คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : อย่ายั่วโมโหข้า ท่านแม่ทัพ ภาคพิเศษ ลูกปัดด้ายแดง
อย่ายั่วโมโหข้า ท่านแม่ทัพ ภาคพิเศษ
ลูกปัดด้ายแดง
รัชสมัยหมิงเสียงที่สิบ ปักษ์เสี่ยวเสวี่ย (หิมะตกน้อย)
ข้านั่งอยู่บนหลังอาชา
มองปุยหิมะถูกสายลมพัดหอบม้วนขึ้นสู่นภาสีเทา มือหยาบแข็งกระตุกสายบังเหียนเบาๆ
แจ้งให้มันออกเดิน อาชาตัวนี้เป็นอาชาของมารดา มันอยู่กับข้ามาหลายปีนับแต่นางตายในสนามรบ
มันเป็นหนึ่งในสมบัติที่มารดาเหลือไว้ให้ข้านอกเหนือจากตำราประหลาดหลากหลาย
และปิ่นหยกเล่มนั้น
“กลับกันเถิด
ป่านนี้ท่านพ่อคงกลับมาถึงแล้ว”
แดงน้อยผงกศีรษะเห็นด้วยกับข้า
นับว่ามันเป็นอาชาแสนรู้อย่างยิ่ง เมื่อก่อนข้าเคยถามท่านพ่อว่ามารดาได้มันมาเช่นไร
เรื่องนี้แม้แต่ท่านเองก็ไม่ทราบ ผู้ที่รู้ก็ตกตายไปแล้ว
ส่วนท่านน้าและท่านปู่ทวดที่ฉุนเหยายิ่งไม่ทราบ
ขณะที่แดงน้อยย่างเหยาะไปตามถนนเส้นนอก
พลันปากตรอกด้านหน้ามีคนผู้หนึ่งผลุนผลันทะยานออกมา
ตัดหน้าอาชจนข้าต้องกระตุกสายบังเหียนรั้งแดงน้อยให้หันไปข้าหนึ่ง
“บัดซบ”
ข้าไม่ทราบว่าสิ่งใดดลบัลดาลให้มันผู้นั้นรนหาที่
แต่มันก็ล้มลงกับพื้นถนนปูศิลาเย็นเยียบคลุกเกล็ดหิมะสกปรก
“เจ้า”
“ขออภัย”
คนใต้เสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวใหญ่ร้องออกมา
จู่ๆ ในตรอกบังเกิดเสียงดังและไอสังหารเข้มข้นแผ่พุ่งออกมา
กระตุ้นเตือนข้าว่าไม่ชอบมาพากลจึงลอบเกร็งลมปราณขึ้นสามส่วน
ไม่นานมีคนกลุ่มหนึ่งถืออาวุธครบมือทะยานออกมา
“เจ้าเป็นใคร
หากไม่ข้องเกี่ยวให้ล่าถอยจากไป”
ข้าตวัดตามองพวกมัน
ขณะเดียวกันคนสวมเสื้อคลุมกระชับสาบเสื้อคลุมข้าแน่น ชักนำข้าให้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลังจากนี้
“ได้โปรด
ช่วยข้าด้วย”
เสียงเล็กบางของคนใต้เสื้อคลุมอ้อนวอนข้า
น้ำเสียงของมันบ่งบอกว่าอับจนหนทางแล้ว ข้าแม้ไม่อยากสอดมือ
แต่การทอดทิ้งผู้ลำบากก็ใช่ที่ แม้มารดาเคยสั่งสอนว่าถ้าตนเองสามารถคุ้มครองเอาตัวรอดได้ค่อยสอดมือช่วยเหลือผู้คน
แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้คนผู้นั้นร้องขอเสียก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าสมควรหรือไม่
เมื่อเห็นว่าการช่วยเหลือนั้นไม่ชักนำเรื่อฃวุ่นวายถึงตัวในภายหลังก็ให้กระทำเสีย
ดูเหมือนว่า
ครั้งนี้ข้าจะตกหล่นเรื่องนี้ไปเสียแล้ว
“น้องชาย
หากเจ้าไม่ถอยก็อย่าได้อาฆาตแค้นพวกเราเลย”
สิ้นคำข่มขวัญ
พวกมันก็เร่งเร้าสภาวะฆ่าฟันมาถึงข้า ข้าแม้จะฝึกวรยุทธมาสิบกว่าปี
