คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Oh! My Wives ภาคพิเศษ เรื่องในวงเหล้า (ขออภัยที่ต้องแบ่งเป็น2ตอน เนื่องจากมันยาวเกินไป)
Oh! My Wives ภาคพิเศษ เรื่องในวงเหล้า ภาคต้น (ขออภัยที่ต้องแบ่งเป็น2ตอน เนื่องจากมันยาวเกินไป)
วันนี้มีเรื่องตื่นเต้นแต่เช้า ฉันทราบจากเซียงเซียงว่าจะล่องเรือไปอำเภอเยี่ยนเหยาเพื่อหาซื้อข้าวสารและธัญพืชเพื่อนำมาขายที่เฝิงฉู่ แน่นอนว่าไม่ได้มีแต่พวกข้าวสารและถั่วเท่านั้น ก่อนถึงเยี่ยนเหยาจะต้องนำของไปขายตามเมืองและอำเภอรายทางด้วย
แน่นอนว่าฉันจะไม่ยอมพลาดงานนี้ เพราะที่อำเภอนี้ฉันจะได้ไปพบเพื่อนเก่า ถ้าพวกเขาไม่ย้ายหนีไปอยู่ที่อื่นเสียก่อน
“ข้าจะไปด้วย”
เซียงเซียงกับฟีโอน่าหันมามองฉันเป็นจุดเดียว
โฮ่ง
ตอนนี้เล่ยจินมายืนเป็นกองหนุนให้ฉันหลังจากได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงการเดินทางไปค้าขาย แน่นอนว่าเล่ยจินอาจจะมีตัวเมียในละแวกนั้นฝูงหนึ่ง หรืออาจมีพรรคพวกนอกอำเภอก็ได้
“อี่ว์ฉี”
“ให้ข้าไปด้วยเถอะนะ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไปค้าขาย ส่วนข้าที่ค้าขายไม่เก่งขอสาบานต่อเล่ยจินว่าจะไม่เข้าไปยุ่มย่ามเด็ดขาด ข้าจะทำตัวดีๆ ไม่ให้พวกเจ้าต้องปวดหัว อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ตั้งครรภ์ พวกเจ้าสบายใจได้” พูดจบฉันก็ยกมือขึ้นสาบานสามนิ้วเป็นลูกเสือสามัญ “จริงๆ หากข้ามุสา ขอให้ข้างบ้านออกลูกเป็นแมว”
ถึงจะสาบานขนาดนั้นแต่ดูเหมือนเขาสองคนจะหรี่ตามองฉันเหมือนไม่ไว้ใจ
“ที่นั่นไม่มีชู้รักข้าหรอก พวกเจ้าสบายใจได้” ทันทีที่พูดจบ เซียงเซียงถึงกับถอนหายใจโล่ง
เรื่องนี้ฉันก็สาบานจริงๆ ส่วนเจ้าบ้าหลี่ฉินจะนับด้วยดีไหมนะ เขาก็ขอฉันแต่งงานเหมือนกัน แต่ถ้าแต่งเขาเข้ามาแล้วจะให้ตำแหน่งอะไรดี สามีดีไหมนะ
'เจ้ากล้ารึ' เหมือนได้ยินเสียงคำรามก้องในหู 'แต่งเขา เจ้าเตรียมฝังเขาได้เลยฉีเอ๋อ'
แม้แต่เสวี่ยเฟยก็ไม่ยอม
“ย่อมได้”
“ขอบคะ..”
“เดี๋ยวนะอี่ว์ฉี เมื่อครู่เจ้าบอกว่าอะไรนะ ไม่มีชู้รักเจ้าอยู่ที่นั่น” ปากพาซวยจริงๆ “หากเป็นที่อื่นก็จะมีอย่างนั้นรึ”
“ไม่มี ที่อื่นก็ไม่มี ต่อให้พลิกทั่วแผ่นดินเซินถูหรือฮานัคก็ไม่มี อีกประการ ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรทำ นอกจากครอบครัวข้าแล้ว ข้าก็ไม่มีสหายให้เฮฮาด้วยสักหน่อย” ฉันเสแสร้งบีบน้ำตาเล็กน้อยเพื่อหลอกให้เขาเชื่อยิ่งขึ้น “ยิ่งพวกเจ้าสองคนไม่อยู่นานๆ ข้าเหงาจะตาย”
“ได้ ข้าเชื่อเจ้า”
“ขอบคุณนะภรรยาข้า ข้าช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้ตบแต่งพวกเจ้า”
ฉันกระโดดโลดเต้นไปรอบบ้านก่อนจะวิ่งขึ้นบันไดเก็บข้าวของที่จำเป็น แน่นอนว่าต้องหนีบกระบี่ของเสวี่ยเฟย อาภรณ์ตามปรารถนาและขยะของแพะไปด้วย
เช้ามืดวันถัดมาฉันยืนมองเรือสำเภาเล็กติดธงเอี้ย(ธงสามเหลี่ยม)สีฟ้าขลิบขอบขาวลำหนึ่ง
