ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Khoul

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ II ต้นเหตุ

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 54


     ตอนที่ II ต้นเหตุ

                ในค่ำคืนที่เงียบสงัดและวังเวง  อาคารเรียนในยามปกติที่ควรจะปราศจากผู้คน กลับมีเสียงผู้คนเอะอะเสียงดังมาจากชั้นห้าในอาคารหนึ่งของโรงเรียน ซึ่งเป็นชั้นบนสุด “แฮ่กๆๆ” เสียงหอบหายใจของชายกลุ่มหนึ่ง ซึ่งบ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยจากการวิ่งหนีบางสิ่งมาอย่างยากลำบาก “เฮ้ยๆ ข้างหน้าซ้ายมืออะ ห้องแลบวิทย์ห้องหนึ่งมันไม่มีกลอนคงจะเข้าไปแอบได้ๆ ไปเร็วๆๆๆ” หนึ่งในกลุ่มชายวัยรุ่นทั้งเจ็ดคนกล่าวอย่างเร่งร้อน

                เมื่อชายทั้งหมดเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว ต่างก็กระจายกันไปแอบใต้โต๊ะต่างๆภายในห้องโดยหวังว่าจะรอดพ้นสายตาของบางสิ่งที่กำลังตามล่าพวกเขาอยู่ในตอนนี้

                “ล...แล้วมันจะตามเราเข้ามาได้มั้ยวะ ไอ้ดิษฐ์ แฮ่กๆๆ ข้าไม่อยากเป็นเหมือนไอ้เทพกับไอ้ชันย์หรอกนะ” ชายคนหนึ่งถามพร้อมทั้งหอบหายใจ

                ยังไม่ทันที่ชายชื่อดิษฐ์จะได้กล่าวอะไร ประตูห้องวิทย์ที่พวกเขาพึ่งจะเข้ามาเมื่อตรู่กลับถูกระเบิดให้กระเด็นเข้ามาในห้องอย่างรุนแรง กลุ่มวัยรุ่นทั้งหมดภายในห้องต่างหันไปจ้องมองร่างของผู้เข้ามาใหม่ด้วยความพร้อมเพรียง

                แม้ว่าบรรยากาศตอนนี้จะหนาวเย็นกว่าปกติ แต่บนร่างของพวกเขาทั้งเจ็ดคนนั้นกลับโชกด้วยเหงื่อแห่งความเหนื่อยล้าและความหวาดกลัว เมื่อได้เห็นสิ่งที่พวกเขาพยายามจะหนีมาตลอด แสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในยามนี้ ซึ่งก็คือแสงจากดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญ แม้จะไม่ได้สว่างเทียบเท่าหลอดไฟธรรมดา แต่ก็พอให้เห็นถึงรูปร่างของชายผู้หนึ่ง ซึ่งกำลังเดินเข้ามาในห้อง ชายผู้นี้มีรูปร่างพอๆกับนักเรียนม.ปลายธรรมดาทั่วไป ใบหน้าของเขาถูกปิดบังด้วยหน้ากากสีขาว มีเพียงช่องเจาะตาไว้สำหรับมอง และรอยสีดำซึ่งขีดยาวๆบริเวณปาก ราวกับกำลังแสยะยิ้มอย่างน่าหววาดกลัว เสื้อผ้าของเขานั้นเป็นสิ่งที่ทั้งเจ็ดคนคุ้นตาเป็นอย่างมาก เพราะมันคือ ชุดของนักเรียนในโรงเรียนเดียวกัน

                ในวินาทีที่ชายคนนั้น หันมาสบตากับหนึ่งในเจ็ดคนที่กำลังแอบดูอยู่นั้น ร่างของเขาก็พลันระเบิดออกจนเศษอวัยวะภายในทะลักออกมากระจายอยู่ทั่วห้องแลป คนอื่นๆต่างตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว

                ชายผู้สวมหน้ากาก ค่อยๆเดินไปทั่วห้องอย่างช้าๆ และทุกๆที่ ที่เข้าย่างเท้าผ่านไปนั้น เป็นอันต้องมีเสียงระเบิดของร่างกายกลุ่มวัยรุ่นดังอยู่ตลอดๆ จนเมื่อเสียงที่หกได้จบไป ดิษฐ์ หรือชายหน้าโจรที่เคยมีเรื่องกับพวกตะวันเมื่อตอนกลางวัน ได้รีบวิ่งหนีออกจากที่ซ่อน ด้วยกลัวว่าวาระสุดท้ายของตนจะถูกขีดเขียนโดยชายปริศนาผู้นั้น ทว่าก่อนที่เขาจะไปถึงยังทางออก ที่ในตอนนี้เหลือเพียงแต่ซากประตู นั้น ก็เกิดการถล่มของเพดานบริเวณทางออกจนทำให้ทางออกที่มีเพียงทางเดียวถูกปิด

                “ม..ไม่ ไม่ ฉันจะต้องไม่ตายด้วยน้ำมือของแก ไม่ ไม่ ม่ายยยยย!” ชายหน้าโจรร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะวิ่งไปทางหน้าต่างของห้อง และรีบกระโดดลงไปอย่างเร่งร้อน

                “รอดแล้ว ฉ....ฉันรอดจากแกแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เขาหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนที่จะตกลงไปกระแทกลงบนพื้นอย่างรุนแรง

    ตะวันสะดุ้งตื่นขึ้นมา หลังจากฝันร้ายเกี่ยวกับพวกรุ่นพี่ที่เจอมาเมื่อตอนกลางวัน เมื่อมองไปรอบกายเขาก็พบว่าในตอนนี้ เขาได้นอนอยู่ในห้องพยาบาลของโรงเรียน ข้างๆกายเขานั้น มีหญิงสาวคนหนึ่งฟุบหลับอยู่

    “ขิงๆ ยัยน้ำขิงตื่นได้แล้ว มัวมานอนน้ำลายยืดอยู่นั่นแหละ” ตะวันพูด

    น้ำขิงค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย “หืม อืมๆ ขอต่ออีกห้านาทีนะ... เฮ้ย ตะวัน นายตื่นแล้วๆๆ ไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหม แล้วนี่รู้สึกยังไงบ้างๆ แล้วตอนเกิดเรื่องนี่มันเกิดยังไงเนี่ย” น้ำขิงรัวถามออกมาเป็นชุดๆ

