ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    >>> คลังเก็บพล็อต [NO ENTRY] <<<

    ลำดับตอนที่ #6 : ROSESSIA :: Chapter 00 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 12 ส.ค. 57


    ROSESSIA

     

    Prologue

     

                ฉึก! เสียงคมดาบเสียบทะลุร่างบางเจ้าของเรือนผมสีฟ้าใส ดวงตากลมโตที่มีสีเดียวกับผมเบิกกว้าง ริมฝีปากอิ่มสีชมพูอ้าออกแต่ไร้เสียง สิ่งที่ออกมามีเพียงเลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากริมฝีปาก

                “รีน่า!” เสียงตะโกนดังมาจากชายหนุ่มผมสีน้ำตาลตัดสั้นผู้มีรูปร่างกำยำ ที่กำลังกวัดแกว่งดาบใส่ชายชุดดำอีกคน แล้วดวงตาสีรัตติกาลก็ต้องเบิกกว้างยิ่งขึ้นเมื่อเห็นร่างบางทรุดตัวลง ชายหนุ่มตวัดดาบฟันคอชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าไปได้ ก่อนจะหันไปจัดการชายชุดดำอีกคนที่ตั้งท่าไว้รอหลังจากที่ดึงดาบออกจากร่างบางแล้ว

                ทันทีที่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเดินไปถึงตัวชายชุดดำ การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ในเวลาไม่นานชายผมสีน้ำตาลก็สามารถสร้างรอยแผลสะพายแล่งให้อีกฝ่ายได้ แต่ก็แลกมาด้วยรอยแผลบริเวณแขนขวา การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี ทั้งที่ชายผมสีน้ำตาลมีรอยแผลที่เกิดจากการต่อสู้กับชายชุดดำคนอื่นมาก่อนหน้านี้แล้ว และในที่สุด ชายผมสีน้ำตาลก็แทงเข้าที่บริเวณท้องของอีกฝ่ายได้ แต่ขณะที่กำลังจะตวัดดาบเพื่อฟันคอนั้น กลับมีดาบเล่มใหญ่ที่อาศัยแรงเฮือกสุดท้ายแทงทะลุร่างของตนเช่นกัน แม้คมดาบจะฟันเข้าที่คอของอีกฝ่ายจนทำให้สิ้นชีวิตได้ แต่สภาพของเขาเองก็แทบจะไม่รอดเหมือนกัน

                ชายผมสีน้ำตาลทรุดตัวลงข้างร่างบาง ก่อนจะพยายามดึงร่างบางขึ้นมากอดและออกแรงเขย่าตัวเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงสั่น

                “รี...น่า...เจ้าตื่นสิ...อย่า...อึก!...อย่าแกล้งข้า...แบบนี้...อึก!” ของหลวสีแดงทะลักออกมาจากปากของชายหนุ่มเช่นกัน แต่เขาไม่สนใจที่จะเช็ดมันออกด้วยซ้ำ ในเมื่อ...คนที่สำคัญที่สุดกำลังจะจากเขาไป...

                ร่างบางเริ่มเปล่งแสงสีฟ้าขึ้นทีละนิด ก่อนจะกลายเป็นสีฟ้าสว่างเจิดจ้า

                “รี...น่า...อย่าเพิ่ง...ทิ้งข้าไป...” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน เมื่อแสงสีฟ้าสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็นดวงไฟสีฟ้าลอยอยู่เหนือร่างบาง

                ร่างของหญิงสาวที่ถูกเรียกว่ารีน่าเริ่มลอยขึ้น ก่อนจะโดนแสงสีฟ้ากลืนหายไป... แสงสีฟ้าพุ่งลงไปในแม่น้ำที่อยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ

                “ม่ายยยยยย!!!!!!!!!!” ชายหนุ่มตะโกนเสียงดังลั่นป่า “พวกเจ้า...เพราะพวกเจ้า...ทั้งๆที่ข้าช่วยให้ความฝันบ้าบอของพวกเจ้าเป็นจริง ข้าทำผิดอะไร... ถ้านี่คือสิ่งที่พวกเจ้ามอบให้ข้า ไม่ว่าจะอีกร้อยปี พันปี หรือหมื่นปี พวกเจ้าก็รอรับของตอบแทนจากข้าได้เลย!! อึก! อึก!” เลือดปริมาณมหาศาล ไหลทะลักออกมาจากปากทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ ก่อนที่จะอาศัยแรงเฮือกสุดท้ายพูดออกไปว่า

                “ด้วยนามแห่งข้า เซดริก ลุธ วอริค ผู้เป็นทายาทแห่งผืนปฐพี จักขอผูกพันธนาการ แม้นสิ้นกายไม่สิ้นวิญญา ถวายกายาแด่ผืนปฐพี!

                เมื่อสิ้นคำ พื้นดินรอบข้างก็สั่นไหวเหมือนกับตอบรับพลังและคำขอของชายหนุ่ม ร่างกำยำล้มตัวลงนอนแนบพื้นดิน ก่อนที่พื้นดินจะค่อยๆดูดร่างหนาลงไปพร้อมกับความโกรธแค้นทั้งหมด

                บนพื้นดินกลางป่าใหญ่ เหลือเพียงร่างไร้วิญญาณของเหล่าชายชุดดำนับสิบ และรอยเลือดรอยใหญ่ที่ไม่มีร่างใดอีกสองรอย ผืนดินที่เพิ่งดูดร่างใหญ่ลงไปกลับสู่สภาพปกติ ไม่มีรอยร้าว ไม่มีเสียงใด จนกระทั่ง...

                สวบ! ร่างในชุดดำร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป การแต่งตัวเหมือนกับร่างไร้ชีวิตที่กองอยู่ แตกต่างกันตรงที่ ร่างนี้ยังมีชีวิต โดยที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน ร่างหนาตามแบบฉบับทหารสั่นเทา ดวงตามีแววสั่นไหวยามนึกถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นและมองร่างของเพื่อนร่วมงาน ชายหนุ่มพาร่างของตัวเองออกจากป่าไปเพื่อแจ้งผู้เป็นนาย

     

                ณ สถานที่แห่งหนึ่ง

                “ภารกิจที่มอบหมายไปเรียบร้อยแล้วหรือ” เสียงทุ้มถามขึ้นอย่างแปลกใจ เมื่อมองร่างที่ไร้รอยแผลของผู้ใต้บังคับบัญชา

                “เอ่อ...เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

                “แล้วคนอื่นล่ะ” ชายอีกคนถามขึ้น คำถามนี้ทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่แล้วก้มลงยิ่งกว่าเดิมจนแทบจะติดพื้น

                “คนอื่นไม่รอดพ่ะย่ะค่ะ”

                “แล้วทำไมเจ้า...” เสียงใสอีกเสียงยังถามไม่จบ ชายชุดดำก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นว่า

                “พระอาญามิพ้นเกล้า กระหม่อมขี้ขลาดเกินไป ข้า..เอ่อ..กระหม่อม..เอ่อ...ไม่ได้ร่วมต่อสู้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

                “เจ้าว่ายังไงนะ!” เสียงใสเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเสียงแหลมเสียดประสาททันที

                “แต่...กระหม่อม...เอ่อ...”

                “แต่อะไร พูดมาเร็วๆ ก่อนที่เจ้าจะได้รับความตายแทนโอกาส”

                “กระหม่อมเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ!” คิ้วสวยเลิกขึ้นอย่างสนใจ

                “ถ้าอย่างนั้นก็เล่ามา...”

