ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 นักบวชขาว
Chapter 2
นักบวชขาว
เสียงหยดน้ำกระทบผิวน้ำที่นิ่งสงบเกิดวงคลื่นแผ่เป็นระลอกๆประกอบกับเสียงระฆังที่ดังกังวานอยู่ท่ามกลางความมืด
“ใกล้เวลาแล้วสินะ”เสียงใสเอ่ยขึ้น “เวลาแห่งบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด”
“กงล้อแห่งโชคชะตาใกล้ขับเคลื่อนอีกครั้ง รอเพียงแค่ฟันเฟืองชิ้นสุดท้ายจะถูกประกอบให้สมบูรณ์”อีกเสียงกล่าว
“และเมื่อทุกอย่างพร้อม ใครกันที่จะลงก่อน”เสียงที่สามดังขึ้นก่อนแสงสว่างจะขับไล่ความมืด เผยร่างสามร่างในชุดคลุมยาวสีขาวที่ยืนอยู่ริมสระน้ำที่รายล้อมด้วยระฆังสีเทาใบใหญ่ที่กำลังส่งเสียงแหง่งหง่างเป็นจังหวะอย่างไพเราะ
“ปืนของเจค ไซครีฟ จอมโจรสลัดชื่อดังในช่วง ว.ศ.*1800-1854”นาริสพูดพลางพินิจพิจารณาปืนในมือ
“สมกับเป็นท่านนาริส เราคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องรู้จัก” เด็กสาวเอ่ยชม
“ปืนหายาก ว่ากันว่าสามารถบรรจุเวทย์แล้วใช้ยิงแทนกระสุนได้”มหาเสนาอำมาตย์เฒ่าพูดต่อพลางตั้งท่าเล็งปืน “แถมเป็นปืนต้นแบบของปืนเวทย์ในสมัยนี้”
“ว่าแต่ท่านนาริสเถอะหนีออกมาไม่โดนท่านจ้าวตำหนิเอาเหรอครับ”ฮาเทียถามขึ้น
___________________________________________________________________________
*ว,ศ. ย่อมาจาก วัลเนอเฮมศักราช ซึ่งเป็น ศักราชที่ใช้ในวัลเนอเฮม
“ไม่หรอก”นาริสตอบพลางเก็บปืนลงกล่องเหมือนเดิม แล้วกล่าวต่อ“ตอนนี้ท่านจ้าวทรงประชุมกับขุนนางฝ่ายพาณิชย์อยู่กว่าจะกลับก็คงเย็น แต่พระนางเอริมดูท่าจะเสด็จกลับตอนเที่ยง แล้วนี่กระหม่อมมีของมาถวายฝ่าบาท”
มือใหญ่วาดไปมาเรียกหนังสือเล่มหนาสีเขียวออกมาก่อนที่จะส่งให้เด็กสาวผู้สูงศักดิ์
“กระหม่อมได้มาตอนตามเสด็จเมื่อเช้า”นัยน์ตาสีฟ้ามองตัวอักษรสีทองที่เขียนบนปกว่า ‘บทว่าด้วยมนตราแบบง่าย โดย เมอร์เลน บริซิตัน’
“เมอร์เลน บริซิตัน จอมเวทย์ผู้คิดค้นเวทย์ที่สามารถร่ายด้วยมือเปล่าใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มถึงกับตาโต
“สมกับเป็นเจ้านะฮาเทีย”นาริสชมพลางหัวเราะ “ถ้างั้นฝากชี้แนะฝ่าบาทด้วยล่ะกัน เอาล่ะกระหม่อมต้องขอตัวก่อน แล้วรีบกลับวังก่อนเที่ยงด้วยนะขอรับ”
แล้วมหาเสนาอำมาตย์ก็ลุกขึ้นแล้วโค้งตัวทำความเคารพเด็กสาวก่อนจะเดินออกไป ปล่อยให้รัชทายาทสาวกับราชองครักษ์หนุ่มนั่งทานอาหารเช้ากันต่อ
“งั้นเดี๋ยวเราไปเดินเล่นอีกแป๊บนึงแล้วคอยกลับวังแล้วกันนะ”รัชทายาทสาวบอกก่อนจะร่ายหนังสือให้หายไปกับอากาศ
“แต่ว่าเราต้องกลับก่อนเที่ยงนะครับ”ราชองครักษ์หนุ่มแย้งทันที
“งั้นก็กลับไปก่อนสิจ๊ะพ่อราชองครักษ์”ครีโอบอกอย่างเอาแต่ใจพร้อมส่งยิ้มให้ ซึ่งทำเอาผู้เป็นองครักษ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
