คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1
บทที่ 1
“ยิ้มหน่อยซีฟาริดา”
เสียงดุแบบนุ่มนวลดังมาจากครูฝึกร่างผอมเพรียวในชุดคลุมตัวยาวกรอมเท้าสีฟ้าสดใส สองมือปรบตามจังหวะเสียงดนตรีพลางทอดมองท่วงท่าการเต้นระบำหน้าท้องของบรรดาลูกศิษย์ตัวจ้อย เมื่ออายุถึงเกณฑ์ เด็กสาวชาวทะเลทรายทุกคนจะต้องเข้ารับการฝึกฝนศาสตร์ทุกอย่างที่ผู้หญิงพึงเป็น เพื่อนำไปใช้ในการทำหน้าที่ภรรยาและแม่ที่ดีในอนาคต เด็กสาววัยแรกแย้มหลายต่อหลายรุ่นของเผ่าฟารัคล้วนมีความเต็มใจและกระตือรือร้นฝึกฝนให้มีคุณสมบัติของความเป็นหญิงอันสมบูรณ์แบบ แต่หนนี้ดูจะยกเว้นเสียหนึ่งคน วงหน้าเล็กสวยโดดเด่นกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน ไร้ซึ่งรอยยิ้มนุ่มนวลแฝงความยั่วยวนเกลี่ยบนใบหน้าเหมือนเด็กคนอื่น
ครูฝึกถอนหายใจเฮือกใหญ่ บุตรสาวหัวหน้าเผ่าฟารัคคนนี้ยอมยิ้มตามคำสั่งก็จริงอยู่ ในสายตาหล่อนกลับดูเหมือนเจ้าตัวกำลังแยกเขี้ยวเสียมากกว่า หล่อนยิ้มมุมปากอย่างนึกขำ น่าเสียดายเหลือเกิน เพราะแม้ว่าฟารีดาจะยังมีอายุน้อยนักแต่ความที่หล่อนสืบทอดหน้าที่ครูฝึกศาสตร์การเต้นระบำให้เผ่ามานานหลายปี มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าฟารีดาในวัยสาวสะพรั่งจะมีเรือนร่างงดงามเย้ายวน ความสวยของเธอจะมีอำนาจดึงดูดใจบุรุษเพศราวกับดอกไม้หลอกล่อหมู่ภมรให้มาดอมดมเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนว่าเจ้าตัวนั้นปรารถนาให้ตนเองมีความเป็นชายมากกว่าความเป็นหญิง ความสนใจของฟารีดาบัดนี้อยู่ที่เสียงฝึกฟันดาบและเสียงคนควบม้าไปมาด้านนอกกระโจม นั่นจึงเป็นสาเหตุของการขาดสมาธิ นำมาซึ่งการเต้นระบำผิดจังหวะบ่อยครั้งจนคนฝึกเองชักอ่อนใจ
“ฟารีดา”
น้ำเสียงนุ่มนวลเริ่มเข้มขึ้น ฟารีดาจึงจำต้องละทิ้งการเงี่ยหูฟังการฝึกปรือศาสตร์การต่อสู้และการขี่ม้าของพวกเด็กผู้ชาย มาจดจ่ออยู่กับการเต้นระบำ ดวงตาคมลึกสีเขียวสดใสภายใต้ขนตางามงอน ทอประกายขุ่นมัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักขบขันท่าเต้นผิดจังหวะของตนจากบรรดาเพื่อนรุ่นเดียวกัน ปลายจมูกโด่งรั้นย่นขึ้นเล็กน้อย เถอะ โตขึ้นมาคนพวกนี้คงจะมีชีวิตอันแสนน่าเบื่อกับการทำหน้าที่เป็นแค่เมียและแม่ ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ชายอยู่ร่ำไป เราจะต้องไม่เป็นแบบนั้น เด็กน้อยคิดอย่างหมายมั่น เธออยากมีชีวิตอิสระ หากมีความไม่มั่นใจแฝงอยู่ในแววตาวูบหนึ่งด้วยความตระหนักดีว่าความคิดเช่นนั้นเป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทางสังคมที่ว่า ผู้ชายมีอำนาจเหนือกว่าผู้หญิงเพราะพวกเขามีสรีระแข็งแรงกว่า เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ปกป้องชนเผ่าและคุ้มครองผู้หญิง ในขณะที่ผู้หญิงอย่างพวกเรากลับเกิดมาเพียงแค่มีหน้าที่ปรนเปรอความต้องการของพวกเขาและคลอดลูก ในความคิดของฟารีดานั้น หน้าที่ทั้งสองอย่างนี้มันทำให้ผู้หญิงไม่แตกต่างอะไรไปจากแม่ม้าพันธุ์ดีที่กำลังยืนเคี้ยวหญ้าอยู่ในคอกทางด้านโน้น
เธออยากเป็นมากกว่านั้น...
เด็กน้อยกรีดตายั่วยวนตามคำสั่ง หากความคิดคำนึงภายในใจกลับตรงกันข้าม เธอไม่อยากเป็นเพียงแค่แม่บ้านผู้แสนเรียบร้อยในตอนกลางวันแล้วกลายสภาพเป็นนางบำเรอยั่วสวาทในตอนกลางคืน เธออยากเก่ง อยากมีความสามารถทัดเทียมกับพวกผู้ชาย อยากขี่ม้า อยากจับอาวุธ อยากทำสารพัดที่พวกผู้ชายเขาทำกัน หลายคนต่างเปรยกับเธอว่าน่าจะเกิดเป็นผู้ชายเสียให้รู้แล้วรู้รอด ดูเอาเถิด พวกนั้นพูดหยั่งกะเราเลือกเกิดได้อย่างไรอย่างนั้น
เออ ถ้าเลือกเกิดได้จริงๆ ก็คงจะดีสินะ
ครูฝึกปรบมือสามครั้ง เสียงดนตรีบรรเลงจึงค่อยเบาลงแล้วเงียบไปในที่สุด ฟารีดาทรุดตัวลงนั่งบนพื้นกระโจมปูด้วยพรมสีแดงพร้อมเด็กคนอื่น มือเรียวเล็กเปิดผ้าคลุมหน้าสีอ่อนปัดชายผ้าพาดไว้บนไหล่เพื่อให้หายใจหายคอได้สะดวกมากขึ้น
“วันนี้ทุกคนทำได้ดีมากเลยจ้ะ” คนพูดแย้มยิ้มอ่อนโยนให้ลูกศิษย์ทุกคนจนมาหยุดสายตาอยู่ที่บุตรสาวหัวหน้าเผ่า “ยกเว้นฟารีดาอีกตามเคย”
ฟารีดายักไหล่ ไม่สนใจเสียงหัวเราะครืนของเพื่อนวัยเดียวกัน หนึ่งในนั้นเคยปรามาสเอาไว้ว่าอีกหน่อยคงไม่มีผู้ชายคนไหนอยากเอาหล่อนไปเป็นเมียและแม่ของลูกแน่ เชอะ ทำหยั่งกะเราอยากเป็นนักนี่ ใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้น ลองให้พวกนี้มาประดาบกับเราดูซี รับรองว่าเสียงหัวเราะเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้เลยคอยดู เธอคิดพลางทำท่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คันไม้คันมืออยากเอาฝักดาบอุดปากพวกที่กำลังหัวเราะคิกคักเสียเหลือเกิน แต่ความคิดนั้นก็หยุดลงเมื่อมีอาห์ เพื่อนสนิทและเป็นคนเดียวที่รู้ใจหล่อนแตะมือปลอบเบาๆ ฟารีดาจึงแอบยักคิ้วหลิ่วตาให้ เพราะท่าทางเช่นนี้มันดูไม่งามสำหรับผู้หญิง ขืนทำให้ครูฝึกเห็นคงจะโดนดุมากกว่านี้
“วันนี้ฝึกกันแค่นี้ก่อน ทุกคนกลับได้ ส่วนเจ้า...” หล่อนปรายตามาทางแกะดำในหมู่ลูกศิษย์อีกหน “อยู่ฝึกกับข้าต่อ”
คนฟังอ้าปากค้างพร้อมทั้งทำตาโต “อะไรนะ ฝึกต่ออีกรึเจ้าคะ!”
ครูฝึกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอกฟารีดา”
นัยน์ตาสีเขียวอ่อนวาววับ ทั้งโกรธทั้งโมโหคนเบื้องหน้าที่ทำให้ตนพลาดการนั่งดูพวกเด็กผู้ชายฝึกซ้อมดาบ ทุกครั้งหลังจากเลิกเรียนรู้ศาสตร์ทั้งหลายที่หล่อนเรียกมันว่า ไร้สาระ เสร็จแล้ว ฟารีดาจะทำทีเป็นนั่งชมการต่อสู้ แต่แท้จริงแล้วหล่อนอาศัยครูพักลักจำ ดูให้เข้าใจแล้วแอบไปฝึกเองในกระโจม แถมวันนี้ยังเป็นวันเริ่มหัดกระบวนท่าใหม่เสียด้วยซี แทนที่หล่อนจะได้กระบวนท่าใหม่ไปฝึกฝนกลับต้องมาเต้นยักย้ายส่ายสะโพกกรีดตากรีดมือทำท่ายั่วยวนบ้าบอนี่ อารมณ์คุกรุ่นยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อครูฝึกยังคงพูดว่า ‘เริ่มใหม่’ อยู่อย่างนั้น ทั้งยังนั่งจิบน้ำอย่างสบายอารมณ์ในขณะที่เด็กน้อยคอแห้งผาก ใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่ฟารีดาจะยอมสงบจิตสงบใจ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนจนท่าเต้นเริ่มเข้าที่เข้าทาง ดูสวยและงดงามอย่างที่ควรจะเป็น เพราะไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะถูกกักตัวอยู่แต่ในกระโจมไปอีกนานเป็นแน่
ฟารีดาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกหลังจากครูฝึกยอมปล่อยตัวหล่อนออกมาข้างนอกเสียที สองเท้ารีบนำพาเจ้าของร่างไปยังลานฝึกซึ่งเหลือเพียงความว่างเปล่า ฝุ่นจากทะเลทรายลอยคละคลุ้งตามแรงลม เด็กน้อยสบถในใจเมื่อมาไม่ทันอย่างที่กลัวจริง ๆ เธอหมุนตัวเดินกลับอย่างอารมณ์เสียแต่กลับต้องสะดุ้งเฮือกพร้อมทั้งรีบขยับถอยหลังสองสามก้าวให้พ้นจากระยะพ่นลมหายใจเหม็นหึ่งของเจ้าม้าตัวสีน้ำตาลเข้ม มันส่งเสียงร้องเบา ๆ คล้ายขบขันอาการตกใจของหล่อนเสียเต็มประดา เสียงหัวเราะในลำคอดังมาจากเจ้าของร่างบนอานม้า
“ท่าทางเจ้าตลกดีนะฟาริดา”
เจ้าของชื่อย่นปลายจมูกขึ้น สองมือเท้าเอวขณะเงยหน้ามองพี่ชาย เขาแก่กว่าเธอประมาณสามปีกว่าได้ เค้าโครงหน้าเหมือนพ่อจนแทบจะถอดมาจากพิมพ์เดียวกันเลยกระมัง เห็นจะแตกต่างกันอยู่หน่อยตรงดวงตา เขาได้ตาสีน้ำตาลเข้มล้อมกรอบด้วยขนตางามงอนมาจากแม่ ในขณะที่ฟาริดาได้ตาสีเขียวอ่อนและจมูกโด่งรั้นมาจากพ่อ ดูเหมือนว่าซาอิสจะไม่ลืมถ่ายทอดนิสัยห้าวหาญไม่กลัวใครให้แก่ลูกคนเล็กด้วยเช่นกัน ความแก่นซนเกินหญิงเป็นสิ่งที่เขาค่อนข้างหนักใจอยู่ไม่น้อย อาจเป็นเพราะฟาริดาไม่เคยได้รับการฟูมฟักจากมารดา ความเจ็บป่วยทางร่างกายได้พรากภรรยาและแม่ของลูกทั้งสองไปเมื่อสามปีก่อน เขายังจำภาพภรรยากอดทารกน้อยขณะพูดฝากฝังฟาริดากับเขาทั้งน้ำตาได้อย่างแจ่มชัด ด้วยความสงสารในชะตากรรมของลูกคนเล็กทำให้เขาค่อนข้างตามใจลูกเป็นพิเศษ ระยะหลังเขาจึงเริ่มปรามและแยกหล่อนออกจากกลุ่มเด็กผู้ชาย
“นี่เจ้าจะขี่ม้าไปไหนรึฮาชีม?” ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่นั่งอยู่บนหลังม้า เด็กชายในวัยเดียวกันยังควบม้าเหยาะย่างมาสมทบเขาอีกสามคน
“เมื่อวานพ่อได้แม่ม้ามาตัวหนึ่ง มันพยศมาก พวกข้าเลยท้ากันว่าใครปราบมันได้ก็จะได้เป็นเจ้าของมัน พ่อเองก็เห็นดีเห็นงามด้วยเลยจูงมันไปที่คอกม้าด้านโน้นก่อนแน่ะ”
“อย่างนั้นเรอะ”
ฮาชีมมองเห็นประกายแห่งความตื่นเต้นถักทอในดวงตากลมโตของน้องสาว ถึงแม้เขาจะเป็นเด็กผู้ชาย ห้อมล้อมด้วยเพื่อนที่เธอไม่ค่อยชอบหน้าเพราะคนพวกนั้นมักชอบมองด้วยสายตาขบขันระคนเหยียดหยามเวลาเธอนั่งเฝ้ามองการฝึกฝนการต่อสู้ตาละห้อย แต่พี่ชายก็มีมักมีความอ่อนโยนต่อเธอเสมอมา แถมมีมากกว่าเพื่อนเขาและพ่อของพวกมันรวมกันตั้งเยอะเชียวแน่ะ
“อยากไปด้วยกันมั้ยล่ะ?”
