ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Levatein

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 11 ความลับกลางเขาวงกต

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 54


    Chapter 11
    ความลับกลางเขาวงกต
               
                ภาพการต่อสู้ในเขาวงกตของเหล่าปีหนึ่งที่ดุเดือดชนิดแบบห้ามกระพริบตาแม้วินาทีเดียวกำลังฉายอยู่บนจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ลอยเหนือศีรษะของเด็กสาวสามคนซึ่งยืนโบกไม้กายสิทธิ์ใส่ตัวอักษรสีทองที่วิ่งลอยไปลอยมาอยู่อย่างวุ่นว่าย   ขณะที่เด็กหนุ่มสองและอีกหนึ่งเด็กชายกลับนั่งจิบน้ำชาชมอย่างเพลิดเพลิน
     
                “ไม่คิดจะลงไปบ้างเหรอชาน่อน” เด็กหนุ่มผมทองเอ่ยถาม “เห็นทุกปีนายมักเป็นตัวตั้งตัวตีเกี่ยวกับเรื่องนี้”
     
                หนุ่มแว่นผมยาวระต้นคอสีเถ้าถ่านส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ล่ะครับ ปีนี้ขี้เกียจน่ะ ขอนั่งชมกับเพื่อนท่านประธานกับโปรเฟสเซอร์ดีกว่า” แล้วเขาก็ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “ว่าแต่ทำไมปีนี้ถึงใช้เขาวงกตเดเดียสล่ะครับ   จำได้ว่าท่านอธิการสั่งห้ามยุ่งกับเขาวงกตนี้ไม่ใช่เหรอครับ”
     
                เด็กชายหัวเราะในลำคอทันทีแล้วส่งสายตาชั่วร้ายมาให้อีกสองคนที่นั่งอยู่ “อย่าห่วงเลย ตาเฒ่านั้นวันๆก็ยุ่งกับงาน ไม่มีทางรู้หรอก”
     
                เท่านั้นแหละ เด็กหนุ่มคนถามแทบช็อกหมดสติก่อนจะแหบปากลั่น “นี่ ! ท่านอธิการไม่ทราบหรอกเหรอครับ”
     
                “จะโวยวายไปทำไม   นายนี่กลายเป็นพวกชอบโวยวายตั้งแต่เมื่อไหร่นะชาน่อน” ประธานสภานักเรียนฝ่ายรูฟัสพูดเสียงเรียบๆไม่ตกใจอะไรเลยสักนิด “อย่าห่วงเลยฉันไปสำรวจมาแล้ว   ตรงที่มันอันตรายสุดๆก็แค่ชั้นใต้สุดของเขาวงกตเท่านั้น   แล้วการลงไปชั้นล่างสุดน่ะ ขนาดฉันกับโปรเฟสเซอร์ยังเข้าไปลำบากเลย นับประสาอะไรกับเด็กปีหนึ่งที่จะเข้าไปได้”
     
                “ใช่ เชื่อฉันสิ มันไม่มีอะไรหรอ......” เด็กชายยืนยันก่อนตักชิ้นเค้กเข้าปากอย่างมีความสุข จนอีกสองคนถึงกับถอนหายใจ
                “ผมก็หวังอย่างนั้นแหละครับ” ชาน่อนเอ่ยขึ้นอย่างเหนื่อยใจก่อนจะหันไปสนใจจอคริสตัล
     
     
    อีกด้านหนึ่งของเขาวงกต
                “ขอพักหน่อยได้ไหม” ครีโอร้องบอก เด็กสาวผมเหลืองอร่ามเหลียวมองคนข้างหลังก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ
     
                รัชทายาทหญิงทรุดตัวลงนั่งพิงผนังพร้อมกับนวดเท้าที่ระบมจากการเดินเป็นเวลานานก่อนที่นัยน์ตาสีครามจะเหลือบมองอีกคนที่ไม่ค่อยพูด
     
                “นี่ ตั้งแต่ที่ห้องนอนแล้ว   เรายังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยนะ” ครีโอเอ่ยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฉัน ครีโอ เดอ นีโรว์”
     
