ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Khoul

    ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ III การต่อสู้ครั้งแรก

    • อัปเดตล่าสุด 19 ต.ค. 54


     บทที่ III การต่อสู้ครั้งแรก

    ตะวันเดินกลับไปยังห้อง ซึ่งในตอนนี้ก็จวนจะหมดเวลาพักเที่ยงแล้ว เมื่อไปถึงห้องเรียน เอกและก้อง ได้ไปโรงอาหารก่อนแล้วตามคาด แต่น่าแปลกที่น้ำขิงยังอยู่ในห้อง พร้อมกับชิน ซึ่งเหมือนว่าทั้งสองจะคุยอะไรกันอย่างสนุกสนาน
                “นี่ยัยขิง ไม่ไปหาอะไรกินหรือไงเนี่ย มานั่งทำบ้าอะไรอยู่ในห้องฟะ” ตะวันถาม พลางมองไปยังใบหน้าของคนที่ถูกเอ่ยชื่อ
                “ทีนายยังไม่กินเลย ทำไมฉันเองจะไม่กินด้วยไม่ได้ล่ะ คนมันไม่หิวนี่หว่า ใช่มะชิน”
                “อย่ามาทำเป็นหาพวกหน่อยเลยยัยขิง แกเป็นผู้หญิงนะ ทำตัวยังกับเป็นผู้ชาย เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆละก็ฉันจะขำให้” ตะวันตอบ พลางเดินไปยังโต๊ะของตัวเอง แล้วนั่งคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา
                “หึ นายมองชั้นเป็นผู้หญิงด้วยรึไงล่ะ”
                “อ้าวนี่ มางงมางอลอะไรละ  แล้วนั่นจะรีบไปไหนละ อะไรของเขาอีกละเนี่ย” ตะวันบ่นด้วยความไม่เข้าใจในทีท่าของสาวเจ้าที่เดินออกไปนอกห้อง
                ชินสายหน้าน้อยๆ แล้วจึงพูดขึ้น “ตะวัน นายน่าจะไปทำความเข้าใจกับนิสัยของผู้หญิงหน่อยนะ ฮ่าๆๆ”
                “อะไรของนายละนั่น ฉันก็แค่....” ในขณะที่ตะวันกำลังคุยกับชินอยู่นั่นเอง ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นทางใต้อาคารเรียนของพวกเขา ตะวันและชินมองหน้ากัน ก่อนจะรีบวิ่งลงไปยังใต้อาคาร ระหว่างทางที่ทั้งสองวิ่งลงไปนั้น ต้องฝ่าฝูงชนหลายสิบคนที่วิ่งหนีขึ้นมา ทั้งแต่ละคนยังตะโกนร้องเป็นเสียงเดียวกันว่าปีศาจ ตะวันแปลกใจที่ชินไม่ได้หวาดกลัวหรือหนีไป แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะมาซักถามอะไรอีก
                เมื่อทั้งคู่ ลงมาถึงยังใต้อาคารแห่งนี้ ก็พบต้นเหตุของเสียงระเบิดอันดังลั่น นั่นคือสัตว์ประหลาดตัวใหญ่ รูปร่างเหมือนคิงคอง ขนาดใหญ่ราวๆ 5 เมตร แต่มีหน้าตาที่ประหลาดจากคิงคองทั่วไป คือมีดวงตาขนาดใหญ่ที่ปูดโปนออกมา ราวกับตาของกิ้งก่าชนิดหนึง ส่วนรอบข้างนั้นมีซากผนังที่มันพยายามทำลายกระจายอยู่เต็มพื้น
                “เฮ้ย นี่มันตัวอะไรวะเนี่ย” ตะวันสบถ
                “คงเป็นพวกอสูรที่หลุดจากผนึกพร้อมกับพวกข้านั่นแหละ” เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังของตะวัน
                “โบ
    ! นายมาที่นี่ทำไมเนี่ย เดี๋ยวก็โดนลูกหลงหรอก ยิ่งตอนนี้นายไม่มีพลังอะไรแล้วด้วย”
                “อย่างน้อยๆ ข้าก็มีประโยชน์กว่าเจ้าที่ยังควบคุมพลังอะไรไม่ได้
    !”  โบตวาด ตะวันพยายามจะเถียง แต่เหลือบไปเห็นว่าในที่นี้ ยังมีชินยืนอยู่อีกคนหนึ่ง “ไม่ต้องกังวลหรอกตะวัน ฉันเองก็มีพลังแปลกๆเหมือนกัน” ชินชิงตอบ ตะวันพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่ก็สงสัยว่าทำไม ชินจึงทำเหมือนรู้เรื่องราวของเขามาพอสมควร
                แต่เจ้าคิงคองยักษ์ ไม่ปล่อยให้ชายทั้งสามพูดคุยกันไปมากกว่านี้ มันคว้าเศษปูนที่แตกออกจากผนังข้างกายมัน ขว้างมายังที่ที่ทั้งสามคนยืนอยู่ ก่อนที่เศษปูนชิ้นใหญ่นั้นจะตกลงมากระทบกับชายทั้งสาม กลับถูกกำแพงล่องหนต้านเอาไว้ได้ ก่อนที่มันจะกระเด็นไปทางเก่า เจ้าปีศาจใช้อุ้งมืออันใหญ่คว้าไปที่เศษปูนที่ถูกสะท้อนกลับมา พร้อมทั้งคำรามอย่างดังก่อนที่จะพุ่งเข้ามาหาทั้งสามคน
                ชินวิ่งเข้าไปหาเจ้าอสูร พร้อมทั้งกางมือออก ก่อนที่จะปรากฎดาบเล่มใหญ่สีดำออกมา ท่ามกลางสายตาของโบและตะวัน
                ดาบเล่มนี้ แม้มิได้มีลวดลายที่ดูสวยงามหรือโอ่อ่าอันใด แต่ก็แฝงกลิ่นอายแห่งพลัง ด้วยไอสีดำที่แผ่ออกมาโดยรอบ
                เมื่อสายตาของคิงคองยักษ์ต้องมายังดาบสีดำ ก็ฉายแววประหวั่นในบางสิ่ง แต่ไม่นาน แววตาเช่นนั้นก็หายไป พร้อมกับการพุ่งมาด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
                ชินไม่ได้เปลี่ยนแปลงท่าที่อะไร เข้ายังคงวิ่งไปด้วยความเร็วเท่าเดิม ก่อนยกดาบขึ้นมาแล้ววาดดาบไปยังเจ้าอสูรร้าย เจ้าคิงคองยักษ์เบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยแล้วจึงฟาดมือไปยังด้านข้างของชิน โดยคิดว่าเป็นช่องว่างที่ชินพลาดเหลือไว้
                แต่เรื่องไม่เป็นไปดังที่เจ้าคิงคองคาด ก่อนที่ฝ่ามือของมันจะมาถูกลำตัวของชิน กำแพงล่องหนจากโบก็ได้ขวางมันไว้ ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบคว้าโอกาสขณะที่เจ้าคิงคองกำลังชะงักอยู่นั่นเอง ร่ายอาคมแห่งความมืด เป็นเส้นเชือกสีดำนับร้อยสาย พันธนาการรอบๆตัวของเจ้าอสูรยักษ์
                เจ้าคิงคอง คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมทั้งพยายามดิ้นรนให้ตนเองหลุดจากพันธนาการนั้น น่าเสียดายที่เชือกเหล่านั้น กลับไม่มีวี่แววว่าจะขาดหรือยืดหยุ่นแม้แต่น้อย
                ชายเจ้าของดาบเล่มยักษ์ค่อยๆเดินเข้าหาเจ้าคิงคอง ก่อนที่จะวิ่งขึ้นไปบนตัวของเจ้าคิงคอง แล้วจึงเงื้อดาบลงมาตัดคอของเจ้าคิงคองยักษ์ให้ขาดสะบั้นลงไป
                วินาทีที่ศีรษะของเจ้าลิงหล่นลงไปยังพื้น ร่างของชินก็ถูกแรงระเบิดผลักให้กระเด็นออกมาจากจุดที่เคยยืนอยู่ พร้อมกับการปรากฎตัวของชายหนุ่ม ภายใต้หน้ากาก น่าประหลาดที่ชุดของเขา เป็นชุดนักเรียนในโรงเรียนเดียวกับชินและตะวัน
