คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่หนึ่ง ผู้มาเยือน
บทที่หนึ่ง ผู้มาเยือน
“ข้าต้องมี...สามี...เดี๋ยวนี้...ตอนนี้เลยยิ่งดี”
“ข้าต้องเษกสมรส...เดี๋ยวนี้...วิลิโอ!...ส่งสานส์ไป...เมืองอะไรสักเมือง...แล้วขอ...เจ้าชายมาให้ข้า...เดี๋ยวนี้เลย!” ตรัสปนหอบรุนแรง เสียงสูด*พระอัสสาสะ(*ลมหายใจเข้า) ขณะเจ้าของเสียงเอาพระหัตถ์ทาบพระอุระอย่างพยายามระงับพระอารมณ์กริ้วโกรธโกรธา
“ควบคุมพระอารมณ์ด้วยพระพุทธเจ้าค่ะ” เจ้าของนาม ‘วิลิโอ’ ทูลเตือนสติเจ้าหญิงด้วยท่าทีสงบนิ่ง ท่าทีเยือกเย็นของเขาช่วยลดพระอารมณ์เกรี้ยวกราดของพระนางลงได้มาก
“...ข้ารู้แล้ว” ในที่สุดพระอารมณ์ของเจ้าหญิงก็สงบลงเป็นปรกติ ไฟกริ้วหายไปจากดวงพระเนตรคมสีอำพัน ท่าทีสงบเยือกเย็นอันเป็นพระนิสัยกลับเข้าวรองค์อีกครั้ง
“แต่ข้าต้องรีบหาผู้ชายที่เหมาะ ผู้ชายที่จะมายืนเคียงข้างข้าเหนือบัลบังก์ทีอา ข้าต้องรีบหาให้พบ” สุรเสียงเรียบสงบตรัสต่อ แววมุ่งมั่นแน่วแน่สว่างวาบในดวงพระเนตร
“พระพุทธเจ้าค่ะเจ้าหญิง กระหม่อมจะรีบค้นหาให้เร็วที่สุด จะพามหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่มายืนต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ให้เร็วที่สุด กระหม่อมถวายสัตย์สาบาน”
“ภาคย์! กลับบ้านเดี๋ยวนี้!!!” เสียงหวีดแหลมจากโทรศัพท์มือถือทำเอาชายหนุ่มสะดุ้งโหยง เท้าข้างที่เหยีบคันเร่งรถคันหรูเผลอปล่อยด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับแม่” ภาคย์ศิราเอ่ยถามมารดาอย่างร้อนรน คิดไปว่าที่บ้านคงจะเกิดเรื่อง มารดาจึงโทรศัพท์ตามเขาแบบนี้
“เป็นสิ!! เป็นมากด้วย แม่กำลังจะลืมหน้าลูกชายน่ะสิ” ฟังที่มารดาตอบแล้วภาคย์ศิราก็ถึงกับขำ
“ไม่ต้องมาขำเลยตาภาคย์!! แกไปทำงานที่จีนตั้งสองเดือน พอกลับมาเมืองไทยปุ๊บแกก็เข้าบริษัทปั๊บ บ้านช่องไม่กลับ! เดี๋ยวเถอะ แม่จะไประเบิดออฟฟิสทิ้ง!! ให้ตกงานกันทั้งพ่อทั้งลูกนั่นแหละ” คนเป็นแม่บ่นยาวด้วยความหมั่นไส้ ทั้งสามีทั้งลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ที่ดูจะบ้างานกันทั้งคู่ ไอ้ตัวพ่อดีหน่อย ที่ยังกลับบ้านทุกวัน แต่นายภาคย์ศิราลูกชายคนโตของนาง ถึงขนาดหอบผ้าหอบผ่อนไปนอนที่ทำงาน จะเรียกกลับบ้านได้แต่ละทีนางแทบจะต้องจุดธูปเชิญมันกลับ
“ก็ผมไปนู่นนาน ผมอยากไปดูที่บริษัทว่าเป็นยังไงบ้างน่ะครับ ไว้เดี๋ยวผมเคลียร์งานเสร็จแล้วจะกลับบ้านนะครับ” ชายหนุ่มตอบกลับเสียงอ่อยๆ
“ต๊าย! ถ้ารอแกเคลียร์งานล่ะก็ ชาตินี้ฉันคงไม่ได้เจอหน้าแกอีกแล้ว ตาภาคย์ กลับบ้าน!!” นางยื่นคำขาด
“โธ่! แม่ครับ! อย่าดุผมนักเลย บริษัทเราไม่ใช่เล็กๆนะครับ พ่อก็เหนื่อยมามากแล้ว ผมอยากช่วยให้ได้มากที่สุด”
