ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Levatein

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 นักบวชขาว

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ค. 53


    Chapter 2
    นักบวชขาว
     
            
              เสียงหยดน้ำกระทบผิวน้ำที่นิ่งสงบเกิดวงคลื่นแผ่เป็นระลอกๆประกอบกับเสียงระฆังที่ดังกังวานอยู่ท่ามกลางความมืด
               
             “ใกล้เวลาแล้วสินะ”เสียงใสเอ่ยขึ้น “เวลาแห่งบทสรุปของเรื่องราวทั้งหมด”
           
          “กงล้อแห่งโชคชะตาใกล้ขับเคลื่อนอีกครั้ง   รอเพียงแค่ฟันเฟืองชิ้นสุดท้ายจะถูกประกอบให้สมบูรณ์”อีกเสียงกล่าว
           
              “และเมื่อทุกอย่างพร้อม   ใครกันที่จะลงก่อน”เสียงที่สามดังขึ้นก่อนแสงสว่างจะขับไล่ความมืด   เผยร่างสามร่างในชุดคลุมยาวสีขาวที่ยืนอยู่ริมสระน้ำที่รายล้อมด้วยระฆังสีเทาใบใหญ่ที่กำลังส่งเสียงแหง่งหง่างเป็นจังหวะอย่างไพเราะ
     
     
     
             “ปืนของเจค ไซครีฟ จอมโจรสลัดชื่อดังในช่วง ว.ศ.*1800-1854”นาริสพูดพลางพินิจพิจารณาปืนในมือ
            
             “สมกับเป็นท่านนาริส   เราคิดอยู่แล้วว่าท่านต้องรู้จัก” เด็กสาวเอ่ยชม
            
             “ปืนหายาก   ว่ากันว่าสามารถบรรจุเวทย์แล้วใช้ยิงแทนกระสุนได้”มหาเสนาอำมาตย์เฒ่าพูดต่อพลางตั้งท่าเล็งปืน “แถมเป็นปืนต้นแบบของปืนเวทย์ในสมัยนี้”
            
             “ว่าแต่ท่านนาริสเถอะหนีออกมาไม่โดนท่านจ้าวตำหนิเอาเหรอครับ”ฮาเทียถามขึ้น
            
           ___________________________________________________________________________
    *ว,ศ. ย่อมาจาก วัลเนอเฮมศักราช ซึ่งเป็น ศักราชที่ใช้ในวัลเนอเฮม
     
           
     
     
     
              “ไม่หรอก”นาริสตอบพลางเก็บปืนลงกล่องเหมือนเดิม แล้วกล่าวต่อ“ตอนนี้ท่านจ้าวทรงประชุมกับขุนนางฝ่ายพาณิชย์อยู่กว่าจะกลับก็คงเย็น   แต่พระนางเอริมดูท่าจะเสด็จกลับตอนเที่ยง   แล้วนี่กระหม่อมมีของมาถวายฝ่าบาท
     
     
     
             มือใหญ่วาดไปมาเรียกหนังสือเล่มหนาสีเขียวออกมาก่อนที่จะส่งให้เด็กสาวผู้สูงศักดิ์  
            
             “กระหม่อมได้มาตอนตามเสด็จเมื่อเช้า”นัยน์ตาสีฟ้ามองตัวอักษรสีทองที่เขียนบนปกว่า ‘บทว่าด้วยมนตราแบบง่าย   โดย เมอร์เลน บริซิตัน
     
             “เมอร์เลน บริซิตัน จอมเวทย์ผู้คิดค้นเวทย์ที่สามารถร่ายด้วยมือเปล่าใช่ไหมครับ” เด็กหนุ่มถึงกับตาโต
     
             “สมกับเป็นเจ้านะฮาเทีย”นาริสชมพลางหัวเราะ “ถ้างั้นฝากชี้แนะฝ่าบาทด้วยล่ะกัน  เอาล่ะกระหม่อมต้องขอตัวก่อน   แล้วรีบกลับวังก่อนเที่ยงด้วยนะขอรับ
     
