คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
บทที่ 2
“บ้าที่สุดเลย!”
ฟารีดากรีดร้องทั้งน้ำตาด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ หล่อนฟุบหน้าลงบนฟูกนอนหนานุ่มทำด้วยขนสัตว์ พวกผู้เฒ่าหัวเก่าพวกนั้นคงกำลังต่อว่าต่อขานหล่อนอยู่เป็นแน่ ดีไม่ดีนอกจากเธอจะสูญเสียม้าแล้วยังอาจถูกลงโทษอีกด้วย ความหวังของเธอหมดสิ้นไปนับตั้งแต่ผลการตัดสินใจของพ่อ คราวนี้นอกจากฮาชีมแล้วก็คงไม่มีใครอยู่ฝ่ายเธอเลยแม้แต่คนเดียว
ให้เรายอมแพ้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ไม่มีทางหรอก!
เด็กสาวคิดอย่างหมายมั่นพร้อมกับใช้หลังมือปาดคราบน้ำตาออกจากแก้ม ม้าตัวนั้นมันยอมสยบต่อเธอ เป็นของเธออย่างชอบธรรม ใครก็พรากมันไปจากเธอไม่ได้ ว่าแล้วหล่อนก็ตอกย้ำความคิดตัวเองด้วยการสาวเท้าตรงไปยังหีบบรรจุเครื่องแต่งกาย และทำการรื้อค้นชุดคลุมออกมากองบนพื้นตัวแล้วตัวเล่าจนในที่สุดหล่อนก็พบชุดสีดำสนิทพร้อมด้วยผ้าคลุมศีรษะเหมาะสำหรับการพรางตัวในยามกลางคืน จากนั้นจึงหยิบหีบสีน้ำตาลเข้มที่เคยซ่อนมันเอาไว้ออกมาวางกลางกระโจม เด็กสาวนั่งท่าขัดสมาธิพลางถูมือไปมาป้อยๆ อย่างกระตือรือร้นก่อนทำการเปิดฝาหีบ ภายในบรรจุอาวุธจำพวกมีดพก กริชและดาบที่ได้มาจากฮาชีมบ้าง ไม่ก็แอบขโมยมาจากพวกเด็กผู้ชายคนอื่นตามแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย
“พกไปแค่นี้คงพอแล้วกระมัง”
ฟารีดาพึมพำกับตัวเองเสียงเบาเมื่อเลือกอาวุธใช้สำหรับการป้องกันตัวเสร็จเรียบร้อย หีบใบเดิมถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในที่ลับเป็นอย่างดี เด็กสาวเดินไปเดินมาภายในกระโจมด้วยความกระวนกระวายใจเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนคิดขี่ม้าหนีออกจากเผ่า แม้จะเป็นเพียงการหนีชั่วครั้งชั่วคราว หล่อนก็รู้สึกกังวลอยู่ดี ใจหนึ่งก็อยากชวนฮาชีมไปเป็นเพื่อน แต่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เขาอาจเคยคล้อยตามเธอในหลายเรื่องก็จริง สำหรับเรื่องนี้คงเป็นข้อยกเว้น หล่อนถอนหายใจ เธอรู้ดีว่าการหนีปัญหาไม่ใช่ทางออกเหมาะสมมากนัก แต่มันดูจะเป็นหนทางเดียวที่หล่อนคิดออกในสถานการณ์เช่นนี้ เถอะ เป็นไงเป็นกัน!
เด็กสาวเชิดหน้าขึ้น สายตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นระคนดื้อรั้นแบบเด็ก ๆ ไม่ได้คิดคำนึงเลยว่าทะเลทรายอันเวิ้งว้างนั้นแฝงความน่ากลัวใดบ้าง เธอแค่ต้องการหนีไปจากกฎเกณฑ์บ้าบอคอแตกนี่เท่านั้น สองเท้านำพาเจ้าของร่างไปยังที่หมายแห่งแรก หล่อนอาศัยความว่องไวค่อยแฝงเร้นตามความมืดมิดหลบหลีกไม่ให้มีใครเห็น ฟารีดาเลียริมฝีปากแห้งผากขณะจับจ้องยามคนหนึ่ง หล่อนหยิบท่อนฟืนขนาดพอเหมาะแล้วเยื้องย่างเข้าใกล้ชายผู้นั้นทางด้านหลัง
“ยกโทษให้ข้าด้วยนะท่านลุง”
เธอพึมพำเสียงเบาพร้อมทั้งเงื้อท่อนฟืนขึ้นสุดแขนแล้วฟาดตรงต้นคอจนอีกฝ่ายสลบไป จากนั้นหล่อนก็ลากเขาเข้ามาในคอกม้า ร่างเล็กบางยืนอยู่เหนือร่างสลบไสลของชายสูงวัยกว่า กล่าวขอโทษขอโพยเขาอีกครั้งก่อนสาวเท้าตรงไปยังนางม้าจอมพยศตัวนั้น มันถูกจูงออกจากคอกอย่างเงียบเชียบและวิ่งห้อตะบึงออกไปอย่างเร่งรีบตามการบังคับของเด็กสาว โดยไม่รู้เลยว่าความหวังของตนไม่ได้สูญสิ้นแต่อย่างใด น้ำตาของฟารีดารวมถึงสายตาวิงวอนของฮาชีมมันทำให้ซาอิสใจอ่อนอีกตามเคย
“ข้าอยากขอร้องพวกท่าน ขอให้ฟารีดาบุตรสาวข้าได้ลองแสดงความสามารถของนางให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของสมาชิกเผ่าด้วยเถิด” เป็นครั้งแรกที่ซาอิสยอมขอร้องพวกผู้เฒ่าเหล่านี้ การที่เขาไม่เคยเอ่ยปากเช่นนี้ ใช่ว่าเขาเป็นคนหัวโบราณที่ดูถูกความสามารถของผู้หญิงแต่เป็นเพราะความไม่กล้าแหกกฎประเพณีดั้งเดิมของเผ่าต่างหากเล่า
หัวหน้าผู้อาวุโสมองชายเบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ “ทำเช่นนั้นเพื่อสิ่งใดกันรึ?”