“จะดีเหรอฮาชีม นางเป็นผู้หญิงนะ” เสียงหนึ่งค้านขึ้น
ฮาชีมตอบเพื่อนด้วยการยื่นมือให้กับน้องสาว รอยยิ้มกว้างส่งผลให้ใบหน้าเรียวเล็กดูสว่างกระจ่างตาขึ้นมาทันที ฟาริดาวางมือลงบนฝ่ามือพี่ชายเพื่อใช้จับยึดขณะตวัดร่างขึ้นควบม้าอยู่ในวงแขนของเขา สองมือเปลี่ยนมาจับยึดขนแผงคอของมันแต่สายตากลับจดจ้องสายบังเหียนในมือพี่ชายตาละห้อย ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วหล่อนขี่ม้าเป็นอันเนื่องมาจากการแอบจูงม้าออกไปหัดขี่คนเดียวในตอนกลางคืนทุกครั้งที่มีโอกาส เธออยากควบม้าได้อย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุในยามกลางวันเหมือนพวกผู้ชายบ้าง
ไม่นานนักม้าทั้งสามก็เหยาะย่างมาถึงคอกม้าขนาดใหญ่ อยู่ห่างที่ตั้งกระโจมของสมาชิกเผ่าฟารัคพอสมควร คอกม้าแห่งนี้มีใช้สำหรับการปราบพยศม้าตัวใหม่ เด็กผู้ชายของเผ่าทุกคนจะมีม้าเป็นของตัวเองกันคนละตัว แต่จะต้องมาจากความสามารถในการปราบพยศมันได้ด้วยตัวเอง ฮาชีมเป็นเด็กผู้ชายคนแรกของรุ่นที่มีม้าเป็นของตัวเองก่อนใคร ฟารีดาภาคภูมิใจในตัวพี่ชายคนนี้มากมายนัก
บรรดาเด็กหนุ่มวัยใกล้เคียงกันต่างเหลียวมองตามเสียงกีบเท้าที่ดังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เด็กสาวเพียงคนเดียวเชิดหน้าขึ้น เธอรู้ดีว่าในสายตาเหล่านั้นมีแววแห่งความไม่พึงพอใจปรากฏอยู่แต่ไม่กล้าแสดงออกมากนัก พวกผู้ใหญ่พวกนั้นก็เหมือนกัน นี่ถ้าพ่อหล่อนไม่อยู่ที่นี่ด้วยเธอก็คงจะถูกไล่ตะเพิดให้ไปเรียนเย็บปักถักร้อย ไม่ก็ไปเล่นกับพวกเด็กผู้หญิงแน่นอน
“อ้าว ฟารีดา มากับพี่ด้วยรึลูก” ซาอิสถามบุตรสาวซึ่งกำลังรูดตัวลงมาจากหลังม้าแล้วลงมายืนบนพื้นเบื้องล่างอย่างสง่า ในขณะที่ฮาชีมเดินแยกตัวไปยืนรวมกลุ่มกับเพื่อนของตนอีกด้านหนึ่ง นัยน์ตามีแววไหววูบคล้ายกับคนไม่สบายใจ หากฟารีดากลับมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง แม้ภายนอกพ่อจะดูยินดีที่เห็นเธอมากับพี่ชาย แต่ลึก ๆ แล้วเธอรู้ว่าเขาอยากให้อยู่เล่นกับพวกเด็กผู้หญิงด้วยกันมากกว่าติดตามฮาชีมมาเข้าร่วมกิจกรรมของพวกเด็กผู้ชาย เด็กน้อยทำเป็นเมินประกายบางอย่างในสายตาคู่นั้นแล้วเดินเข้าไปสวมกอดบิดา
“ฮาชีมบอกว่าวันนี้พวกเขาท้าปราบม้าพยศกัน ลูกเลยขอมาดูด้วยคนเท่านั้น ท่านพ่อคงไม่ว่ากระไรใช่มั้ยเจ้าคะ”
สายตาออดอ้อนและน้ำเสียงฟังหวานหูทำให้ซาอิสจำต้องพยักหน้ารับหงึกหงัก ไม่อาจทำใจแข็งต่อฟารีดาเหมือนเคย เธอแค่ขอดูเท่านั้น คงไม่เป็นไรกระมัง เขาคิดพลางถอนหายใจ “ก็ได้ลูก มา พ่อจะพาเจ้าไปดูแม่ม้าจอมพยศตัวนั้น”
ฟารีดายิ้มกว้างอวดฟันสีขาวเรียงกันอย่างสวยงาม สองคนพ่อลูกเดินจูงมือไปหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าแม่ม้าขนสีดำสนิทเหมือนท้องฟ้ายามราตรี มันจับจ้องพวกเขาอย่างไม่เกรงกลัวและออกจะให้ความสนใจแม่เด็กตัวจ้อยมากกว่าใคร มือหนาจับยึดไหล่บางของบุตรสาวไม่ให้เข้าใกล้มันมากเกินไป กลัวว่ามันจะทำอันตรายเธอเข้า แต่ในเมื่อมันยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเขาจึงยอมให้ฟารีดาก้าวเท้าเข้าใกล้มันมากกว่าเดิม เด็กสาวค่อยยกมือขึ้นหมายลูบหัวแต่มันกลับสะบัดหน้าหนีพร้อมทั้งเริ่มทำท่าขยับเท้ายึกยัก ซาอิสจึงรีบดึงตัวหล่อนให้ถอยห่างออกมามากกว่าเดิม
“เราจะปราบม้าพยศเช่นนี้ได้ยังไงรึเจ้าคะท่านพ่อ?”