             แล้วมหาเสนาอำมาตย์ก็ลุกขึ้นแล้วโค้งตัวทำความเคารพเด็กสาวก่อนจะเดินออกไป   ปล่อยให้รัชทายาทสาวกับราชองครักษ์หนุ่มนั่งทานอาหารเช้ากันต่อ
            
             “งั้นเดี๋ยวเราไปเดินเล่นอีกแป๊บนึงแล้วคอยกลับวังแล้วกันนะ”รัชทายาทสาวบอกก่อนจะร่ายหนังสือให้หายไปกับอากาศ
     
             “แต่ว่าเราต้องกลับก่อนเที่ยงนะครับ”ราชองครักษ์หนุ่มแย้งทันที 
     
             “งั้นก็กลับไปก่อนสิจ๊ะพ่อราชองครักษ์”ครีโอบอกอย่างเอาแต่ใจพร้อมส่งยิ้มให้   ซึ่งทำเอาผู้เป็นองครักษ์ถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ
            
     
             อีกฟากหนึ่งของทะเลอานีดิตเหนือ คืออีกทวีปหนึ่งซึ่งปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปี   ดินแดนที่ไร้ผู้คนมานานหลายพันปี   ดินแดนที่ถูกขนานนามว่า แอสการ์ต แต่กลับมีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางหิมะที่ขาวโพรน เผ่าพันธุ์ที่เรียกตนเองว่าสืบเชื้อสายอันศักดิ์สิทธ์มาจากมหาเทพผู้สร้างนั้นคือ เดวา
             หอคอยสูงตั้งตระหง่านท่ามกลางผืนหิมะขาว   สถานที่อันเป็นที่ประทับของจอมเทพอันเป็นผู้นำระดับสูงของเดวา นามของมันคือ ออร์ธังค์
            
             “จอมเทพ   จอมเทพ”ชายหนุ่มในชุดนักรบเรียกปลุกร่างบนบัลลังก์ในตื่นจากภวังค์
     
             “เรียกข้าทำไหมเหรอซิฟริก”ร่างนั้นเอ่ยถามด้วยเสียงที่ดังกังวาล
     
             “สามผู้นำสารขอเข้าเฝ้า”แต่ยังไม่ทันนี่จะกล่าวจบ   เปลวควันก็โพยพุ่งจากพื้นพร้อมกับร่างในชุดคลุมทั้งสาม
           
              “ไม่มีมารยาทเหมือนเคยนะ” น้ำเสียงแลเหมือนเป็นการตำหนิ   แต่ดูถ้าสามผู้ไม่มีมารยาทจะไม่สะทกสะท้านเลย “สามผู้นำสารมักจะมาพร้อมข่าวดีและข่าวร้าย   มิทราบว่าการมาในครั้งนี้จะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายกันแน่
     
             “ครั้งนี้อาจเป็นข่าวดีและข่าวร้ายแล้วแต่ท่านจะคิด”ร่างของหนึ่งในผู้นำสารเอ่ย
           
             “หึ หึ หึ หึ   งั้นก็ว่ามาสิผู้นำสาร
        
             “ข้าคิดว่า   ท่านคงรู้สึกถึงบรรยากาศที่แปรปรวนอยู่เหนือที่แห่งนั้น   ที่ข้ากำลังจะพูดคือเงามืดเริ่มคืบคลานอย่างเงียบเชียบและเตรียมจู่โจมอีกครั้งแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว”เสียงใสจากร่างที่เล็กที่สุด 
       
             “วันนั้นมาถึงแล้วสินะ” เสียงของจอมเทพสั่นอย่างหวั่นใจอะไรบางอย่าง   สามผู้นำสารพยักหน้าแทนการตอบ “แล้วบทสรุปครั้งนี้ล่ะ   จะเหมือนครั้งก่อนเปล่า
     
             “คำถามนี้พวกข้ามิอาจตอบได้   แม้แต่ท่านผู้นั้นก็ยังมิอาจให้คำตอบของเรื่องนี้ได้เพราะเรื่องนี้มันสามารถเปลี่ยนไปได้หลายทาง”ผู้นำสารคนที่สามกล่าว
     
             “ที่พวกข้ามาแค่เพียงแจ้งข่าว   เพื่อให้ท่านเตรียมตัว”ผู้นำสารคนแรกพูดตัดบท “ส่วนเรื่องที่ท่านคิดจะทำสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของตัวท่านเอง”
     