    “ทีละคำถามดิเห้ยๆ ก็ตอนนี้ไม่เจ็บอะไรแล้วอะ ตอนเกิดเรื่องนะเหรอ อืมไม่รู้สิ จำไม่ค่อยได้แฮะ ว่าแต่ฉันควรจะถามแกมากกว่าไม่ใช่เรอะไง ฉันมาอยู่ที่ห้องพยาบาลได้ไงเนี่ย แล้วก็นี่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่ ไอ้ต่อเป็นไงบ้าง”

    “ชิ ก็ถามเยอะไม่ต่างจากฉันแหละนะก็พอหลังจากเกิดระเบิดขึ้นในห้องน้ำอะ พวกยามกับอาจารย์ก็เข้ามาเยอะเลย มีคนไปพบนายกับใบชานอนสลบอยู่ภายใน ฉันเองก็แทบไม่เชื่อเลยนะเนี่ย แต่ดันเห็นทั้งตอนระเบิดทั้งตอนนายรอดน่ะสิ รอดมาได้ไงนะนั่น ฮ่ะๆ อ้อแล้วนายก็หลับยาวเลยล่ะ แต่อาจารย์บอกไม่เป็นไรมากเลยนอนพักฟื้นที่รร.ได้ ตอนนี้ก็หกโมงเช้าของอีกวันแล้วอะ”

    “แล้วไอ้ต่ออะ”

    “ต่อไปถูกส่งไปโรงพยาบาลอะ เห็นอาจารย์บอกอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเดี๋ยวก็หาย ฉันเองยังแปลกใจอยู่เลยเนี่ย ทั้งๆที่นายอยู่ตอนโดนระเบิด กลับไม่เป็นอะไรมากเนี่ยนะ”

    “ก็คนมันเทพอะทำไงได้ละ เฮ้ยๆเดี๋ยวนะ เมื่อกี้แกบอกว่าตอนนี้หกโมงเช้า แสดงว่าแกมาเฝ้าฉันตั้งกะไก่โห่เลยดิ แน่ะๆ สงสัยจะหลงในเสน่ห์ของฉันเข้าให้แล้วอะดิ ฮ่าๆๆๆ มิน่า เหมือนจะได้ยินเสียงแกตอนที่เกิดระเบิดด้วย มีคนเป็นห่วงเงี้ย คนหล่อก็ทำตัวไม่ถูกนะเนี่ย ฮะๆๆ”ตะวันหยอกล้อกลับไป

    “เฮ้ย ม...ไม่ใช่นะ ก็ห่วงในฐานะเพื่อนธรรมดานั่นแหละ ไอ้บ้าเอ๊ย คนอะไรวะหลงตัวเองชะมัด”

    “เออๆ แล้วแกเห็นไอบ้างป่ะ? ไอถามอะไรถึงฉันบ้างหรือเปล่าเนี่ย” ตะวันถาม

    “เหอะๆ ตัวเองไม่เคยห่วงเลยนะ แต่ไปสนใจยัยไออยู่ได้ เขาก็อยู่ของเขาปกติดีนั่นแหละ ส่วนเรื่องแกนะก็ต้องมีบ้างอยู่แล้วละน่า เห็นไอถามๆอยู่นะว่าตะวันไปไหน ฉันก็บอกว่าแกล้งป่วยอยู่ห้องพยาบาลไรงี้อะ” น้ำขิงตอบ

    “เฮ้ย ยัยบ้าไปทำให้เขาเข้าใจผิดหมด”

    “ฮะๆๆ ล้อเล่นๆ ก็บอกไอไปแล้วว่าแกสลบยาวยังไม่ตื่นอะ พวกอ่อนแอก็เงี้ย”

    ทั้งสองพูดจาหยอกล้อกันไปมา จนกระทั่งมีบุคคลที่สามเดินเข้ามาภายในห้องพยาบาล “เอ่อ ขอคุยกับคุณตะวันเป็นการส่วนตัวได้ไหมคะ คุณน้ำขิง” เป็นเสียงของใบชา ที่เดินเข้ามาพร้อมกับเด็กตัวเล็กๆ ที่มีหน้าตายียวนกวนประสาท กับผมตั้งๆที่ดูแล้วกวนบาทาพอสมควร

    “ไม่ต้องเรียกคุณก็ได้ๆ คนกันเองทั้งนั้นๆ เชิญเลยใบชาฉันกำลังจะไปหาอะไรกินพอดี แล้วเจอกัน” น้ำขิงบอกลา พร้อมกับค่อยๆเดินออกไปทางประตู

    “เอ่อคุณ ตะวัน ขอบคุณมากนะคะ เรื่องเมื่อวานน่ะ ถ้าไม่ได้คุณ ฉันคงต้องแย่แน่ๆเลย”

    “เอ่อ ไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ยังไงเราก็เพื่อนรุ่นเดียวกัน เรียกตะวันเฉยๆดีกว่า ส่วนเรื่องเมื่อวานไม่เป็นไรหรอก พวกเราเป็นเพื่อนกันยังไงก็ต้องช่วยเหลือกันอยู่แล้วน่า ว่าแต่นั่นน้องของชาเหรอ?”ตะวันถามพลางชำเลืองมองไปยังเด็กน้อยคนนั้น

    แทนที่ใบชาจะตอบ กลับเป็นเด็กชายคนนั้นที่เอ่ยขึ้นมาเอง “นี่เจ้า ทำให้ข้าเป็นแบบนี้แล้วยังจะมาลืมกันอีกนะ หึ เนี่ยละน้า ที่ข้าไม่อยากจะไปยุ่งกับพวกมนุษย์สมัยใหม่หน้าโง่อย่างพวกเจ้า วันๆไม่เคยจะรู้เรื่องราวอะไรกับเขาเลย ดีแต่ทำลายๆๆ ข้าจะรอสักวันที่พวกเจ้าโดนทำลายทิ้งให้หมด หึคอยดูเถอะ” น้ำเสียงอันแสนจะเป็นเอกลักษณ์ของมันดังขึ้น ตะวันสามารถจดจำเจ้าของเสียงได้แทบจะทันที แต่ไม่ค่อยอยากจะเชื่อในรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ของชายเผ่าโบราณที่ดูน่ากลัวคนนั้น

    “หึ! ก็ข้าที่ถูกผนึกจุดรวมพลัง แล้วเจ้าก็มาซัดพลังใส่ข้าในตอนนั้นทันทียังไงเล่า ชนเผ่าโบราณของข้านะ ไม่ตายง่ายๆหรอก พลังอันน้อยนิดของเจ้ามันก็ทำให้แค่พลังข้าลดน้อยลงจนต้องมาฟื้นพลังใหม่ในร่างเด็กก็เท่านั้น หึ!” มนุษย์โบราณบ่นออกมาเป็นชุดๆ ซึ่งท่าทีของมัน ในร่างนี้ แทนที่จะดูน่าหวาดกลัว กลับกลายเป็นน่ารักซะได้