อีกฟากหนึ่งของทะเลอานีดิตเหนือ คืออีกทวีปหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี ดินแดนที่ไร้ผู้คนมานานหลายพันปี ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า แอสการ์ต แต่กลับมีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพรน เผ่าพันธุ์ที่เรียกตนเองว่าสืบเชื้อสายอันศักดิ์สิทธ์มาจากมหาเทพผู้สร้างนั้นคือ เดวา
หอคอยสูงตั้งตระหง่านท่ามกลางผืนหิมะขาว สถานที่อันเป็นที่ประทับของจอมเทพอันเป็นผู้นำระดับสูงของเดวา นามของมันคือ ออร์ธังค์
“จอมเทพ จอมเทพ”ชายหนุ่มในชุดนักรบเรียกปลุกร่างบนบัลลังก์ในตื่นจากภวังค์
“เรียกข้าทำไหมเหรอซิฟริก”ร่างนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงที่ดังกังวาล
“สามผู้นำสารขอเข้าเฝ้า”แต่ยังไม่ทันนี่จะกล่าวจบ เปลวควันก็โพยพุ่งจากพื้นพร้อมกับร่างในชุดคลุมทั้งสาม
“ไม่มีมารยาทเหมือนเคยนะ” น้ำเสียงแลเหมือนเป็นการตำหนิ แต่ดูถ้าสามผู้ไม่มีมารยาทจะไม่สะทกสะท้านเลย “สามผู้นำสารมักจะมาพร้อมข่าวดีและข่าวร้าย มิทราบว่าการมาในครั้งนี้จะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่”
“ครั้งนี้อาจเป็นข่าวดีและข่าวร้ายแล้วแต่ท่านจะคิด”ร่างของหนึ่งในผู้นำสารเอ่ย
“หึ หึ หึ หึ งั้นก็ว่ามาสิผู้นำสาร”
“ข้าคิดว่า ท่านคงรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปรปรวนอยู่เหนือที่แห่งนั้น ที่ข้ากำลังจะพูดคือเงามืดเริ่มคืบคลานอย่างเงียบเชียบและเตรียมจู่โจมอีกครั้งแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว”เสียงใสจากร่างที่เล็กที่สุด
“วันนั้นมาถึงแล้วสินะ” เสียงของจอมเทพสั่นอย่างหวั่นใจอะไรบางอย่าง สามผู้นำสารพยักหน้าแทนการตอบ “แล้วบทสรุปครั้งนี้ล่ะ จะเหมือนครั้งก่อนเปล่า”
“คำถามนี้พวกข้ามิอาจตอบได้ แม้แต่ท่านผู้นั้นก็ยังมิอาจให้คำตอบของเรื่องนี้ได้เพราะเรื่องนี้มันสามารถเปลี่ยนไปได้หลายทาง”ผู้นำสารคนที่สามกล่าว
“ที่พวกข้ามาแค่เพียงแจ้งข่าว เพื่อให้ท่านเตรียมตัว”ผู้นำสารคนแรกพูดตัดบท “ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะทำสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวท่านเอง”
พูดจบร่างทั้งสามก็หายไปกับอากาศโดยไม่มีการกล่าวลาสักคำ
“จะไปจะมาไม่เคยบอกกล่าว ไร้มารยาทจริง” ซิฟริกว่า ในขณะที่ร่างบนบัลลังก์ยังคงนิ่งเหมือนกำลังคิดบางอย่างในใจ ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมยกดาบขนาดที่ใหญ่พอๆกับตัวเจ้าของด้วยมือเล็กๆ
“ซิฟริกปิดหอคอย ใครถามก็บอกว่าข้าไปพักร้อนไม่มีกำหนด”เสียงใสของจอมเทพกล่าว
“เอ๋ ดะ...เดี๋ยวสิครับ”ยังไม่พูดจบ ร่างของผู้เป็นจอมเทพก็หายไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้สามผู้นำสาร จนทหารหนุ่มถึงกับถอนหายใจ
“ลาสซิเกอร์” ลูกไฟลุกพรึ่บกลางอากาศเหนือฝ่ามือเล็กๆของผู้ร่ายมนตร์ ก่อนที่จะดับในเวลาต่อมา คิ้วงามของเด็กสาวขมวดด้วยความหงุดหงิด
“ลาสซิเกอร์”สะเก็ดไฟแลบแทนที่จะเป็นลูกไฟเหมือนเมื่อครู่ ทำให้อารมณ์ของเธอขาดพึง “โธ่ ! โว๊ย!”
