ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Levatein

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 10 ประเมินความสามารถ

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 53


    Chapter 10
    ประเมินความสามารถ
     
                ประตูไม้เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติ   พร้อมกับร่างสูงโปร่งที่เดินถือเอกสารปึ้งโตเข้ามาทำให้คนที่กำลังนั่งจัดการกับกองเอกสารจำนวนมากที่กองสุมอยู่บนโต๊ะต้องเงยหน้าขึ้นมามองก่อนที่จะถอนหายใจ   จนคนที่ถือเอกสารต้องถาม
               
                “เหนื่อยมากเหรอครับประธาน”
               
                เด็กหนุ่มผมยาวสีทองผู้ถูกเรียกว่า ‘ ประธาน ’ วางปากกาลง “ก็เล่นให้เซ็นแต่เอกสารทั้งวัน   จนไม่ได้ออกไปไหน เป็นใครเขาก็เหนื่อยกันทั้งนั้นแหละ”
               
                “ชาน่อนฝากเอกสารของบประมาณมาให้พิจารณาน่ะครับ” เด็กหนุ่มผมสั้นระต้นคอสีดำเอ่ยก่อนที่จะวางเอกสารในมือลงบนโต๊ะ “อ้อ ! แล้วเรื่องประเมินความสามารถของปีหนึ่งวันพรุ่งนี้   ไม่ทราบว่า ประธานจะร่วมด้วยไหมล่ะครับ”
               
                “นายก็รู้ปีนี้มีแต่เด็กน่าสนใจ   ฉันไม่พลาดหรอก” แล้วนัยน์ตาสีฟ้าก็หรี่มองคนตรงหน้า “แล้วนายล่ะ   เห็นว่าเธอคนนั้นดันได้อยู่กลุ่มรูฟัสเราซะงั้น”
               
                นัยน์ตาคู่สีอะเมทิสต์หลุบลงไม่สบตา “ผมกับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วครับ” แล้วเขาก็หันหลังกลับก่อนที่จะเดินออกไป
               
                “นายตัดใจจากได้จริงหรือ” ประโยคคำถามที่ทำให้คนถูกถามถึงกับชะงักสักครู่ก่อนที่จะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งๆ
               
                “สำหรับเธอ   ตัวผมนั้นตายไปกับสายน้ำแล้วล่ะครับ” ประตูไม้เลื่อนปิดทันทีที่คนถือเอกสารทาส่งก้าวผ่านธรณีประตู   ทำให้ผู้เป็นประธานถอนใจด้วยเหนื่อยใจแทน
               
                “น่าสงสารจังนะ เจ้านั้นน่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากเงาของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ จนทำให้เจ้าของเงาสะดุ้งนิดหน่อยก่อนจะเหลือบมองเงาบนพื้น
               
                “มาอยู่ในเงาคนอื่น   แล้วยังแอบฟังอีก มันไม่ดีนะครับโปรเฟสเซอร์โลกิ” ประธานสภานักเรียนฝ่ายรูฟัสบอก
               
                แล้วร่างเล็กของเด็กชายก็ค่อย ๆ ผุดขึ้นจากเงาของอีกฝ่าย
               
                “ผมมีพุดดิ้งช็อกโกแลตอยู่ในตู้เย็น จะเอาไปทานก็ได้นะครับ” โปรเฟสเซอร์ตัวน้อยเลียริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตรงไปยังตู้เย็นเพื่อหยิบขนมออกมา
               
                “นี่ โอนิสเซอุส พรุ่งนี้ฉันขอเข้าดูการประเมินด้วยนะ” ประธานสภานักเรียนฝ่ายรูฟัสเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับมองหน้าคนพูดด้วยความสงสัยก่อนจะเอ่ยถามอย่างรู้ทัน
               
                “เกิดถูกใจใครเข้าล่ะครับ” โลกิยักไหล่ไม่ตอบก่อนจะก้าวออกจากห้องโดยที่ไม่ลืมพูดทิ้งท้ายไว้ว่า
               