    “แล้วตอนนั้นที่นายสลายไปล่ะ ไม่ได้ตายแล้วหรือไง” ตะวันถามด้วยความอยากรู้

    “หึ ในตอนนั้นพลังของข้ามันฟุ้งกระจายไปเพราะแรงของเจ้ายังไงล่ะ เลยใช้เวลารวมตัวของพลังที่มีเล็กน้อย”

    “อ๋อ เอ้อว่าแต่ ทำไมชาถึงถูกจับไปล่ะ ช่วยเล่าให้ละเอียดๆได้ไหม แล้วก็พลังที่ฉันมีตอนนั้นน่ะมันคืออะไรกันแน่”

    “ตะวันจำทุกอย่างได้?”

    “อื้อ ในตอนนั้นฉันเห็นทุกอย่างแหละ แต่กลับเหมือนว่าควบคุมร่างกายไม่ได้”

    “หึ กระจอกอย่างงี้จะทำยังไงได้เล่า!

    “ก็ เรื่องมันยาวนะคะ แต่เอาเถอะในเมื่อตะวันก็อาจจะถูกพวกนั้นเล่นงาน เรื่องมันอยู่ว่าในสมัยก่อน ประมาณช่วงสองหมื่นปีก่อนนะคะ คือ..” ขณะที่หญิงสาวกำลังจะกล่าวต่อนั้น ชายเผ่าโบราณก็พูดแทรกขึ้นมา

    “เรื่องในตอนนั้น ให้ข้าที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นจริงๆเล่าดีกว่า เมื่อราวๆสองหมื่น ไม่สิ ห้าหมื่นปีก่อน บรรพบุรุษของพวกข้า ได้ค้นพบพลังของมนุษย์ที่สามารถดึงเอาพลังของจิตวิญญาณ มาผสานกับพลังของธรรมชาติได้ พวกข้าเรียกมันว่า คูล’  โดยพลังนี้ จะแตกต่างกันไปในวิญญาณของแต่ละคน จึงไม่มีใครที่จะมีพลังซ้ำกันได้อย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นฝาแฝดกันก็ตาม 

    เมื่อพวกข้าเริ่มคุ้นเคยกับพลังแห่งธรรมชาติและคูล มันก็ทำให้มนุษย์ในสมัยนั้น เป็นสิ่งที่ทรงอำนาจที่สุดเลยก็ว่าได้ นี่ข้าไม่ได้โม้เหมือนพวกเผ่าพันธุ์ของเจ้านะ หลักฐานก็คือพวกข้าในยุคนั้น ได้มีการติดต่อสื่อสารกับพวก ซากัส... ก็พวกมนุษย์ต่างดาวที่เจ้าเรียกกันนั่นแหละๆ เจ้าพวกนี้ในภายแรกเข้ามาติดต่อด้วย เหมือนกับว่าต้องการแบ่งปันวิทยาการของพวกมันให้แก่พวกเรา ซึ่งในขณะนั้นด้อยซึ่งวิทยาการอยู่มาก เมื่อพวกเรารับวิทยาการจากพวกนั้นมา ด้วยความเก่งกาจของราชันย์แห่งเรา ท่านได้นำวิทยาการที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเผ่าพันธ์ของเรา จึงทำให้ดาวดวงนี้ก้าวหน้าขึ้นจนถึงขีดสุด พวกข้าสามารถติดต่อกับชาวดาวดวงอื่นๆได้ พวกข้าสามารถที่จะทำทุกๆสิ่งได้ที่ในปัจจุบันยังไม่สามารถทำได้ ทั้งยังไม่ไปเบียดเบียนเหล่าธรรมชาติอันเป็นแก่นหลักของพลังพวกเรา

    เมื่อพวกซากัส เห็นว่าวิทยาการของพวกเรานั้นก้าวหน้ามากโดยส่วนนึงก็เกิดจากการช่วยเหลือของพวกมัน พวกมันเลยพยายามที่จะสอบถามข้อมูลและวิธีการใช้คูล แต่เนื่องจากว่าพลังนี้มันสถิตย์อยู่ในวิญญาณของพวกเรา จึงไม่สามารถถ่ายทอด หรือสอนได้  เมื่อพวกซากัสเห็นพวกเราไม่ยอมบอกรายละเอียดของพลัง ก็คิดว่าพวกเรานั้นเก็บความสามารถเอาไว้เพียงลำพัง จึงได้บุกถล่มดาวแห่งเราโดยหวังว่าจะกำจัดไฟตั้งแต่ต้นลม แต่ด้วยความเก่งกาจของพวกข้า ทำให้พวกมันพ่ายแพ้ไปอย่างย่อยยับ แต่พวกมันเองก็ไม่ได้ยอมแพ้ พวกมันได้ส่งกองกำลังของมันมารุกรานทุกวันๆ ทั้งยังกองกำลังพันธมิตรรูปร่างประหลาดที่นำพามาอีกนับหมื่นนับแสนเผ่าพันธุ์

    ช่วงแรกๆพวกเราก็พอต้านทานได้ แต่นับวันๆพวกมันยิ่งส่งกองกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกข้าซึ่งไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้ไวขนาดนั้น จึงเริ่มเป็นฝ่ายเสียเปรียบทีละนิดๆจนกระทั่งวันหนึ่ง องค์ราชันย์ได้ประกาศเรียกรวมพล ณ เมืองหลวงของเรา แอตแลนติส  ในเวลานั้น พวกข้ามีจำนวนเหลืออยู่เพียงไม่กี่ล้านคน จากกว่าร้อยล้านในสมัยนั้น ทั้งยังรวบรวมคนมารวมกันที่เมืองหลวงได้ราวๆเจ็ดถึงแปดแสนคน ที่เหลือนั้นกลับขาดการติดต่อไปอย่างเป็นปริศนา แต่ก็นะเพราะเจ้าพวกนั้นจึงเป็นต้นกำเนิดของพวกเจ้า มนุษย์ยุคปัจจุบัน” มนุษย์ชาวโบราณหยุดพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวต่อมาว่า