ซาอิสลูบเรือนผมดำขลับซึ่งอยู่ภายใต้ผ้าคลุมศีรษะสีเขียวอ่อนเข้ากันดีกับชุดคลุมตัวยาว “พ่องดให้หญ้าและน้ำเพื่อตัดทอนกำลังมันแล้ว ส่วนจะปราบมันได้หรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน และตัวมันเองว่าจะยอมสยบให้แก่ใคร”
ฟารีดาเบือนสายตาจากใบหน้าคมเข้มของพ่อกลับมายังแม่ม้าอีกครั้ง นัยน์ตาทอแววอ่อนแสงยามทอดมอง มันก็คงเหมือนเราตรงที่ต้องการชีวิตอิสระ การดิ้นรนเพื่ออิสรภาพจากการถูกควบคุมจากกฎเกณฑ์ของเผ่าเป็นเรื่องไม่น่าเป็นไปได้พอ ๆ กับที่มันพยายามต่อสู้เพื่อให้รอดพ้นจากการตกเป็นสมบัติของมนุษย์คนใดคนหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ฟารีดาลองยื่นมือไปหามันอีกครั้งอย่างระแวดระวัง ดูเหมือนว่าความเข้าใจที่ถ่ายทอดผ่านทางสายตาของเด็กน้อยจะส่งผ่านไปถึงมันได้ ซาอิสเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจเมื่อมันยอมให้บุตรสาวลูบหน้าแต่ก็แค่ชั่วระยะเวลาอันสั้นเท่านั้น เด็กน้อยค่อยคลี่ยิ้มออกมาได้ก่อนเอ่ยกระซิบกับมันแผ่วเบา
“ข้ารู้ว่ามันเหนื่อยเพียงไรกับการเอาชนะคนพวกนั้น สู้ให้ถึงที่สุดละกันนะเจ้าม้า อย่าพ่ายแพ้ให้แก่ใครเพียงเพราะหมดแรง แต่จงยอมสยบให้แก่ผู้ที่คู่ควรนั่งอยู่บนหลังเจ้าเท่านั้น”
คำพูดของฟารีดาส่งผลให้หัวหน้าเผ่ามองด้วยสายตาหลากความรู้สึก ความคิดของบุตรสาวเป็นความนัยบ่งบอกว่าการจับคลุมถุงชนหล่อนเพื่อให้ได้แต่งงานกับชายหนุ่มผู้ที่เขาคิดว่าเหมาะสมกับบุตรสาวคนเล็กในภายภาคหน้าดูจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว เขาถอนหายใจ เถอะ อย่างไรเสียความคิดความอ่านมันก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงกันได้ล่ะน่า
“ฮาชีม” ซาอิสหันไปเรียกบุตรชายคนโต ฮาชีมจึงสาวเท้ายาว ๆ ตรงมาหาผู้เป็นพ่อ “ดูน้องด้วยนะ พ่อจะเข้าไปยืนคุมในคอกม้า”
“ครับท่านพ่อ”
ฮาชีมตกปากรับคำเป็นมั่นเหมาะแล้วเดินจูงฟารีดาไปยืนสมทบกับเพื่อนขณะที่ซาอิสเดินกึ่งจูงกึ่งลากแม่ม้าเข้าไปในคอก เด็กหนุ่มคนแล้วคนเล่าพยายามปราบพยศโดยมีหัวหน้าเผ่าคอยยืนคุมอยู่ไม่ห่างนัก แต่ละคนต่างล้มลงกองบนพื้นอย่างไม่เป็นท่า ดวงตาคู่สวยของฟารีดาทอแววขบขันระคนสะใจเมื่อคนที่เคยชอบพูดจาเยาะเย้ยตนถูกแม่ม้าถีบก้นเต็มรักจนหน้าทิ่มพื้น
เวลาผ่านไปอึดใจใหญ่แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของมันยังคงมีมากพอสำหรับการแผลงฤทธิ์เดช การเข้ามาของรองหัวหน้าเผ่าทำให้กิจกรรมนี้หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาใช้มือป้องปากขณะเอ่ยกระซิบอะไรบางอย่างกับหัวหน้าเผ่า ซาอิสพยักหน้ารับแล้วหันไปเรียกชายคนหนึ่งให้มาทำหน้าที่แทนในระหว่างที่เขาปลีกตัวออกไปทำธุระกับรองหัวหน้าเผ่า ฟารีดาเหลียวมองตามหลังพ่อไปจนเมื่อเขาพ้นจากสายตาไปแล้วจึงหันกลับทางพี่ชาย
“เจ้าไม่เข้าไปปราบพยศมันรึฮาชีม?”
เขายิ้มมุมปาก ประกายแห่งความมั่นใจฉายชัดในดวงตาคมลึกคู่นั้นขณะจับจ้องแม่ม้าจอมพยศตัวใหม่ของเผ่า “ปราบแน่แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
ริมฝีปากอิ่มเต็มเม้มเข้าหากันในขณะที่เด็กสาวทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยคาดเดา “เจ้าคงคิดจะปราบมันเป็นคนสุดท้ายล่ะซี อา...ปิดท้ายด้วยความสำเร็จอันงดงามของเจ้าอย่างนั้นรึ”
ฮาชีมหลิ่วตาให้ มองเห็นรอยบุ๋มบนแก้มทุกครั้งที่เขาแย้มรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ในแผ่นดินนี้เห็นทีจะมีเพียงเจ้ากับพ่อเท่านั้นที่รู้ใจข้า” เขาหรี่ตาลงข้างหนึ่งขณะจับจ้องดวงตากลมโตคมลึกสีเขียวสดใสของน้องสาว “ข้ารู้นะว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่น่ะฟารีดา”
เจ้าของนามยิ้มพราย “แน่ใจรึ ไหน เจ้าเดาว่ายังไงล่ะ”
เด็กหนุ่มเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าเพื่อนของตนกำลังเพลิดเพลินกับการยืนดูเจ้าม้าแผลงฤทธิ์อยู่ในคอกจึงตอบคำถามเสียงเบาพอให้ได้ยินกันแค่สองคนพี่น้อง “เจ้าอยากปราบมันเหมือนพวกข้า”
นัยน์ตาคนฟังทอประกายวาววับพร้อมทั้งเลียริมฝีปากแห้งผาก “เจ้าจะให้ข้าลองรึ”
ฮาชีมชักเอะใจกับท่าทางกระตือรือร้นของคนข้างกาย “เจ้าขี่ม้าไม่เป็นนี่”
รอยยิ้มกระจายที่ปากลามไปยังแก้มสีขาวอมชมพูขณะโน้มใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น “แล้วหากข้าขี่เป็นล่ะ เจ้าจะยอมให้ข้าลองไหม?”
