมเปียกๆล้อมรอบใบหน้า ดูน่าปกป้อง

    “ พี่เรย์” รามิลยิ้มให้เจ้าของบ้านใจดี ฝ่ายเจ้าตัวที่โดนรอยยิ้มสยบโลกเข้าไปถึงกับไม่รู้จะพูดอะไร นอกจาเก๊กหน้าขรึม แล้วเดินไปอาบน้ำต่อ นี่พี่เรย์โกรธอะไรเขารึเปล่า ถึงได้ทำหน้าเครียดตลอด แถมพูดน้อยมาก หรือเขาต้องลองวิธีใหม่ ..

     

    “คุณเกลียดผมรึเปล่าครับ ?” รามิลถามหลังจากที่เรย์ออกมาจากห้องน้ำ ทหารหนุ่มชะงัก มองคนตัวเล็กที่ไม่ยิ้มแล้ว แต่ทำหน้าเศร้า ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากัน ดวงตาคู่สวยมน้ำใสคลออยู่

    “มะ.. ไม่ใช่นะ” เรย์เดินมานั่งข้างๆ ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่คุ้นกับการปลอบคนเอาเลย

    “ไม่จริง ก็คุณทำหน้าเครียดทั้งวัน แถมไม่ค่อยพูดกับผมด้วย ไม่อยากให้อยู่ก็บอกกันดีๆ” พูดพลางบีบน้ำตาให้คนตรงหน้าเห็น รามิลตีบทแตกจนขำตัวเองอยู่ในใจ เขาลงทุนขนาดนี้แล้ว ถ้าพี่ทหารปากหนักลงไม่ทำให้เสียแรงเปล่านะ

    “ฉัน.. เอ่อ พี่ไม่ได้เกลียดเรา จริงๆนะ แค่ไม่รู้จะพูดอะไร”

    “คุณไม่อยากพูดมากกว่า” รามิลพูดแล้วเงียบจนเรย์ใจเสีย เพราะไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายแค่แกล้งอยากให้พูด ทหารหนุ่มยกมือขึ้นพาดไปโอบไหล่อีกฝ่าย

    “ฟังนะ.. ที่ไม่พูดเพราะเวลาเห็นเรายิ้มแล้วมัน.. คิดไม่ออก เข้าใจมั้ย? ตั้งแต่แรกที่เจอ ไม่รู้เหมือนกันทำไมต้องสนใจ ทำไมต้องช่วย ทำไมต้องชวนมาด้วย” ประโยคยาวครั้งแรกของเรย์ ทำให้รามิลบ้างที่ไม่รู้จะพูดอะไร ใบหน้าหวานคมขึ้นสีอ่อนจางๆ ทำไมต้องพูดให้มันเหมือน.. คิดแบบนั้นด้วยล่ะ! คนตัวเล็กจ้องอีกฝ่าย ใช้ดวงตาคมค้นหาความจริงในคำพูดนั้น เขาเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่าที่อยากจะเชื่อว่าคนตรงหน้าพูดจริง เพราะสายตาแน่วแน่ที่มองมา เพราะความอบอุ่นของวงแขนที่อยู่ไหล่ หรือเพราะทุกอย่างที่รวมเป็นพี่ชายปากหนัก

     

    “อายุเท่าไหร่แล้วล่ะเรา ?” คำถามไม่มีปี่มีกลองของเรย์ทำเอาบรรยากาศเกือบหวานพังครืน จนรามิลอยากจะถามบ้างว่าทหารที่นี่ไม่ฉลาดหมดทุกคนรึเปล่านะ คนตัวเล็กหน้างอ ขยับออกมาจากที่โดนโอบ โดยที่ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายที่ถามขึ้นมาก็สับสน ไม่เข้าใจกับความรู้สึกแปลกๆที่ไม่เคยมีให้ใคร จนต้องหาเรื่องเปลี่ยนคำถาม

    “สิบแปดแล้ว”