    “เมื่อองค์ราชันย์รวบรวมไพร่พลเท่าที่จะทำได้แล้ว ท่านก็ได้เผยให้เห็นถึงสุดยอดสิ่งก่อสร้างในตอนนั้น นั่นก็คือมหาวิหารแห่งคูล ที่แห่งนี้เป็นเสมือนกับป้อมปราการขนาดใหญ่ จุคนได้ถึงหนึ่งแสนคน พวกข้าจึงรวบรวมเหล่าผู้ใช้คูลที่แข็งแกร่งมายังที่นั่น ส่วนเด็กๆและพวกผู้หญิงก็ได้ให้ไปหลบยังฐานหลบภัยใต้วิหาร เมื่อพวกซากัสบุกมาในคราวนี้ มันก็พุ่งตรงมายังวิหารเลย เพราะพลังที่แผ่ออกมมาจากวิหารนั้นทำให้พวกซากัสต้องรีบมาทำลายโดยด่วน  และเมื่อพวกมันมาถึง มหาวิหารแห่งนี้ก็ทำการจู่โจมกลับไปด้วยพลังคูลแห่งการหลอมรวมขององค์ราชันย์ ได้รวมพลังคูลของคนที่เหลือให้เป็นหนึ่ง ผ่านตัวกลางที่เป็นแกนของวิหาร แล้วพุ่งออกไปทำลายกองทัพของพวกมันจนหายไปแทบจะทันที ถ้าเทียบกับความรุนแรงของสมัยนี้.... เจ้าพวกโง่อย่างเจ้ายังคงสร้างไม่ได้หรอกๆๆ อ้อ แล้วหลังจากที่เจ้าพวกนั้นเริ่มจะรู้ซึ้งถึงแสนยานุภาพของพวกข้า พวกมันก็เริ่มถอยหนีออกไป ในตอนแรกก็คิดว่าพวกมันคงจะกลัว แต่ที่ไหนได้พวกมันกลับยิงปืนลำแสงอะไรสักอย่าง... ที่รียกว่าซีทรีมั้ง ข้าไม่ค่อยสนใจมันหรอกๆ เพราะตอนมันยิงมา ลำแสงนั่นสว่างจ้ามาก แต่กระทบกับเกราะป้องกันของมหาวิหาร ซึ่งมันเป็นพลังคูลของท่านราชันย์เพียงคนเดียว อ้อข้ายังไม่ได้บอกสินะ ว่าท่านราชันย์นั้นสามารถใช้คูลได้ถึง 7 รูปแบบ หลังจากนั้นพวกมันก็ส่งมาทั้งลำแสงประหลาดและกองทัพ จนผ่านไปราวๆเจ็ดวันกระมัง ตอนนั้นพวกเราก็พลาดท่า ลืมคิดไปถึงการเตรียมสเบียง ไม่สิพวกข้าไม่คิดว่าการต่อสู้มันจะยืดเยื้อขนาดนี้ ท่านองค์ราชันย์จึงคิดจะปิดฉากสงครามด้วยอาวุธสุดท้ายของมหาวิหารแห่งนี้ แต่ยังไม่ทันที่พวกข้าจะได้ใช้ไม้ตายอันนั้น เจ้าพวกซากัสกลับบุกเข้ามาอย่างรุนแรงอีกครั้ง ครั้งนี้มันนำเผ่าพันธุ์ประหลาดมาด้วย ดูเหมือนว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีความคล้ายกับเผ่าพันธุ์ของพวกข้า  คือมีพลังคูลอยู่ในตัว แต่พวกมันไม่ได้เรียกว่าคูล ข้าเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันเรียกว่าอะไร ที่รู้ๆคือพลังนั้นเหนือกว่าพลังแห่งคูลของเรามาก พวกมันคือเผ่าเซทาเลียน รูปร่างคล้ายกับมนุษย์ แต่กลับมีเขายาวๆงอกออกมา ปีกสีดำอีกสามคู่ที่ดูไม่เหมือนหมนุษย์ และอุ้งมือที่ดูราวกับสัตว์ป่าที่แสนดุร้าย พวกมันมาเพียงสิบกว่าตัวเท่านั้น แต่สามารถหลบพ้นการโจมตีของวิหารแห่งคูลไปได้หมด องค์ราชันย์จึงคาดว่าเป็นเพราะความเร็วสูงของเหล่าเซทาเลียนทำให้อาวุธที่โจมตีประเภทหมู่ของพวกเขาใช้ไม่ได้ผล ท่านจึงส่งนักรับชั้นแนวหน้านับร้อยชีวิตของเผ่าพันธุ์ออกไปสู้ แม้มันจะน่าเจ็บใจแต่มันก็คือความจริง เมื่อกองทัพนับร้อยกลับพ่ายแพ้แก่กลุ่มคนเพียงสิบกว่าคน จนในที่สุดที่พวกคนมีเขาได้บุกเข้ามาถึงวิหาร พวกเราพยายามต้านท้านสุดกำลัง แต่พวกมันก็เหลือรอดไปได้ถึงสามคน ในขณะที่กองทัพของเผ่าพันธ์แห่งข้าเหลือเพียงไม่กี่ร้อยชีวิต จากแสนๆคน ข้าในตอนนั้นซึ่งเป็นเพียงสมาชิกของหน่วยวิทยาการ ก็เหลือรอดอยู่ร่วมกับหน่วยองครักษ์และองค์ราชันย์ ในเวลานั้นทุกคนร่วมกันสู้อย่างสุดกำลัง ทั้งยังเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นพลังทั้งเจ็ดชนิดขององค์ราชา สุดท้ายเจ้าพวกนั้นก็ยังเหลือสามคนเท่าเดิม แต่พวกข้ากลับเหลือเพียงสิบกว่าคน ถ้ารวมข้าด้วย ในคราวนั้นที่ทุกคนเริ่มย่อท้อต่อโชคชะตา องค์ราชาก็ได้ตัดสินใจยืมพลังของธรรมชาติมาจนเกินขีดจำกัดที่ร่างกายจะรับไหว” พอพูดมาถึงจุดนี้ ชายเผ่าโบราณก็หยุด แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า