เรือลำนี้หากความจำของฉันไม่แย่นัก มันคือเรือลำเดียวกับลำเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ฉันยังเป็นเจ้าโง่ฉีทำงานจับกังอยู่โกดังข้าวเถ้าแก่เก้า
เรือลำนี้ทำให้ฉันได้พบคุณชายซุนไม่ทราบชื่อเป็นครั้งแรก
“ขึ้นไปเถิด เราจะได้ออกเดินทางกัน”
เราสามคนหนึ่งตัวเดินขึ้นเรือเห็นเหล่าเหลียงนั่งจิบชายามเช้ามืดอยู่ข้างบนแล้ว ฉันเดินตรงไปประสานมือขึ้นคารวะเขาก่อนจะขออนุญาตนั่งลงข้างๆ เพื่อพูดคุย ไม่นานนักหลังจากทุกอย่างเรียบร้อย คนเรือก็ปลดเชือกผูกเรือแล้วเก็บไม้สะพานขึ้นทันที
เรือลำนี้อาศัยแรงงานคนในการขับเคลื่อน เห็นแล้วก็เหน็ดเหนื่อยแทนพวกเขา แต่มองอีกแง่เป็นการจ้างงานสร้างรายได้อย่างหนึ่งให้กับคนในพื้นที่
“อี่ว์ฉี เจ้าไปนอนก่อนเถิด ไว้ใกล้ถึงข้าจะปลุกเจ้าเอง”
“ตกลง ไปกันเถิดเล่ยจิน”
แต่เล่ยจินกลับตื่นเต้นวิ่งไปทางหัวเรือแทน ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกของมัน แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มันจะได้วิงเล่นพล่านไปทั่วเรือโดยไม่มีใครว่า
“ถ้าอย่างนั้นข้าของีบสักชั่วยามแล้วกัน”
พวกเราเดินทางมาตามแม่น้ำแวะเกือบทุกเมืองเพื่อขนของลง แน่นอนว่าฉันกับเล่ยจินไม่เคยพลาดที่จะลงไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสาย
ฉันทำตัวเป็นผู้ติดตามฮูหยินคนงามทั้งสอง เพราะไม่อยากสร้างปัญหาว่าพาผู้หญิงขึ้นเรือแล้วเรื่องมากและไม่อยากให้คนเรือมองฉันเป็นตัวปัญหาในอนาคต
ที่ท่าเรือเมืองหนึ่ง เซียงเซียงคุมสินค้าขึ้นท่า ส่วนฟีโอน่าตรวจนับสินค้าตามรายการ ปล่อยให้ฉันและเล่ยจินเดินเล่นแถวท่าเรือไปเรื่อยๆ ระหว่างที่กำลังเดินเล่น ฉันเพิ่งสังเกตว่ามีเกวียนเปล่าหลายเล่มจอดรอเป็นเส้นยาวเพื่อรับสินค้าไปขาย ดูท่าในจำนวนนั้นอาจมารับของที่พวกฟีโอน่ากำลังขนขึ้นอยู่
“เพิ่งรู้จริงๆ นะนี่ว่าบ้านซุนร่ำรวยเกินไปแล้ว เจ้าดูสิเล่ยจิน”
ฉันชี้ไปยังเกวียนหลายเล่มที่วิ่งสวนกลับออกไป ส่วนเล่ยจินเอาแต่สนใจซาลาเปาเนื้อตรงหน้าแทน
“ข้านี่แย่จริงๆ ที่ไม่รู้ว่าบ้านซุนค้าขายอะไรบ้าง วันๆ ดีแต่ไล่ฆ่าคนกับเล่นสนุกไปทั่วแคว้น พอหางานทำเองก็ได้เงินนิดเดียว”
“แม่นางคนงามทั้งสอง พวกเราไม่เคยเห็นพวกเจ้าแถวนี้ เจ้าคงมากับเรือสินค้าเหล่านี้ ไม่ทราบว่าพวกเจ้าเดินทางมาจากที่ใด บิดามารดาเจ้ามาด้วยหรือไม่”
ฉันหันไปตามเสียงเห็นชายฉกรรจ์สองสามคนแต่งตัวหรูหรากำลังจีบพวกเซียงเซียงที่นั่งพักดื่มชาอยู่ในร้านน้ำชา บนท่าเรือมีเหล่าเหลียงกำลังคุมพวกลูกเรือขนของขึ้นเกวียนเปล่าที่กำลังรออยู่
เซียงเซียงกับฟีโอน่าเป็นคนรูปโฉมงดงาม หากทั้งสองคนนั่งอยู่หรือไม่ขยับไปไหนก็จะสร้างความตื่นตาตรึงตราตรึงใจต่อผู้พบเห็น ถ้าเปิดปากพูดน้ำเสียงก็จะนุ่มทุ้มน่าฟัง หากผู้ชายบางคนไม่คิดมากเรื่องเสียงก็ไม่สังเกตเห็นความผิดปกติพวกนี้ ต่อให้พวกเขาสวมชุดผู้ชายปกติก็เหอะ คนที่ไม่รู้จักพวกเขาดีก็ต้องคิดว่าสองคนนี้เป็นโฉมสะคราญล่มเมืองปลอมตัวมา แถมปลอมตัวได้ไม่เนียนเลย