คนฟังทำตาโตทันที “พูดเป็นเล่น!” เขากระแอมเสียงเล็กน้อยพลางตอบเฉไฉเพื่อนที่หันมาถามไถ่ถึงสาเหตุอาการตกใจของเขาแล้วกลับมาให้ความสนใจน้องสาวเพียงคนเดียวอีกครั้ง แววตาซึ่งฉายความมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมของหล่อนทำให้เขาจำต้องอ้าปากถาม “เจ้าขี่ม้าเป็นจริงรึฟารีดา”
เจ้าตัวพยักหน้ารับ นั่นยิ่งทำให้ฮาชีมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากมากขึ้น “เจ้าก็รู้ดีไม่ใช่รึว่าไม่มีผู้หญิงคนไหนเขาขี่ม้ากัน”
ฟารีดายักไหล่เล็กน้อย “ก็ข้านี่ไง ผู้หญิงคนแรกของเผ่าที่ขี่ม้าได้น่ะ”
ฮาชีมกลอกตาขึ้น “ลองผู้ชายคนไหนรู้ว่าเจ้าขี่ม้าเป็นเหมือนพวกเขาดูซี รับรองว่าไม่มีใครมองว่าเจ้าเป็นผู้หญิงอีกต่อไปแล้วล่ะ”
เด็กสาวทำท่าเบะปาก “ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ข้าไม่สนใจหรอก”
เขาถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความกลัดกลุ้มแบบเดียวกับพ่อ ท่าทางแบบนั้นมันทำให้เธอรู้สึกเหมือนว่าตัวเองมีพ่อถึงสองคนเลยทีเดียว “เถอะ ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครในเผ่ามองว่าเจ้าเป็นเด็กผู้หญิงอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่ยอมให้เจ้าลองปราบมันหรอก” รีบชิงพูดประโยคท้ายเสียก่อน
“ว่าแล้วเชียว” ฟารีดาพูดเสียงอ่อยตามประสาคนผิดหวัง นึกโกรธตัวเองที่ไม่เกิดเป็นเด็กผู้ชายไปเสียเลย “ข้าก็แค่อยากมีม้าเหมือนพวกเจ้าเท่านั้นเอง”
“แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนมีม้าเป็นของตัวเองมาก่อนนะ”
ฟารีดาชักเริ่มงอแง “ข้ารู้ แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็อยากเป็นคนแรกที่มีม้าแล้วก็ได้ขี่มันออกท่องเที่ยวทะเลทรายบ้าง ขอแค่นี้ไม่เห็นว่ามันจะมากมายอะไรเลย”
ฮาชีมทอดมองแม่ม้าพยศอย่างครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา “ถ้าข้าปราบมันได้ ข้าจะยกมันให้เจ้าก็แล้วกัน”
คนฟังรีบหันขวับมามองพี่ชายทันที “พูดเป็นเล่น เจ้าจะให้ข้าจริงเรอะ”
เด็กหนุ่มยืดอกขึ้นพลางสบใบหน้าเกลี้ยงเกลาอย่างแน่วแน่ตามประสาคนผ่านการตัดสินใจแล้ว “แล้วข้าเคยโกหกเจ้ารึฟารีดา”
เด็กน้อยมองหน้าพี่ชายด้วยความรู้สึกปลาบปลื้ม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ปราบมันด้วยตัวเองแต่การได้รับม้าจากเขามันก็ทำให้หัวใจเธอพองโตจนแทบจะคับอก หล่อนมองตามหลังฮาชีมซึ่งกำลังสาวเท้าเข้าไปในคอกม้าด้วยท่วงท่าการเดินสง่าผ่าเผยสมกับเป็นบุตรชายหัวหน้าเผ่า พี่เท่านั้นที่แม่ม้าพยศควรยอมสยบให้ เธอมั่นใจเช่นนั้นขณะจับจ้องเด็กหนุ่ม สองมือเกาะขอบคอกม้าทำด้วยไม้ตอกล้อมเป็นวงกลมขนาดใหญ่และเผลอบีบมันแน่นมากขึ้นจากความตื่นเต้น ม้าสาวพยายามสลัดเขาออกจากหลังหลากวิธีแต่ฮาชีมก็ยังคงรับมือไหว เขาอาศัยความพยายามและอดทนอย่างยิ่งยวดในการทรงตัวอยู่บนหลังม้าอยู่พักใหญ่กว่าที่มันจะเริ่มออกเดินเหยาะย่างตามการบังคับของเขา ฮาชีมแย้มรอยยิ้มขณะโบกไม้โบกมือให้ฟารีดาท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงผิวปากจากเด็กหนุ่มด้วยกัน
แต่แล้วรอยยิ้มของเด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มกลับเจื่อนลงเมื่อสังเกตเห็นประกายบางอย่างในแววตาของม้าสีดำสนิท มันยังไม่ยอมแพ้ หล่อนมั่นใจเช่นนั้น ฟารีดาร้องเตือนพี่ชายหากสายไป มันอาศัยช่วงจังหวะที่ฮาชีมไม่ทันระวังตัวสลัดเขาออกจนร่างนั้นตกลงไปบนพื้น หลายคนต่างหยุดชะงักด้วยความตกใจ มันตั้งท่าจะเหยียบฮาชีมซ้ำแต่ฟารีดาซึ่งดูมีสติมากที่สุดรีบกระโจนเข้าไปในคอกก่อนใครเพื่อน
ร่างโปร่งบางตวัดขึ้นนั่งควบบนหลังอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด สองมือกุมสายบังเหียนแน่นแล้วกระตุกเข้าหาตัว เป็นผลให้ม้าสาวยกเท้าหน้าขึ้นตะกุยตะกายในอากาศ ฮาชีมรีบขยับถอยหลังให้ห่างจากกีบเท้าของมัน
“ลงมาเร็วฟารีดา!” ชายผู้ที่ซาอิสไหว้วานให้ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยแทนเขารีบสาวเท้าเข้าหาทันทีที่ได้สติ แต่ยังไม่ทันถึงตัวเขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อถูกฮาชีมรั้งไว้
“ปล่อยนางเถอะ ฟารีดาขี่ม้าเป็น”
ชายคนเดิมหันมาถลึงตาใส่อย่างดุดัน “ผู้หญิงขี่ม้าไม่ได้หรอกฮาชีม”
“แต่นางขี่ได้ ดูสิท่านลุง นางคุมมันได้”
เด็กหนุ่มเถียงกลับพลางชี้ไปยังน้องสาวซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้า มันไม่มีทีท่าสลัดเด็กสาวออกเหมือนที่ผ่านมาแต่กลับพุ่งตัวเข้าเล่นงานพวกเด็กหนุ่มที่ยืนรายล้อมคอกม้าแทน และดูเหมือนว่าฟารีดาจะไม่ค่อยกระตือรือร้นในการห้ามมันเท่าไหร่นัก หล่อนลอบยิ้มสะใจเมื่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เพิ่งอ้าปากต่อว่าถึงความไม่เหมาะสมหงายหลังล้มก้นจ้ำเบ้าไปบนพื้น
“ต่อให้ขี่ได้ก็ห้ามขี่เป็นอันขาด!”