    “ห้ะ?! ไม่ใช่สิบสองแน่นะ ตัวแค่นี้ ..” เรย์มองคนตัวเล็กมากจนไม่น่าเชื่อ

    “ใครจะไปตัวเท่า.. เหมือนพี่ล่ะ” รามิลเว้นคำไว้ให้เติม เริ่มนึกสนุกที่ได้ต่อปากต่อคำบ้าง ไม่ใช่เอาแต่เงียบแล้วถามคำตอบคำเหมือนตอนมาใหม่ๆ

    “กล้าว่าหัวหน้าทหารรักษาพระราชวังว่าตัวเท่าควาย โทษของเจ้าใหญ่หลวงนัก ตายยยย!” เรย์จี้เอวอีกฝ่ายโดยไม่สนใจพายุหมอนที่กระหน่ำตี

    “อ๊ากกกก ปล่อยนะ ฮ่าๆๆ” รามิลพยายามดิ้น ทั้งถีบทั้งเอาหมอนตี ใครจะไปรู้ว่าพอพี่เรย์มันหายปากหนักแล้วมันจะกลายเป็นคนแบบนี้ล่ะ ทั้งสองเล่นแบบเด็กๆกันจนเหนื่อย สงครามหมอนนี้ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรมากไปกว่าทิ้งร่องรอยของความคุ้นเคยและผูกพันเอาไว้ในหัวใจสองดวง ..

     

     

     

              แพททริคมองผ่านร่มไม้ใหญ่ที่เขานั่งอยู่ไปยังฝั่งตรงข้าม เหล่าเกษตรกรกำลังเก็บผลผลิตในที่ดินของตนเอง เพื่อนำไปขายบ้าง เก็บเป็นเสบียงไว้สำหรับฤดูหนาวบ้าง พวกเขาช่วยกันทำงานอย่างกลมเกลียว แต่มีหนึ่งคนในนั้นที่ดูไม่กลมกลืนกับชาวบ้านเอาเสียเลย เพราะหน้าตาและความสูงที่โดดเล่น ผมสีดำที่ไม่ค่อยพบบ่อยนัก กำลังช่วยชาวบ้านอยู่แต่กลับไล่เขาออกมาเป็นผู้สังเกตการณ์ไกล ด้วยเหตุผลที่ไม่เข้าท่าว่าเขาอ่อนแอไม่ น่าจับไปขังลืมนัก แต่ก็แปลกที่ชาวบ้านเหล่านี้ดูคุ้นเคยกับนายโจรคนนั้นดี

     

    “มองที่พื้นด้วยสิฟรานซ์ เดี๋ยวจอบจะโดนเท้าเอานะ อย่ามัวแต่มองไปฝั่งนู้น ฮ่าๆ” ชายหนุ่มชาวบ้านอายุรุ่นเดียวกันแซวอย่างนึกสนุก ด้วยว่าฟรานซิวันนี้ดูไม่มีสมาธิกับงานเท่าไหร่นัก

    “เออน่า ทำงานไป ไม่อย่างนั้นจอบมันจะลงหัวแกแทน” ฝ่ายที่โดนแซวย้อนแก้เสียหน้าที่โดนรู้ทัน ตั้งแต่ตอนที่เถียงกันพวกเขาก็เอาแต่เงียบ แล้วไม่ได้พูดถึงเรื่องนั้นอีก เขาออกมาช่วยชาวบ้านทำไร่ เจ้าอัศวินหน้าสวยก็ตามมา แต่ถ้าจะขอมาช่วยทำด้วยนี่คงไม่ไหว เก็บแรงไว้จับดาบไปเถอะ

     

              ทั้งหมดทำงานกันจนย่ำค่ำ แสงอาทิตย์เริ่มหายไป ทิ้งความมืดสลัวไว้แทนที่ ชาวบ้านส่วนใหญ่พากันกลับบ้านตนไปหาครอบครัวที่คอยอยู่เบื้องหลัง หากแต่บางคนที่มีแต่บ้านแต่ไม่มีครอบครัวนั้นต่างไป

    “ต้องรีบกลับบ้านรึเปล่าเด็กน้อย เดี๋ยวที่บ้านจะเป็นห่วงเอานะ” ฟรานซิสเดินมาหย่อนระเบิดชวนทะเลาะ ไม่ใช่อะไรหรอก ถ้าไม่เริ่มต้นแบบนี้เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร

    “ว่าจะรอให้คนชราแถวนี้กลับก่อน ใช้แรงงานมาทั้งวัน เผื่อเป็นลมขึ้นมากลางทาง สงสารคนไปเก็บศพ !” แพททริคสวนกลับไม่น้อยหน้า

    “ว่าใครแก่?”