คิดแล้วก็น่าเศร้าแทน
“แม่นางคนงาม ข้าไม่อยากสร้างความหนักใจให้พวกเจ้าหรอก แต่ข้าเป็นเจ้าของท่าเรือนี้”
“ถูกต้องแล้ว แค่สนทนาเล็กน้อย เรือสินค้าของบิดามารดาเจ้าคงเทียบท่าอย่างราบรื่น ดีไม่ดีอาจได้ลดค่าธรรมเนียมเป็นพิเศษ” สามคนนั้นหันมองไปทางเหล่าเหลียงที่กลับไปยืดเส้นยืดสายอยู่บนเรือ
“ข้าต้องขอโทษนายท่านทั้งสาม แต่ข้าจดจำได้ว่าเจ้าของท่าเรือแห่งนี้เป็นของคหบดีหลาง อีกทั้งเรามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนเขาก็เพิ่งจากไป”
“อ้อเป็นเช่นนั้นเอง แม่นางคงไม่ทราบว่าพวกข้าเป็นหลานชายของหลางไห่”
“ขออภัยด้วย”
“เอาเป็นว่าพวกเราเสียมารยาทต่อแม่นางแล้ว ไม่ทราบว่าพวกแม่นางจะค้างคืนที่นี่หรือไม่”
“ไม่”
“น่าเสียดายจริงๆ เอาเป็นว่าขอให้เราเลี้ยงน้ำชาไถ่โทษที่ล่วงเกิน”
“ขอบคุณ” ดื่มเสร็จ สองสาวก็ลุกขึ้นพยักหน้าเรียกฉันกับเล่ยจินที่กำลังดูพวกเขาอยู่
“แม่นางเราจะได้พบกันอีกเมื่อไร หากเจ้าแวะมาก็มาเยี่ยมข้าที่ร้านซิ่งจงตรงหัวมุมถนนนั่นด้วย”
สองสาวนั่นยังคงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ แต่ดูจากท่าทางกับสีหน้าของโฉมสะคราญแล้ว พวกนี้คงได้กินแห้วกันทั้งนา
ฉันกับเล่ยจินกระโดดขึ้นบนไม้กระดานไปสมทบกับเหล่าเหลียงและลูกเรือก่อนจะเอนตัวพิงกับผนังเก๋งเรือทอดตามองสามบุรุษที่น่าสงสาร
“เป็นโฉมงามนี่ช่างลำบากจริง โชคดีเหลือเกินที่ข้างามน้อยกว่าพวกเขา”
“เจ้าพึงพอใจรึ” เหล่าเหลียงยืนกอดอกเป็นเพื่อนฉันมองดูเรือลำอื่นที่จอดเทียบท่า “พวกเขางดงามกว่าเจ้า แล้วเจ้าไม่เจ็บใจรึอย่างไร”
“เจ็บใจสิอาวุโส แต่ทำอย่างไรได้ บิดามารดาให้หน้าตาข้ามาแบบนี้ จะเปลี่ยนแปลงก็ใช่ที่ แต่หน้าอย่างนี้นะดีแล้ว อย่างน้อยพวกนางก็สบายใจได้ว่าไม่มีใครสนใจแน่”
จู่ๆ เหล่าเหลียงก็หัวเราะขึ้นมาทำให้ฉันงงว่าฉันพูดอะไรผิด ฉันกลับมาพิจารณาตัวเองแล้วว่าหนังหน้าอย่างฉัน ถ้าจะหากิ๊กคงลำบากเหมือนมองหาผงชูรสในน้ำตาลนั่นแหละ
ตกเย็น เรือตระกูลซุนเข้าเทียบท่าเมืองเมืองหนึ่ง เมืองนี้นับเป็นเมืองใหญ่ที่ฉันไม่รู้จัก แต่ดูจากท่าจำนวนเรือในท่าแล้วคักคึกมาก เซียงเซียงบอกว่าเราจะค้างคืนที่นี่สองคืนเพื่อให้ลูกเรือได้พักผ่อนและทำความสะอาดเรือเล็กน้อย
เราสี่คนหนึ่งตัวว่าจ้างรถม้าไปย่านชุมชนใกล้ๆ เพื่อหาโรงเตี๊ยมค้างคืน ฟีโอน่าแจ้งว่าเปิดห้องไว้สองห้อง มอบให้เหล่าเหลียงและเล่ยจินหนึ่งห้อง ส่วนอีกห้องเป็นของฉันและพวกเขาทั้งยังสั่งอาหารมารับประทานข้างบนก่อนจะอาบน้ำนอน
ตอนนี้ยังไม่ทันจะยามสอง แต่เพราะเดินทางมาเกือบทั้งวันพวกเขาจึงหลับไปเพราะความเหนื่อย ปล่อยให้ฉันนั่งตากลมส่องดูชาวบ้านรอบโรงเตี๊ยมและดูรถม้ากับม้าสวนกันไปมา