                เด็กสาวมองคนที่พูดก่อนจะขยับริมฝีปากบาง “เฟรย่า ดีวาส”
     
                แม้จะเป็นคำแนะนำตัวสั้นๆ แต่ครีโอก็รู้สึกพอใจไม่ใช่น้อย เพราะอย่างน้อยเด็กสาวตรงหน้าก็มีการโต้ตอบบทสนธนาอยู่บ้าง ขณะที่ดวงตาคู่สีครามมองพิจารณาอีกฝ่าย ด้วยท่าทางนิ่งเย็นชาไม่สมกับเด็กสาววัยสิบสี่ ประกอบกับดวงตาคมสีแดงที่ประดับบนใบหน้าขาวนวลทำให้เธอคนนี้ดูน่าเกรงขามคล้ายนางพญา และเมื่อมาคิดถึงตอนถือดาบเล่มโตเท่าตัวเจ้าของยิ่งดูน่ากลัวยิ่งขึ้น
     
                “จริงสิ แล้วไอ้ตัวเมื่อกี้มันอะไรเหรอ” ครีโอพูดเปิดการสนธนา
     
                เฟรย่าเลิกคิ้วขึ้นทันที “เป็นแค่ภูตชั้นต่ำที่ชอบอาศัยในที่มืดเพื่อคอยอาศัยจังหวะสูบวิญญาณของเหยื่อที่หลงเข้ามาในอาณาเขตของมัน”
     
                เด็กสาวผมน้ำเงินพยักหน้าหงึกหงักเมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดแต่ยังไม่ทันที่จะพูดต่อ คนตรงหน้าก็ผลักเธอออกจากที่พิงทันที
     
                เสียงกำแพงถล่มจากแรงระเบิด ทำให้ครีโอถึงกับกลืนน้ำลายพลางคิดว่าหากเธอยังอยู่ตรงนั้นมีหวังถูกฝังทั้งเป็นแน่ๆ 
     
                “คราวนี้อะไรอีกเนี่ย” ครีโอเอ่ยอย่างหงุดหงิดพลางไอสำลักควัน ขณะที่เฟรย่าค่อยๆลุกขึ้นแล้วจ้องเขม็งไปที่กลุ่มควันหนาตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ทันใดนั้นเองนัยน์ตาสีครามก็เบิกกว้างเมื่อเห็นบางอย่างที่อยู่ในเศษฝุ่นที่ฟุ้งโขมง
     
                ทันทีที่ม่านฝุ่นจางลงก็ปรากฏร่างมหึมาคล้ายมนุษย์ในชุดเกราะสีดำเป็นประกาย แต่มีส่วนหัวที่เหมือนหมาป่าซึ่งกำลังนั่งชันเข่าขึ้นพลางส่งสายตาแดงน่ากลัวมองมายังร่างเล็กสองคนตรงหน้า
     
                “มหาเทพเป็นพยาน ! นี่มัน อนูบิส” รัชทายาทคนสำคัญถึงกับสบถเสียงดังอย่างลืมตัว
     
                “กาลาฮัด !” สิ้นเสียงเรียก ดาบใหญ่สีขาวบริสุทธิ์ก็ปรากฎกลางอากาศธาตุก่อนที่จะตกลงมาในมือเรียวบางของเด็กสาว
     
                อนูบิสค่อยๆยันกายขึ้น ด้วยร่างที่สูงเกือบห้าเมตรซึ่งสูงแทบชนเพดานเขาวงกต ดวงตาแดงก่ำมองต่ำลงมาที่ทั้งสองก่อนจะตะเบ็งเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
     
                เฟรย่าตวัดดาบปล่อยคลื่นพระจันทร์เสี้ยวใส่อสูรกายทันทีก่อนที่จะถูกแขนแกร่งป้องกันอย่างง่ายดาย   คนจู่โจมรีบเปลี่ยนมาปักดาบลงพื้นพร้อมงัดขึ้นทำให้อิฐปูพื้นพังพินาทจนอนูบิสไม่สามารถทรุดตัวอยู่ได้จึงเป็นโอกาสให้ลูกธนูสีขาวที่ถูกเสกออกมาพุ่งเข้าใส่เรียกเลือดสีเขียวออกได้บ้าง
     
