ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    นานาภาคพิเศษ

    ลำดับตอนที่ #3 : อย่ายั่วโมโหข้า ท่านแม่ทัพ ภาคพิเศษ ลูกปัดด้ายแดง

    • อัปเดตล่าสุด 27 พ.ค. 61


    อย่ายั่วโมโหข้า ท่านแม่ทัพ ภาคพิเศษ

    ลูกปัดด้ายแดง

     

    รัชสมัยหมิงเสียงที่สิบ ปักษ์เสี่ยวเสวี่ย (หิมะตกน้อย)

    ข้านั่งอยู่บนหลังอาชา มองปุยหิมะถูกสายลมพัดหอบม้วนขึ้นสู่นภาสีเทา มือหยาบแข็งกระตุกสายบังเหียนเบาๆ แจ้งให้มันออกเดิน อาชาตัวนี้เป็นอาชาของมารดา มันอยู่กับข้ามาหลายปีนับแต่นางตายในสนามรบ มันเป็นหนึ่งในสมบัติที่มารดาเหลือไว้ให้ข้านอกเหนือจากตำราประหลาดหลากหลาย และปิ่นหยกเล่มนั้น

    “กลับกันเถิด ป่านนี้ท่านพ่อคงกลับมาถึงแล้ว”

    แดงน้อยผงกศีรษะเห็นด้วยกับข้า นับว่ามันเป็นอาชาแสนรู้อย่างยิ่ง เมื่อก่อนข้าเคยถามท่านพ่อว่ามารดาได้มันมาเช่นไร เรื่องนี้แม้แต่ท่านเองก็ไม่ทราบ ผู้ที่รู้ก็ตกตายไปแล้ว ส่วนท่านน้าและท่านปู่ทวดที่ฉุนเหยายิ่งไม่ทราบ

    ขณะที่แดงน้อยย่างเหยาะไปตามถนนเส้นนอก พลันปากตรอกด้านหน้ามีคนผู้หนึ่งผลุนผลันทะยานออกมา ตัดหน้าอาชจนข้าต้องกระตุกสายบังเหียนรั้งแดงน้อยให้หันไปข้าหนึ่ง

    “บัดซบ”

    ข้าไม่ทราบว่าสิ่งใดดลบัลดาลให้มันผู้นั้นรนหาที่ แต่มันก็ล้มลงกับพื้นถนนปูศิลาเย็นเยียบคลุกเกล็ดหิมะสกปรก

    “เจ้า”

    “ขออภัย”

    คนใต้เสื้อคลุมหนังสัตว์ตัวใหญ่ร้องออกมา จู่ๆ ในตรอกบังเกิดเสียงดังและไอสังหารเข้มข้นแผ่พุ่งออกมา กระตุ้นเตือนข้าว่าไม่ชอบมาพากลจึงลอบเกร็งลมปราณขึ้นสามส่วน ไม่นานมีคนกลุ่มหนึ่งถืออาวุธครบมือทะยานออกมา

    “เจ้าเป็นใคร หากไม่ข้องเกี่ยวให้ล่าถอยจากไป”

    ข้าตวัดตามองพวกมัน ขณะเดียวกันคนสวมเสื้อคลุมกระชับสาบเสื้อคลุมข้าแน่น ชักนำข้าให้เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหลังจากนี้

    “ได้โปรด ช่วยข้าด้วย”

    เสียงเล็กบางของคนใต้เสื้อคลุมอ้อนวอนข้า น้ำเสียงของมันบ่งบอกว่าอับจนหนทางแล้ว ข้าแม้ไม่อยากสอดมือ แต่การทอดทิ้งผู้ลำบากก็ใช่ที่ แม้มารดาเคยสั่งสอนว่าถ้าตนเองสามารถคุ้มครองเอาตัวรอดได้ค่อยสอดมือช่วยเหลือผู้คน แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้คนผู้นั้นร้องขอเสียก่อน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าสมควรหรือไม่ เมื่อเห็นว่าการช่วยเหลือนั้นไม่ชักนำเรื่อฃวุ่นวายถึงตัวในภายหลังก็ให้กระทำเสีย

    ดูเหมือนว่า ครั้งนี้ข้าจะตกหล่นเรื่องนี้ไปเสียแล้ว

    “น้องชาย หากเจ้าไม่ถอยก็อย่าได้อาฆาตแค้นพวกเราเลย”

    สิ้นคำข่มขวัญ พวกมันก็เร่งเร้าสภาวะฆ่าฟันมาถึงข้า ข้าแม้จะฝึกวรยุทธมาสิบกว่าปี แต่เรื่องสังหารผู้คนก็มิได้ด้อยกว่าผู้ใด บางทีอาจมากกว่าชนชั้นยอดฝีมือในยุทธภพหลายสิบเท่า