“เพราะข้าต้องการให้ทุกคนยอมรับความสามารถของนางครับ”
“ยอมรับนางอย่างนั้นเรอะ” แต่ละคนพากันส่งเสียงหัวเราะราวกับว่ามันเป็นเรื่องขำขันเสียเต็มประดา “หากเจ้าคิดว่าการที่นางขี่ม้าเป็น หรือต่อสู้แบบพวกผู้ชายได้นั้นถือเป็นความสามารถแล้วล่ะก็ ข้าบอกได้เลยว่าเจ้าคิดผิดแล้วซาอิส เพราะนั่นไม่ใช่ความสามารถแต่เป็นรอยด่างของเผ่าเราต่างหาก”
รอยด่าง...ซาอิสกัดฟันกรอด ไอ้แก่พวกนี้กล้าพูดว่าฟารีดาเป็นรอยด่างของเผ่าอย่างนั้นรึ!
“หากพวกข้ายอมรับการกระทำของนางก็เท่ากับว่าพวกข้าส่งเสริมให้พวกผู้หญิงลุกขึ้นมาปฏิบัติตัวเยี่ยงชายซึ่งถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ขืนนางยังทำตัวเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกข้าอาจต้องลงโทษนางเข้าสักวัน หนักสุดก็คงไม่พ้นการไล่ออกจากเผ่า คิดว่าท่านคงไม่ต้องการให้เรื่องมันบานปลายถึงขั้นนั้นใช่ไหม”
ดวงตาคมกริบทอแววไม่พอใจ แต่ด้วยตำแหน่งหัวหน้าเผ่าทำให้เขาต้องเก็บซ่อนความรู้สึกแท้จริงเอาไว้ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยราวกับสวมหน้ากาก “เพราะความไม่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว หรือเพราะว่าพวกท่านไม่กล้าให้นางลองพิสูจน์ตัวเองกันแน่ครับ?”
ผู้อาวุโสหันมองหน้ากันเลิกลั่ก คนเป็นหัวหน้าในกลุ่มกระแอมเสียงดัง “ท่านพูดอะไรออกไปน่ะซาอิส รู้ตัวรึเปล่าว่าท่านกำลังดูถูกพวกข้าอยู่นะ”
อีกฝ่ายยิ้มเพียงนิด “ข้าต้องขออภัยด้วยหากคำพูดของข้าทำให้พวกท่านคิดเช่นนั้น เมื่อครู่ข้าพูดไปในฐานะหัวหน้าเผ่าที่อยากเปิดโอกาสให้สมาชิกเผ่าคนหนึ่งได้ลองพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับก็เท่านั้น หากพวกท่านคิดยุตินางก็ควรทำตามข้อเสนอของข้า”
“ข้อเสนออะไรรึ?”
“ความเป็นพ่อทำให้ข้ารู้นิสัยลูกสาวคนนี้ดี นางเป็นคนที่ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ หากพวกท่านต้องการห้ามปรามนางก็ควรจัดการประลองขึ้น การพ่ายแพ้จะทำให้นางยอมทำตามคำตัดสินของท่านแต่โดยดีครับ”
“แล้วหากนางเป็นฝ่ายชนะเล่า พวกข้ามิต้องจำยอมปล่อยให้นางทำตัวเย้ยกฎต่อไปหรอกรึ”
“ถ้านางชนะก็คงต้องเป็นไปเช่นนั้นตามกฎของการประลองครับ ข้าก็แค่เสนอทางออกอีกทางหนึ่งให้พวกท่านลองพิจารณาดู ซึ่งหากพูดกันตามตรงแล้ว ฟารีดาไม่ได้รับการฝึกฝนจากครูฝึกโดยตรง พวกท่านไม่คิดบ้างรึครับว่านางอาจไม่เก่งพอที่จะชนะการประลองกับเด็กหนุ่มฝีมือดีที่สุดของเผ่าเรา”
พวกเขาต่างครุ่นคิดตามคำโน้มน้าวใจของซาอิสอยู่พักใหญ่กว่าจะยอมพยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีข้อกังขาเหลืออยู่อีกข้อหนึ่ง “ฮาชีมบุตรชายท่านถือว่ามีฝีมือดีที่สุดในเผ่าเราแล้วในตอนนี้ ท่านคงไม่คิดให้สองคนนั้นประลองกันเองหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นจริงพวกข้าก็ไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักเพราะฮาชีมรักฟารีดามาก เขาคงไม่อยากให้น้องตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรอก”
การกล่าวถึงความสามารถของฮาชีมทำให้ผู้เป็นพ่ออดยืดอกด้วยความภาคภูมิใจไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะให้ครูฝึกช่วยคัดเอาเด็กหนุ่มที่มีความเก่งกาจพอสูสีกับฮาชีมแทนก็แล้วกันครับ หากฟารีดาเอาชนะคนเหล่านั้นได้ก็ถือว่านางเป็นผู้ชนะ”
“ตกลง”
ซาอิสผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งอกขณะเดินออกมาจากกระโจมของกลุ่มผู้อาวุโสเหล่านั้น ในเมื่อเขาสามารถเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จก็เท่ากับว่าแม่ม้าพยศของฟารีดารอดพ้นจากการถูกปล่อยในวันรุ่งขึ้น ซึ่งนั่นคงจะทำให้แม่ตัวแสบพออกพอใจไม่น้อย เขาคลี่ยิ้มพร้อมทั้งก้าวเท้าตรงไปยังกระโจมของลูกสาวแต่ก็หยุดชะงักเสียก่อน ป่านนี้ฟารีดาคงกำลังโกรธเขาชนิดหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่เป็นแน่ รอพูดกับนางในวันรุ่งขึ้นเสียทีเดียวน่าจะดีกว่า คิดดังนั้นเขาก็หมุนตัวเดินกลับกระโจมหลังใหญ่ของตน ไม่รู้เลยว่าภายในกระโจมของบุตรสาวไร้ซึ่งร่างของผู้เป็นเจ้าของ
****************
ณ ใจกลางของที่ราบอันกว้างใหญ่ราวอยู่กลางกระทะท้องแบนนั้นเป็นที่ตั้งของเมืองคซาร์อันยิ่งใหญ่ เมืองแห่งนี้โอบล้อมด้วยภูเขาหินสูง มีประตูเมืองอยู่เจ็ดประตูด้วยกัน ชุมชนตั้งกระจัดกระจายภายใต้การห้อมล้อมของกำแพงเมืองหนาหลายศอกซึ่งทำด้วยดินเหนียวผสมฟาง ต้นปาล์มยืนแต่งแต้มสีเขียวสดตัดกับตัวบ้านเรือนสีน้ำผึ้ง ผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดตรงบริเวณประตูด้านเหนือซึ่งเป็นย่านของตลาดนัดแลกเปลี่ยนสินค้าจำพวกเสื้อผ้า ขนสัตว์ พรมและเครื่องหนัง ประตูถัดมาเป็นตลาดค้าหนังสัตว์ ทั้งยังเป็นบริเวณฟอกย้อมหนังสัตว์ด้วยกรรมวิธีโบราณสืบต่อกันมาช้านาน
ทางตอนใต้ของเมืองเป็นพระราชวังที่ประทับของประมุขแห่งคซาร์ วังแห่งนี้ตั้งอยู่ริมเนินเขา ภายในล้อมรอบด้วยสระน้ำและสวนที่ได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม แต่ในความงดงามก็ยังมีความน่ากลัวแฝงอยู่ด้วยเพราะที่นี่ยังมีคุกและที่อยู่ทาสเป็นอุโมงค์หลายช่อง สระน้ำตื้นสี่เหลี่ยมผืนผ้าทอดยาวสะท้อนเงา ท่านชีคมันซูรเดินไปตามทางเดินชมสวนมีบันไดต่อเชื่อมหลายระดับลดหลั่นกันไป ต้นไม้ทุกต้นล้วนได้รับการดูแลเป็นอย่างดี มีน้ำชุ่มชื้นไปทั่วทั้งบริเวณอันสืบเนื่องมาจากวิธีการผันน้ำที่ถูกต้อง พื้นที่ส่วนใหญ่ในพระราชวังจึงเป็นลานต้นไม้ ใช้อิฐและหินประกอบเป็นทั้งลานทั้งอ่างได้อย่างลงตัว สีสันของดอกไม้ก็สวยสดงดงาม กลิ่นพฤกษชาติหอมตลบอบอวล ผิวกายสัมผัสลมเย็นชุ่มชื้นด้วยละอองน้ำ เสียงเจี๊ยวจ๊าวของข้ารับใช้สาวเรียกความสนใจจากบรรดาผู้ติดตาม มองแล้วก็เกิดความรู้สึกชื่นตาชื่นใจยิ่งนัก
พวกเขาต่างหยุดเดินตามสัญญาณมือของประมุขแล้วมองตามสายตาอันเฉียบคมไปยังร่างสูงโปร่งของเจ้าชายนาสเซอร์ผู้เป็นมกุฎราชกุมารในชีคมันซูร เจ้าชายวัยหนุ่มน้อยมักอยู่ในเครื่องแต่งกายปกปิดมิดชิดทุกสัดส่วน เหลือให้เห็นเพียงดวงตาคมจัดแบบเดียวกับพระราชบิดา ตัวตนอันลึกลับเช่นนี้เป็นไปตามความต้องการของท่านชีคเพราะพระองค์เชื่อว่าความลึกลับนอกจากจะสร้างอำนาจให้ผู้คนเกิดความรู้สึกเกรงกลัวแล้วยังเป็นเกราะป้องกันไม่ให้การลอบฆ่าเจ้าชายน้อยเป็นไปโดยง่ายดาย
“นาสเซอร์”
เด็กหนุ่มยังคงนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านม้วนบันทึกทางการแพทย์อย่างขะมักเขม้น ไม่ได้ยินเสียงเรียกจวบจนกระทั่งเสียงกระแอมของท่านชีคสิ้นสุดลง ร่างนั้นก็รีบลุกพรวดจากม้านั่งตัวยาวแล้วโค้งตัวเคารพชายสูงศักดิ์เบื้องหน้า ส่วนพวกผู้ติดตามรออยู่ห่างไกลออกไปตามคำสั่ง
“ท่านชีค เอ้อ...ท่านพ่อ” เสียงขานรับดังเล็ดลอดออกมาจากผ้าสีดำคาดปิดใบหน้าเรียวได้รูป
อีกฝ่ายถอนหายใจก่อนออกคำสั่งเสียงเรียบ “ตามข้ามา”
เจ้าชายน้อยยอมทำตามอย่างว่าง่าย เหล่านางในต่างย่อตัวเคารพบุคคลสูงศักดิ์ทั้งสอง มีเพียงเสียงการก้าวเดินดังเป็นจังหวะ ไม่มีการพูดคุยใด ๆ ทั้งสิ้นจนเมื่อเสียงประตูห้องทรงพระอักษรดังขึ้นตามหลังแล้วเจ้าของห้องจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นในที่สุด
“ลูกข้าออกไปไหนรึนูร์?”