แต่เรื่องสังหารผู้คนก็มิได้ด้อยกว่าผู้ใด
บางทีอาจมากกว่าชนชั้นยอดฝีมือในยุทธภพหลายสิบเท่า
ข้าตะปบกระบี่อสูรคลั่งจากหว่างเอว
ใช้ออกด้วยวิชากระบี่สยบพยัฆค์ที่ท่านปู่ทวดแซ่หยางถ่ายทอดให้
กระบี่อสูรคลั่งกรีดออกเป็นวงปัดกระแทกดาบกระบี่ของพวกมันออกไปดังตังๆ แรงกระแทกของอาวุธย้อนกลับเข้าหาตน
ยังให้ข้อมือพวกมันและข้าปวดชาไม่น้อย
‘บัดซบ’
ข้าก่นด่าตนเองที่สอดมือเข้ายุ่มย่ามเรื่องผู้อื่น
แต่บัดนี้ไม่อาจถอนตัวจึงได้แต่จัดการพวกมันให้ล่าถอยจากไป
พลันบังเกิดเสียงวัตถุแหวกอากาศผ่านใบหูไป
ข้าจึงเบี่ยงกายไปด้านข้าง เตะตวัดปลายเท้าใส่คนที่หวังโจมตีจากด้านข้างออกไป
ข้าและพวกมันพัวพันรุกไล่เกือบหนึ่งเค่อก็มีผู้คนผ่านมาพบเห็นพอดี
จู่ๆ พวกมันก็ลามือยอมล่าถอยกลบไปให้ข้าต้องงงงย
“ฝากไว้ก่อน
วันหน้าจงระวังตัวให้ดี”
ข้าระบายลมหายใจออก
ก่อนจะรั้งคืนสภาวะท่วงท่าแล้วเก็บกระบี่อสูรคลั่งเข้าฝัก
ดูเหมือนข้าพบพานความยุ่งยากเข้าแล้ว
“ขอบคุณท่านผู้กล้า”
ข้าตวัดตามองมันที่อยู่ใต้เสื้อคลุมที่ล่าถอยไปนั่งพิงผนังตึกใกล้แดงน้อย
ข้าเหลือบแลใบหน้าครึ่งหนึ่ง เห็นคิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาสองสีกระจ่างใสดุจวารีก้นบ่อของมัน
“หนี้บุญคุณนี้
ข้าจะหาทางตอบแทนอย่างแน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้นก็จัดการพวกมัน
อย่าให้พัวพันถึงข้าก็พอ”
“ขอบคุณ”
ข้าน้อมรับคำขอบคุณของมันอีกครั้งก็เดินไปหาแดงน้อยที่ยืนปักหลักรออย่างสบายใจ
สมแล้วที่มันเป็นอาชาแสนรู้ของมารดา
เรื่องราวเมื่อครู่นี้ไม่อาจข่มขวัญมันได้จริงๆ
ข้าเหวี่ยงร่างขึ้นหลังม้า
ส่วนคนใต้เสื้อคลุมยกมือขึ้นคารวะลาข้า พอมันหมุนร่างจะจากไปก็ร้องครางออกมา
ข้าเหลียวมองดูหยาดโลหิตบนพื้นคาดว่ามันคงได้รับบาดเจ็บไม้น้อย
“นี่..”
มิทันที่ข้าจะร้องทัก มันก็ร่วงหล่นไปกับพื้นถนนปูศิลาเย็นเฉียบ “มารดามันเถิด”
ข้าสบถก่นด่าก่อนจะพลิ้วร่างลงจากหลังม้าไปโอบอุ้มมันขึ้น
พอโอบอุ้มจึงทราบว่ามันมีร่างกายผอมบางอย่างยิ่ง ข้ารีบพามันไปโรงหมอ
และได้ทราบว่ามันเป็นเด็กหญิงชาวเฟิ่งนางหนึ่ง
ข้ามองดูใบหน้ารูปไข่
คิ้วเข้มหนาพาดเฉียงกับหน้าผาก จมูกเล็กโด่ง ริมฝีปากแดงดุจโลหิต
เส้นผมสีเข้มตัดกับผิวขาวสะอาด ไม่คล้ายชาวเฟิ่งและชาวหลู่เท่าใดนัก
หากแต่งดงามไปอีกแบบ จนข้าอดชื่นชมไม่ได้
พลันข้าเหลือบแลเห็นที่คอนางสวมสร้อยลูกปัดแปลกตา
พอข้าหยิบมันขึ้นชมดูก็ต้องขมวดคิ้วแน่น
‘ลูกปัดนี้...’
