Nothing ! - Nothing ! นิยาย Nothing ! : Dek-D.com - Writer

    Nothing !

    ว่างเปล่า ว่างเปล่าและว่างเปล่า ; งงๆหน่อยน๊า า ~

    ผู้เข้าชมรวม

    129

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    129

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    1
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ก.ย. 55 / 23:41 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
     
    I wrote this essay cause I think why we born and what we will be ?? I can't ask anyone except myself.

    One day I just thought about the world,social,popularity now !

    why the humen should be with it why they think it's very important.

    On my mind..I think it just something that control the people in each places just like the law nobody but can't  miss it.

    The humen control and make everything in the world for long time long long time and now we forget that it's not real !




    Little Confuse ;









     
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เธออยู่กับฉันเสมอ...เธอกับฉันนั่งอยู่ท่ามกลางผู้คตนมากมายสังคมแห่งการเร่งรีบ สังคมแห่งการแข่งขัน

      ไม่มีใครสนใจใคร   ไม่มีเวลาพอที่จะใส่ใจใคร  คนแล้วคนเล่าที่เดินผ่าน วิ่งผ่าน ไม่มีใครเลยที่จะหยุดยิ้มหรือแม้แต่มองหน้ากันซักครั้ง 


       
      สายตาทุกคู่มุ่งตรงไปข้างหน้า มิใช่แววตาแห่งความมุ่งมั่นหากแต่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย เพราะอะไรกันนะ

      ถึงทำให้คนพวกนี้เป็นแบบนี้  ค่านิยม...สังคม...สิ่งสมมติทั้งหลาย...


       
      ฉันค่อยๆลุกขึ้นเดิน เดินผ่านคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วในความคิดของฉันหรือที่หลายๆคนเรียกมันว่าโทรศัพท์

      โทรศัพท์ที่ดูจะมีความสามารถเกินกว่าที่โทรศัพท์ควรจะมี นิ้วเรียวยาวแตะมันเลื่อนขึ้นลง จิ้มซ้ำๆในบางที...


       
      นี่คงถือเป็นกิจกรรมฆ่าเวลายอดนิยม เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เห็นแต่ผู้คนมากมายกำลังให้ความสนใจ

      อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ตัวนี้เหลือเกิน

      เธอบอกฉันว่าสังคมในโลกเสมือนทำให้เรารู้สึกได้ใกล้ชิดกับคนที่ห่างไกลแต่ในขณะเดียวกันคนที่อยู่ใกล้ชิดเรากลับยิ่งห่างออกไป


       
      เธอบอกฉันว่า ณ ตอนนี้ ในโลกเสมือน ในโลกที่ความจริงก็ไม่ใช่ เพ้อฝันไหมก็ไม่เชิง  ในโลกที่สังคมแข่งขันกันสูง

      เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ถือเป็นสัตว์สังคมตัวสำคัญนั้นจะต้องการการยอมรับ การรับรู้ถึงการมีตัวตน

      ในโลกแห่งชีวิตจริงมันอาจจะยากเกินไปจนท้อ แต่ในโลกเสมือนมันไม่ยากเลยในเมื่อ เทคโนโลยีปัจจุบันได้ก้าวไกลไปได้ขนาดนี้


       
      โปรแกรมแต่งรูปทั้งหลายต่างได้รับความนิยมจากสาวน้อยสาวใหญ่ หนุ่มน้อยทั้งหลายที่บางคนอาจจะกระเดียดไปทางสาวน้อยบ้าง

      โปรแกรมพวกนี้ต่างถูกใช้เพื่อที่จะทำให้รูปธรรมดาๆ ที่ถูกบันทึกจากเมมโมรี่ในกล้องเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็น

      รูปภาพที่ดูดีจนไม่คิดว่าจะมีอยู่ในชีวิตจริง


       
      ฉันถามเธอว่าแล้วเรื่องพวกนี้มันเกี่ยวกับคนใกล้คนไกลของเธอยังไง

      เธอตอบกลับมาว่าเพราะในโลกเสมือนนั้นเราได้เจอกับใครหลายๆคนทั้งรู้จักและไม่รู้จัก

      มันมีพื้นที่ที่ให้เราทำอะไรก็ได้ออกมา ทำในสิ่งที่ไม่มีโอกาสทำในโลกแห่งชีวิตจริง ถ้าทำได้ดีก็จะมีคนนิยม เริ่มชอบ และเริ่มได้รับการยอมรับ 

      ซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์โลกที่พอได้รับการยอมรับจากสังคมไม่ว่าจะในโลกไหนก็แล้วแต่ จะทำให้รู้สึกดีและไม่โดดเดี่ยวทำให้เริ่มยึดติดกับโลกใบนั้นไป


      ในขณะที่คนใกล้ตัวที่เห็นกันทุกวันพวกเค้าเหล่านั้นไม่ได้เห็นในสิ่งที่'มนุษย์ผู้โดดเดี่ยว' ทำ

      หรือในทางกลับกัน 'มนุษย์ผู้โดดเดี่ยว'ก็อาจจะไม่ได้แสดงให้เห็น เลยเกิดการมองไม่เห็นและหันไปยอมรับคนที่โดดเด่นกว่าในโลกแห่งความเป็นจริง

      หรืออาจจะเป็นเพราะ 'มนุษย์ผู้โดดเดี่ยว' สนใจโลกใบนั้นมากไปจนลืมคนที่อยู่ข้างๆ

      หรือคนที่อยู่ข้างๆก็เหนื่อยที่จะใสใจเหมือนกันก็เป็นได้ แต่ยังไงก็แล้วแต่ ผลที่ตามมามันดูโดดเดี่ยวจนน่ากลัว...
      .
      .
      .
      .
       
      ฉันเดินต่อมาเรื่อยๆ อากาศดีดีกับวันดีดีแบบนี้ไม่รู้เหมือนกันว่าจะรีบไปไหน  แต่ภาพตรงหน้าเรียกความสนใจจากฉันจนต้องหยุดดู...

       
      ความจริงแล้วมันก็เป็นแค่ภาพผู้หญิงต่างวัยสองคนกำลังยืนเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้หญิงที่อ่อนวัยกว่าเริ่มมีน้ำคลอที่ลูกตา 

       
      ลองนึกภาพในตอนที่ทุกคนยังอยู่ในวัยเตาะแตะ เด็กน้อยใสๆ เมื่อถึงเวลาไปโรงเรียนทีไรก็ร้องไห้จ้า บู๊มันทุกอย่างไม่ว่าจะดิ้น เตะ ตี ทุบพื้น


      ทั้งนี้เพื่อส่งสารบอกผู้ปกครองว่าเราไม่อยากไปอยู่ ณ สถานที่ที่พวกเค้าเรียกมันว่าโรงเรียน


       
      แต่เมื่อเราโตขึ้นการที่จะบู๊สุดแรงอย่างตอนเด็กๆนั้นคงเป็นการกระทำที่ดูแล้วชวนสมเพชมากกว่า


      เมื่อเริ่มโตขึ้น ความรู้สึกบางอย่างก็ต้องเก็บมันเอาไว้ เริ่มคิดเยอะขึ้น แต่ประเด็นนี้คงไม่ใช่สิ่งที่ฉันอยากถามเธอ


       
      หญิงสาวกำลังร้องไห้โดยมีหญิงกลางคนยืนหน้าบึ้งจ้องอยู่ เสียงบ่นของเธอลอบมาตามสายลม

      จับประเด็นได้คร่าวๆ คงเป็นค่านิยมที่ลามไปทุกหย่อมหญ้ากับปัญหาการศึกษาที่เหมือนจะเพียรแก้กันอย่างไรก็ยังไม่หาย


       
      การเรียนพิเศษในความเห็นของผู้ปกครองและนักเรียนบางคนเป็นสิ่งจำเป็นมากถึงมากที่สุด บางคนอาจคิดถึงขนาดมันตัดสินชีวิตทั้งชีวิตเลยก็เป็นได้

      ในความรู้สึกของพ่อแม่ยิ่งลูกเรียนเก่ง สอบเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ

      คณะที่กำลังนิยมอย่างแพทย์ ทันตะ เภสัช วิศวะ ...ก็ดูจะเป็นที่เชิดหน้าชูตา

      เป็นที่ชื่นชมและสามาถนำไปคุยโวกับเพื่อนข้างบ้านที่กำลังต้องการจะอวดลูกหลานตัวเองเหมือนกัน


       
      เธอบอกว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องของการต้องการการยอมรับและการต้องการความสนใจ

      พ่อแม่ผู้ปกครองก็เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่ต้องการสิ่งเหล่านี้

      จนบางทีก็ลืมไปว่าลูกหลานของตนเองนั้นก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆไม่ใช่เครื่องจักรหรือโปรแกรมอะไรที่สั่งแล้วได้ดั่งใจไม่ขัดขืน