เด็กหนุ่มคนเดิมปลดผ้าคลุมหน้าออกพร้อมทั้งทรุดตัวนั่งคุกเข่าด้วยท่วงท่านอบน้อม มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่รู้ว่าคนไหนคือเจ้าชายนาสเซอร์ตัวจริง การเกือบสูญเสียบุตรชายเพียงคนเดียวจากการลอบฆ่าทั้งที่เขายังเป็นเพียงทารกน้อยที่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้เลยนั้นทำให้ท่านชีคเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสลับตัวเพื่อความปลอดภัย เด็กกำพร้าผู้มีสีตาและรูปร่างลักษณะคล้ายคลึงกับนาสเซอร์จึงได้รับการชุบเลี้ยงจากพระองค์อย่างลับๆ
นูร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน...
“พระองค์บอกข้าเพียงแค่ว่าจะออกไปสืบข่าวคราวที่น่าสนใจนอกวังครับ”
“อ้อ อย่างนั้นเองหรอกรึ”
ท่านชีคพยักหน้ารับ คาดว่าตอนนี้ลูกชายเพียงคนเดียวของเขาคงไปถึงตลาดนัดเรียบร้อยแล้ว ที่นั่นถือเป็นแหล่งการชุมนุมทางสังคมอันสำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมือง แน่นอนว่าหากต้องการทราบข่าวความเคลื่อนไหวใด ๆ ในท้องทะเลทรายแล้วล่ะก็จะต้องแฝงตัวเข้าไปสืบข่าวจากที่นั่นก่อนเป็นอันดับแรก รอยยิ้มพึงพอใจปรากฏให้เห็นบนใบหน้าคมเข้ม หลายปีที่ผ่านมาเขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการปราบปรามพวกชนเผ่ากระด้างกระเดื่องทั้งหลาย และลูกชายของเขาก็กำลังจะเจริญรอยตามเฉกเช่นเดียวกัน
“ไม่ทราบว่าท่านชีคมีข้อข้องใจอื่นใดอีกรึไม่ครับ?”
คนถูกถามโบกมือปฏิเสธลวกๆ “ไม่แล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะนูร์”
“ครับ”
นูร์ขานรับอย่างนอบน้อม ไม่ลืมคาดผ้าปกปิดใบหน้าก่อนเดินออกไปจากห้อง แม้ว่าเขาจะสวมรอยเป็นเจ้าชายนาสเซอร์มาหลายครั้งหลายครา เขาก็ยังกระดากอายทุกครั้งที่มีคนโค้งตัวทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อมเพราะคิดว่าเขาเป็นเจ้าชาย ทั้งที่จริงแล้วเขาก็เป็นแค่เพียงเด็กกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น ช่วงแรกที่ได้รับการอุปการะจากท่านชีค เขาเคยคิดว่าตัวเองช่างเป็นคนที่โชคดีเสียเหลือเกิน แต่หลังจากการค้นพบว่าเขาปรารถนาศึกษาศาสตร์ทางการแพทย์อย่างจริงจังนั่นแหละจึงได้รู้ว่าบางครั้งในความโชคดีมันก็มีความโชคร้ายแฝงอยู่ด้วย การปลอมตัวเป็นเจ้าชายส่งผลให้เขาไม่อาจเข้าเรียนได้ตามใจหวัง อีกทั้งชีวิตก็ยังแขวนอยู่บนเส้นด้ายเพราะไม่อาจรู้เลยว่าตัวเองจะถูกฆ่าตายแทนเจ้าชายวันไหน เด็กหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง เถอะ ทุกอย่างในชีวิตล้วนถูกกำหนดเอาไว้หมดแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรเขาก็ควรจะทำทุกอย่างในวันนี้ให้มันผ่านพ้นไปอย่างคุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็แล้วกัน
การคิดเช่นนี้ทำให้เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้มากโข สองเท้ายังคงก้าวเดินอย่างมั่นคงไปตามเส้นทางเชื่อมแต่ละอาคารภายในพระราชวัง ใช้เวลาไม่นานนักเขาก็เดินมาถึงอาคารที่ประทับของเจ้าชายนาสเซอร์ จากนั้นจึงใช้เส้นทางลับลงไปยังชั้นใต้ดินซึ่งได้รับการตกแต่งให้กลายเป็นสถานที่อยู่อาศัยของเขาและเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันอีกสองคน แต่บัดนี้สองคนนั้นคงกำลังออกติดตามเจ้าชายอีกตามเคย ส่วนเขาก็มีหน้าที่ปลอมตัวเป็นพระองค์เพื่อให้คนเข้าใจว่าเจ้าชายนาสเซอร์ประทับอยู่ในพระราชวัง
“นั่นอะไรน่ะ?”