                “ขอบใจสำหรับพุดดิ้งนะ”
               
     
    “เอาล่ะ ฉันคิดว่าพวกเธอคงเตรียมความพร้อมมากันดีสำหรับวันนี้” ผู้ช่วยรองประธานสภานักเรียนฝ่ายรูฟัสกล่าวบนเวที “เพื่อไม่ให้เสียเวลา ท่านหัวหน้ากลุ่มรูฟัสมีเรื่องจะพูดสักนิดนึง”
     
    เด็กหนุ่มอายุราวสิบแปดเดินแหวกม่านหลังเวทีออกมา แล้วชาน่อนก็ก้าวถอยให้อีกฝ่ายทันที
     
    “สวัสดีทุกคน ฉัน โอนิสเซอุส เดอ กีเดี่ยน ประธานสภานักเรียนฝ่ายรูฟัสหรืออีกนัยหนึ่ง หัวหน้าของกลุ่มรูฟัส ตอนนี้ฉันไม่อยากพูดอะไรมากนักเพราะเดี๋ยวเราจะเจอกันอีกในปาร์ตี้เปิดภาคเรียน   แต่สิ่งที่ฉันจะพูดในตอนนี้คือเรื่องการประเมินความสามารถ บางคนอาจคิดว่ามันดูไร้สาระ จนมองข้ามความสำคัญของกิจกรรมซึ่งเรียกได้ว่าเป็นประเพณีสำคัญอย่างหนึ่งของกลุ่มรูฟัส เพราะฉะนั้นในฐานะหัวหน้ากลุ่มรูฟัสจึงอยากขอความร่วมมือจากพวกเธอทุกคนให้เต็มร้อยกับกิจกรรมนี้   เอาล่ะคิดว่าคงได้เวลาแล้วเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
     
    สิ้นเสียงปรบมือครั้งที่สามของผู้พูด   เด็กปีหนึ่งทุกคนแทบสะดุ้งพร้อมกับก้มมองพื้นที่ตอนนี้เต็มไปด้วยอักขระสีแดงสด ก่อนที่ทั้งหมดจะรู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไป
     
    เปลือกตาค่อยๆเปิดออกช้าๆเมื่อแรงดูดหายไป นัยน์ตาฟ้าเบิกเล็กน้อยเพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่เวทีห้องประชุมเดิมแต่เป็นทางเดินยาวมืดสลัวๆที่ปูด้วยอิฐโบราณเก่า ทั้งพื้น ผนังและเพดานบางจุดเต็มไปด้วยหยากไย้และรากไม้ที่แทรกออกมาตามรอยต่อของอิฐ แล้ที่สำคัญคือ เธอยืนอยู่คนเดียว
     
    “ฮาเทีย!!!” ครีโอร้องเรียก   แต่สิ่งที่ตอบกลับมาคือ  เสียงก้องของเธอ คิ้วงามสีน้ำเงินขมวดชนกันก่อนที่มือบางจะโบกกับอากาศกแล้วไม้เท้าสีขาวที่มีหัวเป็นไพลินเม็ดงามขนาดเท่ากำปั้นออกมา ก่อนที่เด็กสาวจะพึมพำคาถาเบาๆ ก้อนอัญมณีก็ส่องแสงทันที
     
    “บ้าจริง ! ” รัชทายาทสาวสบถก่อนจะเดินถือไม้เท้าไปตามทางที่มืดสลัวๆ
     
    “บ้าเอ้ย ! ” เด็กหนุ่มสบถหลังจากจอดำที่ฉายเหนือฝ่ามือ ก่อนจะเอ่ยชื่อนายหญิงซ้ำอีกหลายครั้งด้วยท่าทีที่ร้อนรน
     
    “อย่าพยายามเลยเพื่อน” อิสฮานบอก “ขนาดมือถือของฉันยังใช้งานไม่ได้เลย ดูท่าทางเราจะอยู่ลึกลงมาสักสิบกิโลได้มั้ง”
     
