ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Levatein

    ลำดับตอนที่ #1 : ปฐมบทแห่งผู้กล้า นิทานก่อนนอน

    • อัปเดตล่าสุด 1 ส.ค. 53


    Chapter 0
    ปฐมบทแห่งผู้กล้า
    นิทานก่อนนอน
     
             กลางผืนทะเลอานีดิตซึ่งล้อมมหาทวีปที่ยิ่งใหญ่นาม “ วัลเนอเฮม ” ดินแดนที่ได้ชื่อว่างดงามและมีความสมดุลที่สุดในโลก ประชาชนบนแผ่นดินนี้แม้จะต่างเผ่าพันธุ์กันก็อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข ไม่มีการรุกรานกันเอง ภายใต้การปกครองของ12ราชวงศ์อันศักดิ์สิทธิ์มานับหลายพันปี ด้วยวิทยาการที่ล้ำสมัยผสมผสานกับสิ่งที่เรียกว่า “ เวทมนตร์ ”ได้อย่างลงตัวทำให้วัลเนอเฮมถูกจัดว่าเป็นดินแดนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกอีกแห่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทำให้ทวีปแห่งนี้เป็นทวีปปิดไม่มีการติดต่อกับทวีปอื่นๆ
             
             ขนบธรรมเนียมอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของแต่ละเผ่าและแต่ละจักรวรรดิก็คือเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งของวัลเนอเฮม แม้วิทยาการในปัจจุบันจะก้าวหน้าเพียงใด ชาววัลเนอเฮมก็มิเคยลืมขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติกันมานับพันปีเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณของพวกเขาเสียแล้ว
             
             ด้านเวทมนตร์ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัวของชาววัลเนอเฮมซึ่งสามารถแบ่งพลังเวทย์เหล่านั้นได้ 8 สายคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า ไม้ ความมืดและแสงสว่าง  ซึ่งแต่ละสายต่างก็มีจุดเด่นจุดด้อยต่างกันออกไปและยังมีพลังที่ยังคงหลับใหลอยู่โดยยังไม่มีใครค้นพบหรือแม้แต่ควบคุมมันได้
     
     
             เสียงเกลียวคลื่นซัดกระทบขอบเรือสำเภาสีดำขนาดใหญ่ที่กำลังแล่นไปอย่างช้าๆบนผืนน้ำยามรัตติกาล แสงจันทราทั้งสามส่องกระทบลำเรือที่มืดสนิทอันแสดงถึงทุกชีวิตบนเรือล้วนแต่เข้าสู้ภวังค์กันหมดแล้ว เว้นเพียงแต่ห้องของผู้เป็นกัปตันที่ยังคงสว่างอยู่
             
             กัปตันนาริส ซูไลมาน หรืออีกตำแหน่งหนึ่งคือ ‘ขุนนางใหญ่แห่งเซราคิวส์’ ซึ่งยังคงนั่งตรวจเอกสารที่กองอยู่บนโต๊ะทำงาน   แม้ด้วยวัยขึ้นเลขสี่แต่พละกำลังและความสามรถต่างๆยังคงเทียบกับชายหนุ่ม   ว่ากันว่ามีขุนนางจำนวนมากต่างคอยสนับสนุนให้เขาได้ตำแหน่งที่สูงสุดของขุนนางรวมทั้งท่านจ้าวชานีลผู้ปกครองคนปัจจุบันแห่งจักรวรรดิเซราคิวส์ก็ทรงพอพระทัยที่จะประทานตำแหน่งให้   แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนั้น
             เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาแรกของวันใหม่ ชายวัยกลางคนถอดแว่นตาออกแล้วนวดบริเวณหว่างตาเพื่อเป็นการผ่อนคลาย
             
             “ดึกป่านนี้แล้ว   ทำไมยังไม่บรรทมอีกล่ะขอรับ” เขาเอ่ยขึ้น   ประตูห้องก็เปิดออกพร้อมกับร่างของเด็กชายและเด็กหญิงสองคน
             
             “เอ่อ...คือ ว่าขอรับ” เด็กชายพูดตะกุกตะกัก
             
             “ ท่านนาริสก็ยังไม่นอนนี่นา” เด็กหญิงเอ่ยรับหน้า
             
             “มันไม่ใช่เหตุผลขอรับองค์หญิง” กัปตันพูดอย่างนอบน้อม “กระหม่อมจำต้องรีบเคลียร์เอกสารให้เสร็จก่อนถึงเซราคิวส์ ”
             
             “เรานอนไม่หลับ   เลยชวนฮาเทียออกมาเดินเล่น   พอดีเห็นห้องท่านยังเปิดไฟอยู่เราจึงมาดู”เด็กหญิงพูดอย่างไร้เดียงสา   ในขณะที่เด็กชายผู้ถูกปลุกอ้าปากหาวด้วยความง่วง
             