    ข้าตะปบกระบี่อสูรคลั่งจากหว่างเอว ใช้ออกด้วยวิชากระบี่สยบพยัฆค์ที่ท่านปู่ทวดแซ่หยางถ่ายทอดให้ กระบี่อสูรคลั่งกรีดออกเป็นวงปัดกระแทกดาบกระบี่ของพวกมันออกไปดังตังๆ แรงกระแทกของอาวุธย้อนกลับเข้าหาตน ยังให้ข้อมือพวกมันและข้าปวดชาไม่น้อย

    บัดซบ

    ข้าก่นด่าตนเองที่สอดมือเข้ายุ่มย่ามเรื่องผู้อื่น แต่บัดนี้ไม่อาจถอนตัวจึงได้แต่จัดการพวกมันให้ล่าถอยจากไป

    พลันบังเกิดเสียงวัตถุแหวกอากาศผ่านใบหูไป ข้าจึงเบี่ยงกายไปด้านข้าง เตะตวัดปลายเท้าใส่คนที่หวังโจมตีจากด้านข้างออกไป

    ข้าและพวกมันพัวพันรุกไล่เกือบหนึ่งเค่อก็มีผู้คนผ่านมาพบเห็นพอดี จู่ๆ พวกมันก็ลามือยอมล่าถอยกลบไปให้ข้าต้องงงงย

    “ฝากไว้ก่อน วันหน้าจงระวังตัวให้ดี”

    ข้าระบายลมหายใจออก ก่อนจะรั้งคืนสภาวะท่วงท่าแล้วเก็บกระบี่อสูรคลั่งเข้าฝัก ดูเหมือนข้าพบพานความยุ่งยากเข้าแล้ว

    “ขอบคุณท่านผู้กล้า”

    ข้าตวัดตามองมันที่อยู่ใต้เสื้อคลุมที่ล่าถอยไปนั่งพิงผนังตึกใกล้แดงน้อย ข้าเหลือบแลใบหน้าครึ่งหนึ่ง เห็นคิ้วเข้มพาดเฉียงกับดวงตาสองสีกระจ่างใสดุจวารีก้นบ่อของมัน

    “หนี้บุญคุณนี้ ข้าจะหาทางตอบแทนอย่างแน่นอน”

    “ถ้าเช่นนั้นก็จัดการพวกมัน อย่าให้พัวพันถึงข้าก็พอ”

    “ขอบคุณ”

    ข้าน้อมรับคำขอบคุณของมันอีกครั้งก็เดินไปหาแดงน้อยที่ยืนปักหลักรออย่างสบายใจ สมแล้วที่มันเป็นอาชาแสนรู้ของมารดา เรื่องราวเมื่อครู่นี้ไม่อาจข่มขวัญมันได้จริงๆ

    ข้าเหวี่ยงร่างขึ้นหลังม้า ส่วนคนใต้เสื้อคลุมยกมือขึ้นคารวะลาข้า พอมันหมุนร่างจะจากไปก็ร้องครางออกมา ข้าเหลียวมองดูหยาดโลหิตบนพื้นคาดว่ามันคงได้รับบาดเจ็บไม้น้อย

    “นี่..” มิทันที่ข้าจะร้องทัก มันก็ร่วงหล่นไปกับพื้นถนนปูศิลาเย็นเฉียบ “มารดามันเถิด”

    ข้าสบถก่นด่าก่อนจะพลิ้วร่างลงจากหลังม้าไปโอบอุ้มมันขึ้น พอโอบอุ้มจึงทราบว่ามันมีร่างกายผอมบางอย่างยิ่ง ข้ารีบพามันไปโรงหมอ และได้ทราบว่ามันเป็นเด็กหญิงชาวเฟิ่งนางหนึ่ง

    ข้ามองดูใบหน้ารูปไข่ คิ้วเข้มหนาพาดเฉียงกับหน้าผาก จมูกเล็กโด่ง ริมฝีปากแดงดุจโลหิต เส้นผมสีเข้มตัดกับผิวขาวสะอาด ไม่คล้ายชาวเฟิ่งและชาวหลู่เท่าใดนัก หากแต่งดงามไปอีกแบบ จนข้าอดชื่นชมไม่ได้

    พลันข้าเหลือบแลเห็นที่คอนางสวมสร้อยลูกปัดแปลกตา พอข้าหยิบมันขึ้นชมดูก็ต้องขมวดคิ้วแน่น

    ลูกปัดนี้...