                สัตว์อสูรคำรามด้วยความเจ็บปวดก่อนที่มันจะกระโจนสวนเข้าใส่แบบที่ไม่ให้ตั้งตัว
     
                “ครีโอ !!!” นักดาบสาวที่ดีดตัวออกร้อง เมื่อเห็นคนที่หนีไม่ทันถูกมือใหญ่กำไว้ ดวงหน้างามบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ศีรษะรูปหมาป่าอยู่ห่างกันไม่ถึงเมตร ลมหายใจที่มีกลิ่นคาวเลือดน่าสะอิดสะเอียนเช่นเดียวกับดวงตาที่ไม่เป็นมิตร ทำให้คนในกำมือเกิดความกลัวจนแทบอยากกรีดร้อง
     
                ร่างบางวิ่งเข้ามาเพื่อช่วย แต่แล้วนัยน์ตาสีแดงก็เบิกกว้างพร้อมกับรีบยกดาบขึ้นป้องกันก่อนจะถูกหลังมือของอนูบิสตบเข้าเต็มๆ   ด้วยแรงปัดมหาศาลทำให้เด็กสาวถูกซัดจนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างจังๆ
     
                “เฟรย่า!!!” ไร้เสียงตอบกลับใดๆเช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของร่างที่จมอยู่ใต้กองอิฐ น้ำตาเริ่มปริ่มบนขอบตา หัวใจเต้นรัวผิดจังหวะเมื่อตกอยู่ใต้ดวงตาโตสีแดง ครีโอถึงกับเม้มริมฝีปากจนห้อเลือดก่อนจะเผลอพูดอย่างไม่รู้ตัว
     
                “ฮาเทีย นายอยู่ที่ไหน”
             
              เปรี้ยง!!!
                สัตว์ร้ายคำรามด้วยความเจ็บปวด เลือดสีเขียวไหลทะลักจากบาดแผลที่เกิดขึ้นบนหลังมือ ดวงตาที่มีน้ำตาปริ่มๆเบิกกว้าง เมื่อพบว่าตนเองมาอยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่ง ใบหน้าคมคายหันมาส่งรอยยิ้มให้ทันทีที่ทั้งคู่ลงถึงพื้นด้วยความสวัสดิภาพ
     
                “ไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับท่านครีโอ” เสียงนุ่มที่คุ้นเคยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงก่อนที่คนในอ้อมแขนจะทุบกำปั้นรัวใส่อกหนาของอีกฝ่ายด้วยความโกรธทันทีพร้อมต่อว่าเด็กหนุ่มตรงหน้า
     
                “ตาบ้า ตาบ้า หายไปอยู่ไหนมา รู้ไหมว่าฉันกลัวแทบแย่”
     
                “ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มกล่าวขออภัยทันทีก่อนจะปาดน้ำตาที่ปริ่มๆออกจากขอบตาของอีกฝ่ายพร้อมส่งรอยยิ้มที่อ่อนโยนมาให้ จนครีโอถึงกับหน้าแดงทันที   เสียงคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวดังขึ้น ทำให้ทั้งคู่สะดุ้งสุดตัว   ดวงตาที่ลุกโชนด้วยเพลิงแห่งความแค้นกำลังจับจ้องมาที่ทั้งสอง ขณะที่เลือดสีเขียวยังไหลไม่หยุด   ฮาเทียดันร่างบางไปข้างหลังแล้วค่อยยกดาบขึ้นอย่างมั่นคง นัยน์ตาสีนิลที่เต็มเปรี่ยมด้วยจิตที่มุ่งมั่นมองกลับมา
     