             “งั้นหรือขอรับ”ชายวัยกลางคนเอ่ยพลางลูบเคราสีน้ำตาลเข้มที่เข้ากับผมสีเดียวกัน   ก่อนจะลุกขึ้นและเดินไปนั่งที่โซฟา “งั้นมาฟังนิทานของกระหม่อมไหมขอรับ”
             
             “ไม่อ่ะ   นิทานของท่านนาริสเราฟังจนเบื่อแล้ว จริงไหมฮา...อ้าว!” เด็กชายนั่งคอพับไปกับพื้นด้วยความง่วง   ทำเอาเด็กหญิงส่ายหน้าอย่างระอา   นาริสเดินเข้ามาอุ้มเด็กชายตัวน้อยแล้วพาไปวางบนเก้าอี้นวมพร้อมห่มผ้าให้   ในขณะที่เด็กหญิงก็เข้าไปนั่งที่โซฟาตัวยาว
             
             “จริงสิกระหม่อมมีนิทานอยู่อีกเรื่อง   แต่กระหม่อมว่าท่านคงไม่สนพระทัย ” กัปตันนาริสพูดพลางหยิบหนังสือออกจากชั้น   นัยน์ตาคู่สีฟ้าครามของเด็กน้อยมองอย่างสนใจ   ก่อนที่มหาเสนาอำมาตย์จะนั่งลง
             
             “เรื่องอะไรเหรอท่านนาริส” เสียงหวานถามอย่างกระตือรือร้นก่อนชายวัยกลางจะกางหนังสือออก
             
             “เป็นนิทานเก่าแก่ที่บรรพบุรุษของเราเล่าต่อกันมาช้านานแล้ว”
     
     
             ‘เรื่องราวนี้เกิดขึ้นครั้นมหาเทพทรงปลูกต้นมหาพฤกษาอิกดราซิลและสร้างสรรค์ทุกชีวิตบนวัลเนอเฮม    กล่าวกันว่าเมื่อพระองค์ทรงจัดวางทุกสิ่งไว้อย่างเป็นแบบแผน   พระองค์จึงแต่งตั้งบุคคลสามคนมาทำหน้าที่ดูแลวัลเนอเฮมแทนพระองค์   โดยที่พระองค์ยังมอบพลังและชีวิตที่เป็นนิรันดรแก่พวกเขา
             
             เมื่อฝากฝังอาณาจักรที่พระองค์รักไว้กับผู้ที่ไว้วางพระทัย   ก่อนจะจากไปแล้วคอยเฝ้ามองดูห่างๆเหล่าเมล็ดพันธุ์ที่หว่างไว้เจริญงอกงาม
            
             หลังจากที่ผู้สร้างสรรพสิ่งจากไป   สามผู้ที่พระองค์ทรงเลือกก็ได้รับสถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์ซึ่งนับว่าเป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์แรกของวัลเนอเฮมและปกครองอาณาจักรด้วยปรีชาสามารถที่หาใครเปรียบเท่า   จนเป็นที่รักและเทิดทูนของปวงประชาทั่วทั้งวัลเนอเฮมตลอดมา
             
             แม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายร้อยปี   ทั้งสามก็ยังทรงงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อความสุขของประชาชนตลอดมา    จนกระทั่งองค์กษัตริย์ผู้เป็นน้องเล็กทรงเห็นนิมิตบางอย่างซึ่งเป็นสาเหตุให้พระองค์ทรงสละบัลลังก์และออกเดินทางอย่างไม่มีกำหนดกลับ   ทิ้งภาระให้ผู้เป็นพี่ทั้งสองแบกรับไว้
             
             ฤดูกาลเปลี่ยนผันวนครบรอบแล้วรอบเล่าจนกระทั่งในฤดูหนาวปีหนึ่งมีแขกผู้ไม่ได้รับเชิญมาเยือนวัลเนอเฮม   ว่ากันว่าพวกนั้นมาจากแดนที่มืดมิดแห่งหนึ่งบ้างก็ว่ามาจากแดนนรกและสิ่งน่ากลัวที่มากับพวกนั้นกล่าวกันว่าคือ ความมืด   แม้องค์กษัตริย์ผู้เป็นพี่ใหญ่ก็ทรงหวาดหวั่นกับการที่ให้คนเหล่านี้มาอยู่แต่องค์กษัตริย์ผู้เป็นน้องรองกลับรู้สึกพอพระทัยและแต่งตั้งพวกนั้นเป็นขุนนางคนสนิท  สร้างความไม่พอใจไปทั่วเมื่อมีผู้ทราบข่าว
             
             ไม่มีใครรู้จุดประสงค์การมาของพวกนี้   จนกระทั่งวันหนึ่งสองกษัตริย์ทรงเกิดมีปากเสียงกันขึ้นสร้างความประหลาดใจแก่เหล่าขุนนางต่างๆ
             