    !
                เมื่อแรกเห็น ตะวันจำได้ทันทีเลยว่า ชายผู้นี คือคนคนเดียวกับที่เขาพบเจอในความฝันเมื่อเช้า แต่ในตอนนี้กลับปรากฎตัวในโลกแห่งความจริงต่อหน้าเขา พร้อมทั้งในมือยังมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนสลบอยู่
                “น้ำขิง
    !” ตะวันตะโกนขึ้น ก่อนที่จะรีบวิ่งไปยังด้านนั้น โบมองอยู่ห่างๆ พลางหัวเราะในลำคอ ส่วนชินพยายามที่จะลุกขึ้นห้ามตะวัน แต่เขากลับไม่มีแรงแม้ต่จะพูดอะไรออกมาสักคำ แรงระเบิดเมื่อครู่นั้นรุนแรงยิ่งกว่าพลังทำลายใดๆที่เขาเคยเจอมาเสียอีก
                ชายเจ้าของหน้ากาก ยกมืออีกข้างขึ้นแล้วชี้มาทางตะวัน ในตอนนั้นเองได้เกิดแสงสีขาวพุ่งออกมาจากนิ้วของชายคนนั้น พรุ่งมาอย่างรุนแรงเข้าตรงกลางหน้าอกข้างซ้ายของตะวัน
                “อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก” ตะวันกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ราวกับว่าบาดแผลนั้น ได้ลามไปทั่วร่างกายของเขา ตะวันทรุดลงไปนั่งกับพื้น โดยยังพอชันเข่าอีกข้างเพื่อพยุงร่างกายไว้ได้อยู่
                เขาพยายามเงยหน้าขึ้นมองชายปริศนาคนนั้น ซึ่งบัดนี้ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เจ้าของหน้ากาก วางร่างที่ไร้สติของน้ำขิงลงข้างๆ ก่อนที่จะกระชากตะวันขึ้นมาให้ยืน
                ตะวันพยายามที่จะสลัดตนเองให้ออกจากมือของชายปริศนาให้ได้ แต่กลับถูกบีบคอ และยกตัวให้สูงขึ้น ก่อนที่จะเหวี่ยงเขาไปกระแทกกับเสาอีกด้านหนึ่งของอาคาร ตะวันพยายามพยุงตัวเองขึ้น แต่ไม่ทันไรชายผู้นั้นก็พุ่งเข้ามาเตะเขาเต็มแรง แล้วกระชากเขาเหวี่ยงไปชนกับชินที่นอนอยู่อีกด้านหนึ่ง
                เมื่อชายเจ้าของหน้ากากเดินเข้ามาใกล้ๆตัวของชินและตะวัน ชินได้พยายามร่ายอาคมแห่งความมืดขึ้นอย่างฉับไว โดยหวังว่าจะช่วยพันธนาการชายภายใต้หน้ากากได้ แต่ยังไม่ทันที่ใยสีดำเหล่านั้นจะได้เข้าใกล้ตัวของเป้าหมาย ก็ถูกกระบี่สีเงินตวัดจนขาดไปหมดทุกเส้น สร้างความตกใจให้แก่ชินเป็นอย่างมาก
                ทันใดนั้นเอง ก็เกิดระเบิดขึ้นในจุดที่ชินอยู่ แต่เมื่อฝุ่นควันจากการระเบิดหายไป กลับไม่พบอะไรแม้แต่นิด ราวกับว่าก่อนหน้านี้ชินไม่เคยมีตัวตนอยู่ ณ ที่แห่งนี้มาก่อน
                ชายภายใต้หน้ากากหันไปมองทางโบ พร้อมกับชี้นิ้วไปทางโบ และปล่อยลำแสงสีขาวออกไปหลายสิบเส้น รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่เขาโจมตีใส่ตะวัน ซึ่งลำแสงเหล่านั้น ได้กระทบกำแพงล่องหน แล้วสะท้อนออกไปรอบข้าง
                ชายผู้นั้นไม่ได้สนว่าผลต่อมาหลังจากการยิงพลังนั้นจะเป็นอย่างไร ทันทีที่เขาปล่อยพลังออกไป เขาก็รีบเข้าไปหาตะวัน พร้อมกับกระบี่สีเงินในมือ
                แต่ก่อนที่ชายเจ้าของดาบสีเงิน จะได้ประชิดตัวตะวัน กลับเกิดกำแพงไฟสีดำพวยพุ่งออกมากั้นระหว่างตะวันและชายปริศนา ชายผู้นั้นหันไปรอบกาย เพื่อหาต้นกำเนิดของพลังนี้ แต่เมื่อเขาหันหลังจากตัวกำแพงกลับมีเคียวสีดำฟันมายังกลางตัวเขา หมายจะปลิดชีพในทันที ชายภายใต้หน้ากากมีปฎิกริยาที่ไวพอสมควร เขายกเอากระบี่สี่เงินนั้นมาขวางไว้ได้ทัน แต่ก่อนที่จะสวนกลับ พลันมีเคียวอีกเล่มฟันมายังชายผู้นั้นในทิศทางที่ยากแก่การปัดป้อง
                ชายภายใต้หน้ากากได้พยายามเบี่ยงตัวหลับ และพุ่งออกจากจุดยืนเดิม เพื่อที่จะตั้งหลักใหม่ และตรวจหาตัวคู่ต่อสู้ที่ตนเองจะต้องเผชิญ แม้ว่าเคียวเล่มที่สองจะเฉียดเข้าที่ท้องของเขาเป็นแผลแนวยาว
                เมื่อเขาตั้งตัวได้ก็ต้องหนักใจกับคู่ต่อสู้ที่กำลังเผชิญ
                เบื้องหน้าเขา มีสิ่งที่คนเป็นแทบจะไม่มีโอกาสได้เผชิญ ....ยมทูต ถึงสิบสามตนด้วยกัน
                ยมทูตทั้งสิบสามนั้น ได้บินวนอยู่รอบๆตัวของตะวัน ทั้งหลายส่วนยังพุ่งมาหาเขาด้วยความเร็วสูง พร้อมกับเคียว  สีดำขนาดใหญ่ในมือ ชายภายใต้หน้ากาก ตวัดกระบี่ในมือออกมาอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะต้านเคียวเกือบสิบเล่มได้อย่างทันท่วงที แต่ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไร ชายปริศนาก็ยิ่งเสียเปรียบ
                ในขณะนั้นเอง เมื่อชายปริศนาตกเป็นรองเหล่ายมทูตทั้งสิบสามตนอยู่ ก่อนที่เคียวของหนึ่งในนั้นจะได้ฝังคมลงไปบนตัวของชายเจ้าของหน้ากาก ร่างของมันทั้งสิบสามตน ก็ได้สูญหายไปในทันที
                ชายภายใต้หน้ากากเห็นดังนั้น จึงรีบวิ่งมายังจุดที่น้ำขิงอยู่ในตอนแรก หวังจะพาตัวน้ำขิงไปตามแผนเดิมที่มีในตอนแรก แต่โชคร้ายที่ในจุดนั้นมีโบยืนคุมอยู่
                “หึหึหึ น่าเสียดายเนอะเจ้าหนุ่มหน้าโง่ เขตแดนยมทูตยังคงมีผลต่อไปอีกสักพักล่ะนะ แต่อย่างว่า เขตแดนกระจอกๆนี่ไม่มีผลกับพลังโบราณแห่งข้าหรอก เจ้าจะทำยังไงต่อไปดีละพ่อหนุ่ม อุ๊ว่ะฮ๋ะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”” โบหัวเราะอย่างสะใจ ชายภายใต้หน้ากากนิ่งเงียบก่อนที่จะสลายตนเองไปต่อหน้าต่อตาโบ “หึหึ  มีผู้ใช้มนตราโบราณเป็นพวกด้วยรึเนี่ย น่าสนใจแฮะ” โบกล่าว พลางวาดมือออกไปข้างกายพร้อมๆกับการหายไปร่างของสามชายหนึ่งหญิงที่อยู่ในบริเวณนั้น
                เมื่อเหล่าอาจารย์และพนักงานรักษาความปลอดภัยมาถึงก็ต้องประหลาดใจกับซากคิงคองยักษ์ที่หัวและตัวกระจายกันออกไป พร้อมๆกับสภาพของใต้อาคารเรียน ที่แทบจะไม่เหลือสภาพเดิมเอาไว้เลย
               