     
                อีกาสองตัวบินผ่านม่านเข้ามาเกาะบนเก้าอี้ซึ่งมีชายชรานั่งหลับอยู่ เปลือกตาปรือขึ้นช้าๆเผยนัยน์ตาสีดั่งทองคำบริสุทธิ์เมื่อนกดำสองตัวกำลังทำเสียงคล้ายพูดกันอยู่ข้างหู   ทันใดนั้นร่างบนเก้าอี้ก็ลุกขึ้นพรวด   ทำเอาหมาป่าคู่สีเงินที่นอนหมอบอยู่ข้างๆสะดุ้งตื่น
     
                “ว่าไงนะ” ชายชราร้องขึ้นด้วยความโกรธ “ข้าเคยสั่งแล้วไงว่าห้ามเข้าไปยุ่ง”
     
                สายฟ้าสีทองไหลวนทั่วร่าง ก่อนจะไปรวมกันที่มือขวาแล้วกลายเป็นหอกสีเงินเล่มงาม
     
                “เกรรี เฟรคี พวกเจ้าล่วงหน้าไปเดเดียสก่อน เดี๋ยวข้าจะไปคฤหาสน์เลอ เฟย์แป็บนึง” หมาป่าทั้งสองร้องรับก่อนจะวิ่งทะลุเข้าไปในกำแพง
     
                “ฮูมีน มูนีน ตามข้ามา” อีกาสองตัวย้ายมาเกาะบนไหล่ของเจ้านาย   อธิการบดีแห่งอันนันเทลก้าวเดินสองสามก้าวก่อนจะหายไปกลายเป็นสายฟ้า
     
     
                เสียงระเบิดดังต่อเนื่องจากลูกไฟสีดำ   เด็กหนุ่มกระโดดหลบอย่างว่องไวพลางยิงดาบเวทย์ใส่เป็นระยะๆ   สัตว์อสูรคำรามอย่างหงุดหงิดขณะที่เดินไล่ตามอย่างไม่ลดละ
     
                “ฮาเทีย ! พอแล้ว !” ครีโอตะโกนบอก ฮาเทียรีบพุ่งไปปักดาบกับกำแพงแล้วห้อยอยู่อย่างนั้น   ก่อนที่รัชทายาทหญิงจะโผล่เข้ามากระแทกไม้เท้าอย่างแรง วงแหวนเวทย์สีฟ้าขยายเป็นวงกว้างโดยมีร่างใหญ่ของอนูบิสเป็นศูนย์กลาง ทันใดนั้นเองไอเย็นก็โพยพุ่งขึ้นมา
     
                อุ้มเท้าหนาถูกแช่แข็งแล้วเริ่มลามขึ้นตามตัวของมันอย่างรวดเร็ว อนูบิสร้องตะเบ็งสุดเสียงก่อนที่จะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งตัว เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงพื้นอย่างนุ่มนวลพร้อมกับเรียกดาบคู่ใจกลับเข้าฝัก   ครีโอเริ่มรู้สึกหายใจติดขัด   ดวงหน้างามซีดจนน่ากลัว   ขนาดที่คนเป็นราชองครักษ์ยังตกใจจนรีบเข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง
                วินาทีนั้นฮาเทียก็สัมผัสถึงจิตสังหารแรงกล้าที่แผ่ออกมา   ทำให้เด็กหนุ่มรีบพุ่งสุดตัวเข้าไปคว้าตัวครีโอด้วยสัญชาตญาณ เสียงแหวกอากาศดังขึ้นตามด้วยเสียงผ้าฉีกขาดก่อนที่ทั้งคู่จะเซถลาไปกับพื้น
     
                “ฮาเทีย !!!” ครีโอถึงกับร้องเมื่อลุกขึ้นมาเห็นเลือดสีแดงสดอาบทั่วแผ่นหลังซึ่งย้อมเสื้อยืดที่ขาดวิ่น   เสียงขู่ในลำคอเรียกให้เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมาพบกับร่างสูงกำลังยืนเลียเลือดที่เปรอะเปื้อนกรงเล็บของมันพร้อมทั้งส่งสายตาเหี้ยมมาให้
     
                เธอแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ทั้งๆที่เจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้ถูกแช่แข็งไปต่อหน้าต่อตาแล้ว แต่ทำไมมันถึงออกมาได้ ในขณะที่ฮาเทียพยายามกัดฟันลุกขึ้นยืนทั้งที่โชกเลือดไปทั้งตัว
     
                “ท่านครีโอหนีไปเถอะครับ เดี๋ยวผมถ่วงเวลาให้”
     
                “ไม่ ฉันจะไม่ทิ้งนายไว้” ครีโอปฏิเสธพร้อมกับกำแขนเสื้อของเขาไว้แน่น
     
                อนูบิสคำรามเสียงดังก่อนจะง้างแขนออก   ทั้งคู่ถึงกับหลับตารอรับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้น ในขณะที่ในใจร้องอ้อนวอนต่อพระเป้นเจ้า ทันใดนั้นราวกับสวรรค์ทรงเมตตา โซ่ตรวนสีขาวและสีดำพุ่งขึ้นจากพื้น พันร่างของเจ้าสัตว์ร้ายเอาไว้   หลังจากนั้นร่างสูงโปร่งในชุดคลุมยาวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของมันพร้อมกับคนที่เมื่อครู่ถูกฝังอยู่ใต้กองอิฐ
     
                “รีบไปซะ ทางนี้ฉันจัดการเอง” คนที่เข้ามาช่วยเอ่ยสั่งทันที เสียงที่คุ้นหูเหมือนเคยได้ยินจากไหนสักแห่งเช่นเดียวกับนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนซึ่งโชว์ออกจากช่องตาของหน้ากากก็ยิ่งทำให้ครีโอรู้สึกคุ้นมากอย่างบอกไม่ถูก
     
                เฟรย่ารีบถอยออกมาช่วยครีโอพยุงคนเจ็บหนีจากบริเวณนั้นทันที รัชทายาทสาวชำเลืองชายสวมหน้ากากอีกครั้งด้วยความสงสัย
     
                “คุณครีโอ ! คุณเฟรย่า ! ทางนี้ครับ” เสียงเรียกจากคนที่โผล่มาจากช่องคล้ายประตูลับ ทำให้ทั้งสามรีบเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
     
     
                10 นาทีต่อมา
                “โอ๊ย ! แสบ !” เสียงโอดครวญดังทุกครั้งที่ถูกป้ายน้ำยาสีเขียวลงบนแผล
     
                “ขอโทษครับ แต่ผมว่าอันนี้ไม่น่าแสบเท่าอันอื่นนะครับ” หนุ่มน้อยหน้าหวานผู้ทำหน้าที่ปฐมพยาบาลพูดเสียงอ่อย พลางชำเลืองมองกองกระปุกยาที่ตนเพิ่งรื้อจากกระเป๋าสะพาย
     
                “ถามจริงซีมิล นายน่ะเป็นนักบวชหรือตู้ยาเคลื่อนที่กันแน่” ครีโอเอ่ยถาม ขณะนั่งอ่านฉลากบนกระปุกยาอยู่ข้างๆ
     
                “คือว่า ท่านแม่ของผมเป็นหมอน่ะครับ ก่อนเดินทางมาที่นี่ ท่านก็บอกให้พกไว้เผื่อฉุกเฉิน” ซีมิลตอบก่อนจะหยิบขวดยาหลอดเล็กส่งให้ครีโอ “นี่  ยาสำหรับฟื้นฟูพลังเวทครับ”
     
                ครีโอมองอย่างลังเลก่อนจะกระดกยานั้นลงคอ ซีมิลยิ้มให้ก่อนจะหันมาป้ายยาบนหลังของฮาเทียต่อจนเสร็จ
     
                “เอาล่ะ เสร็จแล้วครับ อีกเดี๋ยวแผลก็สมานตัว รับประกันไร้รอยแผลเป็นชัวร์” ฮาเทียพลิกตัวขึ้นนั่งก่อนจะสวมเสื้อที่ขาดวิ่นแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน
     