    “การหยิบยืมพลังจากธรรมชาตินั้น ความจริงแล้วสามารถยืมมาได้เท่าไรก็ได้ ตราบเท่าที่สิ่งนั้นยังคงเหลืออยู่ในธรรมชาติ หากแต่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดปริมาณของการหยิบยืมพลัง นั่นก็คือขีดจำกัดของร่างกายแต่ละคน องค์ราชันย์ได้ใช้พลังจนเกินขีดจำกัดที่มี หยิบยืมพลังจากธรรมชาติทั้งหกหลอมรวมเป็นหนึ่ง แล้วพุ่งทำลายร่างของช่าวเผ่าเซทาเลียนทั้งสามตนที่ยังเหลืออยู่ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ที่การโจมตีครั้งสุดท้ายนี้กลับไม่สามารถโค่นศัตรูได้หมด เพราะยังเหลือชนเผ่าปิศาจนั้นอยู่อีกหนึ่งตน เมื่อองค์ราชาเห็นเช่นนั้น จึงรีบตัดสินใจใช้มนตราศักดิ์สิทธิ์ซึ่งต้องแลกด้วยชีวิต ความจริงแล้วมนตราเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่สมควรกระทำเท่าไรนัก เพราะนอกจากจะต้องแลกด้วยชีวิตของผู้ร่ายแล้ว ยังต้องทำให้ธรรมชาติอยู่ในสภาวะอสมดุลชั่วคราว ซึ่งอาจนำมาซึ่งภัยพิบัติอันน่ากลัว แต่ในเมื่อเรื่องทั้งหมดมาถึงจุดวิกฤติขนาดนี้แล้ว บวกกับการที่ท่านได้ใช้พลังจนเกิดขีดจำกัดทำให้เหลือเวลาอยู่เพียงไม่นาน จึงต้องเสี่ยงกับมนตราศักดิ์สิทธิ์บทนั้น ซึ่งสิ่งที่ท่านได้กระทำคือ การใช้มนตราศักดิ์สิทธิ์แลกชีวิตของท่านกับการมีอายุขัยกว่าพันๆปีของชาวเผ่าแห่งเรา แต่เนื่องจากคำขอของท่านที่ยิ่งใหญ่จนเกินไป จึงทำให้ชนเผ่าแห่งเราสูญเสียความมีอายุยืนไป แต่สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยนหาใช่แค่นั้นไม่ พลังแห่งการสื่อสารกับธรรมชาติที่พวกเราเคยมีทุกคน กลับต้อ งสูญหายไปอีกด้วย ทั้งชนเผ่าแห่งข้าที่ได้รับผล นั้นจำกัดอยู่เพียงแค่ผู้ที่อยู่ในมหาวิหารเท่านั้น แต่ผู้ที่ต้องสูญเสียพลัง คือทุกๆคนในชนเผ่า แต่เนื่องจากพวกเราไม่รู้ถึงข้อตกลงอันเอาเปรียบจากเทพเจ้าเช่นนี้ องค์ราชาจึงยินยอมแลก โดยไม่ได้เอะใจอะไร แม้ว่าพวกข้าจะได้พลังแห่งความเป็นอมตะมาในครอบครอง แต่การต่อสู้โดยไม่ได้หยิบยืมพลังของธรรมชาตินั้นไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าคุ้น แม้ว่าจะรุมโจมตีเผ่าเซทาเลียนตนนั้นเท่าไรก็ไม่สามารถกำจัดมันได้ และความรู้สึกเจ็บปวดมันไม่ได้หายไปด้วย ยิ่งสู้พวกข้าก็ยิ่งทรมานจนกระทั่งที่เจ้าอสูรหกปีกตนนั้นเหมือนจะหยุดจู่โจม ราวกับว่ามันรู้วิธีจะจัดการกับพวกเรา มันค่อยๆร่ายอะไรสักอย่างออกมา พวกข้าทุกคนพยายามที่จะขวัดขวางมัน แต่เหมือนกับว่ามีพลังอะไรสักอย่างรอบๆตัวมัน ทำให้เราไม่สามารถเข้าใกล้มันเลย เมื่อมันร่ายมนต์จบ พวกข้าถึงรู้ว่ามันนั้นได้ทำอะไร

    ในตอนนั้นพวกข้าสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่หมุนวนรอบๆตัว มันคือพลังของธรรมชาติ ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าทำไมมันถึงใช้พลังแห่งธรรมชาติได้ มันค่อยๆผนึกพลังเหล่านั้นลงในกายพวกข้า ความรู้สึกมันเหมือนกับว่าร่างกายเจ้าถูกเจาะรูเล็กๆทั่วตั้ว แล้วพลังข้างในมันจะระเบิดออกมาในช่วงนั้นเองพวกข้าทั้งหมดที่เหลืออยู่ตรงนั้นได้ถูกกระแสพลังเข้าทำลายจากภายในและภายนอกพร้อมๆกัน จนดวงจิตแห่งวิญญาณถึงกับหลุดออกจากร่างกาย มันผนึกวิญญาณของพวกข้าที่อยู่ในบริเวณนั้นรวมกัน แล้วผนึกไปพร้อมๆกับมหาวิหารแห่งคูลจนทำให้เมืองทั้งเมืองรับผลกระทบของพลังนั้นไปด้วย แต่รู้สึกว่าเจ้านั่นเองก็ต้องแลกกับพลังที่มีไปด้วยล่ะมั้ง ก่อนข้าจะโดนผนึกเห็นมันค่อยๆสลายไป”

    “แล้วทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ในเมื่อทุกคนโดนผนึกหมดแล้วนี่นา” ตะวันถาม

    “เรื่องนี้ชาตอบแทนก็ได้ค่ะ เพราะโบจังเล่าให้ชาฟังหมดแล้ว”

    “โบจัง? ชื่อของ....”

    “ใช่ค่ะ ชาตั้งให้เองเพราะเขาลืมชื่อของตัวเองไปแล้ว และชาก็เห็นว่าเขามาจากชนเผ่าโบราณของโลก เรียกว่าโบจังนั่นแหละดีแล้ว”ชาตอบ พร้อมกับยิ้มให้โบจังที่กำลังยืนอย่างงงๆ ตะวันได้แต่ส่ายหน้าไปมา

    “ทำไมล่ะเจ้าโง่ ! ข้าไม่รู้หรอกนะว่าภาษาของปัจจุบันเป็นยังไง แต่เมื่อวานยัยผู้หญิงคนนี้มันขอร้องให้เรียกข้าว่าโบจัง ข้าก็ไม่ค่อยอยากขัดใจพวกผู้หญิงเท่าไรนัก หึ”

    “งั้นเหรอ มันก็... มันก็เหมาะดีแล้วล่ะนะ แล้วเรื่องเป็นยังไงล่ะชา” ตะวันตอบพร้อมอมยิ้มน้อยๆออกมาอย่างอดไม่ได้