    “ก็ใครล่ะ หน้าชราอย่างกับห้าสิบ”

    “ไม่แก่บ้างก็แล้วไปนะเด็กน้อย”

    “แน่นอนล่ะ ใครจะไปอยากหน้าแก่เท่าเจ้ากัน” ทั้งสองเดินต่อปากต่อคำกันจนแพททริคหลุดขำออกมาไม่รู้ตัว ฟรานซิสเองก็อดยิ้มไม่ได้เช่นกัน ไม่อยากให้บรรยากาศยามเย็นของวันนี้หมดลง อยากให้ทางเดินนี้ยืดยาวออกไป ..

     

     

              ณ ห้องบรรทมแห่งกษัตริย์แห่งอาณาจักร ห้องที่ทุกอย่างถูกตกแต่งอย่างงามหรู แสดงถึงรสนิยมและฐานะอันยอดยิ่งกว่าใครในแผ่นดิน หากวันนี้ความสวยงามของเครื่องประดับทุกชิ้นกลับมิสามารถทำให้ผู้เป็นเจ้าของห้องอารมณ์ดีขึ้นได้เลย

    “เหตุใดถึงได้เอาปัญหานี้มากวนใจพ่อ แมคเบธ” องค์ราชามาร์คัสถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก ด้วยเหตุถูกรบกวนกลางดึก ถ้าเป็นผู้อื่นคงต้องพระราชอาญาไปแล้ว แต่นี่เป็นลูกชายคนเดียวของเขา ในฐานะองค์ชายรัชทายาทที่ได้รับความโปรดปราน ความพิโรธจึงมิได้มาก

    “ระยะนี้ข่าวขโมยที่จับตัวไม่ได้หนาหูขึ้น ทางทหารเองก็ตึงมือ เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน ผู้ที่ถูกปล้นส่วนมากมีแต่พวกขุนนางร่ำรวย ที่สำคัญลูกอยากกราบทูลเรื่อง.. เท่าที่ทหารพบเห็น จำได้ว่าเจ้าหัวขโมยนั่น สีผมและดวงตาสีดำ..” เจ้าชายแมคเบธกราบทูลพระบิดา องค์ราชาชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมีรับสั่งอย่างไม่เห็นด้วย

    “เจ้าก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ..

    “ผิดแล้วท่านพ่อ ผิดมาตลอด พวกเราต่างรู้ดีว่ามันเป็นไปได้ หากใช่คนผู้นั้นจริง..

    “เราจำเป็นต้องกลัวเกรงสิ่งใด พ่อว่าเจ้ากังวลมากเกินไป ตอนนี้เรามีทุกอย่าง มีกำลังทหาร”

    “ลูกมิได้หมายความเช่นนั้น แต่อยากทูลให้ทรงทราบ ไม่นานหากที่ลูกคิดนั้นไม่ผิด ท่านพ่อจะได้ตัวคนที่ทรงตามหามาตลอด” เจ้าชายแมคเบธถวายคำนับ แล้วเดินออกมากห้องบรรทม

     

              อากาศยามค่ำคืนหนาวเหน็บชวนให้ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหน้าในห้องนอนอันอบอุ่น หากบุรุษผู้นี้คงไม่คิดเช่นนั้น ผมสีดำยาวที่ถูกมัดอย่างง่ายๆพลิ้วตามแรงลม อุทยานวังหลวงยามราตรีเงียบสงบ ได้ยินเสียงแมลงกลางคืนแว่วอยู่ไม่ไกล ดวงหน้าหล่อเหลาหากเพียงเจ้าของจะไม่เหม่อลอยจนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวมาประชิด

    “ลมแรง เหตุใดออกมาจากห้องบรรทม?” เสียงเรียบทุ้มดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง เจ้าของเสียงนั้นหยุดยืนเบื้องหลัง ห่างจากกันเล็กน้อย

    “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

    “เรื่องของฝ่าบาท เป็นเรื่องของกระหม่อมเสมอ” วิคเตอร์องครักษ์ประจำกายเจ้าชายรัชทายาทถือวิสาสะปลดผ้าคลุมหลังของตนออก ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยในเชิงขออนุญาต ก่อนจะวางผ้านั้นลงบนพระอังสา (ไหล่) ของเจ้าชายแมคเบธเพื่อกันลม ทั้งสองต่างจมอยู่ในความเงียบ ด้วยหนึ่งพระองค์กำลังใช้ความคิด และอีกหนึ่งคนไม่อยากเป็นผู้มารบกวน

     

    “ค่อนคืนแล้ว เข้าไปข้างในเถอะพะยะค่ะ เดี๋ยวจะประชวร (ป่วย) เอาได้” วิคเตอร์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น ถ้าจะนั่งอยู่แบบนี้ คนตรงหน้าเขาคงนั่งอยู่ตรงนี้ทั้งคืน

    “เราอยากเก่งขึ้นกว่านี้.. อยากเป็นได้มากกว่าใครคนนั้น” ถึงอีกฝ่ายจะตอบมาคนละเรื่อง แต่ทำให้เขาเข้าใจได้ทันทีว่าสิ่งที่ทำให้เจ้าชายกังวลอยู่คืออะไร

    “ฝ่าบาทเป็นเจ้าชายที่เก่งที่สุด ทรงชำนาญอาวุธ หลักแหลมการปก ..

    “ไม่ต้องพยายามพูดให้เรารู้สึกดี ทุกวันนี้เหมือนกับเราพยายามมากแค่ไหน ก็เป็นได้แค่เงา ไม่มีทางเก่งได้เท่าของจริง..” องค์ชายแมคเบธยืนขึ้น ยื่นผ้าคลุมคืนให้วิคเตอร์

    “ขอบใจ” เป็นคำสุดท้ายก่อนจะเดินกลับไปยังห้องบรรทม ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยเหมือนไม่รู้สึกอะไรนั้น ผู้เป็นทั้งเพื่อนเล่น คนสนิท และองครักษ์รู้ดีว่ามันซ่อนความรู้สึกไว้มากมายแค่ไหน และเพราะรู้ดี จึงทำให้เขาเจ็บไปด้วย .. ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตนเอง แต่เพราะเป็นเรื่องของ.. หัวใจ

     

    จะทรงรู้บ้างไหม.. ทุกครั้งที่ทรงไม่สบายพระทัย จะมีหนึ่งคนที่กังวลยิ่งกว่า

    จะทรงรู้บ้างไหม.. ทุกครั้งที่ทรงประชวร จะมีหนึ่งคนที่อยากรับเอาความเจ็บป่วยมาไว้ที่ตัวเองแทน

    จะทรงรู้บ้างไหม.. ทุกครั้งที่ทรงตั้งพระทัยศึกษาเล่าเรียน จะมีหนึ่งคนที่พร้อมจะช่วยแบ่งเบาภาระ

    จะทรงรู้บ้างไหม.. ว่าการที่ทรงตรัสว่าตนเองเป็นเงา ทำให้หนึ่งคนนั้นรู้สึกปวดร้าว เพราะพระองค์ทรงเป็นแสง ทรงเป็นความสว่างเดียวบนโลกของเขาตลอดมา ..

     



    ------------------------------------------------------------------
    ขออภัยที่ดองนานไป(มาก) ติดภาระกิจจริงๆ ..
    อ่านแล้วคิดว่าเป็นยังไง ตรงไหนแย่ ยินดีรับคำติชมทุกประการ
    เจอกันตอนหน้านะ xD

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×