    ฮาเทียถึงกับกัดฟันอย่างเครียดที่ตนเองไม่สามารถทำอะไรได้แม้แต่หาตำแหน่งน่าจะเป็นของครีโอก็ยังทำไม่ได้   จนเพื่อนคนข้างๆเดินเข้ามาตบไหล่ของเขาเบาๆ
     
    “ใจเย็นไว้   ยัยครีโอไม่เป็นอะไรหรอก เชื่อฉันสิ” อิสฮานพูดเชิงปลอบ จนคนถูกปลอบสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อผ่อนคลาย เด็กหนุ่มจากร้านขายหนังสือหันไปเดินสำรวจกำแพงหินข้างๆอีกรอบ “ถ้าสังหรณ์ฉันไม่พลางนะ เราน่าจะอยู่ในเขาวงกตที่ไหนสักแห่งที่....”
     
    พูดไม่ทันจบ แขนทั้งสองข้างก็เปล่งแสง ก่อนจะหายไปเหลือเพียงเกราะแขนโลหะสีเงิน เด็กหนุ่มผมน้ำตาลยุ่งก็ชกกำปั้นใส่กำแพงหินตรงหน้าเต็มแรง   แต่แทนที่อิฐเก่าพวกนั้นจะแตกร้าว มันกลับไร้รอยขีดข่วนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
     
    ราชองครักษ์หนุ่มขมวดคิ้วชนกัน “เขตอาคมหรือ” คนชกกำแพงพยักหน้าเบาๆ “ท่าทางจะมีนักเวทย์ระดับสูงคอยกางอาคมอยู่ตลอด”
     
    “ประมาทไม่ได้แล้วนะฮาเทีย” อิสฮานบอกอย่างหวั่นใจนิดๆ “เราไปกันเถอะ ฉันว่าแฟนนายคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขาวงกตนี้แหละ”
     
    พูดจบเด็กหนุ่มร้านขายหนังสือก็ก้าวเท้าเดิน ขณะที่อีกคนดูเหมือนจะงงกับคำว่า ‘แฟน’ ที่คนตรงหน้าพูด   แต่เมื่อสมองได้ประมวลผลสักครู่   ดวงหน้าคมคายก็ขึ้นสีแดงเป็นลูกตำลึงทันที   ก่อนจะวิ่งไปเถียงอีกฝ่ายที่เดินไปก่อนแล้ว
     
    “เวรกรรมอะไรนักหนาเนี่ย” เด็กสาวผมยาวสีน้ำเงินสลวยสบถพลางใช้ไม้เท้าเขี่ยม่านใยแมงมุมที่ขวางทางออก ดูเหมือนยิ่งเดินบรรยากาศรอบตัวก็เริ่มเย็นและมืดลงเรื่อยๆ จนเป็นการยากต่อการมองเห็นเพราะจากแสงที่ไม้เท้าส่องนั้นสว่างเพียงแค่สองถึงสามเมตรเท่านั้น แต่ยังโชคดีที่สายตาของครีโอสามารถมองเห็นในที่มืดได้พอสมควรจึงไม่ต้องห่วงนัก
     
    “ท่านครีโอ ขอบคุณสวรรค์” เสียงเรียกที่คุ้นหูดังขึ้น ทำให้คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันกลับมาทางต้นเสียง
     
    “ฮาเทีย” เด็กสาวแทบจะกระโดดเข้ากอดทันทีที่เห็นเด็กหนุ่มผมดำตรงหน้า
     
    “เป็นอะไรไหมครับ” ราชองครักษ์หนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง เด็กสาวส่ายหน้าแทนคำตอบ “ผมเป็นห่วงแทบแย่เลยนะครับ”
     
    “แล้วคนอื่นล่ะ” รัชทายาทสาวเป็นฝ่ายถามบ้าง
     
    “ไม่เห็นใครเลยครับ   แต่ช่างเถอะ ผมเจอท่านครีโอก็ถือว่าโชคดีแล้วล่ะ” รอยยิ้มบางๆฉายบนมุมปากของเด็กหนุ่ม “มาเถอะ ผมรู้แล้วว่าทางออกอยู่ไหน”
     