    “ก็คือว่า เมื่อตอนที่เกิดแผ่นดินไหวที่มหาสมุทรแอตแลนติก มันได้ทำให้มหาวิหารแห่งคูล ไม่สิคะ เมืองทั้งเมืองได้โผล่ออกมาจากใต้สมุทร  แล้วเมื่อมีนักสำรวจเข้าไปในนั้น รู้สึกว่าพวกเขาได้ทำอะไรบางอย่างจนผนึกเสื่อมอำนาจลง และทุกๆวันที่พระจันทร์เต็มดวง ผนึกจะค่อยๆอ่อนกำลังลงจนหายไปในที่สุด เมื่อคืนวานก็เป็นคืนแรกที่ดวงจันทร์เต็มดวง ผนึกเลยคลายออกเล็กน้อย แล้วโบจังก็มาโผล่ที่โรงเรียนของเรา ส่วนเจ้าพวกนั้น พี่เมฆน่ะ เขาเป็นสมาชิกขององค์กรลับแห่งหนึ่ง ชาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะคะว่าองค์กรนั้นมีชื่อว่าอะไร แต่เท่าที่ชาพอรู้จากคำบอกเล่าของพี่เมฆ องค์กรนั้นน่าจะเป็นสถานที่ที่รวบรวมเหล่าผู้ที่สามารถใช้พลังแห่งคูลที่อยู่ในตัวของแต่ละคน รวมไปถึงผู้ที่สามารถหยิบยืมพลังจากธรรมชาติ” ชากล่าว
                “อืม... เออใช่ แล้วไอ้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของผมเมื่อวานล่ะชา มันคืออะไรล่ะ ?” ตะวันถามอย่างสงสัย
                หญิงสาวคนเดียวในห้องส่ายหน้า พลางหันไปมองยังมนุษย์โบราณตัวจิ๋ว
                “ฮึ่ย อย่ามามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นสิ
    ! ถึงข้าจะเป็นผู้รอบรู้แทบทุกสิ่งในจักรวาล แต่มันก็มีบางเรื่องที่ข้าไม่รู้เหมือนกันหรอกน่า” โบ พูดไป พลางเบือนหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบสายตาของชา
                “แล้วชาจะทำยังไงกับโบต่อล่ะ เดี๋ยวพวกเราก็ต้องเข้าเรียนแล้วนะ”
                “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าโง่ ข้าดูแลตัวเองได้น่า ถึงข้าจะมีพลังเพียงหนึ่งในล้านของร่างจริงก็ตาม แต่พลังแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับการอยู่กับพวกมนุษย์ที่โง่เขลาและแสนอ่อนแอเยี่ยงพวกเจ้า
    !
                “ก็อย่างที่โบบอกแหละค่ะตะวัน แต่ชาก็ให้แค่โบจังอยู่ภายในเขตโรงเรียนนี่แหละค่ะ เพราะถ้าพวกองค์กรนั่นรู้ตัว มันคงไล่ตามล่าโบจังแน่ๆเลย” ชาเอ่ย
                “แล้วถ้าเจ้าเตี้ยนี่มันหลงทางในโรงเรียน หรือถ้าเกิดมีเหตุฉุกเฉิน พวกเราจะช่วยยังไงล่ะ”
                “เจ้าโง่
    ! พวกที่มีพลังคูล สามารถติดต่อถึงกันได้อยู่แล้ว ระยะทางเพียงไม่กี่10 ทูร์ เอ๊ย ประมาณ 500 เมตรอะไรนั่น สื่อสารกันได้สบายน่า” โบ ตวาดกลับไปอย่างอารมณ์เสีย
                ชาเห็นตะวันทำท่าไม่เข้าใจ จึงได้อธิบายและบอกวิธีการสื่อสารผ่านพลังคูลภายในตัวของแต่ละคน
                “แล้วสาเหตุที่เมฆจะตามจับคุณเข้าพวกล่ะครับ”
                “ก็อย่างที่บอกแหละค่ะ องค์กรนั้นจะรวบรวมคนที่ใช้พลังคูลได้ ให้มาอยู่ใต้อาณัติของเขา ใครขัดขืนไม่ยอมเข้าร่วม ก็จำเป็นที่จะต้องกำจัดออกไป พวกเขาคงกลัวว่าผู้ที่จะไม่เข้าร่วมกับเขา จะไปร่วมมือกับฝั่งตรงข้ามละมั้งคะ”
                “ฝ่ายตรงข้าม? หมายความว่ายังไงกัน?” น้ำเสียงเคร่งเครียดดังขึ้น
                “เรื่องนี้ชาเองก็ไม่ทราบเช่นกันค่ะ”
                “งั้นผมขอตัวเข้าห้องเรียนก่อนดีกว่า เจ้าพวกเพื่อนของผมคงจะมีเรื่องคุยกันอีกยาว แล้วเจอกันนะครับคุณชา”
    ตะวันกล่าวลา พลางลุกออกจากห้องพยาบาลไป
                “มันจะดีเหรือคะคุณโบ ที่เราไม่ได้บอกเกี่ยวกับบางสิ่งที่ติดมากับร่างกาย
    ของเขาน่ะ” เสียงที่แฝงความกังวลดังขึ้น

                “ฮึ่มม ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนั้นสักเท่าไร อีกอย่างถ้ามันรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรแล้วยังไงล่ะ ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นมานี่นายัยหนู”