      บางคนจึงเลี้ยงลูกในแนวทางที่ตนสามารถไปคุยให้คนอื่นฟังได้ ปากพร่ำบอกว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพื่อลูกอันเป็นที่รัก


       
      แต่ลึกๆในใจก็เพื่อหน้าตาทางสังคมทั้งนั้น


      ค่านิยมแบบนี้จะโทษพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างเดียวก็ไม่ถูก สิ่งที่ทำให้มันเกิดขึ้นคือผู้ที่ใหญ่กว่านั้นต่างหาก  

      การกวดวิชาอย่างเอาเป็นเอาตายถ้าสั่งให้หยุดมีหรือใครจะกล้าขัดขืน ระบบถ้าคิดจะทำให้มันดีมีหรือที่จะทำกันไม่ได้

      คำถามก็ยังคงเป็นคำถามที่ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบได้


       
      และเด็กหญิงคนนั้นก็ยังคงต้องร้องไห้ต่อไปเพราะระบบที่ช่างกดดันและไม่เคยให้โอกาสอะไรเลย...
      .
      .
      .
       
      แสงแดดเริ่มลาลับไป ความมืดเริ่มกล้ำกลายมาแทนที่เวลาดีดี อากาศดีดีแบบนี้ในวันนี้คงใกล้จะหมดไปแล้วไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะมีมาอีกหรือเปล่า

      ฉันถามเธออีกครั้งว่าสิ่งที่เห็นมาตลอด ค่านิยม สิ่งสมมติทั้งหลายมันเป็นสิ่งที่มีจริงๆใช่มั้ยทำไมคนเราถึงให้ความสำคัญมันมากขนาดนั้น

      เธอตอบกลับมาว่า

       
      ความจริงแล้วโลกใบมีอยู่ในจักรวาล ธรรมชาติสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาเพื่อไม่ให้โลกว่างเปล่าเกินไป สร้างต้นไม้ แม่น้ำ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตมีที่อยู่และที่ดำรงชีวิตอยู่

      เธอบอกฉันเรื่องของการวิวัฒนาการ จากแบคทีเรียตัวเล็กๆ ค่อยๆเปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆเป็นเวลาหลายล้านปี

      จนได้มาเป็นสัตว์ที่สามารถพูดได้ สื่อสารกันได้ มีความคิดและมีความซับซ้อน


       
      เธอบอกว่ามนุษย์เป็นคนกำหนดทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นชื่อเรียกสิ่งต่างๆ สิ่งของ สิ่งประดิษฐ์ ภาษา ความรู้สึก ค่านิยม สังคมและอะไรอีกมากมาย

      ผู้คนใช้ชีวิตกับสิ่งเหล่านี้ นานเข้า นานเข้า จึงรู้สึกติดและชินและถือมันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง ไม่ใช่ที่สิ่งที่เราสมมติขึ้นมา

      ไม่เคยคิดหรืออาจจะเคยแต่ไม่ใส่ใจว่าซักวันหนึ่งของพวกนี้มันสามารถเปลี่ยนแปลงได้


       
      เราอยุ๋กับสิ่งเหล่านี้มานานเกินไปจนยึดติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้จนถอนตัวไม่ขึ้น ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมามากมายอย่างที่เห็น

      เธอบอกว่าแม้แต่ตัวเราเองบางทีมันก็ไม่ใช่ของเรา ให้คิดถึงพอเราตายไปร่างของเรามันก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นซากขี้เถ้าขาวๆ

      และบางทีทั้งๆที่คิดว่าเราเป็นเจ้าของมันแต่ร่างกายมันกลับไม่ฟัง ไม่เชื่อเราเลย


       
      ธรรมชาติให้มันสมองมนุษย์มามากกว่าสัตว์ชนิดอื่นให้เป็นผู้สร้างสิ่งต่างๆเพื่อการดำรงอยู่อย่างสะดวก สบาย

      แต่เพราะมันสมองที่มากเกินไป ความรู้สึกที่มีมากเกินไปจนรุนแรง ทำให้ยึดติดและนึกไปเองว่าเราเป็นเจ้าของ

      นึกไปเองว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นานจนลืมไปว่าความจริงแล้วสิ่งที่เห็นว่ามีอยู่นั้นมันช่างว่างเปล่า


      และไร้ตัวตน... 
      .
      .
      .
      .
      .
      .
      .

      " Thank you T-K....You make the inspiration to me :)) "

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×