                หยดน้ำใสๆที่หยดลงบนใบหน้าของตะวัน ช่วยปลุกเขาให้ตื่นขึ้นจากนิทรา
                “ที่ไหน... อีกแล้ววะเนี่ย” ตะวันสบถอย่างหัวเสีย หลังจากกลืมตาขึ้นมา แล้วพบว่าตนเองกำลังอยู่ในสถานที่ที่ดูไม่คุ้นตา
                ป่า... ป่าประหลาดที่ทุกๆสิ่งล้วนดูใหญ่โตผิดไปจากปกติมาก ราวกับว่าตัวเขาเป็นเพียงลูกนกตัวเล็กๆ ท่ามกลางอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ต้นไม้บางต้น เขาแทบจะมองไม่เห็นยอดของมันเลยด้วยซ้ำ

                “แผล ?” เขานึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะคลำไปบริเวณที่ตนจำได้ว่าถูกชายปริศนาผู้นั้นทำร้ายจนสาหัส แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย น่าแปลกแฮะ
                ตะวันสลัดความสงสัยที่มีทิ้ แล้วจึงเดินลัดเลาะพงหญ้ายักษ์ไปเรื่อยๆ ในเมื่อไล่ลำกับความคิดถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เขาพอจะจำได้ยังไง ผลที่ได้ก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สู้หาทางออกจากป่าแห่งนี้ก่อนเสียงยังจะดีกว่า