                “ขอบใจมาก”
     
                “ด้วยความยินดีครับ” ซิมิลส่งยิ้มหวานให้ก่อนจะเก็บกระปุกยาทั้งหมดลงกระเป๋า
     
                “รีบหาทางออกดีกว่าก่อนจะมีตัวอะไรออกมาอีก” เฟรย่าบอก ทั้งสามจึงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่งก่อนจะช่วยกันเก็บข้าวของแล้วค่อยเดินตรงไปตามทางที่ทั้งมืดและแคบ
     
                “แผลเป็นไงบ้าง” ครีโอเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
     
                “ดีขึ้นแล้วครับ ยาของซีมิลนี่สุดยอดไปเลยครับ” ฮาเทียตอบพร้อมโชว์แผ่นหลังที่เหลือเพียงรอยแดง ๆ ไว้เท่นนั้น ทำเอาคนรักษาถึงกับลืมตัวเกาแก้มอย่างเขิน ๆ
     
                “คุณฮาเทียก็ไม่ใช่ย่อยนะครับ คนปกติเสียเลือดไปเยอะขนาดนั้นต้องหมดสติไปนานแล้วและกว่าจะฟื้นฟูสภาพร่างกายให้กลับมาพร้อมอย่างน้อยต้องใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง   แต่คุณกลับใช้เวลาไม่กี่นาทีก็เดินปร๋อได้เหมือนไม่เป็นไร” ซีมิลกล่าวชมก่อนที่พวกเขาจะหยุดอยู่กับที่
     
                บานประตูเหล็กสูงตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าทั้งสี่ สภาพของมันบ่งบอกถึงไม่ผ่านการใช้งานมานานนม หยากไย้และฝุ่นเกาะหนาเตอะแต่กลับไร้รอยสนิมสักนิดเดียว นัยน์ตาสีครามมองขึ้นไปหยุดที่ตรารูปต้นไม้ใหญ่ซึ่งแผ่รากพันกันเป็นลวดลายที่อ่อนช้อย
     
                ครีโอก้าวเข้าไปใกล้ ๆ ราวกับโดนมนตร์สะกดก่อนจะเอื้อมมือสัมผัสบานประตูเบา ๆ
     
                ทันใดนั้นเองบานประตูใหญ่ก็เปิดอ้าออก สายลมอ่อนพัดเข้าปะทะใบหน้าของทั้งสี่   กลิ่นหอมของหมู่ดอกไม้ลอยตามมา   ทำให้อาการเหนื่อยล้าทั้งหมดหายเป็นปลิดทิ้ง เช่นเดียวกับแสงสีขาวประหลาดที่มอบความอบอุ่นเหมือนเป็นการเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือน   ทุกคนต่างหันมองหน้ากันเชิงหารือก่อนที่เฟรย่าจะก้าวเท้าเดินนำเข้าไปโดยไม่พูดสักคำ เมื่อได้ผู้นำแล้วเหล่าผู้ตามก็เดินตามกันทันที
     
                ทั้งสี่เดินมาสุดปลายอุโมงค์   ทั้งหมดก็ถึงกับอยู่ในอาการตะลึงที่อยู่ตรงหน้า อุโมงค์ของวงกตได้นำพวกเขามาโผล่ที่ทุ่งกว้าง   แต่สิ่งที่ทำให้ตะลึงนั้นอยู่ตรงกลางทุ่งหญ้าที่เขียวขจี
     
                ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า   ใบไม้สีเงินสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับสวยงามแผ่เป็นร่มเงากว้าง ลำต้นขนาดที่ต้องใช้คนเกือบกองร้อยเข้าโอบได้   รากไม้ขนาดใหญ่ที่โผล่พ้นหน้าดินเลื้อยไปทั่วจนเป็นบริเวณกว้าง
     
                “มหาเทพเป็นพยาน !” ซีมิลถึงกับทรุดลงคุกเข่าพร้อมประสานมือไว้ตรงอก “นี่คือ มหาพฤกษามารดาโลก”
     
