ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Levatein

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 เรื่องวิวาทในห้องอาหาร

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ค. 53


    Chapter 8
    เรื่องวิวาทในห้องอาหาร
          
                ดวงตะวันแย้มแสงแรกแห่งวันใหม่จากริมขอบฟ้าก่อนที่จะค่อยลอยสูงตามเวลาของมัน   ปลุกทุกชีวิตที่อยู่ในห้วงภวังค์ให้ตื่นขึ้นมารับวันใหม่   หน้าต่างที่ทุกปิดไว้ตลอดทั้งคืนค่อยทยอยกันเปิดออกก่อนที่เหล่าแม่บ้านและคนในบ้านแต่ละหลังจะเดินออกมา บ้างก็ไปจ่ายตลาด บ้างออกมาจิบกาแฟพูดคุยกันเป็นกิจวัตร
     
                    เช่นเดียวกับในคฤหาสน์หรูทรงยุโรปที่ตั้งอยู่นอกเมือง   แต่ทว่าทุกชีวิตในคฤหาสน์กลับยังไม่มีผู้ใดตื่นขึ้นมารับวันใหม่สักคน   นอกจากหนุ่มแว่นในชุดสูทแบบเรียบๆผู้เป็นพ่อบ้านเพียงคนเดียวของที่แห่งนี้ที่ตื่นมาแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำความสะอาดปัดกวาดทั้งนอกและในคฤหาสน์ก่อนที่จะเข้าไปจัดเตรียมอาหารมื้อเช้ารอทุกคนตื่น
     
    ไม่นานนักชีวิตแรกที่ตื่นขึ้นมาแล้วก็เดินเข้ามาในห้องอาหารนั้นคือ ผู้ช่วยประธานสภานักเรียนชาน่อน เดอ ลูซิเฟียร์
     
    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณชาน่อน นี่ชาครับ” พ่อบ้านหนุ่มทักทายด้วยอารมณ์เบิกบานพร้อมเดินเข้ามาเสิร์ฟถ้วยชา  
     
    “เช่นกันครับ” เด็กหนุ่มเอ่ยรับก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบ
     
    “คนอื่นๆล่ะครับ” ยารีฟเอ่ยถามขึ้นด้วยความเอาใจใส่
     
    “ป่านนี้พวกซินเธียร์คงไปปลุกกันแล้วน่ะครับ” ชาน่อนตอบ “อีกเดี๋ยวคงทยอยกันลงมาเองแหละครับ   ว่าแต่พวกโปรเฟสเซอร์ล่ะ กลับมากันยัง”
     
                    “ท่านโลกิกลับมาเมื่อตอนดึกน่ะครับ ส่วนคุณเฮมดาลส์ผมยังไม่เห็นที่กระท่อมเลย” ชาน่อนพยักหน้าก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นจิบต่อพลางอ่านหนังสือพิมพ์บนโต๊ะ   ส่วนยารีฟก็หันไปลำเลียงอาหารที่กำลังส่งกลิ่นหอมชวนน่ารับประทานขึ้นโต๊ะจนเสร็จก่อนที่จะเดินออกจากห้อง
     
                    “สวัสดีตอนเช้าฮะคุณยารีฟ” เสียงทักทายจากเด็กสาวนาม ‘ซินเธียร์ สวอร์น’
     
                    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณซินเธียร์แล้วคนอื่นล่ะครับ” พ่อบ้านหนุ่มทักทายกลับพร้อมทั้งถาม
     
                    “เพิ่งตื่นกันฮะ ตอนนี้คงอาบน้ำจะอยู่น่ะ” ซินเธียร์ตอบอย่างเรียบๆ ก่อนจะเดินสวนพ่อบ้านหนุ่มไปที่ห้องอาหารรวม ส่วนยารีฟก็ออกเดินต่อขึ้นบันไดไปยังโซนของปีหนึ่ง
     
                   
                    ชายหนุ่มเดินเรื่อยๆจนมาถึงหน้าบานประตูสีแดงที่หมาย ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดลูกบิดประตูและผลักออกโดยไม่จำเป็นต่อกล่าวขออนุญาตจากเจ้าของห้อง
     