เสียงสบถที่ทำให้เด็กหนุ่มที่เดินเข้าเห็นเหตุการณ์อดที่จะขำไม่ได้
“ขำอะไรของนาย”คนที่กำลังหงุดหงิดร้องถามเสียงแข็ง
“เปล่าครับ” คนถูกว่าตอบ ก่อนจะวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะหินอ่อนเล็กกลางสวนแล้วค่อยรินน้ำสีฟ้าสวยจากเหยือกลงในแก้ว “พักดื่มน้ำผลไม้หน่อยสิครับแล้วเดี๋ยวผมช่วยสอน”
ครีโอรับแก้วจากราชองครักษ์ประจำแล้วดื่มรวดเดียวหมดแก้ว เมื่อรินน้ำแก้วใหม่ให้เจ้านายเสร็จฮาเทียก็หันไปหยิบหนังสือเล่มที่เด็กสาวอ่านขึ้นมาดูก่อนจะกางมือที่ว่างอยู่ออกแล้วเอ่ยขึ้นว่า
“ลาสซิเกอร์” ลูกไฟเหมือนของเด็กสาวลุกพรึ่บขึ้น รอยยิ้มฉายบนริมฝีปากของราชองครักษ์หนุ่มก่อนที่เขาพลิกลูกไฟในมือเล่นโดยที่ไม่มีทีท่าที่จะดับ ครีโอมองดูด้วยความสนใจ
“นายน่าจะไปอยู่สมาพันธ์เวทมนตร์มากกว่ามาเป็นองครักษ์มากกว่านะ แถมดูเหมือนว่าเงินเดือนดีกว่าตั้งเท่าตัว”
“ไม่เอาหรอกครับ ท่านไม่รู้อะไรพวกสมาพันธ์นั้นมีแต่พวกน่าเบื่อน่ารำคาญต่อให้เงินเดือนสูงกว่าหน่วยองครักษ์สิบเท่าผมก็ไม่มีวันไปหรอกแล้วอีกอย่างผมกลัวท่านครีโอจะเหงาถ้าผมไม่อยู่”
“เชอะ ไม่เหงาหรอกย่ะ”ครีโอบอกพลางเชิดใส่
“นี่ ท่านครีโอ ผมพอรู้แล้วว่าทำไม”เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องแล้วชี้ข้อความบนกระดาษให้เด็กสาวดู “เดี๋ยวทำตามที่ผมว่านะ”
ครีโอพยักหน้า
“ก่อนอื่นหลับตาแล้วตั้งสมาธิกำหนดไว้กลางฝ่ามือ”เด็กสาวหลับตาลงตามที่เด็กหนุ่มบอก “หลังจากนั้นให้สมองคิดถึงเปลวไฟ แล้วค่อยแบมือออกช้าๆ ดีมากครับและคิดซะว่าลูกไฟกำลังลุกอยู่บนมือ” ครีโอทำตามอย่างช้าๆ
“และเอ่ยคาถาให้ชัดๆ”
“ลาสซิเกอร์!!” ลูกไฟขนาดเล็กกว่าลูกที่แล้วถูกจุดกลางฝ่ามือ นัยน์ตาสีฟ้าครามมองดูลูกไฟอย่างตื่นเต้นก่อนจะขยับมือที่มีลูกไฟอย่างช้าๆระมัดระวัง เปลวไฟสีแดงลุกโชติช่วงนานกว่าลูกแรกที่เธอเสก ครีโอยิ้มแล้วใช้หางตามองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ระมัดระวังก่อนที่จะสะบัดลูกไฟใส่
ฮาเทียปัดลูกไฟไปอย่างง่ายดาย นัยน์ตาคู่สีนิลมองคนที่ลอบจู่โจมที่ตอนนี้กำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เสียงฝีเท้าบนหญ้าเรียกความสนใจของทั้งสองก่อนที่จะหันไปทางต้นเสียง ทหารในชุดเกราะสีฟ้าอ่อนสองนายเดินเข้าก่อนจะโค้งทำความเคารพเด็กสาวตรงหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
“ท่านจ้าวมีรับสั่งให้เจ้าหญิงและท่านราชองครักษ์เข้าเฝ้าขอรับ”
ประตูบานใหญ่สีน้ำเงินแกะสลักลวดลายสวยเปิดออกสู่ห้องรับแขกของวัง ภายในห้องถูกประดับอย่างหรูหราไว้เป็นหน้าเป็นตาให้กับวัง ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟระย้า แจกัน และเฟอร์นิเจอร์ตู้โชว์ซึ่งของทุกชิ้นในห้องนี้แทบประเมินค่ามิได้
ร่างสูงในชุดเครื่องสูงของผู้นำระดับสูง เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินงามไม่แพ้นัยน์ตาสีฟ้าที่ประดับบนด้วยหน้าที่แม้จะเข้าวัยกลางคนแต่ดูดีไร้ที่ติของท่านจ้าวชานีล เดอ นีโรว์
ฮาเทียโค้งตัว ขณะที่ครีโอย่อตัวถอนสายบัวให้ชายผู้สูงศักดิ์
“นี่หรือครับว่าที่ท่านจ้าวในอนาคต ช่างงดงามยิ่งนัก”เสียงเรียบๆที่สุภาพเรียกของสนใจของทั้งสอง ชายในชุดนักบวชสีขาวที่นั่งอยู่ตรงข้างท่านจ้าว ลวดลายบนชุดและหมวกทรงกระบอกแสดงถึงตำแหน่งของนักบวชชั้นสูง ซึ่งถ้ามองแบบผิวเผินทั้งลวดลายและรูปแบบของเสื้อคลุมก็ไม่ต่างกับนักบวชชั้นอาร์คบิชอปทั่วไป แต่ด้วยลวดลายสีทอง อักขระ A กลางชุด
และผ้าคลุมไหล่สีขาวขอบทองอันเป็นเอกลักษณ์ของนักบวชคณะนี้ นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้าง เพราะชายนักบวชตรงหน้านั้นคือนักบวชที่ประจำอยู่ที่อาเทลมาร์ หรือที่ผู้คนขนานนามว่า นักบวชขาวแห่งหอคอยเขี้ยว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น