                “ต้นไม้ยักษ์อิกดราซิลงั้นเหรอ” ฮาเทียรีบโค้งตัวทำความเคารพ เช่นเดียวกับนักดาบสาวที่ถอนสายบัวให้อย่างนอบน้อม ในขณะที่ครีโอยังอยู่ในอาการตกตะลึง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงดังก้องเข้ามาในหัว
     
                มาหาข้าสิ ข้ารอเจ้ามานานแล้ว
     
                เด็กสาวสะดุ้งตื่นจากห้วงภวังค์   คิ้วเรียวงามขมวดชนกัน สีหน้าที่งุนงงสอดส่ายสายตาไปรอบๆ ก่อนจะคิดว่าคงหูแว่วไปเอง   แล้วจึงเดินตามเพื่อนๆ ที่เดินเข้าไปดูใกล้ๆ  ด้วยความกระตือรือร้น
     
                “เป็นบุญของลูกที่ได้มีโอกาสมาอยู่ในอ้อมกอดของท่าน” หนุ่มน้อยหน้าหวานพูดด้วยความปลื้มปิติและจิตศรัทธาอันแรงกล้าจนออกนอกหน้าขณะที่โอบกอดลำต้นอันมโหฬารของต้นไม้ในตำนาน
     
                “ช่างอบอุ่นอะไรอย่างนี้เนอะฮาเทีย” ครีโอกล่าวขึ้นพลางลูบสัมผัสเปลือกไม้เบาๆ
     
                “จริงครับ” ฮาเทียพยักหน้าเห้นด้วยก่อนเดินเข้ามายืนข้างๆ คนพูด “ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ ว่าเราจะได้มาเจอท่านในที่แบบนี้”
     
                “กล่าวกันว่า เพราะกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งทั่ววัลเนอเฮม   ทำให้มหาพฤกษามารดาโลกไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จนต้องย้ายท่านไปสถิตในที่ที่จะไม่ได้กลิ่นคาวเลือด ซึ่งนักโบราณคดีในอดีตสันนิษฐานกันว่า มันระหว่างทางเชื่อมของวัลเนอเฮมและนิฟล์เฮม” เฟรย่ากล่าวขึ้น คนฟังต่างพยักหน้าก่อนจะเงยหน้ามองผืนร่มไม้กว้างใหญ่สีเงิน
     
                ทันใดนั้นเองแผ่นดินก็เกิดสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้คนที่ยืนอยู่รีบหาที่ยึดเกาะเพื่อไม่ให้ล้มตัวกลิ้งไปตามแรงสะเทือน
     
                “เกิดอะไรขึ้นเนี่ย !” ครีโอร้องถามอย่างตื่นตระหนก วินาทีต่อมาพื้นดินใต้ต้นอิกดราซิลก็ยกตัวขึ้น ขณะที่บางส่วนแยกออกจากกัน นัยน์ตาทั้งสี่คู่เบิกกว้างทันทีเมื่อเห็นบางอย่างกำลังแทรกตัวขึ้นมาจากรอยแตก
     
               
                “ท่านโอนิสเซอุสคะ พบปฏิกิริยาของการสั่นไหวอย่างรุนแรงค่ะ” เด็กสาวผมสีเงินตะโกนบอกด้วยความตื่นตระหนก
     
                “ว่าไงนะ” ประธานสภาฝ่ายรูฟัสถึงกับสำลักน้ำชา “แล้วตำแหน่งล่ะ”
     
                “ชั้นใต้สุดของเขาวงกตคะ” เด็กสาวผมสีทองตอบ
     
                “รีบเรียกตัวพวกเด็กๆ กลับมาด่วน” โปรเฟสเวอร์โลกิสั่งอย่างร้อนรนก่อนจะหันไปมองอีกสองที่แทบนั่งไม่ติดที่ “ไม่ต้องห่วงน่า ฉันสร้างเขตอาคมไว้ทั้งเขาวงกตแล้ว จะเรียกตัวใครกลับมาก็ได้”
     