เขาพึมพำกับตัวเองเสียงเบาเมื่อเห็นม้วนกระดาษปริศนาวางอยู่บนฟูกนอนของตน ทันทีที่ได้อ่านข้อความในนั้น ร่องรอยความสงสัยในแววตาก็จางหายไป นัยน์ตาแทนที่ด้วยประกายแห่งความสดใสพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง เพราะลายมือหวัดบนหน้ากระดาษนั้นกำลังถ่ายทอดความรู้ใหม่ๆ ของการใช้สมุนไพรในการเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ในแบบที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน
นี่คงเป็นสิ่งที่เจ้าชายนาสเซอร์ได้มาจากการบอกเล่าในระหว่างการออกสืบเสาะข่าวคราวจากภายนอกครั้งก่อนกระมัง เขาคาดเดาอยู่ในใจพร้อมทั้งเกิดความรู้สึกตื้นตันในน้ำพระทัยของพระองค์ ดูเอาเถิด แม้แต่เจ้าชายยังนึกถึงเราเลย แล้วทำไมเรายังนึกถึงแต่ความต้องการส่วนตัว คิดว่าการได้เข้ามาอยู่ที่นี่เป็นความโชคร้ายได้อีกเล่า คิดได้ดังนั้นความกังวลก็เริ่มเข้ามาแทนที่ ไม่รู้ว่าป่านนี้พระองค์จะเป็นเช่นไรบ้าง
ในช่วงเวลาเดียวกัน คนในความคิดของนูร์แต่งกายเหมือนสามัญชนเดินจูงม้าเบียดเสียดกับผู้คนซึ่งบ้างก็เดินเท้า บ้างก็ขี่ลาพลางส่งเสียงร้องขอทางไปตลอดเวลาเพราะเส้นทางในตลาดนั้นค่อนข้างคับแคบ มีแผงลอยวางสินค้าบนพื้นดิน บางเจ้าก็ใช้กิ่งไม้ทำเป็นแคร่ยกขึ้นสูง เงาจากหลังคาเพิงไม้ทำด้วยเยื่อใบปาล์มทอดตัวเป็นทางยาวต่อเนื่องกันไป ลูกค้าที่นี่ล้วนเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งนั้น ส่วนผู้หญิงต้องใช้ชีวิตอยู่ในที่มิดชิด ไม่ควรออกมาเดินเพ่นพ่านภายนอกหากไม่จำเป็น
“ไม่รู้ว่าวันนี้พวกเราจะได้ข่าวคราวอะไรที่น่าสนใจบ้างไหม” อัมฟาลเอ่ยขึ้นเสียงเบาให้ได้ยินกันเพียงแค่สามคนเท่านั้น
อัมนะห์ถองข้อศอกใส่คนข้างกายอย่างสนิทสนม ถึงจะไม่ใช่พี่น้องแท้จริงแต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานตั้งแต่ยังเล็กนัก “พูดแบบนั้นได้ยังไงกัน เจ้าน่ะต้องพูดว่าวันนี้พวกเราจะได้ข่าวน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนต่างหากเล่า ขืนกลับวังมือเปล่าก็เสียเวลาแย่เลยน่ะซี”
“ไม่ถือว่าเสียเวลาหรอก เพราะอย่างน้อยข้าก็ได้ออกมาเห็นชีวิตของชาวเมืองว่ายังอยู่สุขสบายดีหรือไม่” เจ้าชายนาสเซอร์กล่าวเสียงเรียบเข้ากับสีหน้าเคร่งขรึม พวกเขาไม่ค่อยเห็นพระองค์ยิ้มแย้มบ่อยเท่าไหร่นัก ตัวตนอันลึกลับที่ท่านชีคจงใจสร้างขึ้นคงหล่อหลอมให้พระองค์กลายเป็นคนที่มีบุคลิกเช่นนี้กระมัง
เจ้าชายหนุ่มน้อยมักทำท่าทางสนใจสินค้าตรงหน้าระหว่างเงี่ยหูฟังการสนทนาของลูกค้าคนอื่น และบางครั้งก็เข้าร่วมวงด้วย จึงไม่แปลกหากว่าพระองค์จะเป็นผู้มีหูตากว้างไกล อีกทั้งพระองค์ยังถือเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จในการปราบปรามพวกชนเผ่ากระด้างกระเดื่องของท่านชีคมันซูร ทั้งสองคอยตามเจ้าชายไปเรื่อยจวบจนกระทั่งเข้าสู่เขตประตูเมืองอีกแห่งหนึ่ง กลิ่นเหม็นคาวลอยคละคลุ้งไปทั่ว เบื้องหน้ามองเห็นบ่อย้อมหนังสัตว์ขนาดใหญ่จำนวนหลายหลุมวางอยู่ในลานโล่งกว้าง พวกคนงานพากันลงไปย่ำเท้าในหลุมตามกรรมวิธีที่บรรพบุรุษเคยทำมา
“ข้าอยากลงไปเหยียบย่ำในหลุมนั้นบ้างจัง ท่าทางคงน่าสนุกดีนะ” นัยน์ตาอัมฟาลเยิ้มด้วยรอยยิ้ม คนรักความสนุกสนานอย่างเขาคงไม่ค่อยอยากพลาดกิจกรรมน่าสนใจแบบนั้นเป็นแน่
เจ้าชายนาสเซอร์กับอัมนะห์มองตามสายตาเขา “พวกเรามาทำงานนะอัมฟาล ไม่ได้มาเที่ยวเล่นสักหน่อย”
ประกายแพรวพราวในดวงตาหม่นแสงลงทันใด อัมนะห์พูดถูก พวกเราเหมือนเกิดมาเพื่อเป็นเงาของเจ้าชายนาสเซอร์จึงไม่เหมือนเด็กคนอื่นที่สามารถทำตามความปรารถนาของตนได้ทุกสิ่ง คนสูงศักดิ์กว่าทอดมองกิจกรรมเบื้องหน้าสลับกับแววตาผิดหวังของคนข้างกาย การใช้ชีวิตร่วมกันมาหลายปีมีหรือที่เขาจะไม่รู้ว่าคนใกล้ชิดทั้งสามของตนมีอุปนิสัยอย่างไร อัมฟาลเลิกคิ้วสูงด้วยความฉงนเมื่อจู่ ๆ เจ้าชายนาสเซอร์ก็เปลี่ยนเส้นทาง เดินนำหน้าไปยังโรงฟอกย้อมหนังสัตว์ คนงานหนึ่งในนั้นหันมาคลี่ยิ้มให้เด็กหนุ่มทั้งสามอย่างเป็นมิตร
“ว่าไงพ่อหนุ่ม มาหาข้ามีอะไรรึ?”