                เวลาผ่านไปกว่าชั่วโมง ภูมิทัศน์รอบข้างก็ไม่มีวี่แววว่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมสักเท่าไร ต่างกับความอ่อนล้าของตะวัน ที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นๆจนเกินจะทนไหว
                ด้านหน้าของเขา มีลานโล่งๆแห่งหนึ่ง ลานแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเงาของแมกไม้น้อยใหญ่ เหมาะสำหรับพักผ่อนอย่างยิ่ง
                เมื่อตะวันคิดได้ดังนั้น จึงเดินเข้าไปนั่งพักผ่อนยังลานโล่งแห่งนั้น
                เมื่อได้มาอยู่ยังสถานที่ที่เงียบสงบเช่นนี้ ทำให้เขาอดคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาไม่ได้ ไม่รู้ว่าในตอนนี้ ชิน ขิง และโบจะเป็นอย่างไรกันบ้าง ไหนจะเพื่อนที่โรงเรียน ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ประหลาดๆจะจบไปแล้วหรือยัง
                ขณะที่เขากำลังนั่งอยู่ได้มีเสียงฝีเท้าขนาดใหญ่ดังมาจากทางอีกฟากของลานโล่ง ซึ่งแต่ละย่างก้าวของมัน มิได้มีเพียงแค่เสียงอันดังก้องป่ายักษ์แห่งนี้ แต่ยังทำให้ผืนแผ่นดินสั่นไหวตามอยู่เนืองๆ
                เมื่อตะวันได้ยินดังนั้น จึงรีบวิ่งเข้าไปในพงหญ้าด้านหลังลานโล่งใกล้ๆจุดที่เขานั่งพักอยู่เมื่อสักครู่
                ไม่นานเจ้าของเสียงฝีเท้าดังสนั่นก็ปรากฎกายขึ้น สัตว์ประหลาด ที่มีหน้าตาเหมือนคิงคองตัวที่เขาเคยเจอ แต่รูปร่างนั้นใหญ่กว่ากันอย่างเห็นได้ชัด
                คิงคองขนาด 5 เมตร กับคิงคองในป่ายักษ์สูงเทียมฟ้า แค่ฝ่ามือของมัน ก็วางทับลานโล่งได้แทบจะสนิท เมื่อเทียบกับขนาดของตะวัน ตัวของเขามีขนาดเพียงแค่นิ้วของเจ้ายักษ์เท่านั้นเอง
                เจ้าคิงคองยักษ์ขยับหัวอันใหญ่โตของมันไปมา ราวกับพยายามตามหาบางสิ่งอยู่ ตะวันได้แต่หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ภาวนาให้สิ่งที่มันตามหา ไม่ใช่เขา
                ตะวันพยายามไม่หันหน้าไปมองยังทางทิศที่เจ้าคิงคองยักษ์อยู่ แต่เสียงหายใจฟืดฟาดๆของมัน กลับเข้าใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ

                ตะวันตัดสินใจพุ่งตัวออกจากที่ซ่อนในตอนแรก และนั่นก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
                เมื่อเขาวิ่งออกมา ฝ่ามืออันใหญ่ยักษ์ก็ได้ฟาดลงมายังแนวหญ้าที่เขาซ่อนอยู่ ตะวันพยายามวิ่งฝ่าพงหญ้ากลับไปอีกทาง โดยหวังว่าขนาดของหญ้าจะช่วยปิดบังการมีอยู๋ของเขาได้ แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ผิด แม้ต้นหญ้าจะสูงใหญ่สักเพียงใด แต่ถ้ามีสิ่งมีชีวิตสักชนิด กำลังวิ่งอยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งเดิมทีปราศจากซึ่งการเคลื่อนไหวต่างๆ ก็ย่อมไม่แปลกที่จะถูกมองเห็นได้ง่าย
                ในที่สุด เสียงของฝ่าเท้าขนาดใหญ่ก็หยุดลง ตะวันจึงหยุดวิ่ง และพยายามหันกลับไปมองร่างที่อยู่เหนือพงหญ้าเหล่านั้นเ
                ดวงตาที่มีขนาดใหญ่กว่าหัวของเขา ได้หันมาสบตากับเขา
                ราวกับว่าโลกทั้งโลกหยุดนิ่ง ราวกับสายลมและการทำงานของร่างกกายต่างก็หยุดทำงานตามหน้าที่ของมันไปกระทันหัน ตะวันรู้สึกเหมือนกับว่าตนกำลังอยู่ในการดวลปืนของพวกคาวบอย ต่างกันก็แค่ในตอนนี้เขามือเปล่า และข้างหน้าคือคิงคองยักษ์ สูงราวตึก 50 ชั้น  ที่มีเพียงแค่มือเปล่าชั่นกันกับเขา แต่ถ้ามันฟาดลงมาก็อาจทำให้พื้นที่โดยรอบกว่า 10 เมตร ยวบหายลงไปได้
                ไม่ทันไร ฝ่ามือยักษ์นั้นก็ได้ฟาดลงมายังจุดที่ตะวันยืนอยู่ เขามั่นใจแน่ๆแล้วว่าในตอนนี้ คงไม่สามารถหนีพ้นแน่ จึงได้ยกมือขึ้นมาป้องกันตามสัญชาติญาณ
                เปลวไฟสีส้มเหลืองพวยพุ่งออกมาไปทางฝ่ามือของเจ้าคิงคองยักษ์ เจ้าอสูรได้แต่สะบัดมืออกห่างจากไฟ
                ตะวันรู้สึกตกใจกับการกระทำเมื่อครู่ของตน จึงพยายามนึกถึงความรู้สึกเมื่อครู่ ที่ได้ปล่อยเปลวไฟออกไป
                 คิงคองเห็นชายหนุ่มตวจ้อยเบื้องหน้ากำลังยืนนิ่งอยู่ จึงรีบฟาดมือลงไปทางจุดที่ตะวันอยู่อีกครั้ง
                ตะวันยกมือขึ้นเหนือหัว และพยายามเรียกความรู้สึกแบบเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง
                มันได้ผล... เปลวไฟแบบเดิมพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา สัตว์ไม่ว่าจะตัวใหญ่สักแค่ไหน สัญชาติญาณของมันที่บอกให้ตื่นตัวกับสิ่งที่เรียกว่า ไฟ อยู่ดี มันจึงกระตุกมือขึ้นเพื่อหลบให้พ้นจากไฟของตะวัน
                แต่เปลวไฟเพียงแค่นี้ อย่างมากก็คงทำให้เจ้าคิงคองตกใจได้แค่เพียงชั่วคราว เมื่อเจ้าคิงคอง รู้สึกว่าสิ่งที่มันกลัวนั้น ไม่ได้ร้อนแรงดังที่มันกลัว มันจึงเริ่มบุกเข้ามาอีกครั้ง
                ตะวันจึงกลิ้งตัวไปด้านข้าง ซึ่งทำให้เขาหลบรอดฝ่ามือมัจจุราชจากเจ้าคิงคองยักษ์ได้อย่างเฉียดฉิว
                “ฟู่ว... อยู่ระหว่างนิ้วของมันเลยแฮะ” ตะวันดันตัวเองขึ้นแล้วเริ่มวิ่งไปรอบๆอีกครั้ง ในตอนนี้ แม้เขาจะควบคุมพลังไฟไว้ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะต่อกรกับเจ้าคิงคองยักษ์ตัวนี้ได้ ขนาดตัวที่ใหญ่ คงทำให้ผิวหนังของมันหนาขึ้นไปมากด้วยเช่นกัน
               