    พูดจบฮาเทียก็คว้ามือเจ้านายและจูงเดินไปตามทางที่เขาเพิ่งเดินมาโดยไม่ฟังเสียงของอีกฝ่าย   ทั้งคู่เดินออกมาโผล่ที่ทางเดินซึ่งมีคบเพลิงจุดเป็นเปลวไฟสลัวๆ แต่แทนที่จะรู้สึกอบอุ่นกลับกลายเป็นหนาวเย็นจับไขสันหลัง จนความกังวลเริ่มก่อตัวในใจของครีโอซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับเธอทั้งๆที่มีองครักษ์ประจำตัวอยู่ด้วยแล้วแท้ๆ
     
    “นี่ เมื่อไหร่จะถึงทางออกที่ว่าล่ะ” ครีโอเอ่ยถามขึ้น “ขอพักเดี๋ยวนึงได้ไหม”
     
    “เดินอีกเดี๋ยวนึงก็ถึงแล้วครับ” ฮาเทียบอกพร้อมกับกำมือครีโอไว้แน่น
     
    “ฉันเจ็บนะ อย่าบีบสิ” เด็กสาวท้วงพลางสะบัดมืออีกฝ่ายออกเบาๆ
     
    “คงไม่ได้หรอกครับ” เสียงของเด็กหนุ่มฟังดูผิดจากก่อนหน้านี้ ทำให้นัยน์ตาสีฟ้ากระตุกนิดหนึ่งก่อนจะเหลือบมองคนตรงหน้า
     
    “แกไม่ใช่ฮาเทีย”
     
    ฮาเทียหยุดเดินและหันมามองคนพูด “ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะครับ นี่ผมเองน่ะ มองให้ดีๆสิ ผมฮาเทียไงล่ะ” ไม่พูดเปล่า มือใหญ่ทั้งสองของเด็กหนุ่มก็จับไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับเขย่าเบาๆ 
     
    “ไม่ แกไม่ใช่” ครีโอสะบัดมือนั้นออกแล้วค่อยตบหน้าอีกฝ่ายอย่างแรงและถอยออกห่างจากเด็กหนุ่มตรงหน้าทันที   คนถูกตบนิ่งสักพักก่อนจะสะบัดหน้าขึ้นมองซึ่งทำให้นัยน์ตาคู่สีฟ้าเบิกกว้าง เมื่อดวงตาที่มองเธอนั้นไม่ใช่สีดำนิลเหมือนตอนแรก   แต่เป็นสีแดงที่เรืองแสงอยู่ในความมืด
     
    “แกเป็นใคร” ครีโอตวาดเสียงแข็ง   ขณะที่คนตรงหน้าหัวเราะในลำคอจนคนฟังเริ่มคุมสติไม่อยู่ “หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ !!!”
     
    ฮาเทียตัวปลอมหยุดหัวเราะทันที แต่แทนที่จะพูดอะไร มันกลับยิ้มแล้วเดินย่างก้าวเข้ามาเรื่อยๆ ช่วงวินาทีนั้นครีโอซึ่งกำลังตื่นตนกอยู่ตัดสินใจยกไม้เท้าชี้อีกฝ่ายเป็นการขู่
     
    การขู่ดูท่าจะไปไม่สวยนักเพราะเจ้าของตาสีแดงยังคงเดินต่อมาอย่างช้า ก่อนที่รัชทายาทสาวจะตัดสินใจเสกลูกธนูน้ำแข็งยิงใส่คนตรงหน้า ฮาเทียตัวปลอมยืนนิ่งปล่อยให้ลูกธนูพุ่งผ่านร่างไปอย่างง่ายดายและรูปร่างของเด็กหนุ่มก็เริ่มหายไปเหลือแต่ร่างที่คล้ายมนุษย์ควันสีดำ
     