                “แย่แล้วค่ะโปรเฟสเซอร์   ไม่มีการตอบสนองจากเขตอาคม” เด็กสาวผมดำร้องบอก
     
                คนที่ยืนยันความปลอดภัยอย่างมั่นใจสุดๆ หันมายิ้มแห้ง “สงสัยเราเจอเหตุผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย   แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เดี๋ยวฉันเคลียร์เอง”
     
                มือโปรด้านเวทมนตร์พูดใจเย็นกลบเกลือนก่อนจะโบกมือเรียกเคียวคู่ใจออกมา แล้วใช้มือขวาที่ว่างอยู่วาดอักขระเวทกลางอากาศ ตัวอักษรที่เขียนเสร็จลอยวนรอบตัว ขณะที่เด็กชายเริ่มบริกรรมคาถา จนกระทั่งอักขระตัวสุดท้ายถูกเขียนเสร็จ โลกิก็กระแทกปลายด้ามเคียวกับพื้น   ทันใดนั้นเองอักขระเวทมนตร์ทั้งหมดก็เคลื่อนออกจากรอบกายไปหมุนวนกลายเป็นวงแหวนเวทตรงหน้าของผู้ร่าย
     
                “ในนามแห่งข้า ขอบัญชาเหล่ามนตราทั้งหลาย โปรดฟังเสียงข้า”
                วงแหวนตรงหน้าเปล่งแสงสีทอง คนดูต่างลุ้นไปกับอีกฝ่ายอย่างใจจดใจจ่อ ทันใดนั้นวงเวทก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ นัยน์ตาสีเขียวแก่เบิกกว้างก่อนจะยืนอึ้งอยู่พักหนึ่งแล้วค่อยหันมา
     
                “สงสัยแบบนี้ เขาเรียกว่า งานเข้าใช่เปล่า”
     
                “ดีแต่หาเรื่องจริงนะกลุ่มรูฟัสเนี่ย” เสียงเข้มจากใครบางคนดังขึ้น   ทำให้ทั้งสามสะดุ้งโหยงก่อนจะหันหน้าไปพบกับชายชราในชุดคลุมยาวสีขาว   ผู้มีผมและหนวดเครายาวสีเงินซึ่งกำลังยืนถลึงตาใส่พวกเขา
     
                “ท...ท่านอธิการ” ประธานและผู้ช่วยพูดพร้อมกันก่อนจะรีบโค้งตัวทำความเคารพ ในขณะที่เด้กชายตัวต้นเรื่องยังคงตีสีหน้าระรื่นประกอบกับรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวตามด้วยประโยคทักทายที่ออกจะกวนไปนิด
     
                “สายัณห์สวัสดิ์ตาเฒ่า”
     
                อธิการใหญ่แห่งสถาบันศึกษาอันเทลมาร์ก้าวเข้ามาใกล้โดยไม่พูดไม่จาสักคำ   ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองเกิดเสียวสันหลังวาบและติดกันไปต่างๆ นานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตนบ้าง ในขณะที่ชายชรามองคนนู้นทีคนนี้ทีคนนี้ทีก่อนจะมาหยุดที่เจ้าตัวแสบหมายเลขหนึ่ง
     
                “เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนยังจัดการเอง หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ก่อเรื่องให้ข้าปวดหัวเพิ่มอีกนะ” โปรเฟสเซอร์โอดินพูดเพียงเท่านี้ก็หยุดตัวเดินหายไปกับความมืด   ทิ้งให้คนข้างหลังยืนซับเหงื่ออย่างโล่งใจ   ขณะที่เจ้าตัวต้นเรื่องก็เกิดความคิดอะไรดีๆ ได้อย่างหนึ่ง รอยยิ้มบางๆที่แฝงเลศนัยฉายบนริมฝีปากเล็ก
     
                “ชาน่อน โอนิสเซอุส ที่เหลือฝากด้วยนะ” โปรเฟสเซอร์โลกิพูดขึ้นก่อนร่างเล็กจมหายไปในหลุมสีดำที่ปรกฏบนพื้น
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×