'น่าเบื่อยิ่งนัก เจ้าไม่เบื่อบ้างหรืออย่างไรฉีเอ๋อ'
'ก็เบื่อ แต่ทำไงได้ ข้าต้องอยู่เป็นเพื่อนพวกนาง หากไม่ใช่เพราะสองคนนี้ ข้าคงเบื่อตายยิ่งกว่านอนแช่น้ำอยู่ที่บ้านแน่'
'ถ้าอย่างนั้นเราสองคนสมควรเสาะหาความบันเทิงสักเล็กน้อยไม่ดีรึ'
'เจ้าจะทำอะไร'
'เรื่องที่ไม่น่าเบื่อ'
พูดจบเสวี่ยเฟยก็ยึดร่างฉันหันไปมองพวกเขาสองคนนอนหลับเป็นตายอยู่บนเตียง 'คืนนี้ปลอดภัย ต่อให้เกิดเพลิงไหม้พวกเขาจะไม่เป็นอะไร'
'…' เขาคงจะบอกให้ฉันวางใจในความปลอดภัยของสองคนนี้
'ไปกันเถิด'
เสวี่ยเฟยอาศัยร่างของฉันเสาะหาหอสุรา เขาพาฉันไปนั่งดื่มเหล้าพูดคุยกับคนแปลกหน้า ยิ่งเหล้าเข้าปาก เพื่อนก็ยิ่งมากขึ้น โชคดีครั้งนี้ไม่มีใครบ้าจี้เฮโลกันไปปราบปีศาจเพราะความอยากรู้อยากเห็น เราเพียงแต่พูดคุยถามไถ่ถึงที่มาที่ไปของแต่ละคนเท่านั้น และทราบมาบ้างว่าหอบุบผาใดมีดอกไม้งามที่สุด
จากหอแรกไปหอที่สองต่อด้วยหอที่สาม ที่หอสุราที่สามนี้ ปีศาจจิ้งจอกนี่ไม่รู้นึกอะไรขึ้นไปชั้นสามเพื่อดูร่ายรำและการบรรเลงพิณ หากเขาเลือกนั่งรวมกับคนอื่นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่เขาดันเลือกห้องพิเศษทั้งเรียกหญิงสาวสองคนมาปรนนิบัติคลอเคลียออดอ้อน
“คุณชายน้อย ท่านจะไม่ดื่มให้ข้าอีกสักจอกหรือ”
“เจ้าอ้อนข้าถึงเพียงนี้ มีหรือข้าจะปฏิเสธได้”
พูดจบเขาก็ดื่มสุราไปหมดจอกก่อนจะป้อนสุรานางทางปากอย่างดูดดื่ม
สาวสวยที่ถูกเขาจูบก็ตัวอ่อนเอนซบร่างฉันเหมือนขี้ผึ้งเหลว ทำให้กลิ่นถุงหอมและเสื้อไหมอบหอมลอยเตะจมูกตลอดเวลา พอเขาเอาอกเอาใจนางเช่นนี้ทำให้สาวสวยอีกคนรีบออดอ้อนเอาใจเขาทันที
“คุณชายน้อย ข้าบ้างสิ”
'เสวี่ยเฟย อย่าหาเรื่องให้ข้านะ'
เสวี่ยเฟยหัวเราะให้ฉันเบาๆ ก่อนจะตอบตกลงเจ้าหล่อนด้วยการขบติ่งหูเบาๆ ให้หวงหลานร้องครางสยิวจนฉันใจไม่ดี
'เสวี่ยเฟยบ้า'
เจ้าจิ้งจอกพอถูกด่าก็อารมณ์ดีขึ้นทันที เขากวาดตามองผ่านม่านฉลุลายไปยังปะรำเวทีด้านนอก มองดูหญิงสาวคนหนึ่งคาดว่าจะเป็นหญิงคณิกาชั้นสูงประจำหอ ฝีมือในการบรรเลงพิณของนางนับว่ายอดเยี่ยมไม่แพ้เซียงเซียง
'นางน่าสนใจ'
'ไม่นะเสวี่ยเฟย แค่พวกนางสองคนนี้ก็พอแล้ว'
'แต่นางน่าสนใจจริงๆ นะฉีเอ๋อ เจ้าดูสิ นางงดงามเย้ายวนปานนี้ เจ้ายังใจดำให้ข้าไม่รับประทานลงท้องไหวรึ สตรีเช่นนี้สมควรชมเชย แค่มอง นางยังทำให้ข้าคลุ้มคลั่งเจียนแย่'
ฉันอยากชิงร่างคืนแล้วหนีไปจากหอสุรา แต่เสวี่ยเฟยแข็งแกร่งเกินไป ทั้งยังปิดปากขังฉันไว้ในนี้ ฉันได้แต่มองดูเขาทำเรื่องบันเทิงเริงใจ โชคดีที่เขาไม่นอนกับพวกเธอ ไม่อย่างนั้นฉันจะหาข้อแก้ตัวกับภรรยาทั้งสองไม่ได้แน่
อย่างน้อยคืนนี้เขาก็ทำให้ฉันหายใจทั่วท้องได้หนึ่งคืน
“เจ้าเป็นใคร”