    ตะวันรีบเดินขึ้นไปยังห้องเรียน พร้อมกับกระเป๋าเป้สีดำประจำตัว
                “อ้าวตะวัน ดีขึ้นแล้วเหรอวะนั่น” เสียงของก้องดังขึ้นมาเป็นคนแรก ตามด้วยเสียงของเพื่อนๆอีกหลายคน ที่ได้กรูเข้ามาถามถึงอาการของเขา ในขณะที่ทุกคนกำลังล้อมรอบตะวันนั้นเอง อาจารย์พัชรี ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ที่ดุที่สุดในระดับชั้น ก็ได้เดินขึ้นมา พร้อมกับไม้เรียวด้ามยาวคู่ใจ
                “นี่พวกเธอ จะคุยอะไรกันนักหนา
    ! ลงไปเข้าแถวได้แล้ว ไป ไป ไป “ แทบจะในทันทีที่อาจารย์พูด เหล่านักเรียนที่เคยรายล้อมตะวันได้สลายไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียง ก้อง เอก ขิง และตะวันเอง พวกเขามองหน้ากันและอมยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะเดินลงบันไดไป
                “แล้วต่อมันจะกลับมาเรียนได้อีกทีเมื่อไรอะ” ตะวันถาม
                “ก็ มะรืนนี้มั้ง ไม่น่านานนักหรอก ว่าแต่นายเหอะ อยู่ในเหตุการณ์ด้วย ทำไมถึงไม่ค่อยเป็นอะไรเลยฟะ
                “เอ่อ.. ก็ชั้นอยู่ไกลจากจุดระเบิด แล้วก็โดนไอ้เมฆมันทำร้ายเล็กน้อยเอง รีบไปเข้าแถวกันเหอะ เดี๋ยวอาจารย์พัชรีก็ตามมาหรอก” ตะวันรีบเอ่ยพร้อมทั้งวิ่งลงไป
                เมื่อพวกเขา รวมไปถึงนักเรียนคนอื่นๆ มาเข้าแถวรวมกันยังหน้าเสาธงใหญ่ ประธานนักเรียนก็ได้เริ่มพิธีการไปตามปกติ คนส่วนใหญ่ก็พูดคุยกันไปตามประสาวัยรุ่น ท่ามกลางแสงอาทิตย์ ที่ต่อยๆโผล่พ้นฟ้า จนสลายร่มเงาที่ยังพอลงเหลืออยู่ไปเกือบหมด
                ไม่นานนัก ก่อนที่แสงอาทิตย์จะปกคลุมพื้นที่อย่างเต็มความสามารถ อาจารย์สาวผู้ที่ถือว่าเป็นโฆษกแห่งคณาจารย์ทั้งหมด ก็ได้เริ่มพูดขึ้น “สวัสดีนักเรียนที่น่ารักทุกคน วันนี้ครูมีข่าวดีมาแจ้งให้พวกเธอได้รู้กัน วันนี้จะมีนักเรียนแลกเปลี่ยนเข้ามาสองคน คนแรกคือ ชินนะมารุ โฮโนะยาฉะ และ นิค ชาร์มานอฟ ฟังจากชื่อก็คงจะรู้กันแล้วสินะว่าใครมาจากประเทศอะไร ชินนะมารุ จะเข้าเรียนในระดับชั้น ม.4/11 ส่วน นิค จะเข้าเรียนในระดับชั้น ม.5/13 ในตอนนี้พวกเขาทั้งสองกำลังเดินทางมา ครูจึงยังไม่สามารถพาเขามาแนะนำตัวในตอนนี้ได้ ฝากพวกเธอทั้งสองห้อง ช่วยดูแลเขาดีๆก็แล้วกัน ครูขอฝากไว้แค่นี้ก็แล้วกัน แยกย้ายกันขึ้นห้องเรียนได้”
                “ขอบคุณครับ/ค่ะ”
                เหล่านักเรียนในห้องทั้งสอง ที่อาจารย์ได้เอ่ยชื่อออกไปเมื่อครู่นั้น ต่างก็พากันพูดคุยกันไปต่างๆนานา หนึ่งในวงสนทนาเหล่านั้น รวมไปถึงกลุ่มของตะวันด้วย เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งในนักเรียนของห้องม.4/11เช่นกัน แต่ละคนต่างก็พูดคุยถึงรูปร่างลักษณะ และนิสัยของชายที่ชื่อชินนะมารุไปต่างๆนานา จนกระทั่งทุกคนเดินมาถึงยังห้องเรียน ก็พบกับชายคนหนึงรออยู่หน้าห้องก่อนพวกเขา
                แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่มุมมองจากด้านข้าง แต่ก็ไม่อาจบดบังรัศมีที่ดูอบอุ่นนั้นได้ ด้วยท่าทางที่ดูสง่าของชายร่างสูง  แม้ว่าจะอยู่ในชุดนักเรียน แต่มันก็ไม่สามารถจะบดบังรูปร่างที่ดูสมส่วนได้ ทั้งใบหน้าที่คมคาย คิ้วเข้ม จมูกโด่งเป็นสันราวกับเทพบุตร และสิ่งที่เด่นที่สุด เห็นจะเป็นผมของเขา ที่รวบเป็นหางม้า ยาวประบ่า แลดูราวกับซามูไรจากแดนอาทิตย์อุทัย เมื่อมีสายตาหลายสิบคู่จ้องมองมามากเข้า ชายเจ้าของผมยาวสลวย ก็ได้หันมามองทุกคน
                “สวัสดีครับทุกคน ผมชินนะมารุ โฮโนะยาฉะ เรียกสั้นๆว่า ชิน ก็ได้นะครับ ผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาจากเกียวโต แต่ก็มาเมืองไทยหลายรอบแล้วละครับ” ชายที่ชื่อชินกล่าว หลังจากที่เพื่อนๆในห้องนั่งกันหมดเรียบร้อยแล้ว
                “ทำไมนายถึงพูดภาษาไทยคล่องมากล่ะ แถมยังชัดอีกต่างหาก” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น
                “ผมเป็นลูกครึ่งน่ะครับ แม่ผมเป็นคนไทย แล้วผมเองก็เคยมาเที่ยวเมืองไทยหลายครั้งแล้วล่ะครับ”
                ในขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ อาจาย์พัชรี ผู้เป็นเจ้าของคาบแรกในวันนี้ก็ได้เดินเข้ามา “พวกเธอแนะนำตัวกันเสร็จแล้วใช่มั้ย รีบๆไปนั่งที่ได้แล้วนักเรียนแลกเปลี่ยน ตรงมุมห้องนู้นก็ยังว่าง เร็วๆเข้าสิ อย่าให้มันเสียเวลาคาบฉันมาก” อาจารย์สาวผู้ครองตำแหน่งที่สุดแห่งความดุของโรงเรียนตวาด ชินยกมือขอโทษแล้วจึงรีบเดินไปยังที่ว่าง ซึ่งเป็นที่นั่งด้านหน้าของตะวันและพรรคพวก
                เมื่อคาบแรกอันแสนเคร่งเครียดได้จบลงไป เหล่านักเรียนต่างๆก็เข้ามาพูดคุยกับชินแทบจะไม่ขาดสาย ซึ่งก็ตามด้วยการถูกดุของอาจารย์ในคาบถัดไปเช่นเคย
                ในที่สุด เสียงกริ่งของการพักกลางวันก็ดังขึ้น ผู้คนในห้องต่างทะยอยกันไปยังโรงอาหาร เหลือเพียงก็แต่กลุ่มของตะวัน และนักเรียนแลกเปลี่ยน
                “นายไม่ไปหาอะไรทานเหรอ เอ่อ... ชิน” เอกถาม
                “คือว่า ผมยังไม่ค่อยหิวนะครับ แล้วพวกคุณละครับ”
                “เดี๋ยวก็ไปแล้วแหละ รอยัยขิงมันเก็บของอยู่น่ะ” ตะวันพูด
                ระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน และทำธุระส่วนตัวไปนั้น เสียงของโบ ก็ดังขึ้นภายในหัวของตะวัน
    เจ้าโง่ ข้าจับสัมผัสถึงพลังประหลาดภายในโรงเรียนนี้ได้ เจ้ารีบมาหาข้าด่วนเลย ที่ห้องของหนูผู้หญิงเมื่อเช้านะเมื่อสัญญาณหายไป ตะวันจึงอ้างกับเพื่อนๆว่าตนจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วรีบออกไปจากห้องในทันที
           ‘
    เจ้าโบเอ๊ย ทีการเรียกนะยังไม่เป็นธรรมเล้ยตะวันนึกขันในใจ อาคารเรียนของเชาตั้งอยู่ในชั้นสาม จาก5ชั้นของโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งห้องของใบชานั้น อยู่ที่ชั้นสี่ ในอีกอาคารเรียนหนึ่ง ซึ่งถือว่าไกลพอสมควร
                ในห้องของใบชานั้น ตอนนี้มีเพียงใบชาและโบเพียงสองคน นั่งรออยู่หน้าห้อง ตะวันจึงรีบเดินเข้าไปหา
                “มาซะทีนะเจ้างั่ง วิ่งมาได้เร็วแค่เนี้ยเรอะ น่าแปลกใจนะที่ข้าถูกคนอย่างแกจัดการน่ะ ชิ” โบสบถ
                “คือว่า คุณโบเขาบอกว่าเขาจับสัมผัสได้ถึงการถือกำเนิดใหม่ของพลังคูลน่ะคะ แล้วก็ รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้น อยู่ในเขตโรงเรียนนะค่ะ”หญิงสาวเอ่ย