                    ภายในห้องที่มืดสนิทไร้แสงแดดยามเช้าส่องถึงอันเนื่องมาจากผ้าม่านผืนหนาที่ใช้ปิดหน้าต่างไว้   แต่ไม่นานนักแสงแดดก็เข้ามาเยือนห้องเมื่อผ้าม่านเหล่านั้นถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มผู้มาหน้าที่ทำงานทั้งหมดในคฤหาสน์
     
                    เสียงของงัวเงียเบาๆของเจ้าของห้องก่อนที่ศีรษะจะมุดหาไปใต้ผ้าห่มเพื่อหนีแสง เช่นเดียวเจ้าเหมียวที่นอนขดตัวอยู่ในตะกร้า
     
                    “เช้าแล้วครับท่านโลกิ” ยารีฟร้องบอกก่อนจะดึงผ้าห่มออกทันที เผยร่างเด็กชายอายุราวสิบสองผู้มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนในรูปที่แขวนอยู่ผนัง   เด็กชายร้องงึมงำด้วยความงัวเงียก่อนจะลุกขึ้นนั่งหัวยุ่งบนเตียงอย่างเชื่องช้าก่อนที่เปลือกตาจะปรือขึ้นโชว์สีดวงตามรกตคู่งาม
     
                    “เมื่อคืนเป็นไงบ้างครับ” พ่อบ้านหนุ่มเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะยื่นผ้าชุบน้ำหมาดๆให้
     
                    “ก็ตาแก่โอดินน่ะสิใช้โน่นใช้นี่ ไม่เกรงใจเลยสักนิด” ผู้เป็นเจ้านายบ่นพลางใช้ผ้าลูบหน้าลูบตาแล้วจัดทรงผมที่ฟูราวกับรังนกให้เข้าที่ “แล้วพวกเด็กใหม่เป็นไงกันบ้าง”
     
                    “อ๋อ ก็เรียบร้อยกันดีครับ”
     
                    “แสดงว่ายังไม่ออกลาย เหมือนทุกปีแหละ” ยารีฟพยักหน้าอย่างเห็นชอบ “ให้ฉันเดานะ ปีนี้มีผู้หญิงหลงมาไม่เกินสามคนใช่ไหม” 
     
                    “ห้าคนครับ”
     
                    “โอ้ มหาเทพเป็นพยาน !! ขอขอบพระคุณท่านที่ยังไม่ให้กลุ่มรูฟัสขาดของสวยๆงามๆไปมากกว่านี้” โลกิถึงกับพนมมือทันที
     
                   “ว่าแต่ท่านจะรับมื้อเช้าที่นี้เลยไหมครับ”
     
                    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันไปทานที่ห้องอาหารดีกว่า”
     
                    “ถ้างั้นก็ได้ครับ อ้อ ! ของที่สั่งไว้มาถึงแล้วนะครับ  ให้ผมจัดเตรียมให้เลยไหมครับ”
                   
                    “มาถึงแล้วเหรอ” เด็กชายตาเป็นประกายทันที “มาถึงไวกว่าที่คิดซะอีก”
     
                    “งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมให้นะครับ” พ่อบ้านหนุ่มบอก ผู้เป็นนายก็พยักหน้าให้ก่อนที่เขาโค้งตัวให้แล้วค่อยเดินออกจากห้องไป
     
                    เด็กชายตัวน้อยบิดขี้เกียจก่อนจะลุกจากเตียงนอนแล้วเดินถือผ้าเช็ดตัวพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่หยิบออกจากตู้เสื้อผ้าเข้าห้องน้ำไป
     
                    ไม่นานนักประตูสีแดงก็เปิดออกแล้วร่างของเด็กชายในชุดลำลองแบบเรียบง่ายทั่วไปก็เดินออกมาพร้อมกับเจ้าแมวสีขาวดั่งหิมะแรกของฤดูหนาว 
     
                    “นี่เซราฟีน่าของที่ฉันสั่งมาถึงแล้วนะ” เด็กชายผมสีน้ำตาลอ่อนนาม โลกิเอ่ยขึ้น  เจ้าเหมียวคู่ใจก็ร้องเป็นการตอบแสดงความยินดีกับเจ้านาย ทำให้เจ้าของยิ้มอย่างมีความสุขสุดๆระหว่างเดินตามทางเดินมุ่งสู่ห้องอาหาร แต่เมื่อเดินไปถึงทางแยกที่จะลงบันไดกลางสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น....
     