    ปัดโธ่ว้อย! หนังจะหนาไปไหนวะเนี่ย ถ้ามีไฟป่าขึ้นมามันจะตายไหมฟะ... ไฟป่า... ไฟป่า!’ ตะวันนึกแผนเด็ดขึ้นมาได้ เมื่อเจ้าคิงคองตะปบมือของมันลงมา ตะวันได้กะจังหวะแล้วจึงหลบไปด้านข้าง ก่อนที่จะรวบรวมสติ แล้วปลดปล่อยพลังไฟที่มีออกไปใส่ทุ่งหญ้าโดยรอบ พร้อมทั้งวิ่งปในส่วนที่ยังไม่โดนไฟลามไปถึง
                เจ้าคิงคองคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อไฟรอบๆ เริ่มลามเข้ามา
                ในตอนนี้ เจ้าคิงคองได้อยู๋ท่ามกลางเปลวเพลิง ที่ค่อยๆลามเข้าไปเรื่อยๆ

                เมื่อตะวันเห็นสภาพเจ้าคิงคองดังนั้น จึงรีบวิ่งออกมาจากที่เกิดเหตุ เขารู้ดีว่า เปลวไฟแค่นั้น คงทำอะไรเจ้าคิงคองไม่ได้มาก ต่อให้เป็นไฟป่าแบบนั้นก็ตามที เพราะถ้าเทียบกับขนาดตัวของเจ้าคิงคอง ถึงอย่างไรไฟที่ลามไปทั่วทุ่งหญ้า ก็คงไม่อาจทำอะไรเจ้าคิงคองยักษ์ที่สูงใหญ่ขนาดนั้นได้ แต่ปริมาณไฟที่มีคงพอที่จะทำให้มันชะงักลงไปได้บ้าง
                ตะวันวิ่งมาเรื่อยๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่งด้านหน้าของเขานั้น ปรากฎเป็นกระท่อมเล็กๆ
                “หึหึ กว่าจะมาถึงที่นี่นะเจ้าโง่
    ! เจ้านี่มันโง่สมราคาคุยซะจริงนะ! กะอีแค่ป่าเล็กๆแค่นี้ ยังใช้เวลาตั้งนานกว่าจะออกมาได้ สู้เจ้าหนูอีกคนก็ไม่ได้ มานอนรอจนหลับไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว!!! ” เสียงด่าที่ไม่มีใครเทียบเคียงได้ดังขึ้นมาจากข้างในกระท่อม
                “โบ ที่นี่มันที่ไหนเนี่ย แล้วป่าเล็กๆที่นายพูดน่ะ มันใหญ่กว่าป่าไหนๆที่ฉันเคยเจอมาอีกนะรู้มั้ย
    !?  ป่าบ้าอะไรวะ วิ่งๆมาเกือบสิบกิโลได้แล้วมั้งเนี่ย” ตะวันบ่น พลางค่อยๆเดินเข้าไปอย่างเหนื่อยล้า เมื่อรู้ว่าตนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว
                “หึหึ ที่นี่มันก็เป็นหนึ่งในมิติพิเศษของข้าเองแหละ ฮ่าๆๆ ดูยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหมล่ะ ข้าเคยสร้างเอาไว้ให้นักรบแห่งชนเผ่าของข้ามาทดสอบตนกัน อย่าลืมสิ ข้าอยู่ในแผนกวิทยาการเชียวนะ ฮ่าๆๆๆๆ หรือเจ้าจะเถียงว่าอยู่ที่นี่ไม่ได้ช่วยอะไรเจ้าเลยล่ะ เหอะ
    !
                “เอ่อ... ถ้าสิ่งที่ฉันเจอมันเป็นการช่วยให้ฉันได้ใช้พลังเป็นก็คงต้องยอมรับว่าจริงละนะ แต่ มันไม่อันตรายไปหน่อยหรือยังไงห๊ะ
    !? “ ตะวันตะโกนอย่างอารมณ์เสีย ก่อนที่จะไปนั่งริมบนไดทางขึ้นกระท่อม
                “เหอะๆ ถ้าแค่นี้เจ้ายังเอาตัวรอดไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตรอดบนโ,กของพสกเข้าได้อย่างสบายก็แล้วกัน
    ! จริงอยู่ว่าสิ่งที่เจ้าเจอในดินแดนแห่งนี้ อาจจะดโหดร้ายหรือน่าสะพรึงกลัวไปบ้าง แต่สภาพของสิ่งแวดล้อมของที่นี่มันเอื้ออำนวยต่อพวกเจ้ามาก รู้ไว้ซะด้วย! หากเป็นโลกของเจ้าจริงๆ ข้าไม่รับประกันหรอกนะว่าพวกเจ้าจะควบคุมพลังในโลกได้อยู่น่ะ แต่แค่พอใช้พลังในโลกแห่งนี้ได้ ก็ที่ว่าทำได้เกินคาดของข้าแล้วล่ะ ฮ่าๆๆๆ”