             พูดจบร่างทั้งสามก็หายไปกับอากาศโดยไม่มีการกล่าวลาสักคำ
     
             “จะไปจะมาไม่เคยบอกกล่าว   ไร้มารยาทจริง” ซิฟริกว่า   ในขณะที่ร่างบนบัลลังก์ยังคงนิ่งเหมือนกำลังคิดบางอย่างในใจ   ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมยกดาบขนาดที่ใหญ่พอๆกับตัวเจ้าของด้วยมือเล็กๆ
     
             “ซิฟริกปิดหอคอย   ใครถามก็บอกว่าข้าไปพักร้อนไม่มีกำหนด”เสียงใสของจอมเทพกล่าว
     
             “เอ๋   ดะ...เดี๋ยวสิครับ”ยังไม่พูดจบ   ร่างของผู้เป็นจอมเทพก็หายไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้สามผู้นำสาร   จนทหารหนุ่มถึงกับถอนหายใจ
     
     
             “ลาสซิเกอร์” ลูกไฟลุกพรึ่บกลางอากาศเหนือฝ่ามือเล็กๆของผู้ร่ายมนตร์   ก่อนที่จะดับในเวลาต่อมา    คิ้วงามของเด็กสาวขมวดด้วยความหงุดหงิด
     
             “ลาสซิเกอร์”สะเก็ดไฟแลบแทนที่จะเป็นลูกไฟเหมือนเมื่อครู่   ทำให้อารมณ์ของเธอขาดพึง “โธ่ ! โว๊ย!”
     
             เสียงสบถที่ทำให้เด็กหนุ่มที่เดินเข้าเห็นเหตุการณ์อดที่จะขำไม่ได้
     
             “ขำอะไรของนาย”คนที่กำลังหงุดหงิดร้องถามเสียงแข็ง
     
             “เปล่าครับ” คนถูกว่าตอบ   ก่อนจะวางถาดเครื่องดื่มลงบนโต๊ะหินอ่อนเล็กกลางสวนแล้วค่อยรินน้ำสีฟ้าสวยจากเหยือกลงในแก้ว “พักดื่มน้ำผลไม้หน่อยสิครับแล้วเดี๋ยวผมช่วยสอน”
     
             ครีโอรับแก้วจากราชองครักษ์ประจำแล้วดื่มรวดเดียวหมดแก้ว    เมื่อรินน้ำแก้วใหม่ให้เจ้านายเสร็จฮาเทียก็หันไปหยิบหนังสือเล่มที่เด็กสาวอ่านขึ้นมาดูก่อนจะกางมือที่ว่างอยู่ออกแล้วเอ่ยขึ้นว่า
     
             “ลาสซิเกอร์” ลูกไฟเหมือนของเด็กสาวลุกพรึ่บขึ้น   รอยยิ้มฉายบนริมฝีปากของราชองครักษ์หนุ่มก่อนที่เขาพลิกลูกไฟในมือเล่นโดยที่ไม่มีทีท่าที่จะดับ    ครีโอมองดูด้วยความสนใจ
     
             “นายน่าจะไปอยู่สมาพันธ์เวทมนตร์มากกว่ามาเป็นองครักษ์มากกว่านะ   แถมดูเหมือนว่าเงินเดือนดีกว่าตั้งเท่าตัว
     
             “ไม่เอาหรอกครับ   ท่านไม่รู้อะไรพวกสมาพันธ์นั้นมีแต่พวกน่าเบื่อน่ารำคาญต่อให้เงินเดือนสูงกว่าหน่วยองครักษ์สิบเท่าผมก็ไม่มีวันไปหรอกแล้วอีกอย่างผมกลัวท่านครีโอจะเหงาถ้าผมไม่อยู่
     
             “เชอะ   ไม่เหงาหรอกย่ะ”ครีโอบอกพลางเชิดใส่
     
             “นี่ ท่านครีโอ   ผมพอรู้แล้วว่าทำไม”เด็กหนุ่มเปลี่ยนเรื่องแล้วชี้ข้อความบนกระดาษให้เด็กสาวดู “เดี๋ยวทำตามที่ผมว่านะ”
             ครีโอพยักหน้า
     