    สีหน้าของครีโอซีดเผือด   เมื่อทุกคาถาที่ร่ายออกไปแทบไม่มีผลใดๆกับสิ่งมีชีวิตตรงหน้า   ในขณะที่ร่างสีดำยังคงเดินเข้ามาเรื่อยๆพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ชวนให้ขนลุก
     
    “หลอบลง!!!” เสียงที่ไม่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง   ครีโอหันควับไปมองเด็กสาวผมยาวเป็นลอนสีเหลืองอร่ามซึ่งยืนง้างดาบใหญ่สีขาวด้วยมือข้างเดียว
     
    “ข้าบอกให้หมอบลงไง” น้ำเสียงแข็งกร้าวและแววตาที่บอกถึงความหงุดหงิดจนคนถูกสั่งรีบหลอบลงนอนราบกับพื้น ทันใดนั้นมือเล็กๆของเด็กสาวผู้มาใหม่ก็ตวัดดาบเล่มยักษ์สีขาวอย่างรวดเร็ว   ส่งคลื่นพระจันทร์เสี้ยวสีขาวพุ่งไปข้างหน้า
     
    เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงกรีดร้องของตัวอะไรสักอย่าง   แล้วเมื่อทุกอย่างก็เงียบลงเหลือเพียงเสียงฝีเท้าที่ก้าวผ่านร่างที่นอนคว่ำอยู่ ครีโอเงยหน้าขึ้นมองร่างที่เดินห่างออกไปเรื่อยๆก่อนจะรีบลุกขึ้นวิ่งตามไป
     
    “นี่ ! คอยฉันด้วย” ร่างบางหยุดเดินพร้อมกับเสกดาบให้หายไป  เด็กสาวผมเหลืองหันมามองคนที่เรียกที่กำลังวิ่งตามมา
     
    “ขอบใจนะ” ครีโอบอกแล้วส่งยิ้มให้ ขณะที่คนถูกขอบคุณกลับมองด้วยสายตาที่เย็นชาก่อนจะเดินต่อโดยไม่บอกไม่กล่าวอะไรเลย   ทำให้คนพูดเกิดอาการงงนิดๆ พลางคิดว่าตนทำอะไรผิดก่อนที่จะใหม่ว่า “ขอแนะนำตัวแบบเป็นทางการหน่อยนะ ฉัน ครีโอ เดอ นีโรว์ ยินดีที่รู้จัก”
     
    เด็กสาวผมเหลืองรู้สึกงงๆกับการกระทำของรัชทายาทสาวตรงหน้าแต่ก็ตอบกลับมาด้วยเสียงที่เรียบๆและสั้นๆ “เฟรย่า ดีวาส”
     
     
                ทางด้านของเด็กหนุ่มสองคนที่ยังเดินไปเดินมาตามทางที่มืดสลัวของเขาวงกตอย่างไม่ลดละความพยายาม   หลังจากที่เดินสุ่มเข้าทางนู้นทีทางนี้ทีนานนับชั่วโมง   สุดท้ายทั้งคู่ก็เจอกับประตูสีเขียวซึ่งแกะสลักลายรูปเถาวัลย์เลื้อยพันกัน
     
                “เชิญท่านราชองครักษ์ก่อนครับ” อิสฮานโยนหน้าที่มาให้คนข้างๆเอาดื้อๆ   จนเด็กหนุ่มผมดำถึงกับส่ายหน้าก่อนจะก้าวออกไปผลักบานประตูนั้นออก
     
                ทันทีที่บานประตูอ้าออกสุด   เปลวไฟก็ลุกพรึ่บบนกระถางโลหะทั้งสองข้างของประตูก่อนที่จะวิ่งไปตามรางซึ่งบรรจุน้ำมันไว้   ทำให้ห้องที่เคยมืดสนิทเผยสภาพภายในห้องให้เป็นประจักษ์แก่สายตาของเด็กหนุ่มทั้งสอง
     