    ข้ามองดูใบหน้าของนางไม่เห็นเค้ามารดาแม้แต่น้อยก็โล่งใจ เนื่องเพราะมารดาแซ่สั่วแต่งให้บิดาข้าหลังมารดาที่แท้จริงเสียชีวิตไปห้าปี นางไม่เคยตั้งครรภ์สักครั้ง

    แล้วเจ้ามีลูกปัดนี้ได้อย่างไร

    ข้าเก็บงำความฉงนสงสัยนี้ไว้กับตัว กระทั่งผ่านไปหลายปี ข้าอาศัยความสามารถที่บ่มเพาะสร้างชื่อเสียงให้ตนเอง ฮ่องเต้มีพระราชโองการแต่งตั้งข้าเป็นแม่ทัพพยัคฆ์พายัพ ปกป้องชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดกับชายแดนทางใต้ที่บิดาดูแลอยู่

    การแต่งตั้งครั้งนี้มีสมรสพระราชทาน มอบองค์หญิงนางหนึ่งให้เป็นภรรยา นามเฟิ่งผิงหลาน

    นางเป็นพระธิดาองค์หนึ่งของเฟิ่งตงอี้ ฮ่องเต้แคว้นเฟิ่ง ที่ส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการสงคราม

    ท่านลุงจางฉวนคนสนิทของบิดาข้าสืบทราบมาว่า เฟิ่งผิงหลานถือกำเนิดจากพระสนมนางขั้นกุ้ยเฟยคนหนึ่ง บิดาของสนมกุ้ยเฟยนางนั้นเป็นอัครเสนาบดีกรมคลัง มารดาเป็นคุณหนูใหญ่ของเสนาบดีกรมพิธีการ ลูกพี่ลูกน้องของนางก็เป็นสนมเจี่ยอวี๋ของเฟิ่งตงอี้เช่นกัน

    เดิมทีสมรสพระราชทานนี้ บิดาไม่เห็นชอบด้วย แต่เป็นพระบรมราชโองการของฝ่าบาท ผู้ใดคัดค้านได้

    ข้าเองแม้ไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ตื้นลึกหนาบางระหว่างท่านพ่อ ท่านแม่และเฟิ่งตงอี้ แต่ทราบแน่แก่ใจว่าเฟิ่งตงอี้ลักพาตัวมารดาเพื่อล้วงความลับของอาวุธอัคคีก่อนจะทำลายวรยุทธ์ของนาง

    สิบกว่าปีให้หลัง กลับกลายว่าธิดาของเฟิ่งตงอี้ต้องเป็นเครื่องบรรณาการและกลายเป็นภรรยาของข้า หรงเหยียนจวิ้น

    บุตรสาวของเฟิ่งตงอี้

    ข้านั่งมองดูภรรยาองค์หญิงยังนั่งสวมอาภรณ์มงกุฎหงส์คลุมผ้าแพรแดงบนเตียงหลังใหญ่ มือเล็กเรียวนุ่มของนางยำกำกระโปรงแน่น เหมือนรอคอยความตาย

    จู่ๆ ก็นึกถึงท่านแม่หยี่ซื่อที่ต้องตกตายเพราะฮ่องเต้เฟิ่งพระองค์นั้น ก็อดคลั่งแค้นขึ้นมาไม่ได้ พอคิดอีกทีก็รู้แก่ใจว่าเฟิ่งผิงหลานไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่บิดาของนางทำให้มารดาข้าต้องตาย และนางก็เป็นคนเดียวกับคนใต้เสื้อคลุมขนสัตว์ในต้นฤดูหนาวนั้น

    ข้าจะทำอย่างไรดีนะ

    พลันในสมองของข้าปลอดโปร่งมองเห็นวิธีจัดการทวงหนี้บุญคุณความแค้นมากมาย ข้าลุกขึ้นเดินไปหานางตวัดมือดึงผ้าแพรคลุมหน้าเจ้าสาวออก

    “องค์หญิง ท่านจำได้หรือไม่ว่าครั้งหนึ่งท่านบอกว่าจะตอบแทนบุญคุณของข้า”

    นางเงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้างดงามผุดผาดเย้ายวนไม่เหมือนสตรีแคว้นหลู่ขึ้น ทำให้ข้าพึงใจอย่างยิ่ง

    “วันนี้เจ้าเป็นภรรยาข้าแล้ว และสมรสพระราชทานนี้ไม่อาจหย่าขาด หากฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย ฉะนั้นจากนี้เป็นต้นไป นอกจากข้าก็ไม่มีผู้ใดคุ้มครองเจ้าอีก”

    ข้ายิ้มหยัน มองดูสีหน้าตื่นกลัวของนาง ก็พอทราบว่านางกำลังคาดเดาเรื่องเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่ตัวนางเองต่อจากนี้ แต่ข้ายังไม่ลงมือ ขอข้าดูนางไปก่อน

    “เฟิ่งผิงหลาน จำไว้ เจ้าเป็นของข้า ข้าเป็นแผ่นฟ้าของเจ้า”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×