ฉันที่อยู่ข้างในรีบหันมองไปตามเสียงผู้หญิงคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดคนงามนี้เป็นคนดีดพิณบนปะรำเวทีเมื่อชั่วยามก่อน เธอคนนี้สวยจนใจสั่น สวมอาภรณ์ไหมบางเบาสีฉูดฉาดพอควร กลิ่นสาบสาวค่อนข้างชัดเจน บ่งบอกได้ว่าบนตัวนางไร้กลิ่นบุรุษมานานปี
ถ้าดมจากกลิ่นตัวคาดว่าน่าจะอายุยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี อีกทั้งใกล้ถึงรอบเดือนเธอแล้วด้วย
‘เวรของกรรม’
“เจ้าเข้ามาได้อย่างไร หากไม่ตอบข้าจะเรียกคนให้ช่วย”
“ข้าเป็นใครหาสำคัญไม่ เพียงแต่อยากสนทนากับแม่นางสักเล็กน้อย”
ฉันเหมือนเห็นตัวเองพุ่งเข้าไปหาคนงามนางนั้น เราสองคนแนบชิดสนิทแทบเป็นเนื้อเดียว นางดิ้นรนตั้งใจจะร้องเรียกให้คนช่วย เสวี่ยเฟยตัวดีกลับชิงจูบนางไปเสียก่อน ฉันไม่รู้ว่าเขาใช้เทคนิคอะไร เห็นก็แต่ใบหน้างดงามค่อยๆ แดงซ่านขึ้นเหมือนดรุณีน้อยเพิ่งพานพบบุรุษหนุ่ม
เสวี่ยเฟยถอนริมฝีปากออกปล่อยให้นางหอบหายใจเข้าปอดครู่หนึ่ง
“เจ้าคนต่ำช้า อ๊า~”
“นั่นเพราะข้าหลงใหลในตัวเจ้าจึงชั่วช้าเลวทราม” พูดจบก็งับหูนางอีกที
หญิงคณิกาในอ้อมแขนถึงกับครางจนฉันที่อยู่ข้างในยังต้องขนลุก ฉันอยากให้เสวี่ยเฟยรีบปล่อยตัวเธอ แต่ดูเหมือนเจ้าจิ้งจอกจะสนุกกับการหยอกเหยื่อในมือเล่น
ฉันห้ามเขาไม่ได้แล้ว
คืนนี้ ฉันต้องทนดูตัวเองย่ำยีโฉมสะคราญใต้ร่างกาย แม้การย่ำยีของเสวี่ยเฟยจะไม่เลยเถิดไประดับนั้น แต่มันทำให้ฉันอายและอยากเอาหัวโขกเต้าหู้ตายสักพันครั้ง หมอนี่ช่างสรรหาเรื่องบันเทิงได้น่ากลัวจริงๆ
'ขอโทษด้วยแม่นาง ข้าห้ามเขาไม่ได้จริงๆ'
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกลับมาถึงโรงเตี๊ยมเมื่อไหร่ พอรู้ตัวอีกทีก็เห็นโฉมสะคราญล่มเมืองทั้งสองยืนจ้องลงมา ใบหน้าของพวกนางไร้อารมณ์ผิดกับดวงตาวาววับด้วยโทสะ คิดว่าหากยุแหย่หรือพูดอะไรผิดหูแม้แต่น้อย ฉันคงไม่ตายดี
ข้างโฉมสะคราญคือสุนัขหน้าไม่รับแขกหนึ่งตัว ในดวงตาสีฟ้าสดใสของของมันมีแววเย้ยหยันวาดผ่าน
“เซียงเซียง ฟี”
“อาบน้ำแล้วค่อยคุยกัน” พูดจบพวกเธอก็หมุนตัวจากฉันไป ปล่อยให้ฉันลุกขึ้นจากเตียงเงียบๆ มองไล่ตามหลังพวกเธอที่ก้าวหายไปจากประตูห้อง
“ชิหายละ”
ฉันลุกจากเตียงก้าวผ่านฉากกั้น ระหว่างนั้นหางตาเหลือบไปเห็นตัวเองในกระจกทองเหลืองบนโต๊ะ ในกระจกทองเหลืองสะท้อนรอยจ้ำสีแดงเต็มหน้า นอกเหนือจากใบหน้าแล้วยังลามลงไปถึงคอและกระดูกไหปลาร้า
ฉันค่อยๆ เคลื่อนเข้าหากระจกทองเหลืองแหวกสาบเสื้อออกก็แทบกัดลิ้นตาย “ตายแน่งานนี้” บนทรวงอกคือรอยชาดและรอยจูบที่คาดว่าจะเป็นของเหล่านางคณิกาเมื่อคืน
“เสวี่ยเฟยบ้า จะฆ่าข้ารึไง”
เราสี่คนนั่งรับประทานอาหารเช้าเงียบๆ ที่จริงก็ไม่เช้าเท่าไหร่ เพราะตอนนี้ปาไปกลางยามซื่อแล้ว ฉันก้มกินหนึ่งคำเงยหน้ามองพวกเขาหนึ่งคำ เหล่าเหลียงคงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ ดังนั้นเขาจึงรับประทานอาหารเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร กระทั่งฟีโอน่าเปิดปากพูดคนแรก แต่เธอไมได้พูดกับฉัน