                “แล้วชินละ คนอีกคนที่หนายหมายถึงคือชินใช่ไหม”
                “หึ แล้วเจ้าคิดว่าใครละเจ้างั่ง
    !!!” ตอนนี้ข้าส่งมันกลับไปโลกของพวกเจ้าแล้ว”
                “คำก็โง่ สองคำก็งั่ง เป็นอะไรกับฉันมากรึเปล่าฟะ” ตะวันพูด แล้วจึงลุกขึ้น กะจะหันไปจัดการมนุษย์ตัวเล็กที่ทำให้เขาเริ่มหมดความอดทน
                “หึหึ ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะเหนื่อยตรงไหนเลยนะ งั้นคงพร้อมกลับไปแล้วละสิ” มนุษย์โบราณพูดเพียงเท่านี้ ร่างของตะวันที่กำลังเดินเข้ามาหาเขา ก็ได้เลือนหายไป

                “เฮ้ย อย่าเพิ่งหนีกันสิฟะไอ้โบบ้าเอ๊ย
    ! ” ตะวันตะโกนขึ้นมาอย่างดังลั่น ก่อนที่จะหยุดเสียงตัวเองลง เนื่องจากตอนนี้เขากำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องพยาบาล ทั้งการตะโกนเมื่อครู่ยังเรียกสายตาจากทุกๆคนภายในห้องพยาบาล
                “เอ่อ... ขอโทษครับ คือว่าผมฝันร้ายนะครับ” ตะวันกล่าว พร้อมทั้งรีบออกจากห้องพยาบาลไปโดยเร็ว
                นาฬกาข้อมือสีดำเรือนโปรดของตะวัน บอกเวลากว่าสี่โมงเย็นแล้ว ถ้านับจากเมื่อตอนเกิดเรื่องเมื่อราวๆเที่ยง นี่ก็นับว่าผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อออกจากห้องพยาบาล ตะวันจึงเดินไปยังใต้อาคารอันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ตอนนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายยังคงตรอจสอบพื้นที่อยู่ โดยมีเทปสีเหลืองกั้นโดยรอบ
                “อ้าว ตะวัน มาทำอะไรแถวนี้เนี่ย นักเรียนทั้งหมดน่าจะกลับกันไปหมดแล้วนี่นา หรือว่าเอ็งอยู่ในเหตุการณ์ด้วยเลยบาดเจ็บ” เสียงของชายวัยกลางคนดังขึ้น
                “เอ่อ... คือว่า อาจารย์สุวิทย์เขาให้ผมไปช่วยงานในห้องอาจารย์แกน่ะครับ นี่ก็กำลังจะกลับบ้านพอดี
    จารย์เป็ดมีอะไรกับผมรึเปล่าอะ” ตะวันถามอย่างเป็นกันเอง เนื่องด้วย อาจารย์ที่เขากำลังพูดคุยอยู่นี้ เคยเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาห้องของเขา เมื่อครั้งเขายังคงเรียนอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม
                “น้อยๆหน่อยๆ ข้าใช่เพื่อนเล่นเอ็งไหมนั่น บอกกี่รอบๆแล้วว่าชื่อข้าคือไก่ ไม่ใช่เป็ด
    ! มาเรียกป่งเรียกเป็ดอยู่นั่นแหละ ข้าแค่เห็นเอ็งเดินผ่านมาเลยถามดูเฉยๆน่ะ ถ้าไม่มีอะไรก็รีบกลับไปได้แล้วไป๊ ช่วงนี้โรงเรียนมีแต่เรื่อง พวกเอ็งได้หยุดยาวคงจะสบายใจกันมากละสิ เฮ้อ...”             “หยุดยาว? หยุดยาวอะไรกันน่ะครับอาจารย์”
                “เอ๊า ก็เรื่องของพวกรุ่นพี่ม.6ที่ถูกฆาตกรรมหมู่ไง เอ็งไม่ได้ฟังประกาศจากประชาสัมพันธ์ตอนเที่ยงหรือไง” อาจารย์ไก่ถามอย่างสงสัย
                “ก็ ตอนนั้นผมต้องออกไปหาของมาให้อาจารย์สุวิทย์นอกโรงเรียนน่ะครับ เลยยังไม่รู้อะไรเลย แล้วเรื่องราวต่างๆมันเป็นยังไงอะอาจารย์”
                “อืม เห็นแกว่าเอ็งเป็นคนกันเองหรอกนะ พวกคนในโรงเรียนเขาปิดกันเป็นความลับหมดเลย เอ็งอย่าไปบอกใครนะ”