ชายคนนั้นยังคงยืนยันความคิดเดิม ผู้หญิงไม่ควรทำตัวก๋ากั่นด้วยการขี่ม้าเหมือนผู้ชาย เขาหมุนตัวกลับหมายเข้าไปดึงตัวเด็กสาวลงมาจากหลังม้าแต่กลับต้องล้มลงไปนอนบนพื้นอย่างหมดท่าเมื่อถูกกีบเท้ากระแทกเข้าที่ยอดอกโดยยังไม่ทันตั้งตัว
“อย่าน่า”
ฟารีดาร้องห้ามพร้อมทั้งกระตุกสายบังเหียนก่อนที่มันจะเหยียบเขาซ้ำ ม้าสาวตั้งท่ากระโจนเข้าใส่ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาขวางทาง ฮาชีมตัดสินใจใช้กริชของตนตัดเชือกเส้นยาวที่ใช้ล่ามมันไว้ไม่ให้วิ่งเตลิดออกไปจากคอก มันจึงกระโดดข้ามรั้วไม้ด้วยท่วงท่าอันสวยงาม ดูเหมือนว่าการอดหญ้าและน้ำจะไม่ค่อยส่งผลต่อการแผลงฤทธิ์เดชของมันเท่าไหร่นัก ท่าทางรั้นพอกันกับฟารีดา เด็กหนุ่มอมยิ้มขณะตวัดร่างขึ้นควบม้าสีน้ำตาลของตนแล้วควบห้อตะบึงตามน้องสาวออกไป เหลือเพียงฝุ่นลอยคลุ้งอยู่เบื้องหลัง ไม่มีใครคิดควบม้าตามสองคนพี่น้อง โดยเฉพาะฟารีดาด้วยแล้ว หล่อนเปรียบเหมือนแกะดำในหมู่เด็กผู้หญิงของชนเผ่า
ฝัน นี่มันความฝันของเราชัด ๆ ฟารีดาคิดในใจอย่างลิงโลด ไม่คาดคิดเลยว่าความใฝ่ฝันของตัวเองจะเป็นจริงเร็วเช่นนี้ ม้าสีดำสนิทออกวิ่งท่ามกลางทะเลทรายอันร้อนระอุ เด็กสาวหัวเราะร่าเริงเมื่อฮาชีมตวัดแส้เร่งฝีเท้าม้าของตนขึ้นมาวิ่งขนาบข้างจนได้
“เจ้าชอบทำให้ข้าทึ่งอยู่เรื่อยเลยนะฟารีดา”
“เมื่อกี้ข้าไม่ได้ตั้งใจทำให้เจ้าเสียหน้านะฮาชีม มันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆ” ฟารีดาบอกเสียงอ่อยเพราะหล่อนกลายเป็นผู้พิชิตม้าตัวนี้แทนที่จะเป็นเขา
ฮาชีมส่ายหน้าทั้งรอยยิ้ม “เจ้าทำให้ข้าภูมิใจต่างหากเล่า”
ดวงตาคมลึกทอประกายสดใสราวกับมีแสงดาวกำลังพราวระยับอยู่ในนั้น “ข้าอยากให้พ่อภูมิใจในตัวข้าเหมือนกับที่เจ้ากำลังรู้สึกในตอนนี้บ้างจัง”
รอยยิ้มบนใบหน้าเรียวยาวหากคมเข้มตั้งแต่วัยเยาว์ค่อยเจื่อนลงเล็กน้อย ลึก ๆ พ่ออาจภูมิใจในตัวฟารีดาก็จริงอยู่ แต่คงไม่มีพ่อคนไหนอยากเห็นลูกสาวทำตัวก๋ากั่นเยี่ยงชายเช่นนี้หรอก รอยยิ้มแจ่มใสของน้องสาวมันทำให้เขาพูดสิ่งที่กำลังขบคิดอยู่ภายในใจไม่ออก ได้แต่ทอดถอนหายใจเฮือกใหญ่ เถอะ ต่อให้เขาเป็นคนออกปากยกม้าให้ฟารีดาเอง พ่อก็คงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่อยู่ดีนั่นแหละ
สองคนพี่น้องขี่ม้าออกท่องเที่ยวทะเลทราย หายไปด้วยกันอยู่นานพักใหญ่กว่าที่พวกเขาจะเดินทางกลับมา ม้าทั้งสองหยุดยืนอยู่เหนือสันดอนทราย มองเห็นกระโจมของชนเผ่าฟารัคตั้งเรียงรายบนพื้นที่ราบในเขตโอเอซิส สายตาของฟารีดาเต็มไปด้วยความรักและหวงแหนในชนเผ่าของตนเป็นที่ยิ่ง ไม่ต่างอะไรจากผู้เป็นพี่ชาย
“ไปกันเถอะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับ ม้าทั้งสองออกวิ่งลงไปตามเนินทรายแล้วค่อยลดความเร็วเหลือเพียงการวิ่งเหยาะ ๆ เมื่อเข้าสู่เขตที่ตั้งของเผ่า ฟารีดากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นทันทีที่เห็นซาอิสยืนสอดแขนกอดอกด้วยสีหน้าโกรธขึ้งอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ร่างเล็กบางรูดตัวลงมาจากหลังม้าสาวและเดินจูงม้าเคียงข้างฮาชีมไปหาบิดา แม้จะกลัวเพียงใดแต่เธอก็ยังยิ้มสู้
“ท่านพ่อ ข้า...”