“วันนี้ข้าจะออกไปหาซื้อสินค้าไปขายยังเมืองลี่หยาง อาวุโสจะติดตามข้าไปด้วยกันหรือไม่”
“แน่นอน สินค้าในเมืองนี้น่าสนใจไม่น้อย คงทำกำไรได้มากโข”
“ดี อีกครึ่งชั่วยามข้าจะไปเรียกท่านที่หน้าห้อง”
“ข้าว่าอีกครั้งชั่วยามมาพบกันที่หน้าโรงเตี๊ยมจะดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลามาก”
“ตกลง”
ฟีโอน่าหันมาทางเซียงเซียงเป็นคำถาม และเธอพยักหน้าตกลงโดยไม่พูดอะไรก่อนที่ฟีโอน่าจะปรายตามองฉัน ตอนนี้ดวงตาสีฟ้าสดใสของเธอเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกยิ่งกว่าทวีปแอนตาร์กติกา เธอสั่งฉันผ่านสายตาว่าฉันห้ามออกจากโรงเตี๊ยมแม้แต่ก้าวเดียว ต่อให้ตายก็ต้องตายในโรงเตี๊ยม
'ขอรับ'
ฉันล้มตัวลงนอนบนตั่งข้างหน้าต่างคิดหาคำตอบและคำแก้ตัวที่จะทำให้รอดชีวิต คิดอยู่นานก็เห็นแต่คำตอบบั่นทอนอายุจนหมดกำลังใจจะคิดต่อ ฉันไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปอีกครั้งตอนไหน พอตื่นขึ้นมาก็เห็นเพดานเตียงหลังใหญ่ ในห้องมีเสียงหยิบจับวางสิ่งของเบาๆ รวมทั้งเสียงคนอาบน้ำใกล้ๆ
“เจ้าหิวรึยัง”
ฉันหันหน้าไปด้านข้างเห็นเซียงเซียงกำลังจัดวางอาหารบนโต๊ะ มองเลยออกนอกหน้าต่างพบว่าตอนนี้เกือบเย็นแล้ว
“ลุกขึ้นมาเถิด เจ้านอนมาทั้งวัน”
ฉันทำตามที่สั่งยังไม่กล้าปริปากพูดแม้แต่คำเดียว
“เขาบอกข้าหมดแล้ว” ฉันหยุดเดินหันไปมองเซียงเซียงที่โต๊ะ “จิ้งจอกนั่น ฉะนั้นจึงไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
“...”
ฉันควรขอบคุณเสวี่ยเฟยดีหรือไม่ แต่เขาเป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้ เพราะไม่อย่างนั้นฉันอาจโดนหางเลขอีกเป็นชุดใหญ่
“แต่ครั้งหน้าอย่าได้ทำอีก”
“อืม”
มีหรือเจ้าจิ้งจอกนั่นจะฟัง ครั้งนี้เขากระทำการอย่างเงียบเชียบ แม้แต่เล่ยจินก็ถูกลากเข้าไปเกี่ยวด้วยให้อยู่ในฐานะผู้สมคบคิดแล้วติดสินบนด้วยสุนัขป่าเพศเมียฝูงหนึ่ง
ฉันได้แต่มองเขาดื่มมือหนึ่ง หยอกเย้าสตรีมือหนึ่ง โชคดีที่เปลี่ยนหอสุราแล้วแต่โชคร้ายที่เขาพาร่างกายของฉันเข้ามาในหอนางโลมแทน หญิงสาวงดงามสามคนห้อมล้อมสลับผลัดกันหยอกเย้าป้อนอาหารคำเล็กคำน้อยในห้องพิเศษริมสระกว้างใหญ่
แน่นอนว่าหอนางโลมหอนี้เป็นหอใหญ่และหรูหราที่สุดในเมือง หญิงคณิกางามล้ำ ถูกล่ำลือว่าหากได้โอบกอดแม้แต่นางโลมชั้นต่ำที่สุดของหอก็ไม่เสียดายเงินทอง
'แต่นี่มันอันดับสองกับสามเชียวนะเสวี่ยเฟย'
“คุณชายน้อยอ้าปากสิเจ้าคะ” จิ้งจอกมักมากอ้าปากรับเนื้อหมูหมักชุ่มฉ่ำจากสาวน้อยก่อนจะจิบสุราที่แพงที่สุดของหอ
'ช่างเถิด ยังไงขยะแพะก็ยังเหลืออีกบาน'
ฉันได้แต่ภาวนาและหวังว่าเสวี่ยเฟยจะไม่ไปย่ำยีอันดับหนึ่งก่อนกลับโรงเตี๊ยมคืนนี้ 'ขอร้องนะ'
“อ๊ะ~ คุณชายแกล้งข้าอีกแล้ว ตรงนั้นไม่ได้นะเจ้าคะ อ๊า~!”