                หลังจากฟังเรื่องทั้งหมดจบ ชายชุดดำที่หมดหน้าที่แล้วก็ถูกไล่ออกไป ให้ไปรอรับโทษ(ที่ได้รับการผ่อนปรนแล้ว) ชายหญิงทั้งห้าคนที่อยู่ในห้องเริ่มพูดคุยกัน

                “เจ้านั่นถึงขนาดผูกวิญญาณเลยหรอ...” หญิงสาวที่เคยหวีดเสียงเมื่อครู่เอ่ยขึ้นอย่างอ่อนแรงขณะทรุดตัวลง ไม่สนใจที่จะปัดเส้นผมสีชมพูที่ตกลงมาปรกหน้า

                “ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายสักเท่าไหร่สำหรับลูกครึ่งภูติดิน” ชายผมสีน้ำเงินพูดขึ้น แม้คำพูดจะดูเหมือนไม่ใส่ใจสิ่งใด แต่แววตากลับไม่ได้สื่อออกมาอย่างนั้น

                “แต่การทำอย่างนั้นมันเหมือนตายทั้งเป็นเลยนะ” หญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องยังคงแย้งขึ้น

                “ถ้าไม่ทำก็ตายอยู่ดี...” ชายผมสีน้ำตาลพูดขึ้น

                “นี่! เจ้าพูดอย่างนี้ได้ยังไง อย่างน้อยหมอนั่นก็เป็นเพื่อนเรานะ” ชายเจ้าของผมยาวสีเงินที่มัดรวบไว้โวยวายทันที

                “เพื่อนที่ทรยศกันเนี่ยนะ”

                เงียบ...ไม่มีใครพูดอะไรออกไป ทั้งห้าชีวิตยังจมอยู่กับความคิดของตัวเอง จนในที่สุด บุรุษคนสุดท้ายที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ ก็พูดขึ้นมาในที่สุดว่า

                “เอาล่ะ...ในเมื่อมันเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิด และมันก็เกิดและจบไปแล้ว เราที่อยู่ตรงนี้ แบกรับหน้าที่นี้ ก็ควรจะก้าวไปข้างหน้า มีคนอีกหลายคนที่หวังพึ่งเราอยู่นะ” คำพูดที่เหมือนเป็นแรงฉุดคนทั้งหมดให้ลุกขึ้นมาได้ แม้ใบหน้าผู้พูดจะไม่ได้แสดงอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนตามนิสัยเดิมอยู่แล้ว แต่คนทั้งหมดก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่น ความเข้มแข็ง และความกล้าหาญที่แฝงอยู่ในชายเจ้าของผมสีดำแซมเพลิงคนนี้ได้

     

                7 ปีต่อมา

                “แย่แล้วๆ!!!! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!!” เสียงตะโกนโวยวายดังขึ้นตามโถงทางเดิน ในขณะที่ร่างของเจ้าของเสียงยังคงวิ่งฝ่าความวุ่นวายทั้งมวลตรงไปยังท้องพระโรงของปราสาทหลังใหม่ที่กำลังก่อสร้าง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปิดประตูดัง ปัง!

                “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!!!” เสียงตะโกนตามมาด้วยเสียงหอบหายใจของร่างสูง เส้นผมสีเงินที่ไม่ได้ถูกรวบไว้เหมือนทุกทีกระเซอะกระเซิงและชุ่มไปด้วยเหงื่อ

                “โวยวายอะไรของเจ้าเนี่ย! เขากำลังคุยงานกันอยู่ เห็นมั้ย” เสียงหวีดแหลมจากร่างระหงที่ยังคงความสวยอยู่แม้เวลาจะผ่านไปถึงเจ็ดปีแล้ว เส้นผมสีชมพูไม่ได้ถูกปล่อยไว้เหมือนสมัยก่อน แต่ถูกเกล้าเป็นมวยอย่างสวยงามเพื่อให้เหมาะสมกับตำแหน่ง

                “เงียบก่อนน่า.. คือว่า...” คำพูดที่หลุดออกมาจากปากทำให้คนทั้งห้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