                ห้องโถงใหญ่ราวกับท้องพระโรงในวังหลวงแต่ต่างกันแค่มันปราศจากการทำความสะอาดมานานนับปี   เสาปูนที่ตั้งตระหง่านนับสิบต้น   บางต้นยังอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ในขณะที่อีกหลายต้นก็หักครึ่งโดยยังทิ้งซากของส่วนที่หักไว้บนพื้น
     
                เด็กหนุ่มทั้งสองต่างกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างระแวดระวังตลอดเวลาตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง   เพราะเชื่อว่าห้องโถงหรือห้องอะไรก็แล้วแต่ในเขาวงกตจะต้องมีกับดักอะไรสักอย่างอยู่บ้าง   โดยเฉพาะห้องที่เงียบสงัดอย่างห้องนี้แหละ ยิ่งน่ากลัวเข้าใหญ่
     
                “ที่นี่ร้อนอบอ้าวแปลกๆนะ” เด็กหนุ่มผมยุ่งสีน้ำตาลบ่นพลางพัดมือไปมา
     
                “ฉันว่า เราไม่ควรอยู่ที่นี่” ฮาเทียที่รู้สึกถึงความผิดปกติพูดแนะนำ แต่เพียงแค่ก้าวหันหลังกลับเท่านั้นแหละ บานประตูที่ทั้งคู่เพิ่งเข้ามาก็พับปิดทันที
     
                เสียงฟันเฟืองและบางอย่างเคลื่อนตัวดังขึ้นจากทุกทิศทาง ทำให้อิสฮานถึงกับหันซ้ายหันขวาอย่างลกลน   ส่วนฮาเทียก็ยังคงยืนสงบนิ่งคอยฟังเสียงพลางกำด้ามดาบที่เอวไว้แน่น
     
                ไม่กี่นาทีต่อมาพื้นอิฐตามข้างรางเพลิงก็ยุบตัวลงไปช้าๆ   ก่อนจะกลับขึ้นมาพร้อมกับหุ่นเหล็กซึ่งยืนนิ่งในท่าต่างๆนานานับสิบตัว
     
                “มันอะไรกันนักหนาวะเนี่ย” แล้วเด็กหนุ่มจากร้านขายหนังสือก็ได้คำตอบที่เขาเองไม่ต้องการนัก   เมื่อในกระบอกตากลวงโบ๋ของพวกมันมีแสงจุดเขียวเล็กๆ ก่อนจะตามด้วยการขยับแข้งขา   เสียงข้อต่อเสียดสีกันดังกึกกัก   แล้วเหล่าหุ่นเหล็กนับสิบตัวก็พร้อมใจกันหันหน้ามองเด็กหนุ่มทั้งสองที่ดูท่าจะเป็นเหยื่อของพวกมันซะแล้ว
     
                ชิ้ง! ใบมีดยาวเกือบเมตรเลื่อนออกจากข้อมือทั้งสองข้างของเจ้าหุ่นเหล็กตัวหนึ่ง
     
                ฮาเทียเองก็ชักดาบออกจากฝักที่เหน็บไว้ตรงเอวขึ้นมาเตรียม   ก่อนจะเหลือบมองเพื่อนข้างๆที่ยังยืนนิ่งไม่เรียกอาวุธออกมาซะที
     
                “สู้มือเปล่ามันของถนัดน่ะ” อิสฮานบอกอย่างรู้ว่าอีกฝ่ายจะถาม
     
                หุ่นตัวแรกก้าวเท้าอย่างช้าๆ แล้วค่อยวิ่งใส่ทั้งสองอย่างรวดเร็ว   ดาบทั้งสองเล่มของมันถูกฮาเทียยกดาบขึ้นรับ   ก่อนจะกดดาบต้านกันอยู่สักครู่   พอได้จังหวะราชองครักษ์หนุ่มก็ฟาดหน้าแข็งใส่บริเวณชายโครงของหุ่นเหล็ก   ทำให้มันกระเด็นออก ซึ่งเป็นโอกาสให้เด็กหนุ่มกระโดดขึ้นใส่และเสียบดาบลงกลางอกจนทะลุอีกด้านหนึ่ง
     