สายวันถัดมา พวกเราล่องเรือออกจากท่ามุ่งหน้าสู่เมืองถัดไปหวังให้ทันก่อนเย็น ฉันยืนเท้าแขนมองทิวทัศน์ริมฝั่ง เมื่อถึงท่าน้ำเล็กๆ จึงเห็นหญิงสาวสามคนสวมอาภรณ์หรูหราบางเบา บนศีรษะสวมหมวกปีกกว้างโอบล้อมด้วยผ้าบางขาวยาวจรดเข่า
ถ้าจำไม่ผิด พวกเธอคือนางโลมทั้งสามที่อยู่กับเสวี่ยเฟยเมื่อคืนนี้ พวกเธอยืนส่งอยู่เงียบๆ
หนึ่งในนั้นจะขว้างของสิ่งหนึ่งขึ้นมา ฉันเอื้อมมือรับเอาไว้ มันเป็นผ้าห่อหนึ่ง เมื่อแกะออกเห็นหินกลมมนหนึ่งก้อน หวีสับงาช้างของสตรี สลักลวดลายงดงาม ในห่อมีกระดาษพับเล็กหนึ่งพับ เมื่อแกะออกเห็นคำกลอนอาลัยอาวรณ์ครึ่งบท
หนึ่งราตรียาวนานชั่วชีวิต
ย่ำรุ่งใจสลายดับดิ้นเถ้าธุลี
“อี่ว์ฉี”
“ไม่ใช่ข้านะ” จิ้งจอกบ้า ฉันจะฆ่าแก
พวกเราล่องเรือมาถึงที่นี่ก่อนเย็นอย่างที่ตั้งใจ ครั้งนี้เซียงเซียงจัดการเปิดโรงเตี๊ยมใกล้ท่าเรือเพื่อป้องกันการหนีเที่ยวของเสวี่ยเฟย เขารู้ว่าฉันไม่ใช่คนผิด แต่ร่างกายของฉันใช้ร่วมกับปีศาจจิ้งจอกจึงประมาทไม่ได้
ฉันนั่งจ้องมองถ้วยชาตรงหน้า น้ำในถ้วยชาใสปกติดี ผิดเพียงกลิ่นยานอนหลับและกลิ่นของเซียงเซียงคละคลุ้งมากเกินไป
“เจ้าไม่กระหายรึอี่ว์ฉี”
“กระหาย” ฉันเหลือบมองชาผสมยานอนหลับในถ้วยแวบหนึ่ง ‘เอาเถอะเพื่อความสบายใจ ฉันจะกิน’
ยานอนหลับถ้วยนี้ได้ผล ฉันหลับเป็นตายอีกทั้งเสวี่ยเฟยอยู่อย่างสงบสุขไม่เดือดเนื้อร้อนใจใดๆ เขาลากฉันไปนั่งเล่นริมสระบัวกับพวกเสี่ยวหูฝูงหนึ่ง ทั้งเล่าเรื่องปีศาจในป่าชีพไม่หวนคืนวิญญาณสลาย
ในอาณาเขตของเสวี่ยเฟย ฉันมีความสุขมาก เล่นกับพวกเสี่ยวหูจนลืมเวลากระทั่งถูกฟีโอน่าเขย่าจนสะดุ้งตื่น
“มีอะไรรึฟี”
“เจ้าหลับไม่ยอมตื่นจนข้ากลัว”
“เอ๋” ฉันขยี้ตาอ้าปากหาวคำใหญ่ “ข้าคงเหนื่อยจนหลับลึก นี่ยามใดแล้ว”
“ยามอู่สองเค่อ เจ้าหิวบ้างรึยัง”
“ยังเลย ขอน้ำข้าถ้วยนึงเถิด คอแห้งจริงๆ”
“ได้ รอสักครู่” กลิ่นของฟีโอน่าผ่อนคลายลงไปมาก หากจะโทษก็ต้องโทษเซียงเซียงที่ใส่ยานอนหลับในชาของฉันเมื่อคืนนี้ แม้มันจะไม่ส่งผลต่อฉันก็ตาม
‘เพื่อความสบายใจของภรรยา จงทำ’
คืนนี้ฉันไปนั่งเล่นกับเสวี่ยเฟยในความฝัน ซึ่งก็คืออาณาเขตที่เจ้าจิ้งจอกสร้างขึ้นในจิตใจของฉัน ประดับตกแต่งอาณาเขตด้วยจินตนาการล้ำลึกเกินพรรณนา ต้องโทษที่ฉันกินเขาเข้าไปทำให้ปีศาจนี่ได้เห็นโลกปัจจุบัน จินตนาการสุดล้ำจากภาพยนตร์และเอนิเมชั่นหลายร้อยเรื่องที่ฉันเคยดู
อย่างเช่นตอนนี้ ฉันกำลังนอนหงายมองดูฝนดาวตกแทนที่พระจันทร์สีทองดวงใหญ่ถูกเสี่ยวเฟยเก็บไว้ชั่วคราว ส่วนเล่ยจินยังคงสนุกสนานกับเหล่าเสี่ยวหูทั้งฝูง
“นี่ เสี่ยวเฟย ทั้งที่เจ้าพาเล่ยจินเข้ามาได้ ทำไมไม่พาสองคนนั่นเข้ามาด้วยล่ะ”
“เพื่ออะไร”
“จะได้คุยกันบ้าง ไหนๆ ก็เป็นคนรู้จักกันแล้ว เจ้าไม่คิดจะพูดคุยกับพวกเขาบ้างรึไร”
“ไม่จำเป็น”
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองนอนเล่นกับเสวี่ยเฟยนานแค่ไหน กระทั่งลืมตาตื่นถึงได้เห็นสีหน้าโล่งอกของภรรยาตัวเอง ไม่ทันที่ฉันจะถามเซียงเซียง เขาก็โผเข้ากอดฉันแน่นจนแทบหายใจไม่ออก
“เซียะ..”