             มีหลายเรื่องเล่าต่างๆนานาที่บอกถึงสาเหตุการทะเลาะครั้งนั้นแต่ที่ดูสอดคล้องกันคงไม่พ้นเรื่องของเหล่าอาคันตุกะผู้ลึกลับ   ว่ากันว่ากษัตริย์ผู้น้องทรงถูกพวกนั้นเบาพระกรรณ  จนในฤดูหนาวที่หนาวเย็นที่สุดในประวัติศาสตร์ได้เกิดโศกนาฏกรรมในเขตวังหลวงเมื่อกษัตริย์ผู้เคยอ่อนโยนได้นำเหล่าขุนนางคนสนิทออกไล่ฆ่าคนทั่วอาณาจักรเป็นว่าเล่น   จนเกิดข่าวลือกันว่าพระองค์ถูกอำนาจของปีศาจร้ายเข้าครอบงำ
             
             จนเรื่องทราบถึงองค์กษัตริย์ผู้พี่   พระองค์ทรงเสียพระทัยอย่างมากแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากเนรเทศผู้เป็นน้องออกจากวัลเนอเฮมไปพร้อมกับเหล่าผู้สวามิภักดิ์
             
             ว่ากันว่ากษัตริย์ผู้บ้าคลั่งพร้อมเหล่าผู้สวามิภักดิ์ถูกเนรเทศไปยังเกาะร้างทางใต้ที่ซึ่งอดีตกษัตริย์ผู้ทรงธรรมได้กลายเป็นจอมมารผู้โฉดชั่ว หลายปีให้หลังพระองค์กลับมาพร้อมกองทัพอสูรในอาณัติของท่านบุกโจมตีวัลเนอเฮมดินแดนที่เคยรักและสาบานว่าจะปกป้องแต่บัดนี้พระองค์กลับเข้าทำลายแทน
             
             นับเป็นมหาสงครามแรกในประวัติศาสตร์   ทุกหนทุกแห่งที่เป็นทางผ่านของกองทัพทมิฬถูกชโลมด้วยเลือด   แม่น้ำต่างๆกลายเป็นสีเลือด ซากศพนอนเกลื่อนกลาดไปทั่ว  เสียงร่ำไห้และความหวาดกลัวแผ่ทั่วทุกหย่อมหญ้า   เมืองทั้งเมืองพังราบเป็นหน้ากลองเพียงค่ำคืนเดียว   ประชาชนต่างพากันอพยพออกจากเมืองของตนเข้ามาในเมืองหลวง
            
             ในคืนวันหนึ่งองค์กษัตริย์แห่งวัลเนอเฮมทรงมีรับสั่งให้เหล่าขุนนางคนสนิททั้ง12คนเข้าเฝ้าและมีรับสั่งว่าจัดกองทัพหลวงโดยด่วนพร้อมทรงตรัสว่าจะสละราชบัลลังก์และแบ่งทวีปออกเป็นจักรวรรดิต่างๆโดยให้ขุนนางเหล่านี้ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน
            
             แม้เหล่าขุนนางจะทักท้วงแต่พระองค์ยังคงยืนกรานดังที่รับสั่งไว้   จนทุกคนจนปัญญา   และในรุ่งสางกองทัพแห่งจอมกษัตริย์ได้เดินทัพออกจากประตูเมืองมุ่งหน้าสู่เกาะร้างอันเป็นที่ตั้งของกองทัพแห่งเงามืด    ใช้เวลาเดินเท้าเพียงสามวันกองทัพทั้งสองเข้าประจันหน้ากันที่เขตรกร้างทางใต้   ก่อนจะเปิดฉากต่อสู้กันโดยมีชีวิตของคนทั้งทวีปเป็นเดิมพัน   ในสมรภูมิอาวุธแทบทุกชิ้นถูกนำออกมาใช้   เวทมนตร์ทุกบทถูกร่ายใส่ศัตรู และในเวลานั้นมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้สู้กับจอมมารบนยอดหอคอย   ทันทีที่ทั้งคู่เริ่มปะดาบกัน ทหารของทั้งสองฝ่ายแทบอยู่มองดูการต่อสู้ของสองผู้ทรงอำนาจ
            
             ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น   แต่ผลก็ปรากฏว่าจอมมารเป็นผู้ปราชัย   กองทัพทมิฬแตกพ่าย สันติสุขกลับมาสู่วัลเนอเฮมอีกครั้งมาจนถึงปัจจุบัน
             หนังสือปิดลงเบาๆ มหาเสนาอำมาตย์ลูบเคราพลางมองเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งนอนหลับอย่างเป็นสุขบนตักเขา รอยยิ้มฉายบนริมฝีปากของผู้สูงวัยก่อนที่จะวางร่างน้อยลงอย่างถนุถนอมบนโซฟา    นัยน์ตาสีแดงมองด้วยความเอ็นดูแล้วห่มผ้าคลุมร่างของเด็กหญิง
            
                “ราตรีสวัสดิ์ขอรับ เจ้าหญิงครีโอ”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×