“ภาคย์ แม่รู้นะว่าแกพึ่งจบ ยังไฟแรง แต่แกต้องใช้ชีวิตซะบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ทำงาน แม่เป็นห่วงนะภาคย์ ทั้งที่ตอนเรียนแม่เห็นแกสนุกกับชีวิตขนาดนั้น แต่พอเรีบนจบแกก็หยุดทุกอย่างในชีวิตไปเลย”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับแม่ ผมก็ยังสนุกกับชีวิตอยู่” เขาตอบทั้งๆที่รู้ว่ามารดาพูดถูก แต่เขาก็ไม่อยากให้ท่านเป็นห่วงไปมากกว่านี้
“ต๊ายยยย! เอาง่ายๆนะตาภาคย์ แกได้ซั่มสาวครั้งล่าสุดน่ะเมื่อไหร่”
“แม่!!!!” ภาคย์ศิราร้องด้วยความตกใจ เขารู้ว่าแม่เขาเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ที่โผงผางและเปรี้ยวจี้ดชนิดที่สาวๆต้องหลบ แต่ก็อดตกใจไม่ได้อยู่ดีเวลาแม่ถามอะไรแบบนี้
“แม่เดานะ! คงตอนแกเรียนโทอยู่เมกาใช่มั้ย ซักปีที่แล้วน่ะ”
ภาคย์ศิราสะดุ้งโหยง เรื่องที่แม่ถามว่าตกใจแล้ว แต่ที่น่าตกใจกว่าคือที่แม่เดาถูกอีกต่างหาก!
“กับสาวลาตินที่หน้าอกอึ๋มๆน่ะ”
“แม่!!! แม่รู้ได้ไงเนี่ย” ภาคย์ศิราแทบจะตะโกนด้วยความตกใจ
“ฉันเห็นพวกแกคุยกันในทวิตเตอร์ ฉันจำได้”
คำตอบทำเอาคนเป็นลูกกลืนน้ำลายเอื้อก
เขารู้ว่าแม่เขาเล่นเฟสบุ้คมานานแล้ว เวลาเขาอยากโพสอะไรที่ไม่ต้องการให้แม่รู้ถึงใช้ทวิตเตอร์แทน แต่ดูเหมือนไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไรก็หนีแม่ไม่พ้นจริงๆ
“นี่ ภาคย์” คนเป็นแม่ถอนหายใจมาตามสายจนภาคย์ศิราเริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆจังๆที่ทำให้มารดาต้อบเป็นห่วงขนาดนี้ “ช่วงนี้แม่ใจคอไม่ดี แม่เป็นห่วงแกนะ รู้สึกเหมือนจะมีอะไรเกิดขึ้น กลับมาบ้านหน่อยเถอะภาคย์ มาให้แม่เห็นหน้าให้อุ่นใจ”
“แม่ครับ ผมสบายดีนะครับแม่ แม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ชายหนุ่มปลอบมารดาเสียงนุ่มๆ
“แม่ไม่สบายใจ รู้สึกเหมือนจะไม่ได้เห็นหน้าแกอีกแล้ว กลับบ้านเถอะภาคย์ แม่อยากเห็นหน้า” เสียงวิตกกังวลของมารดาที่ปลายสายทำชายหนุ่มใจอ่อน
“ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมเสร็จงานแล้วจะกลับนะครับ อาจจะดึกหน่อย”
ภาคย์ศิราสัญญาไปแบบนั้น โดยไม่รู้เลยว่านั่นจะเป็นคำสัญญาที่เขาไม่อาจรักษาไว้ได้
ทางปลายสายยังไม่ทันตอบมาว่าอะไร อยู่ๆรถจักรยายนต์คันหนึ่งก็ย้อนศรเข้ามาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มตกใจหักพวงมาลัยหลบ ทำให้รถยุโรปคันหรูชนเข้ากับเสาไฟฟ้าอย่างแรง และเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยิน คือเสียงร้องเรียกชื่อเขาของมารดา ที่เขาจะไม่มีโอกาสได้ยินอีกแล้ว
“%#$^(*)#$@#%^” เสียงห้าวๆของชายคนหนึ่งดังอยู่ไกลๆ ปลุกให้ภาคย์ศิราจำใจต้องลืมตาตื่นมาดูสภาพรอบกาย
สกปรกที่สุด!