             “ก่อนอื่นหลับตาแล้วตั้งสมาธิกำหนดไว้กลางฝ่ามือ”เด็กสาวหลับตาลงตามที่เด็กหนุ่มบอก “หลังจากนั้นให้สมองคิดถึงเปลวไฟ   แล้วค่อยแบมือออกช้าๆ ดีมากครับและคิดซะว่าลูกไฟกำลังลุกอยู่บนมือ”  ครีโอทำตามอย่างช้าๆ
             “และเอ่ยคาถาให้ชัดๆ”
     
             “ลาสซิเกอร์!!” ลูกไฟขนาดเล็กกว่าลูกที่แล้วถูกจุดกลางฝ่ามือ   นัยน์ตาสีฟ้าครามมองดูลูกไฟอย่างตื่นเต้นก่อนจะขยับมือที่มีลูกไฟอย่างช้าๆระมัดระวัง   เปลวไฟสีแดงลุกโชติช่วงนานกว่าลูกแรกที่เธอเสก    ครีโอยิ้มแล้วใช้หางตามองเด็กหนุ่มที่ไม่ได้ระมัดระวังก่อนที่จะสะบัดลูกไฟใส่
     
             ฮาเทียปัดลูกไฟไปอย่างง่ายดาย   นัยน์ตาคู่สีนิลมองคนที่ลอบจู่โจมที่ตอนนี้กำลังทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  
     
             เสียงฝีเท้าบนหญ้าเรียกความสนใจของทั้งสองก่อนที่จะหันไปทางต้นเสียง   ทหารในชุดเกราะสีฟ้าอ่อนสองนายเดินเข้าก่อนจะโค้งทำความเคารพเด็กสาวตรงหน้าแล้วพูดขึ้นว่า
             “ท่านจ้าวมีรับสั่งให้เจ้าหญิงและท่านราชองครักษ์เข้าเฝ้าขอรับ”
     
     
             ประตูบานใหญ่สีน้ำเงินแกะสลักลวดลายสวยเปิดออกสู่ห้องรับแขกของวัง    ภายในห้องถูกประดับอย่างหรูหราไว้เป็นหน้าเป็นตาให้กับวัง   ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟระย้า แจกัน และเฟอร์นิเจอร์ตู้โชว์ซึ่งของทุกชิ้นในห้องนี้แทบประเมินค่ามิได้
             ร่างสูงในชุดเครื่องสูงของผู้นำระดับสูง เจ้าของเรือนผมสีน้ำเงินงามไม่แพ้นัยน์ตาสีฟ้าที่ประดับบนด้วยหน้าที่แม้จะเข้าวัยกลางคนแต่ดูดีไร้ที่ติของท่านจ้าวชานีล เดอ นีโรว์  
             ฮาเทียโค้งตัว ขณะที่ครีโอย่อตัวถอนสายบัวให้ชายผู้สูงศักดิ์
     
             “นี่หรือครับว่าที่ท่านจ้าวในอนาคต   ช่างงดงามยิ่งนัก”เสียงเรียบๆที่สุภาพเรียกของสนใจของทั้งสอง   ชายในชุดนักบวชสีขาวที่นั่งอยู่ตรงข้างท่านจ้าว   ลวดลายบนชุดและหมวกทรงกระบอกแสดงถึงตำแหน่งของนักบวชชั้นสูง   ซึ่งถ้ามองแบบผิวเผินทั้งลวดลายและรูปแบบของเสื้อคลุมก็ไม่ต่างกับนักบวชชั้นอาร์คบิชอปทั่วไป   แต่ด้วยลวดลายสีทอง อักขระ A กลางชุด  
     และผ้าคลุมไหล่สีขาวขอบทองอันเป็นเอกลักษณ์ของนักบวชคณะนี้   นัยน์ตาสีนิลเบิกกว้าง เพราะชายนักบวชตรงหน้านั้นคือนักบวชที่ประจำอยู่ที่อาเทลมาร์ หรือที่ผู้คนขนานนามว่า นักบวชขาวแห่งหอคอยเขี้ยว
     
                        
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×