ข้ามองดูใบหน้าของนางไม่เห็นเค้ามารดาแม้แต่น้อยก็โล่งใจ
เนื่องเพราะมารดาแซ่สั่วแต่งให้บิดาข้าหลังมารดาที่แท้จริงเสียชีวิตไปห้าปี นางไม่เคยตั้งครรภ์สักครั้ง
‘แล้วเจ้ามีลูกปัดนี้ได้อย่างไร’
ข้าเก็บงำความฉงนสงสัยนี้ไว้กับตัว
กระทั่งผ่านไปหลายปี ข้าอาศัยความสามารถที่บ่มเพาะสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง ฮ่องเต้มีพระราชโองการแต่งตั้งข้าเป็นแม่ทัพพยัคฆ์พายัพ
ปกป้องชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับชายแดนทางใต้ที่บิดาดูแลอยู่
การแต่งตั้งครั้งนี้มีสมรสพระราชทาน
มอบองค์หญิงนางหนึ่งให้เป็นภรรยา นามเฟิ่งผิงหลาน
นางเป็นพระธิดาองค์หนึ่งของเฟิ่งตงอี้
ฮ่องเต้แคว้นเฟิ่ง ที่ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการสงคราม
ท่านลุงจางฉวนคนสนิทของบิดาข้าสืบทราบมาว่า
เฟิ่งผิงหลานถือกำเนิดจากพระสนมนางขั้นกุ้ยเฟยคนหนึ่ง บิดาของสนมกุ้ยเฟยนางนั้นเป็นอัครเสนาบดีกรมคลัง
มารดาเป็นคุณหนูใหญ่ของเสนาบดีกรมพิธีการ ลูกพี่ลูกน้องของนางก็เป็นสนมเจี่ยอวี๋ของเฟิ่งตงอี้เช่นกัน
เดิมทีสมรสพระราชทานนี้
บิดาไม่เห็นชอบด้วย แต่เป็นพระบรมราชโองการของฝ่าบาท ผู้ใดคัดค้านได้
ข้าเองแม้ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางระหว่างท่านพ่อ
ท่านแม่และเฟิ่งตงอี้
แต่ทราบแน่แก่ใจว่าเฟิ่งตงอี้ลักพาตัวมารดาเพื่อล้วงความลับของอาวุธอัคคีก่อนจะทำลายวรยุทธ์ของนาง
สิบกว่าปีให้หลัง
กลับกลายว่าธิดาของเฟิ่งตงอี้ต้องเป็นเครื่องบรรณาการและกลายเป็นภรรยาของข้า
หรงเหยียนจวิ้น
‘บุตรสาวของเฟิ่งตงอี้’
ข้านั่งมองดูภรรยาองค์หญิงยังนั่งสวมอาภรณ์มงกุฎหงส์คลุมผ้าแพรแดงบนเตียงหลังใหญ่
มือเล็กเรียวนุ่มของนางยำกำกระโปรงแน่น เหมือนรอคอยความตาย
จู่ๆ
ก็นึกถึงท่านแม่หยี่ซื่อที่ต้องตกตายเพราะฮ่องเต้เฟิ่งพระองค์นั้น
ก็อดคลั่งแค้นขึ้นมาไม่ได้ พอคิดอีกทีก็รู้แก่ใจว่าเฟิ่งผิงหลานไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
แต่บิดาของนางทำให้มารดาข้าต้องตาย
และนางก็เป็นคนเดียวกับคนใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ในต้นฤดูหนาวนั้น
‘ข้าจะทำอย่างไรดีนะ’
พลันในสมองของข้าปลอดโปร่งมองเห็นวิธีจัดการทวงหนี้บุญคุณความแค้นมากมาย
ข้าลุกขึ้นเดินไปหานางตวัดมือดึงผ้าแพรคลุมหน้าเจ้าสาวออก
“องค์หญิง
ท่านจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งท่านบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณของข้า”
นางเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้างดงามผุดผาดเย้ายวนไม่เหมือนสตรีแคว้นหลู่ขึ้น
ทำให้ข้าพึงใจอย่างยิ่ง
“วันนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว
และสมรสพระราชทานนี้ไม่อาจหย่าขาด หากฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย ฉะนั้นจากนี้เป็นต้นไป
นอกจากข้าก็ไม่มีผู้ใดคุ้มครองเจ้าอีก”
ข้ายิ้มหยัน
มองดูสีหน้าตื่นกลัวของนาง ก็พอทราบว่านางกำลังคาดเดาเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวนางเองต่อจากนี้
แต่ข้ายังไม่ลงมือ ขอข้าดูนางไปก่อน
“เฟิ่งผิงหลาน จำไว้ เจ้าเป็นของข้า ข้าเป็นแผ่นฟ้าของเจ้า”
ความคิดเห็น