                หุ่นเหล็กถึงกับกระตุกช็อตเหมือนไฟฟ้าลัดวงจร   ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนแน่นิ่งบนพื้นเมื่อฮาเทียดึงดาบออก
     
                ต่อมาหุ่นเหล็กอีกสองตัวก็ก้าวออกมาพร้อมกัน   ตัวหนึ่งลากลูกตุ้มหนามออกมา   ส่วนอีกตัวก้าวเดินมาแค่สองสามก้าวก่อนจะยกแขนที่มีมือคล้ายคันธนูขึ้นเล็งไปข้างหน้า
     
                รอยยิ้มฉายบนใบหน้าของเด็กหนุ่มผมยุ่งสีน้ำตาล   แขนทั้งคู่ส่องแสงสีเหลืองก่อนจะหายไปเหลือไว้เพียงเกราะแขนสีทอง
     
                หุ่นเหล็กเปิดฉากด้วยการหวดลูกตุ้มเหล็กใส่   อิสฮานเอียวตัวหลบอย่างว่องไว ก่อนจะคว้าสายโซ่แล้วกระชากสุดแรง   ทำให้มันถึงกับล้มลงกับพื้นและก่อนที่มันจะได้โอกาสลุกขึ้น   เด็กหนุ่มก็ชกหมัดลงบนหัวโลหะจนแตกเป็นชิ้นๆ
     
                ลูกธนูเพลิงสีฟ้าปักที่หัวไหล่ของเด็กหนุ่มที่ไม่ทันป้องกันตัว   อิสฮานถึงกับร้องด้วยความเจ็บปวด   ขณะที่ฮาเทียซึ่งจะก้าวเข้ามาช่วย ก็ต้องชะงักเมื่อคนเจ็บลงสายตาห้ามมาให้เขา   ราชองครักษ์หนุ่มจึงจำใจเป็นผู้ชมอยู่ห่างๆ
     
                อิสฮานกัดฟันแล้วดึงลูกธนูนั้นออก   เลือดสีแดงพุ่งตามออกมา ย้อมหัวไหล่เป็นสีแดงสด   นัยน์ตาสีน้ำตาลปรายตามองเจ้านักธนูเหล็กตรงหน้าที่ง้างลูกธนู
     
                ลูกธนูดอกที่สองถูกยิงใส่เขา   ในช่วงพริบตาร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มก็หายจากจุดเดิมแล้วโผล่อีกทีที่ด้านหลังของเจ้าหุ่นนักธนู   หุ่นเหล็กรีบคว้าธนูดอกที่สามขึ้นคันด้วยความเร็วโดยหวังจะยิงระยะเผาขน แต่อิสฮานกลับไวกว่า   กำปั้นหุ้มเหล็กเสยร่างนั้นลอยเหนือพื้นเกือบสองเมตร วงเวทย์สีน้ำตาลฉายทับร่างของมันก่อนจะมีกระสูนเวทมนตร์พุ่งทะลุแล้วจึงระเบิดเจ้าหุ่นเหล็กเป็นชิ้นๆ
     
                หุ่นเหล็กตัวที่เหลือเริ่มทยอยกันถืออาวุธทั้งหนักและเบาออกมาพร้อมๆกัน   ขณะที่ยังมีหุ่นอีกจำนวนหนึ่งที่คลานออกมาจากบนฝ้าเพดานและช่องระบายอากาศทำให้ตอนนี้จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
     
                พวกหุ่นตัวที่ถืออาวุธหนักต่างๆค่อยๆเดินย่างสามขุมมาอย่างช้าๆ   ส่วนพวกที่ถืออาวุธระยะไกลซึ่งตอนนี้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานพร้อมกับง้างลูกดอกเตรียมพร้อมที่จะยิงออกไปได้ทุกเมื่ออยู่บนระเบียงสูง
     