                    โครม !!
                “โอ๊ย/ว๊าย”
     
                    อยู่ๆเด็กสาวผมยาวสีน้ำเงินก็วิ่งสวนมาก่อนที่จะชนเข้าอย่างจังกับคนเดินมาจนกระเด็นออกไปกองกับพื้น
     
                    “ตายแล้ว! ครีโอเป็นไงบ้าง” อาราเนียร้องเสียงหลงก่อนจะไปพยุงเพื่อนสาว   ขณะที่เคียรี่ก็รีบเข้าไปดูคนที่ถูกชน
     
                    “น้องจ๊ะเจ็บตรงไหนเปล่า” พรายสาวเอ่ยถามพร้อมช่วยพยุงเด็กชายขึ้น  “พี่ต้องขอโทษแทนเพื่อนจอมซุ่มซ่ามด้วยนะจ๊ะ”
                    โลกิปัดตัวนิดน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงกว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเดินไม่ระวังเอง ต้องขอโทษพี่สาวด้วยนะครับ”
     
                    “ต๊าย! น่ารักจัง” เคียรี่ถึงกับร้อง “ว่าแต่น้อง...”
     
                    “เฮ้! ถามแต่คนอื่น ไม่ถามฉันบ้างล่ะ” เสียงครีโอขัดขึ้น ทำให้เด็กสาวผมยาวรวบหางม้าบนศีรษะถึงกับหันมาแยกเขี้ยวให้คนว่า
     
                    “ว่าแต่พวกพี่สาวเพิ่งมาใหม่เหรอครับ” โลกิเอ่ยถามพร้อมตีหน้าใสซื่อ “ผมไม่คุ้นหน้าเลย”
     
                    “พวกพี่เป็นนักเรียนใหม่น่ะ” ยูริไดซ์ชิงตอบก่อน “เธออยู่ที่นี่เหรอ”
     
    “ครับ” เมื่อได้ยินคำตอบที่หวังไว้ เจ้าหญิงแห่งซาโลมก็หันไปยิ้มให้กับเพื่อนพร้อมกับขอบคุณพระเจ้าในใจก่อนที่จะหันกลับแล้วพูดเป็นประเด็น
     
    “คือว่าพวกพี่มีเรื่องขอความช่วยเหลือหน่อยน่ะ” โลกิถึงกับมองหน้าคนขอความช่วยเหลืออย่างงงๆ
     
     
    เวลาต่อมา....
    “แหม หลงทางก็ไม่บอกนะครับ” เด็กชายเอ่ยขึ้นอย่างขำๆ ทำให้เหล่าคนหลงทางต่างก้มหน้าด้วยความอาย “ไม่เป็นไรหรอกครับ ใครมาครั้งแรกก็หลงกันทั้งนั้น”
     
    “ไม่รู้ไอ้เจ้าของบ้านจิตปกติเปล่านะ” ครีโอบ่นขึ้น “จะออกแบบบ้านให้เหมือนผู้เหมือนคนก็ไม่ได้”
    คำบ่นที่ทำให้โลกิถึงกับสะอึก แต่ก็ยังทำตัวนิ่งพลางฟังอีกฝ่ายบ่นนินทาเจ้าของบ้านอย่างไม่เกรงใจใครจนเพื่อนสาวพยายามห้ามปรามเพราะกลัวใครมาได้ยิน
     
                    “ว่าแต่นายเถอะ” เมื่อถูกเรียก เด็กชายตัวน้อยถึงกับสะดุ้งโหยง “ฉันรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นนายที่ไหนสักแห่ง”
     
                    “แฮะ ๆ พี่สาวคิดไปเองมั้ง ถึงแล้วครับห้องอาหารรวม”
     
                    ว่าแล้วเด็กชายนาม ‘โลกิ’ดึงลูกบิดประตูออก   แล้วห้าสาวจึงเดินเข้าไปก่อนและเขาจึงค่อยเข้าปิดท้าย   ทุกคนในห้องซึ่งดูท่าจะเพิ่งทานข้าวกันเสร็จต่างหันมามองคนมาสายเป็นตาเดียว
     