“พ่อมีเรื่องคุยกับเจ้าฮาชีม” เขาพูดเสียงเข้มกับลูกชายก่อนเบือนสายตาคมเข้มแฝงความดุดันมายังลูกสาว “ส่วนเจ้าไปรอพ่อที่กระโจม คุยกับพี่เจ้าเสร็จเมื่อไหร่พ่อจะตามไป”
สีหน้าของเขาทำให้ฟารีดาเดินห่อไหล่ด้วยความกลัว ฮาชีมปลอบน้องสาวเสียงเบาแล้วเดินแยกเข้าไปในกระโจมหลังใหญ่สุดอันบ่งบอกถึงระดับความสำคัญของเจ้าของที่มีต่อเผ่า สองเท้าเหยียบย่ำบนพื้นกระโจมปูด้วยพรมสีเข้มเช่นเดียวกันกับผ้าประดับผนัง เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ เพื่อรวบรวมความกล้าอยู่เบื้องหน้าผ้าม่านหนาที่ใช้แบ่งพื้นที่ภายในกระโจมให้กลายเป็นห้องต่าง ๆ อย่างเป็นสัดส่วน
“มาแล้วรึ”
ซาอิสเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้ายังคงความเข้มจากอารมณ์คุกรุ่น มือข้างหนึ่งวางแก้วน้ำชาบนโต๊ะขนาดเล็ก มันอยู่เยื้องตั่งที่ปูด้วยฟูกนอนหนานุ่มหลายชั้น ควันสีขาวลอยออกมาจากกระถางกำยานส่งกลิ่นหอมจรุงทั่วทั้งกระโจม ผนังเบื้องหลังเขามีอาวุธดาบพาดไขว้กันแลดูน่าเกรงขาม
“เรื่องที่ฟารีดาขี่ม้าเป็น เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วใช่ไหม”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ กลิ่นหอมของกำยานช่วยทำให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น “ผิดแล้วท่านพ่อ ข้าเองก็เพิ่งรู้วันนี้เหมือนกัน” รอยยิ้มปรากฏให้เห็นเพียงนิดตรงมุมปาก “แล้วนางก็ทำได้ดีเสียด้วยสิ”
เขาหรี่ตาลงข้างหนึ่งพลางขยับตัวเล็กน้อย “เจ้าไม่ได้เป็นคนฝึกให้นางหรอกรึ?”
“ไม่เลยท่านพ่อ น้องชอบนั่งดูพวกข้าฝึกขี่ม้ากับการต่อสู้อยู่บ่อยไป ข้าว่าคงไม่ใช่แค่การขี่ม้าเพียงอย่างเดียวที่นางแอบฝึกตามลำพังโดยไม่ให้ใครรู้เป็นแน่ บางที...” เขาพูดเสียงยานคาง “ทุกอย่างที่พวกเราทำได้นางเองก็อาจทำได้เช่นเดียวกัน”
หัวหน้าเผ่ายกมือขึ้นกุมขมับด้วยความกลัดกลุ้มเหลือประมาณ นับวันลูกสาวคนเล็กชักจะสร้างความหนักอกหนักใจให้เขามากขึ้นทุกที ความเก่งกาจเกินหญิงของฟารีดาแม้จะเป็นสิ่งที่เขารู้สึกพึงพอใจอยู่ลึก ๆ ก็จริงแต่มันอาจนำมาซึ่งปัญหาการเลือกคู่ครองให้แก่เธอในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน ผู้ชายคนไหนหรือจะชอบผู้หญิงทำตัวห้าวหาญ ชอบการต่อสู้และขี่ม้า เผลอ ๆ อาจทำได้ดีกว่าชายหลายคนด้วยซ้ำไป แววตาเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด หากภรรยาของเขายังอยู่ฟารีดาก็คงมีกิริยางดงามอ่อนหวาน ไม่กระโดกกระเดกเหมือนเด็กผู้ชายเช่นนี้
“เราคงต้องยอมรับว่าน้องไม่เหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่น นางเป็นผู้หญิงคนแรกของเผ่าที่ขี่ม้าได้”
ซาอิสขบกรามแน่น “นั่นต้องเป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีก เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อจะนำม้าตัวนั้นไปปล่อยซะ รึไม่ก็นำไปแลกกับข้าวของเครื่องใช้ที่ตลาดในเมืองโน่น”
“ท่านพ่อ...” ฮาชีมคราง “ท่านก็รู้ดีว่าน้องจะเสียใจเพียงไร การได้ขี่ม้าออกท่องทะเลทรายเป็นความฝันแล้วก็เป็นความสุขของฟารีดาเชียวนะท่านพ่อ”
“ใช่ว่าพ่ออยากทำลายความสุขของน้องเจ้า แต่หากไม่ทำ ความสุขในวันนี้จะกลายเป็นความทุกข์ของนางในวันข้างหน้า ข้าไม่อาจทนเห็นลูกสาวมีชีวิตอยู่อย่างแห้งเหี่ยวไร้ซึ่งคู่ครองคอยดูแลและถูกคนอื่นติฉินนินทาได้หรอก”
“หากมันเป็นความต้องการของนางก็ช่างคนอื่นประไรท่านพ่อ”
เขาทุบกำปั้นลงบนฟูกนอน “ฮาชีม!”
น้ำเสียงโกรธขึ้นของหัวหน้าเผ่าทำให้เด็กหนุ่มกลืนคำพูดทั้งหลายแหล่ที่กำลังไหลผ่านลำคอออกมาให้ได้ยินลงไปเสีย เขาเข้าใจในความจำเป็นของพ่อแต่ในขณะเดียวกันเขาก็อดห่วงความรู้สึกของฟารีดาไม่ได้ น้องจะรู้สึกเสียใจมากเพียงใดหนอหากรู้ว่าม้าของตนจะถูกนำไปปล่อยในรุ่งเช้า
สองคนพ่อลูกไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดของพวกเขาทุกคำล้วนผ่านเข้าสู่โสตประสาทของฟารีดาหมดสิ้น ก่อนหน้านั้นเด็กสาวตัดสินใจเข้ามาหาซาอิสในกระโจมเพื่อยอมรับผิดเพียงผู้เดียว ความรู้สึกผิดก่อเกิดในใจนับตั้งแต่เห็นสีหน้ากราดเกรี้ยวของพ่อ แต่ความอยากรู้อยากเห็นมันกลับมีมากกว่า เด็กสาวค่อยขยับก้าวเข้าไปกระโจมอย่างเงียบเชียบ นับว่าหล่อนทำได้ดีมากเสียทีเดียว เสียงการสนทนาดังมากขึ้นตามลำดับ ยิ่งเงี่ยหูฟังมากขึ้นเท่าไหร่ก็ยิ่งห่อไหล่มากขึ้นเท่านั้น
“ท่านพ่อครับ ม้าตัวนั้นเป็นของฟารีดาแล้ว ถึงแม้ว่าท่านพ่อจะเป็นหัวหน้าเผ่าแต่ก็ไม่มีสิทธิ์อันใดที่จะนำม้าตัวนั้นไปปล่อยหรือนำไปแลกเปลี่ยนสิ่งของหากฟารีดาไม่ยินยอม ต่อให้นางไม่ได้เป็นคนปราบมันด้วยตัวเอง นางก็มีสิทธิ์ขี่ม้าตัวนั้นอยู่ดีเพราะลูกสัญญากับน้องเอาไว้แล้วว่าหากลูกปราบมันได้ ลูกจะยกมันให้น้อง”
ดวงตาของซาอิสทอแวววาววับ “ถึงเจ้าจะยกม้าให้นางเอง นางก็ขี่มันไม่ได้ ต่อให้พ่อไม่คัดค้านพวกผู้เฒ่าของเผ่าเราก็ไม่ยอมให้นางมีม้าอยู่ดี”
“ลูกมีม้าไม่ได้เพียงเพราะลูกเป็นหญิงรึเจ้าคะท่านพ่อ” น้ำเสียงตัดพ้อดังมาจากริมฝีปากอิ่มเต็ม ฟารีดาก้าวเท้าเข้ามาหยุดยืนข้างพี่ชาย สายตายังคงจับจ้องใบหน้าคมเข้มของบิดาขณะรอฟังคำตอบ
ซาอิสหันหน้าหนี ไม่อยากมองลูกเพราะกลัวตัวเองใจอ่อนอีกตามเคย “ลูกก็รู้ดีอยู่แล้วไม่ใช่รึ แล้วทำไมถึงยังกล้าทำอะไรแหกคอกจากคนอื่นอีก ดูอย่างมีอาห์เพื่อนเจ้าสิ นาง...”