                “ไปที่ห้องประชุมเดี๋ยวนี้” คำสั่งเด็ดขาดออกมาจากปากชายเจ้าของผมสีดำแซมแดง

                “เดี๋ยวข้าไปตามแคเทอรีน่าให้” ชายผมสีน้ำตาลพูดก่อนจะรีบวิ่งออกไป

                หลังจากที่ทั้งหกคนเข้ามาในห้องประชุมแล้ว ชายผมดำแซมแดง ที่เป็นเหมือนผู้นำของคนทั้งหมดก็เปิดประเด็นขึ้น

                “เมื่อกี๊เจ้าพูดว่าเซเลสไทน์เป็นกบฏอย่างนั้นหรือ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

                “ใช่...รวมทั้งเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนด้วย...” คำว่าเจ็ดปีก่อนที่หลุดออกมานั้น เหมือนกับมีมีดไปกรีดแผลที่กำลังจะตกสะเก็ดให้เป็นแผลสดอีกครั้ง

                “หมายความว่า...เราเข้าใจเขาผิดอย่างนั้นหรือ...” เจ้าของผมสีชมพูเอ่ยด้วยเสียงสั่น ดวงตาสีส้มอ่อนสั่นระริก และยิ่งแทบเป็นลมเมื่อได้รับการยืนยันคำตอบที่ไม่อยากรับรู้นักด้วยการพยักหน้าจากชายผมเงิน

                “เซดริกถูกใส่ร้ายมาตลอด...พวกเราพลั้งมือทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดลงไป” ชายผมสีน้ำตาลพูดอย่างเจ็บปวด แววตาสีเดียวกับผมที่เคยทอประกายแข็งกร้าวมาตลอดกลับสั่นไหวอย่างรุนแรง

                “ทำไมนะ...ทำไมเราถึงไม่เชื่อเซดริก ทั้งๆที่เขาได้ชื่อว่าเป็น เพื่อนเราแท้ๆ...” เสียงสั่นดังมาจากชายผมสีน้ำเงิน

                “มันเป็นเพราะข้า...ที่ไม่ตรวจสอบให้ดีเสียก่อน มันเป็นความผิดของข้า...ทั้งๆที่เซดริกทำเพื่อพวกเรา ทำเพื่ออาณาจักรมาตลอด แต่เพียงเพราะคำว่าไม่เชื่อใจกลับทำลายทุกอย่างให้หมดสิ้นภายในพริบตา...” ดวงตาสีดำสนิทหลับลงอย่างพยายามเก็บซ่อนความเจ็บปวดไว้

                “ไม่ใช่เจ้าคนเดียวหรอก พวกเราทุกคนต่างหาก... แล้วเราควรจะทำอย่างไรต่อไปดี...ทำไมนะ ทั้งๆที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อน เป็นคนที่สามารถวางชีวิตไว้บนมือได้ เป็นคนที่ร่วมสร้างทุกอย่างด้วยกันมา ทำไมข้าถึงไม่เชื่อเจ้า หากได้พบกันอีก ข้าขอโอกาสได้มั้ย แม้รู้ว่าไม่สมควรจะได้รับ แต่ข้าก็ยังหวัง...หวังว่าเจ้าจะให้อภัยกับความโง่เขลาของพวกข้า...พวกข้าต้องทำยังไงถึงจะช่วยเจ้าได้ ทำยังไงถึงจะไถ่บาปครั้งนี้ได้...” เสียงดังมาจากร่างบางเจ้าของเรือนผมสีชมพูเช่นเคย

                “ข้าคิดว่า...ข้าพอมีวิธีค่ะ” เสียงมาจากสตรีหนึ่งในสองคนในห้อง ที่ยังไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรแม้แต่น้อยตั้งแต่เข้ามา หากแต่...คำที่เธอพูดขึ้นนั้น เหมือนเป็นการจุดไฟความหวังเล็กๆในใจของทุกคน และพวกเขาก็หวังว่า แสงสว่างเล็กๆนี้จะลุกโชติช่วงขึ้น จนสามารถนำพวกเขาไปเจอทางออกได้...ทางออกของเขาวงกตที่พวกเขาสร้างขึ้น...จากความไม่เชื่อใจ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×