“พวกข้าอยากช่วยงานท่านครับ” เมื่อเห็นสายตาลังเลระคนแปลกใจของอีกฝ่ายจึงเอ่ยต่อ “เราแค่อยากลองเท่านั้น ไม่ได้ต้องการสิ่งใดเป็นการตอบแทน”
สองหนุ่มทำตาโตขณะหันมามองหน้ากัน หลายครั้งที่พระองค์มักทำในสิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึง แต่หนนี้อัมฟาลออกจะปลื้มอกปลื้มใจเป็นพิเศษ ดูเอาเถิด แต่ไหนแต่ไรเห็นพระองค์ชอบตีหน้าขรึมไม่ก็เรียบเฉยเสียจนมองดูเป็นคนน่ากลัวแบบนั้นแต่กลับมีน้ำใจให้แก่คนรอบข้างอย่างเหลือล้น หากเขามีชีวิตอยู่รอดจนทันเห็นพระองค์ขึ้นปกครองเมืองก็คงจะดีไม่น้อย อัมฟาลคิดในใจพลางอมยิ้มขณะที่คนงานมองเด็กทั้งสามอย่างชั่งใจ สายตาของพ่อเด็กหนุ่มคนกลางดูมีอำนาจอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธคำขอนั้น อัมฟาลทำท่าทางดีอกดีใจออกนอกหน้าทันทีที่คนสูงวัยพยักหน้ารับในที่สุด พวกเขาแยกกันไปประจำกันคนละหลุมแล้วทำการย่ำเท้าตามคำชี้แนะของคนงานคนเดิม
“พวกเจ้าเป็นลูกเต้าเหล่าใครรึ?”
ทั้งสามชะงักเล็กน้อย เจ้าชายนาสเซอร์จึงเป็นฝ่ายตอบ “พวกเราเป็นเด็กกำพร้า เร่ร่อนไปทั่วน่ะครับ”
แม้ว่าดูจากลักษณะท่าทางของเด็กหนุ่มหนึ่งในนั้นจะไม่ค่อยน่าเชื่อว่าเธอเป็นพวกเด็กเร่ร่อนแต่เขาก็พยักหน้ารับหงึกหงัก “อย่างนั้นเองรึ มิน่าล่ะข้าถึงไม่ค่อยคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเจ้าเท่าไหร่นัก ว่าแต่พวกเจ้าเร่ร่อนไปทั่วแบบนี้คงเคยได้ยินเรื่องล่ำลือของพวกนักรบเหยี่ยวแดงมาบ้างใช่ไหม”
เจ้าชายหนุ่มน้อยหรี่ตาลงในขณะที่อีกสองหนุ่มมีท่าทางสนใจเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด “นักรบเหยี่ยวแดงเป็นใคร แล้วพวกมันอยู่ที่ไหนรึ...ครับ?” เขาถามเสียงเข้มแบบวางอำนาจตามความเคยชินแต่เมื่อรู้ตัวก็รีบต่อคำลงท้ายเพื่อให้ประโยคคำพูดฟังนุ่มนวลมากขึ้น
“ความจริงแล้วพวกมันไม่สมควรเรียกตัวเองว่านักรบเลยด้วยซ้ำ แถมยังเปรียบเทียบว่าตัวเองสูงส่งเหมือนเหยี่ยวอีก”
“ทำไมเหรอครับลุง พวกมันชั่วร้ายมากเลยเรอะ?” คราวนี้อัมนะห์เป็นฝ่ายถามบ้าง
“ยิ่งกว่าชั่วร้ายอีก” คนงานทำเสียงจิ๊จ๊ะ ใช้เวลาเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยต่อ “เริ่มแรกพวกมันแค่ปล้นสะดมกองคาราวานที่ข้ามทะเลทรายเข้ามาในถิ่นมันโดยไม่รู้ตัว แต่พักหลังชักหนักข้อขึ้น ข้าได้ยินว่าพวกมันรุกรานชนเผ่าอื่น ย่างกรายไปที่ใดก็มักมีเลือดไหลนองไปทั่ว เผ่าไหนมีผู้หญิงมากหน่อยก็จับพวกนางมาข่มขืนต่อหน้าต่อตาสามีและลูกของนาง จากนั้นก็ฆ่าทิ้งอย่างโหดร้ายทารุณเป็นที่สุด” เขาเล่าด้วยสีหน้าเจ็บแค้นราวกับเจอมาด้วยตัวเอง “ข้าคงเป็นบ้าตายแน่หากพวกมันจับลูกเมียข้ามาย่ำยีต่อหน้าต่อตาแบบนั้น”
“พวกมันจะไม่มีทางได้เข้ามาทำร้ายใครในเมืองของข้าเป็นอันขาด” เจ้าชายหนุ่มน้อยกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นจริงจังอย่างลืมตัว โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ทันติดใจสงสัยอะไร
“ข้าก็ได้แต่ภาวนาให้มันเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ข้าได้ยินมาว่าระยะหลังมานี้พระพลานามัยของท่านชีคไม่ค่อยสู้ดีเหมือนเมื่อก่อนนัก หากวันใดพวกมันบุกมาจริงข้าเกรงว่า...”