                “ครับ”
                “มีคนไปพบศพพวกวัยรุ่นอันธพาลม.6ที่ห้องแลปวิทย์ อาจารย์ที่เป็นคนคุมกุญแจห้องแลปเขามาสายน่ะ กว่าจะได้เปิดห้องก็ปาไปจะสิบโมงแล้ว ในห้องมีศพทั้งหมดหกศพมั้งถ้าจำไม่ผิด แล้วพอพวกอาจารย์รู้เรื่องก็ไปเช็คกับรายชื่อของห้องที่พวกนั้นเรียน รู้สึกจะหายไปอีกสามคนด้วย พวกข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ผอ.เขาเลยบอกว่าให้สั่งปิดโรงเรียนไปก่อนเจ็ดวัน ให้นักเรียนกลับบ้านไปตั้งแต่ตอนพักเที่ยงแล้ว เด็กยังไม่ทันได้กินข้าวอะไรกันเลย จู่ๆก็มีไอ้คิงคองยักษ์จากไหนไม่รู้สูงตั้ง ห้าเมตร มาโผล่ตรงนี้ ตอนนี้กลายเป็นแค่ซากลิงไม่มีหัวละ เหอะๆ ข้าว่าโรงเรียนนี้ชักอาถรรพ์ขึ้นทุกวันๆ” ชายวัยกลางคนเอ่ย
                ตะวันอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อรู้สึกว่าเรื่องที่เขาฝันเมื่อเช้ามันจะตรงกับเรื่องนี้เกินไปหรือเปล่า
                “แล้วคิงคองที่
    จารย์ว่ามันเข้ามาทางไหนล่ะครับ โณงเรียนเราลุงยามก็เฝ้าทางเข้าออกดีนี่นา ไม่น่าจะมีคิงคองยักษ์อย่างที่จารย์ว่าหลุดมาได้นะ อีกอย่างเป็นไปได้ยังไง ที่คิงคองขนาดห้าเมตรจะมาอยู่ใต้นี้ได้โดยไม่มีใครเห็นน่ะครับ” ตะวันเสนอความคิดเห็น
                อาจารย์ไก่พยักหน้าเห็นด้วย “สงสัยมันคงมุดดินมาโผล่ละมั้ง หรือว่าใครไปอัญเชิญมันมาจากที่ไหนสักที่เนี่ยแหละ ฮ่าๆๆๆ เฮ้ย เอ็งก็ชวนข้าคุยซะเพลิน กลับบ้านไปได้แล้วไป๊”

                “เอ่อ งั้นเชิญอาจารย์ดูแลคุณตำรวจต่อไปก็แล้วกันนะครับ อ้อ จารย์ก็อย่าไปทำอะไรพวกคุณตำรวจให้มากก็แล้วกัน นิ้วก้อยน่ะ เก็บบ้างก็ดี เดี๋ยวพวกเขาก็ไหวตัวทัน อย่าหาว่าผมไม่เตือนนะครับ” ตะวันตะโกนพร้อมทั้งจ้ำอ้าวออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
                “ เฮ้ย ไอ้เด็กเวร
    ! กลับมาก่อนสิวะ!!!

                ตะวันหัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อพ้นจากรัศมีสายตาของอาจารย์ที่เคารพ โรงเรียนในยามเย็นที่ไร้ผู้คน ให้ความรู้สึกแตกต่างกับยามปกติเป็นอย่างมาก สถานที่อันใหญ่โต แต่ไร้ซึ่งเสียงแห่งชีวิตชีวา ซ้ำท้องฟ้าในตอนนี้ ยังปกคลุมด้วยเมฆฝนอันมโหฬาร ราวกับพร้อมจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ก่อนที่เขาจะออกไปนอกโรงเรียน ก็นึกได้ว่าตนเองลืมอะไรบางอย่าง

                กระเป๋านักเรียน... ใช่แล้ว เขานำมันไปวางที่ห้องก่อนที่จะไปเข้าแถว ถ้าไม่มีอะไรผิดคาด ในตอนนี้คงจะยังอยู่ที่เดิม
                 ตะวันรีบวิ่งไปดูทางประตูของตึกต่างๆ เผื่อว่าจะมีประตูของอาคารใดอาคารหนึ่งยังคงเปิด เนื่องจากตอนนี้โรงเรียนได้ปิดก่อนเวลามาพอสมควร จึงทำให้ไม่มีใครเหลืออยู่ในอาคารเรียน รวมไปถึงประตูของอาคารทั้งหมด ซึ่งได้ปิดลง  เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเปิดมันต่อไป
                “อะไรกันวะเนี่ย แล้วกระเป๋าของนักเรียนที่ยังบาดเจ็บอยู่ในห้องพยาบาลก็ต้องทิ้งไว้บนอาคารให้หมดน่ะนะ” ชายหนุ่มส่ายหน้าพลางเดินไปยังลิฟต์ของอาจารย์ ซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายของเขาในตอนนี้
                สัญญาณไฟของลิฟต์สว่างขึ้น บ่งบอกว่ายังคงทำงานได้อยู่
                เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ตะวันจึงรีบเข้าไปข้างใน ก่อนจะกดชั้นหมายเลขของตน หลอดไฟเพียงหลอดเดียวภายในลิฟต์เล็กๆ กระพิบอย่างไม่เป็นจังหวะ ดูเหมือนฉากหนึ่งในหนังผีที่เขาเคยดูมาไม่มีผิด
                เมื่อประตูเปิดออก เขารู้สึกเหมือนว่าจะมองเห็นเงาอะไรบางอย่างผ่านทางหน้าประตูไป
    คิดไปเอง... ใช่แล้ว มันก็ค่การคิดไปเองตะวันพูดกับตัวเอง ก่อนที่จะพยายามวิ่งไปยังห้องของตน
                เมื่อย่างก้าวออกจากลิฟต์ บรรยากาศภายนอกก็ชวนให้เขาขวัญผวายิ่งกว่าเดิม แม้ในเวลานี้นาฬิกาของเขาจะบอกเวลาว่า 17นาฬิกา แต่ท้องฟ้าที่ครึ้มฟ้าและฝน ได้ทำให้ความมืดเข้าปลกคุมอาคารไปหลายส่วน
                เมื่อถึงห้อง เขาก็พบว่ากระเป๋าของตนนั้นไม่อยู่ในที่ที่มันควรจะอยู่ เขาจึงรีบกดโทรศัพท์หาใครบางคน ซึ่งเขาคิดว่าเป็นคนที่มีโอกาสจะเก็ฐกระเป๋าของเขาไปให้มากที่สุด
                “ ฮัลโหล ตะวันเหรอ นายอยู่ไหนเนี่ย
    !? ฉันโทรไปตั้งหลายรอบทำไมไม่รู้จักรับโทรศัพท์!?!? ” เสียงของหญิงสาวดังลั่นออกมานอกโทรศัพท์มือถือ จนตะวันเองยังต้องเอาออกห่างมากกว่าปกติ
                “ อะไรของแกวะเนี่ย ฉันเพิ่งขึ้นมาบนห้องเนี่ย แล้วแกโทรมาตอนไหนของแก ไม่เห็นมันจะขึ้นเตือนเลย”
                “โทรไปเป็นสิบๆรอบแล้วย่ะ
    ! รีบๆลงมาได้แล้ว ฉันรอนายที่หน้าลิฟต์นะ”
                “เฮ้ย แล้วกระเป๋าฉันอยู่กับแกป่ะวะ”
                “ก็เออสิ ฉันเลยมารอแกไง ถ้าไม่ติดว่าไอ้ก้องฝากกระเป๋าบ้าๆของแกไว้ที่ฉัน ป่านนี้ฉัน”กลับไปนานแล้ว
    !
                “เออๆ เดี๋ยวจะรีบลงไปหาละ แล้วแกไปรอที่ไหนตั้งนานเนี่ย วันนี้โรงเรียนเลิกตั้งแต่เที่ยงนี่นา”
                “ก็นั่งหาอะไรทำรอบนห้องน่ะแหละ พึ่งลงไปทางลิฟต์เมื่อกี้เอง... ซ่า... แล้วทำไ.... ซ่า... ตะวัน... ซ่า.... ยินฉันไหม.... ซ่า” ในที่สุดสัญญาณโทรศัพท์ก็ได้ขาดหายไป ลางสังหรณ์ส่วนตัวของเขา ได้บอกเขาว่าให้รีบๆลงไป ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น และดูเหมือนว่าเขาจะเชื่อมั่นในลางสังหรณ์ของตนเองอย่างมาก
                เขารีบวิ่งไปยังลิฟต์ที่ได้ขึ้นมาในตอนแรก น่าแปลกใจที่เส้นทางเพียงไม่กี่สิบเมตรในตอนแรก กลับดูเหมือนจะไกลกว่าเดิมหลายเท่าตัว ทั้งในตอนนี้ฝนเริ่มซัดลงมาห่าใหญ่เสียแล้ว
     