    “เอ่อ ผมสงสัยมานานแล้วนะ ช่วยอธิบายเรื่องพลังอะไรนั่นทั้งหมดอีกรอบหน่อยสิ” ตะวันเกาศีรษะ

    “เจ้าโง่เอ๊ย ตั้งใจฟังดีๆละ เดิมทีมนุษย์โลก สามารถใช้พลังได้สองชนิด คือคูล กับพลังแห่งธรรมชาติ ก็พวกดินน้ำลมไฟแหละนะ แล้วพอองค์ราชันแห่งข้า ได้ผนึกกำลังในการต่อสู้ครั้งนั้น ทำให้มนุษย์เกือบทั้งโลก ไม่สามารถใช้พลังแห่งธรรมชาติได้ ส่วนพลังแห่งคูลนั้น มันได้เสื่อมถอยลงตามกาลเวลา ก็เหมือนกับหางของพวกเจ้าละนะ เมื่อไม่ได้ใช้ นานวันเข้าก็เริ่มหด จนในปัจจุบัน พวกเจ้าก็ไม่มีหาง เช่นเดียวกับพลังคูลนั่นแหละ พวกเจ้าไม่ใช้ นานวันเข้าก็ใช้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่า เมื่อผนึกที่ปิดกั้นดินแดนของพวกข้าเริ่มอ่อกำลัง มันจะส่งผลต่อไปยังสภาพพลังภายในสิ่งมีชีวิตทุกสิ่ง จึงไม่แปลก ที่เผ่าพันธุ์ของเจ้าจึงเริ่มกลับมาใช้พลังคูลได้อีกครั้ง ซึ่งพลังคูล มันก็เป็นพลังพิเศษที่แฝงอยู่ในวิญญาณของทุกสิ่งมีชีวิตนั่นแหละ  แต่ละคนก็จะแตกต่างกันไป แต่ก็อาจจะมีคล้ายๆกันบ้างแหละน่า” โบกล่าวอย่างรวดเร็ว
                “แล้วเราจะรู้ได้ยังไงละ ว่าใครมีพลังคูลหรือไม่มี”
                “มันมีพลังคูลกันในตัวหมดนั่นแหละ แต่ถ้าจะสังเกตว่าใครเริ่มใช้ได้แล้ว ก็... พวกเจ้าดูไม่ออกหรอก ข้าเองก็ดูไม่ออก แต่แค่พอจับสัมผัสได้ว่ามีขุมพลังใหม่ๆเพิ่มขึ้นก็เท่านั้น”
                “แล้วพลังของผมละครับ”
                “ก็พลังของเจ้า เป็นพลังของธรรมชาติส่วนหนึ่งไงละ ยังไม่นับรวมพลังคูลของเจ้า เพราะข้าเองก็ยังไม่เห็นพลังคูลของเจ้านะ ส่วนยัยหนูนี่มีแต่พลังคูลธรรมดา ไม่ได้มีพลังธรรมชาติเหมือนเจ้า บนโลกนี้ ปัจจุบันผู้ที่ใช้พลังจากธรรมชาติมันมีน้อยมาก ข้าก็ไม่รู้นะว่าเพราะอะไร”
                “แล้วพลังของนายละ มันเป็นรูปแบบไหนกันแน่”
                “หึ เดิมที พลังของข้าก็มีเพียงคูล และพลังแห่งธรรมชาติ แต่ตั้งแต่ได้เริ่มสร้างมหาวิหารในครั้งนั้น มันทำให้พวกเราได้ค้นพบพลังอำนาจใหม่ ซึ่งไม่ได้มีใครตั้งชื่อให้มัน ทุกๆคนที่อยู่ในวิหารตอนนั้น ต่างก็ได้รับพลังเหล่านั้น เห็นเจ้างั่งเมื่อวานมันเรียกว่าพลังโบราณอะไรนั่นแหละพลังนี้ เป็นพลังไร้สภาพ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า มีพลังทำลายล้างรุนแรง แทบจะสมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน อ้อ แล้วก็มีอีกอย่าง มันเป็นเหมือนตราบาปแห่งพระผู้เป็นเจ้าของพวกข้าซะมากกว่า มันคือ มนตราโบราณต้องห้าม ในยุคของข้าก็มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ใช้ได้ มันเป็นเสมือนกับที่สุดของมนตราและพลังทั้งหมด ข้าเองก็อธิบายไม่ถูก เพราะข้าไม่เคยเจอคนพวกนั้นใช้พลังเลย”
                ตะวันและชาต่างก็พยักหน้าตอบรับเรื่องราวที่โบเล่ามา

    “แล้ว ทำยังไงถึงพวกเราจะควบคุมพลังนั้นได้ละ”
                “ประสบการณ์ไงล่ะ หึหึ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×