“เจ้าก็ได้ยินแล้วไม่ใช่รึว่าเขาบอกว่าพวกมันไม่มีทางบุกมาที่นี่ได้น่ะ!” อัมฟาลเผลอพูดโพล่งออกมาจากความไม่พอใจที่คนงานผู้นี้บังอาจพูดจาดูหมิ่นความสามารถของท่านชีคมันซูรผู้ที่พวกเขาเทิดทูนเสียเหลือเกิน อัมนะห์แอบถองข้อศอกใส่เขาเพื่อเตือนสติ
เจ้าชายนาสเซอร์กระแอมเสียงปราม “ข้าต้องขอโทษแทนเพื่อนข้าด้วย พวกเรามีความเชื่อมั่นในความสามารถของท่านชีคถึงได้มั่นใจว่าพวกมันจะไม่กล้าบุกมาที่นี่น่ะครับ”
เขาคลี่ยิ้มอย่างนึกเอ็นดูเด็กทั้งสาม “พวกเราชาวเมืองคซาร์ก็เชื่อมั่นในตัวพระองค์เช่นเดียวกัน ที่ข้าพูดไปเมื่อครู่ก็เพราะความเป็นห่วงท่านเท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้ถือสาคำพูดคนแก่อย่างข้าเลยนะ”
ได้ยินดังนั้นอัมฟาลก็กลับมามีท่าทีนอบน้อมดังเดิม “ถ้าอย่างนั้นข้าต้องขอโทษด้วยที่คิดว่าท่านพูดจาลบหลู่พระเกียรติของท่านชีค”
อีกฝ่ายยิ้มให้โดยไม่รู้สึกถือโทษโกรธเคืองอะไร “ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่ม หากท่านรู้ว่าแม้แต่เด็กกำพร้าเร่ร่อนอย่างพวกเจ้ายังมีความจงรักภักดีมากถึงเพียงนี้ สุขภาพของท่านชีคก็คงจะดีขึ้นมากเลยเชียว”
พวกเขายิ้มรับก่อนที่เจ้าชายนาสเซอร์จะเป็นฝ่ายซักถามอีกครั้ง “แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าช่วงนี้สุขภาพท่านชีคไม่ค่อยสู้ดีนัก?”
เขาโคลงศีรษะช้า ๆ “ใช่ว่าข้ารู้คนเดียวเสียที่ไหนกัน ข่าวนี้ลือไปทั่วตั้งแต่สองวันก่อนแล้วล่ะ พวกคนเฒ่าคนแก่พากันใจเสียไปตาม ๆ กันหมด”
“อย่างนั้นรึครับ”
เจ้าชายนาสเซอร์หรี่ตาลงพลางขบคิด ข้อนี้แหละที่เขาสงสัยรองลงมาจากเรื่องนักรบเหยี่ยวแดงอะไรนั่น ฟังจากคำบอกเล่าของลุงคนนี้แล้ว อาการป่วยของท่านพ่อดูจะเกินจริงไปมากพอดูเพราะแท้จริงแล้วสุขภาพของพระองค์ไม่ได้ย่ำแย่มากถึงขนาดนั้นเลยสักนิด หากเป็นเพราะการใส่สีตีไข่ในระหว่างการบอกเล่าปากต่อปากก็คงไม่มีอะไรให้น่ากังวลใจมากนัก แต่หากเกิดจากฝีมือของพวกผู้ไม่หวังดีที่ต้องการทำให้ชาวบ้านเกิดความรู้สึกขวัญเสียนี่สิ
ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นเส้นตรง...กลิ่นไม่ดี...ลางสังหรณ์บางอย่างร้องบอกเจ้าชายหนุ่มน้อยเช่นนั้น สำหรับเขาแล้วศัตรูจากภายนอกยังไม่น่ากลัวเท่ากับศัตรูที่แฝงตัวอยู่ภายในถิ่นของเราเอง เขาขบกรามแน่นจนเห็นเป็นสันนูน อัมนะห์ลอบสังเกตอากัปกิริยาของคนสูงศักดิ์แล้วเริ่มกังวลตาม มีอัมฟาลอยู่คนเดียวที่ยังสามารถสนุกกับการย่ำเท้าฟอกย้อมหนังสัตว์ต่อได้ พวกเขาใช้เวลาอยู่ที่นี่อีกชั่วอึดใจใหญ่กว่าที่เจ้าชายนาสเซอร์จะกล่าวลาลุงคนงานคนนั้น
“เมื่อครู่ข้าเห็นท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดนัก ท่านกังวลเรื่องนักรบเหยี่ยวแดงรึครับ” อัมนะห์ถามไถ่ทันทีที่พวกเขาเดินพ้นจากโรงฟอกย้อมหนังสัตว์มาไกลมากพอ
เขาถอนหายใจ “เรื่องนั้นก็น่ากังวล แต่ตอนนี้ข้ากังวลเรื่องอื่นมากกว่า”
อัมฟาลปั้นสีหน้าสงสัย “กังวลเรื่องอะไรรึครับ?”