                    “อ้าว กะจะให้คนไปตามอยู่แล้วเชียว” ชาน่อนพูดขึ้น “แต่มาก็ดีแล้ว ทานข้าวก่อนสิ”
     
                    แล้วห้าสาวปีหนึ่งก็ทยอยกันไปนั่งทานข้าวรวมกับเด็กหนุ่มปีหนึ่งทันที
     
                    “ท่านพี่เป็นไงบ้าง” ยูริเอลถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงก่อนจะชะงักเมื่อผู้เป็นพี่หันมองตาเขียวใส่
     
                    “ก็หลงทางน่ะสิถามได้ มีเพื่อนใหม่แล้วก็ทิ้งฉันเลยนะ” ยูริไดซ์ขึ้นเสียงเข้มใส่ด้วยความหงุดหงิด จนผู้เป็นน้องที่แสนห่วงใยพี่ถึงกับก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด
     
                    “นี่ คุณเจ้าหญิง ว่าน้องก็ไม่ถูกนะครับ” อิสฮานสวนขึ้นด้วยเสียงยียวน ยูริไดซ์จึงหันควับมามองตาขวางใส่ซึ่งทำให้ทุกคนเข้าใจถึงกิตติมาศักดิ์ที่ชาวบ้านพูดถึงสตรีแห่งราชวงศ์ฟรีบาสซ์
     
                    “แล้วนายมายุ่งอะไรมิทราบพ่อคนขายหนังสือ” 
                    “กระผมก็ไม่อยากยุ่งหรอกครับ เพราะกระผมนั้นเป็นแค่สามัญชนคนเดินดินที่ต่ำต้อย” คนขายหนังสือกล่าว “แต่อย่างน้อยเจ้าชายยูริเอลก็เป็นเพื่อนของกระผม   กระผมเลยทนดูเพื่อนถูกต่อว่าโดยไร้ความผิดไม่ได้ ขอให้เจ้าหญิงทรงเข้าพระทัยนะครับ”
     
                    “ฉันยอมรับว่านายกล้ามากที่ยั่วโมโหฉัน” เจ้าหญิงแห่งซาโลมบอกพลางมองคนปากกล้าด้วยนัยน์ตาคมสีเพลิง
     
                    “นี่ ทั้งสองคนน่ะอย่าทะเลาะกันสิ” พรายสาวพยายามห้ามปราม 
     
                    “จริงด้วย นี่วันแรกเองนะอย่ามีเรื่องกันเลย” ฮาเทียพูดขึ้นช่วยอีกแรง “ยังไงเราก็กลุ่มเดียวกันนะ”
     
                    “ขอบใจที่ช่วยพูดนะคุณราชองครักษ์” ยูริไดซ์กล่าวอย่างสงบจนผิดปกติแล้วค่อยยืนขึ้นช้าๆ “แต่ถ้าวันนี้ฉันไม่จัดการ คืนนี้คงนอนไม่หลับ”
     
                    ว่าแล้วไม้เท้าสีแดงหัวทรงเปลวไฟก็ปรากฏในมือบางของยูริไดซ์ ก่อนที่เธอจะทำในสิ่งที่ทุกคนในห้องคาดไม่ถึง เมื่อไม้เท้านั้นวาดกับอากาศแล้วเกิดลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นพุ่งเข้าเด็กหนุ่มผมน้ำตาลเป้าหมายทันที
     
                    อิสฮานเอี้ยวตัวหลบก่อนกระโดดข้ามไปอีกฟากหนึ่งของห้อง เช่นเดียวกับคนอื่นบนโต๊ะที่พากันกระโดดออกกระจัดกระจาย บางคนก็พยายามถอยออกห่างเพราะกลัวลูกหลง บางคนก็พยายามพูดห้ามอยู่ห่างๆ แต่มีเพียงผู้ช่วยประธานสภานักเรียนกับเด็กชายที่กำลังเอร็ดอร่อยกับเค้กช็อกโกแลตและพ่อบ้านหนุ่มที่ยืนยิ้มอยู่เท่านั้นที่ดูไม่รู้สึกรู้สากับภาพตรงหน้า
     