    อะไรกันเนี่ย เมื่อไรจะถึงสักที วันนี้ก็มีแต่เรื่องวุ่นๆ ไหนจะเรื่องคิงคองยักษ์ เรื่องคนตายในอาคารเรียน... ตายในอาคารเรียน!?’ เมื่อเขานึกได้ว่า อาจารย์ไก่ได้บอกเขาว่ามีเสียชีวิตอยู่ที่ห้องแลปวิทย์... ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลิฟต์เท่าไรด้วย เพียงแต่อยู่คนละเส้นทางกับเส้นทางที่เขาใช้ในตอนนี้ก็เท่านั้น
                ในที่สุดเขาก็เดินมาถึงยังหน้าลิฟต์ ระหว่างที่เขากำลังรอลิฟต์อยู่นั้นเอง ก็มีฟ้าแล็บขึ้นมา
                ตะวันชะงัก เมื่อเห็นเงาของคนอยู่ด้านหน้าของเขา ชายหนุ่มจึงรีบหันหลังกลับไปเผื่อว่าที่เขาเห็น จะเป็นตำรวจที่มาดูสถานที่เกิดเหตุที่ห้องแล็ปวิทย์

                แต่สิ่งที่เขาได้รับมา นั่นก็คือความว่างเปล่า ด้านหน้าของเขาไม่มีใครสักคน จะมีก็เพียงแต่สายฝนที่กระเซ็นเข้ามา ตามช่องหน้าต่างที่ถูกเปิดไว้
               
    หน้าต่าง? ป้าภารโรงน่าจะปิดหมดแล้วนี่นา ทำไมบานนี้ยังเปิดอยู่ละตะวันคิดในใจ แล้วจึงเดินไปปิดหน้าต่าง
                ฉับพลันที่มือของเขาแตะไปยังหน้าต่างนั้นเอง ได้มีลมพัดเข้ามาอย่างรุนแรงจนเขาเซไปด้านหลัง หน้าต่างทุกๆบานในบริเวณนั้น ต่างก็ถูกแรงลมพัดจนเปิดออกทุกบาน
                สายฝนจากด้านนอกของหน้าต่าง ได้สาดเข้ามายังทางเดิน
                ตะวันภาวนาให้เขาตาฝาดไป.... เม็ดฝนต่างๆที่ได้สาดเข้ามา ต่างได้ลอยมาอยู่รวมกันที่ทางเดินนั่นเอง
                ไม่นาน หยดน้ำฝน ก็ได้ก่อตัวเป็นรูปร่างเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง และด้านหลังของเธอ ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ตะวันจำหน้าของชายคนนั้นได้ในทันที ชายผู้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โบกลายเป็นเด็กชายตัวเล็ก
                “สวัสดีไอ้หนู วันนี้ฉันมีเพื่อนมาด้วยว่ะ” เมฆกล่าว
                “เรามาคุยกันดีๆก่อนก็ได้นะ ธุรกิจของเรามันเพิ่งเริ่มต้น” หญิงสาวที่มากับหยดน้ำเอ่ย พลางชายตามองทางตะวัน

                ตะวันค่อยๆยันตัวเองขึ้นจากพื้น ก่อนจะหันหน้าไปมองทางผู้มาใหม่สองคนอย่างเคืลอบแคลงใจ
               

     

                ตอนต่อไป ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะมาลงในวันอาทิตย์นะครับ สายอย่างมากก็ไม่น่าเกินวันอังคาร ช่วงนี้น้ำหลากมากทม.ละ บ้านผมอยู่โซนนอกเริ่มโดนละ รักษาตัวให้ดีนะครับ ระวังป่วยละ 55

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×