คำๆนี้คำรามขึ้นกลางใจชายหนุ่ม ภาคย์ศิราแทบจะสปริงตัวขึ้นมายืนได้เลย เมื่อมองเห็นสภาพรอบตัวที่ย่ำแย่เต็มทน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังนอนอยู่ในหลืบซอกระหว่างตึกสองตึก ซ้ายขวาเป็นอาคารสูงสักสองชั้น เต็มไปด้วยคราบสีดำสกปรกเละเทะ มิหนำซ้ำยังมีกองขยะวางสุมๆไว้จนแน่น
“ที่ไหนเนี่ย” เสียงนุ่มทุ้มพึมพำ
หัวเขายังปวดตุบๆอยู่ไม่หาย มันไม่ช่วยให้ความคิดโลดแล่นเลย ใช่...เขาจำได้ว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์กับแม่ แล้วอยู่ๆก็มีรถสวนมา เขาหักพวงมาลัยจนรถชนเสาไฟฟ้า ให้ตายเถอะ!! เห็นในหนังมาก็เยอะ ทำไมตอนนั้นเขายังงี่เง่ารับคุยโทรศัพท์ระหว่างขับรถได้นะ!
ชายหนุ่มมองสำรวจสภาพตัวเอง เห็นว่าเขายังอยู่ในชุดทำงานชุดเดิมกับที่ใส่เมื่อตอนเกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บอะไรซึ่งน่าแปลกใจสุดๆ ชนขนาดนั้นเขาไม่คิดว่าตัวเองจะรอดด้วยซ้ำ!
แล้วนี่เขามาอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้! ตึกรูปทรงแบบนี้มันมีในกรุงเทพด้วยหรอเนี่ย พอกำลังจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรฯขอความช่วยเหลือทั้นแหละ ปรากฏว่าในกระเป๋ากางเกงเขามีแต่กระเป๋าเงิน ถึงนึกได้ว่ามือถือคงจะตกอยู่ในรถ แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้!
“$)(*&#$^!()+” อยู่ๆเงาของชายคนหนึ่งปรากฏขึ้นที่ปากทางเข้าซอกแคบๆนี้พร้อมกับเสียงตวาดในภาษาที่เขาทั้งไม่รู้เรื่อง ภาคย์ศิราจ้องตาค้างอย่างตกใจ เพราะเงาๆนั้นแต่งกายประหลาดๆไม่คุ้นตายังไงชอบกล
“$&(*&)(*^#$$#@!#$@&%(*)@$%*(&)_#$@$%&)(*&#$^” คราวนี้คำพูดเหล่านั้นร่ายยาวยกใหญ่จนเขามึนตึ๊บ ทำอะไรไม่ถูก
ภาคย์ศิราสาบานกับตัวเองเลยว่า เขาจะวิ่งให้เร็วที่สุดไปจากที่นี่ ถ้าทหารสองคนนั่นไม่เอาดาบชี้หน้าเขาน่ะนะ
“วิลิโอ...”
“พระพุทธเจ้าค่ะ”
“ข้าสั่งออกไปตอนไหน ว่าให้จับคนที่บังอาจใช้มหาเวทย์ในที่สาธารณะมาพบน่ะ...ข้าสั่งไปตอนไหนกัน” สุรเสียงเรียบนิ่งตรัสอย่างไม่จริงจังนัก นัยเนตรสีอำพันปรายพระเนตรไปทางวิลิโอนิ่งๆ แย้มพระสรวลน้อยๆ
ภายในห้องโถงหนึ่งในหลายห้องของปราสาทเจ้าหญิงอาซาเลีย เจ้าหญิงผู้เลอโฉมซึ่งกำลังประทับนั่งกึ่งนอนพิงพระเขนยอิง เสวยไวน์อยู่บนพระแท่นไม้ขัดขึ้นเงาสีทองวามวับ เบื้องหน้าพระพักต์มีชายผมทองเจ้าของดวงตาสีน้ำเงินเข้ม กับชายหนุ่มอีกคนดูซึ่งอ่อนเยาว์กว่า ถูกมัดมือไพร่หลัง รวมถึงปิดปาก และบังคับให้นั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น ทหารคุ้มกันในห้องถูกตะเพิดออกไปหมดตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว
“ต้องขอประทานอภัยที่กระหม่อมบังอาจแอบอ้างพระนามของพระองค์ในการนี้ หากแต่ก็เพื่อคำสัตย์ที่กระหม่อมถวายไว้กับพระองค์” เสียงเรียบเยือกเย็นทูลพร้อมกับร่างสูงของเจ้าตัวโค้งให้อย่างขอลุแก่โทษ
“คำสัตย์? คำสัตย์อะไร” พระขนงโค้งได้รูปเลิกขึ้นเชิงแปลกใจ
“ที่กระหม่อมเคยให้สัตย์สาบานกับพระองค์ว่า กระหม่อมจะพามหาบุรุษผู้ยิ่งใหญ่มายืนต่อหน้าพระพักตร์พระองค์ให้เร็วที่สุด” วิลิโอทูลตอบหลังจากเงยหน้าขึ้นแล้ว
วิลิโอเป็นคนตัวสูงผอม ผมสีทองถูกหวีเสียเรียบแปล้ไปกับศีรษะ ดวงตาเรียวเล็กสีน้ำเงินเข้มราวกับท้องทะเลลึก หางตาตวัดขึ้นดูคมกริบ เสื้อคลุมสีขาวแขนยาวปกปิดตั้งแต่ส่วนคอลงไปมิด ถ้าไม่นับแววตาวาวๆของเขาแล้ว ใบหน้าเยือกเย็นก็ดูน่าเชื่อถือดีอยู่
“หืม...เจ้าจะบอกว่า ชายคนนี้คือผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมรึ”
“พระพุทธเจ้าค่ะ” วิลิโอขานรับพร้อมกับเผยรอยยิ้มน้อยๆ
“งั้นรึ...เช่นนั้นข้าขอดูหน้าหน่อยก็แล้วกัน...” องค์หญิงอาซาเลียวางแก้วไวน์ลงกับพระที่ ก่อนจะเสด็จมาประทับตรงหน้าชายหนุ่ม ฉลองพระองค์สีขาวบางเบายาวกรุยกรายกรอมเท้า ประดับประดาด้วยเครื่องประดับทองคำ โดยเฉพาะเพชรเม็ดโตที่รัดเกล้าทองคำตรงหน้าผาก ล้อมกรอบด้วยพระเกศาหยักศกสีแดงเพลิงยาวระดับสะโพก พอทรงย่อวรองค์ลงมาระดับเดียวกับภาคย์ศิรา รอยแยกของกระโปรงก็เปิดออกจนภาคย์ศิราตาพร่าไปกับท่อนขาเรียวยาวขาวนวล
รู้ตัวอีกทีพระหัตถ์เรียวสวยที่ประดับด้วยกำไลและแหวนทองกำลังค่อยๆปลดผ้าปิดปากลง เผยดวงหน้าหล่อเหลาที่สะบักสะบอมเล็กน้อย
“หืม...เจ้านี่รุนแรงจริง หน้าหล่อๆเสียหมดเลย” สุรเสียงหวานตรัสเบาๆ พระองคุลีเรียวยาวไล้ไปสัมผัสรอยช้ำข้างแก้มชายหนุ่ม ริมโอษฐ์บางแย้มพระสรวล
“เขาไม่ได้มีดีแค่หน้าตาหรอกพระองค์ ทอดพระเนตรดีๆเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ” วิลิโอว่า มองพระองค์หญิงของเขาลดองค์ลงไปพูดคุยระดับถึงเนื้อถึงตัวกับหนุ่มน้อยอย่างปลงๆ
“หึ...แต่พอข้าเห็นใบหน้านี้แล้ว...ข้าก็เคลิบเคลิ้มจนทำอะไรไม่ถูก...” ตรัสตอบ ก่อนริมโอษฐ์บางจะจุมพิตตรงรอยช้ำเขียวๆแผ่วเบา
พระโอษฐ์บางสวยลากไล้จากรอยเขียวช้ำข้างแก้มชายหนุ่ม มาหยุดที่ริมฝีปากบางเฉียบ จุมพิตเนิ่นนานและหวานละเลียด ทำเอาโลกทั้งใบของภาคย์ศิราพลิกคว่ำพลิกหงาย
เขาไม่รู้หรอกว่าคนในห้องพูดอะไรกัน ฟังอะไรไม่เข้าใจสักอย่าง ทำเอาทั้งว้าวุ่นทั้งสับสนเอาการทีเดียว แต่มาถึงตอนนี้ ทุกเรื่องดูเหมือนจะไม่มีความสำคัญใดๆทั้งสิ้น จุมพิตเนิ่นนานไม่รู้จบนี้เป็นสิ่งเดียวและสิ่งที่สุดท้ายที่เขารับรู้ ก่อนทุกอย่างจะมืดสนิท
“วิลิโอเก็บเรื่องของเขาเป็นความลับ”
ความคิดเห็น