                    ลูกไฟจำนวนมากเริ่มทยอยพุ่งใส่อิสฮานราวกับห่าฝน แต่ดูท่าความไวของเด็กหนุ่มร้านหนังสือจะเหนือกว่าอย่างสิ้นเชิง  ไม่นานการโจมตีแบบเป็นชุดก็หยุดลง เมื่อผู้ร่ายยืนหอบเหงื่อแตกเช่นเดียวกับคนที่ได้แต่หลบ 
     
                    “ท่านครีโอครับ เป็นไงบ้างครับ” ฮาเทียค่อยลดชิลด์ลง เมื่อทุกอย่างสงบเช่นเดียวกับคนอื่นที่ทยอยกันออกจากที่กำบังและคลายมนตร์ป้องกันลง
     
                    “ไม่เป็นไร” เด็กสาวในอ้อมแขนตอบพลางมองไปที่เพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง
     
                    เหงื่อไคลเม็ดโตไหลอาบเต็มหน้าทั้งสอง   แต่ทว่านัยน์ตาของทั้งสองยังคงจ้องกันเขม็งอย่างไม่ลดละจากกันเลยแม้แต่วินาทีเดียว
     
                    “เรื่องแค่นี้ทำไมต้องลงไม้ลงมือด้วยล่ะ” อิสฮานเอ่ยถาม
     
                    “เก็บปากนายไว้พูดในนรกเถอะ” ยูริไดซ์ตวาดด้วยความเดือดดาลก่อนจะแกว่งไม้เท้าคู่ใจอีกครั้ง ซึ่งเป็นสัญญาณการโจมตีระลอกใหม่ ทำให้ใจของคนรอบข้างแทบตกถึงตาตุ่ม
     
                     “เฟกี – ราม่า ! ! ” ทันทีเอ่ยคาถาเปลวไฟที่วิ่งไปบนไม้เท้าก็วิ่งวนรอบตัวผู้ร่ายก่อนที่ร่างนั้นจะท่วมด้วยเปลวไฟสีแดงที่ลุกโชติช่วง   และไม่กี่วินาทีต่อมาเปลวไฟนั้นก็ระเบิดออกเป็นวงกว้างไล่แผดเผาทุกสิ่งตรงหน้าให้เป็นเถ้าถ่านได้หมด ซึ่งทำให้ผู้ไร้การป้องกันหรือแม้พวกอยู่ใต้ชิลด์ป้องกันถึงกับหลับตาไม่กล้าดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น
     
                    แต่ทุกอย่างราวหยุดนิ่ง เมื่อเปลวไฟเหล่านั้นอยู่ๆก็มอดกลางอากาศอย่างกับเป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น ซึ่งทำให้นัยน์ตาสีเพลิงเบิกกว้างพลางมองคนตรงหน้าซึ่งมีก้อนหินที่เสกมากันรวมรวบตัวอยู่จึงไม่น่าเป็นคนดับเพลิงของเธอได้แน่นอน คิ้วงามขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน
     
                    “จะทะเลาะกันน่ะฉันไม่ว่า จะเลือกเป็นกรรมการให้เลย” เสียงเล็กนุ่มบอก “แต่อย่ามาทำให้เวลาทานขนมของฉันมันเสียรสชาติ”
     
                    ทุกคนแทบหันควับไปที่ต้นเสียงอย่างพร้อมเพรียง ซึ่งเป็นเด็กชายตัวน้อยซึ่งนั่งไขว่ห่างอยู่บนโต๊ะพร้อมกับถือเคียวเล่มโตสีดำสนิทอยู่   ครีโอและเคียรี่ถึงกับหันมามองหน้ากันอย่างไม่อยากเชื่อสายตา เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีเพลิงของยูริไดซ์เพราะว่าเด็กคนนั้นดันมีหน้าตาคล้ายกับคนที่พาพวกเธอมาส่งที่ห้องอาหารและดูเหมือนครีโอจะนึกออกทันทีว่า เคยเห็นเด็กคนนี้ในรูปซึ่งแขวนอยู่บนผนังที่เธอเห็นเมื่อคืน   แต่ทำไม......
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×