“เรื่องสุขภาพของท่านพ่อข้า” เขาหยุดเดินแล้วหันมายืนเผชิญหน้ากับคนทั้งสอง “ท่านไม่ได้เป็นอะไรมากเหมือนข่าวลือ และที่สำคัญ อาการป่วยของท่านพ่อข้าได้สั่งให้เก็บเป็นความลับภายในวังเท่านั้น ใครก็ตามที่จงใจปล่อยข่าวนี้ออกมาภายนอกอาจมีเจตนาไม่ดีเป็นแน่ บางที...”
ทั้งสองรีบพูดพร้อมกัน “นักรบเหยี่ยวแดง”
เจ้าชายนาสเซอร์มีท่าทีเห็นด้วยกับการคาดเดาของพวกเขา “ใช่ ข้าคิดว่าบางทีเรื่องนี้มันอาจเกี่ยวข้องกับนักรบเหยี่ยวแดงก็เป็นได้ แค่อาจเท่านั้น ข้าเองก็ยังไม่มั่นใจนักหรอก เห็นทีคราวนี้เรามีเรื่องต้องสืบกันสองเรื่องเลยทีเดียว...อัมฟาล”
“ครับ?”
“เจ้าจงกลับไปปลอมตัวเป็นข้าแทนนูร์ หมอนั่นเก่งเรื่องการรักษามากกว่าการต่อสู้ ให้คอยดูแลสุขภาพท่านพ่อน่าจะดีกว่า ส่วนเจ้าก็คอยจับตาดูคนในวัง หากพบใครมีท่าทางน่าสงสัยก็สั่งทหารจับกุมตัวมันไว้ก่อน แล้วข้าจะตามไปสืบสวนพร้อมท่านพ่อทีหลัง”
อัมฟาลขานรับอย่างกระตือรือร้นจากนั้นก็แยกตัวไปเพียงลำพัง อัมนะห์มองตามเพื่อนซี้ รู้สึกใจคอไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก “ข้าหวังว่าพวกมันจะไม่สามารถแฝงตัวเข้าไปในวังได้”
“หากมันสามารถแฝงตัวเข้าไปในวังได้ก็แสดงว่านักรบเหยี่ยวแดงอะไรนั่นไม่ธรรมดาอย่างที่ร่ำลือกัน ข้าจะลองขี่ม้าท่องทะเลทราย หากโชคดีคงได้พบถิ่นของพวกมันโดยเร็ว จากนั้นข้าจะนำกองกำลังบุกเข้าฆ่าล้างให้สิ้นซาก” ดวงตาคมจัดทอแววกร้าวยามเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ข้าขอติดตามท่านไปด้วย” อัมนะห์อาสาอย่างแข็งขัน
เด็กหนุ่มผู้มีนัยน์ตาเฉียบคมราวเหยี่ยวส่ายหน้าช้า ๆ “อย่าเลย ข้าต้องการให้เจ้าแฝงตัวอยู่ในเมืองมากกว่า หากพวกมันบางส่วนลอบเข้ามาทำร้ายพลเมือง เจ้าก็จงใช้นามของข้านำกองทหารดำจับกุมพวกมันมามาทรมาน เค้นถามข้อมูลมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“แต่ข้าเป็นห่วงท่านเหลือเกิน อีกอย่างท่านชีคคงไม่พอใจเป็นแน่หากรู้ว่าข้าปล่อยให้ท่านแกะรอยพวกมันตามลำพัง”
รอยยิ้มเกลี่ยบนใบหน้าเรียวได้รูป “ข้าไปกับเจ้าเฟท หาได้ไปตามลำพังไม่” เขาหมายถึงเหยี่ยว มันเป็นสัตว์เลี้ยงคู่ใจและถูกฝึกมาเพื่อทำหน้าที่ช่วยกำจัดศัตรูของเขา “ข้าจะเขียนสาส์นให้เจ้าเฟทนำส่งให้ท่านพ่อทราบเรื่องก่อนก็แล้วกัน”
แม้จะไม่เห็นด้วยมากนักแต่อัมนะห์ก็จำต้องยอมทำตามคำสั่งแต่โดยดีเช่นเดียวกับเจ้าเฟท มันกางปีกอันงามสง่าสมฐานะสัตว์เลี้ยงแห่งเจ้าชายนาสเซอร์ มุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อนำสาส์นส่งให้ถึงมือท่านชีคมันซูร เขามองตามเพื่อนคู่ใจของตนจนเห็นมันเป็นเพียงจุดสีดำจุดเล็กบนท้องฟ้าแล้วจึงตวัดร่างขึ้นควบอาชาตัวโตผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ควบห้อตะบึงออกไปในทิศทางเดียวกับที่ลุงคนงานคนนั้นเดาว่าน่าจะเป็นเส้นทางอันจะนำไปสู่ถิ่นของนักรบเหยี่ยวแดง
+++++++
มาอัพจนครบร้อยเปอแล้วน้า เรื่องราวจะเป็นอย่างไรโปรดรอติดตามตอนต่อไป อิอิ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาติดตามจ้า ^__^
ความคิดเห็น