“ก็ลูกไม่ใช่มีอาห์!” ฟารีดาเถียงกลับทั้งที่อีกฝ่ายยังพูดไม่ทันจบประโยค เธอไม่ชอบใจเลยเวลาที่พ่อชอบเอาเธอไปเปรียบเทียบกับใครต่อใคร “ลูกก็เป็นของลูกแบบนี้ มันผิดด้วยหรือที่ลูกจะชอบขี่ม้า ชอบการต่อสู้แล้วก็ทำอะไรได้แบบที่พวกผู้ชายเขาทำกัน”
“ผิดสิ เจ้าเป็นหญิงนะฟารีดา เจ้าควรให้ความสนใจต่อการฝึกเต้นระบำและฝึกอะไรต่อมิอะไรที่เจ้าพึงเป็นและควรทำมันได้ดีมากกว่าทำตัวก๋ากั่นเป็นเด็กผู้ชายเช่นนี้”
ฟารีดาเตรียมอ้าปากเถียงอีกหนแต่กลับต้องหุบลงฉับเมื่อฮาชีมแตะปลายนิ้วลงบนหลังมือหล่อน และปรามด้วยการส่ายหน้าช้า ๆ หากเทียบกันแล้วเด็กสาวดูจะเชื่อฟังพี่ชายมากกว่าบิดาอย่างซาอิส เพราะเขาดูจะเข้าอกเข้าใจหล่อนเสียเหลือเกิน
“ตอนนี้เรื่องที่ฟารีดาขี่ม้าได้คงรู้กันไปทั่วแล้ว ทำไมท่านพ่อไม่ลองให้น้องแสดงความสามารถต่อหน้าสมาชิกเผ่าและพวกผู้เฒ่าทั้งหลายดูล่ะครับ นางจะได้เป็นที่ยอมรับเสียที”
ซาอิสครุ่นคิดตามข้อเสนอของบุตรชาย ใช่ว่าเขาไม่พึงพอใจในความสามารถของบุตรสาวแต่เป็นเพราะกฎเกณฑ์และความเชื่อเดิม ๆ ต่างหากเล่าที่ทำให้เขาไม่อาจปล่อยให้เธอทำตามใจตัวเองได้ ฟารีดารอฟังคำตอบของพ่ออย่างใจจดใจจ่อ หล่อนเห็นด้วยกับฮาชีม การแสดงความสามารถให้พวกหัวเก่าเห็นน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุดเพราะอย่างน้อยเธอก็มั่นใจว่าความสามารถของเธอนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร
“ลืมมันไปเสียเถอะ พรุ่งนี้ลูกจะไม่ได้เห็นม้าตัวนั้นอีก”
“ท่านพ่อ” ฟารีดาครางเสียงแผ่วคล้ายคนหมดแรง คำตอบนั้นเหมือนเป็นฟ้าผ่าลงกลางใจ น้ำตาเริ่มคลอหน่วยพร้อมกับสองมือที่กำแน่นจนสั่น “มันเป็นม้าของลูกนะเจ้าคะ”
ซาอิสสบตาลูก พยายามทำใจแข็งเต็มที่ “แน่นอนว่าแค่วันนี้เท่านั้น”
“ท่านพ่อใจร้าย!”
หยาดน้ำตาที่แค่เอ่อคลอก่อนหน้านั้นหยดเผาะลงมา เด็กสาวหมุนตัววิ่งออกไปจากกระโจมหลังใหญ่โดยไม่หันกลับมามองทั้งสองอีกเลย ฮาชีมร้องเรียกแล้วตั้งท่าจะออกวิ่งตามแต่กลับต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงท้วงของบิดา
“ไม่ต้องตามไปหรอก วันนี้นางอาจโกรธแต่วันหน้านางจะเข้าใจเอง”
ฮาชีมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมผู้ใหญ่ถึงชอบยึดติดอยู่แต่ความคิดและความเชื่อเดิม ๆ จากนั้นความกังวลก็เริ่มฉายชัดในแววตาเมื่อมีตัวแทนผู้อาวุโสของเผ่าเดินเข้ามาในกระโจมซาอิสอย่างเชื่องช้าหากมั่นคงในแต่ละก้าว สายตาจับนิ่งอยู่ที่ใบหน้าคมเข้มของชายร่างสูงกำยำ
“พวกเรารู้เรื่องฟารีดาแล้ว ขอเชิญท่านหัวหน้าเผ่าไปพูดคุยกันเรื่องนี้ที่กระโจมท่านเทชาห์ด้วย”
ซาอิสตอบรับอย่างนอบน้อมแล้วเดินตามชายชราผู้นั้นออกไปโดยมีสายตาละห้อยของฮาชีมมองตามหลังคนทั้งสอง ป่วยการที่จะพูดขอร้องแทนน้องสาว เขาได้แต่หวังว่าสายตาวิงวอนของตนก่อนหน้านั้นจะทำให้พ่อยอมใจอ่อนแล้วเปลี่ยนใจมาสนับสนุนฟารีดาแทนการกีดกันหล่อนเหมือนอย่างที่ผู้ใหญ่คนอื่นเคยทำมาตลอด
ความคิดเห็น