“ขอโทษอวี่ฉี ข้าขอโทษ ข้าจะไม่ทำอย่างนี้อีกแล้ว”
“เอ๋” กว่าจะนึกออกก็เกือบได้กลับไปนอนเล่นกับเจ้าจิ้งจอกอีกรอบ “อ้อ เรื่องนั้นเอง ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าเจ้าห่วงข้า”
เซียงเซียงยังคงเป็นเซียงเซียง แม้ไม่ร้องไห้เหมือนตอนเด็ก แต่ฉันรู้ว่าเขารู้สึกแย่แค่ไหนที่จู่ๆ ฉันก็หลับยาวไม่ยอมตื่นกระทั่งล่วงเข้ายามบ่ายแล้ว
“อวี่ฉี เจ้ายกโทษให้เขารึ”
“เอาน่าฟี ข้ารู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ แค่หวังดีไปสักเล็กน้อย ข้าจะโทษเจ้าได้อย่างไร ลองเปลี่ยนเป็นเขามีภรรยามีลูกกับหญิงอื่นก็ไม่แน่”
พอพูดจบ เซียงเซียงคนดีก็แอบงับหูฉันจนขนลุกเป็นการต่อว่า 'ยายหนูนี่ รอก่อนเถิด แม่จะคิดบัญชีทบต้นทบดอกเลยคอยดู'
วันนี้เรือสกุลซุนจะเทียบท่าหนึ่งวันก่อนจะเดินทางไปอำเภอเยี่ยเหยา ฉันติดตามเซียงเซียงและฟีโอน่าไปทำการค้าในฐานะผู้คุ้มครอง ในสมองวางแผนจะช่วยสอดส่องหาสินค้าทำเงินและสุราดีไปฟากลูกพี่เถี่ยและร่ำสุราท้าตีกับเฉินคุนหลวนเพื่อสะสางบัญชีเก่าที่เขากระหน่ำตีฉันจนเกือบตาย
“อยากดื่มรึ”
“อื้อ”
“หากจะดื่มก็ซื้อไว้ รอคืนนี้เราสามคนดื่มด้วยกัน”
“เปล่า ข้าจะเอาไปดื่มกับลูกพี่เถี่ย ท่านจำได้หรือไม่ตอนที่ท่านไปสั่งซื้อข้าวสารและเมล็ดถั่วจากโรงสีของเถ้าแก่เก้า ชายผิวคล้ำตัวใหญ่กล้ามเป็นมัดนั่นคือเถี่ยจง พี่ใหญ่ของข้า เขาดูแลข้าเป็นธุระให้ตอนที่ข้าท้องร่วงเกือบตาย”
“เจ้าเคยป่วยด้วยรึ”
ไม่แปลกที่ฟีโอน่าจะประหลาดใจ เพราะตลอดเวลาสิบกว่าปีที่อยู่กับพวกเขา ฉันไม่เคยป่วยเลยสักครั้ง นั่นเป็นเพราะฉันกินเสวี่ยเฟยและเนื้อปีศาจหอยลงไป
“ข้าเป็นมนุษย์นะ เจ็บป่วยบ้างก็ไม่แปลก อีกอย่าง หากไม่ได้ลูกพี่เถี่ย ข้าคงตายไปแล้ว พอพวกเจ้าบอกว่าจะไปอำเภอเยี่ยเหยา ข้าถึงตามมาด้วยนี่อย่างไร”
เซียงเซียงเข้าใจฉันจึงอาสาเลือกสุราเลี้ยงฉลองให้ฉันและลูกพี่เถี่ยถึงสามไห เขาอาจจำพี่เถี่ยได้หรืออาจหลงลืมรูปลักษณ์ไปแล้ว และมั่นใจว่าฉันคงไม่ได้ร่ำสุรากับพี่เถี่ยเพียงลำพัง หากมีพวกพ้องที่โรงสีเถ้าแก่เก้าด้วย
'จะว่าไปเจ้าอุเคะเหวินไถยังอยู่เหรือไม่นะ'
มิใช่ว่าฉันอยากญาติดีกับเขา แต่สำนึกผิดต่อบิดาของเขา ทำให้สกุลเหวินต้องแตกแยก ทำให้เหวินไถต้องอยู่อย่างยากลำบาก หากวันนั้นบิดาของเขาไม่กลายเป็นไส้ศึกเพราะความจำเป็น เหวินไถคงมีชีวิตที่ดีกว่านี้และไม่เลวร้ายเหมือนอย่างทุกวันนี้
'ยิ่งคิดยิ่งเศร้า ไว้เจอหน้า ฉันจะทำดีกับนายสักหน่อยก็แล้วกัน'
ความคิดเห็น