                เด็กหนุ่มทั้งสองที่กำลังตกอยู่สถานการณ์ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างวิกฤต   แต่ในใจของทั้งคู่กลับรู้สึกตื่นเต้นที่โหยหามานาน
     
                “เป็นเกียรติที่ได้สู้ร่วมท่าน เซอร์ฮาเทีย แอนริงค์ตั้น” อิสฮานพูดพร้อมกับตั้งท่าเตรียมต่อสู้  
     
                รอยยิ้มบางๆฉายบนใบหน้าของราชองครักษ์หนุ่ม “เช่นกันครับ นักสู้แห่งอินซู” นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนจะเหลือบมองคนพูดเมื่อครู่ เพราะเขาเองไม่เคยบอกใครว่า ตัวเองเป็นคนของสำนักอินซูซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนนักสู้ด้วยหมัดเปล่าโดยมีตระกูลอินซูเป็นผู้ก่อตั้ง “ฉันจะไปเก็บพวกยิงไกลให้ก่อนนะ”
     
                แล้วร่างของฮาเทียก็พุ่งเข้าใส่ร่างนับสิบตัวบนระเบียง พวกมันสะดุ้งเล็กน้อยแต่ยังไม่ทั้งได้แม้กระทั้งเล็งเป้าหมาย ร่างที่ทำเหล็กก็ถูกสิ่งที่พวกมันเรียกว่า ‘เป้าหมาย’ ทำลายเป็นชิ้นๆ  อิสฮานมองดูการต่อสู้บนระเบียงก็ถึงกับถอนหายใจก่อนเหลือบมองเจ้าตัวที่ล้อมเขาอยู่
     
     
                “เธอนี่สุดๆเลย ทั้งเวทย์แสงสว่างที่ใช้เมื่อกี้และยังดาบใหญ่เล่มนั้นอีก เท่สุดๆเลย”
                เด็กสาวผมยาวเป็นลอนสีเหลืองอร่ามยังคงปั้นหน้านิ่งฟังครีโอพล่ามต่างๆนานาเกี่ยวกับตัวเธออยู่นานสองนาน   ขณะที่ทั้งคู่ก้าวลงบันไดชันอย่างระมัดระวัง   ถึงแม้ว่าจะมีแสงจากไม้เท้าส่องทาง   แต่พวกเธอก็ไม่กล้าเสี่ยงกับบันไดหินเก่าที่ไม่รู้ว่าสร้างมากี่ร้อยปีแล้ว
     
                บันไดสูงชันวกวนนำทั้งคู่ลงลึกไปเรื่อยๆ   บรรยากาศที่เคยหนาวเย็นเริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ   จนเหงื่อผุดตามรูขุมขนทั่วทั้งร่าง
     
                “ทำไมมันร้อนอย่างนี้” ครีโอบ่นขณะเช็ดเหงื่อออกจากหน้า และอีกไม่กี่นาทีต่อมาเด็กสาวจากเซราคิวส์ก็ได้คำตอบของอากาศร้อนรอบตัว
     
                เมื่อทั้งคู่ลงมาสุดบันไดแล้วเดินลอดช่องประตูออกมา   ภาพตรงหน้า  คือ สะพานหินที่ลอยอยู่เหนือลำธารลาวาร้อนระอุ   รัชทายาทสาวถึงกับกลืนน้ำลายหลังจากชะโงกหน้ามองของเหลวร้อนเบื้องล่าง    ส่วนเฟรย่าก็มองด้วยท่าทางที่ไม่เปลี่ยนจากเดิม แต่ในใจกลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่น่ากลัว
     
                แล้วอยู่ๆผืนลาวาก็กระเพื่อมและเกิดวังน้ำวนขนาดใหญ่กลางหินเหลว   นัยน์ตาสีครามเบิกกว้างเมื่อเห็นบางอย่างกำลังผุดจากใจกลางของน้ำวนนั้น      
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×