คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : แม่ทัพกลับเมือง
ในยามเช้าอากาศที่แสนจะสดใส แต่ผักกาดแก้วไม่สดใสด้วย เพราะเธอต้องอยู่ในร่างของผู้ชายแถมยังต้องมาเจอปัญหาน่าอายอีกมากมาย นับตั้งแต่ การทำธุระส่วนในแบบผู้ชาย ( ไม่รู้จะทำไงดี .....ก็คนไม่เคยอะ ) การที่จะต้องอาบน้ำชำระร่างกายในสะว่ายน้ำขนาดใหญ่ ตั้งแต่เกิดมาเป็นตัวเป็นตนยังไม่เคยใกล้ชิดผู้ชายมากขนาดนี้เลย ให้ตายดิ้นสิ แถมยังต้องมานั่งโกนหนวดอีก ที่มันไม่เหมือนโกนขนหน้าแข้ง อย่างกะทำไถน่าเลย กว่าจะผ่านพ้นไปได้ ก็เรียกเลือดไปหลายหยดอยู่เหมือนกัน แต่พอมองหน้าตานายเฮกเตอร์คนนี้หลังจากกำจัดหนวดออกไปได้ก็ดูหล่อเหล่าดีอยู่หลอกแต่ไม่เท่ากับตอนที่มีหนวด แต่ผู้หญิงคนไหนจะทนได้ฟะ ที่หน้าตนเองมีหนวดงอกนะ รับไม่ได้จริงๆ ( แม้ว่าตอนนี้ร่างกายจะไม่ใช่หญิงก็ตาม แต่ใจเขาเป็นหญิงนะ )
“ ฝ่าบาท....ข้าเรออลขอเข้าไปนะพะยะค่ะ” เสียงผู้ชายที่อยู่หน้าห้องทำให้ ผักกาดแก้วตกใจ แต่ก็รีบปรับตัว
“ขะ...เข้ามาได้” พอสิ้นคนพูด ประตูก็ถูกเปิดออกให้ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่เดินเข้ามา
“ฝ่าบาทสบายดีพร้อมจะเดินทางหรือยังพะยะค่ะ” เรออลถามอย่างสงบแต่สายตาคอยจับสังเกตผู้เป็นนายตลอด ทำไมท่านเฮกเตอร์ถึงโกนหนวดทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ท่านดูแลรักษามันเป็นอย่างดี แต่ข้ารับใช้เช่นเขาก็ไม่มีสิทธิถาม
“สบายดีแล้ว”ผักกาดแก้วตอบสั้นๆ พยายามปรับสีหน้าให้ดูปกติ เพราะเมื่อคืนเธอได้คิดหลายตลบแล้วว่าจะอยู่ในร่างของนายเฮกเตอร์นี้ไปก่อนและหาสาเหตุหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในร่างนี้ แล้วหาทางพาตัวเองกลับสู่ร่างเดิมให้จงได้ ตอนนี้ต้องยึดสุภาษิตที่ว่า ‘เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตาม’
“งั้นก็ดีแล้วพะยะค่ะ ข้าจะได้ให้เหล่าทหารเตรียมตัวเดินทางกลับทรอยกัน”
“ กลับทรอย”ผักกาดแก้วถามอย่างตกใจ
“พะยะค่ะ กลับทรอย ตอนนี้เรารอช้าไม่ได้แล้วขอรับเพราะทางเมืองได้ส่งข่าวสารสำคัญมาให้” พูดจบ เรออลก็ส่งมวลหนังแกะเล็กๆยาวๆมาให้ เธอรับไปดู แล้วก็ต้องเหงื่อแตก เพราะในนั้นมีอักษรบางอย่างที่มันเขียนยุกยิกได้ใจความว่า ‘กลับทรอยด่วน สงครามกำลังเริ่ม’ เอาแล้วไงสงครามอะไรอีกเนี้ย และที่สำคัญเราอ่านออกได้ไงฟะ
“สงคราม....”ผักกาดแก้วพูดขึ้นเบากับตนเอง แต่ยังไม่สามารเล็ดรอดผ่านหูของเรออลไปได้
“ใช้แล้วพะยะค่ะสงคราม.......เป็นเพราะเจ้าชายปารีพระอนุชานั้นแหละ พะยะค่ะ” น้ำเสียงที่เรออลเอ่ยถึง เจ้าชายปารีนั้นแอบแฝงน้ำเสียงถากถางอย่างปิดไม่มิด
“ตอนรับหน้าที่ไปเป็นทูตที่สปาร์ตานั้น ได้แอบนำเฮเลนแห่งสปาร์ตากลับมาทรอยด้วย ทำให้ราชาแห่งสปาร์ตาเมเนเลา ยกทัพกับพันธมิตร มาทรอยอย่างไรละ พะยะค่ะ”พอสิ้นเสียงของเรออล สมองน้อยๆของผักกาดแก้วนั้นกำลังปั่นป่วนไปหมด ตอนนี้เธอรู้แล้วตนเองอยู่ที่ไหน และตอนนี้อยู่ในร่างใครแต่ไม่อย่างจะเชื่อเลยว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ นายเฮกเตอร์คนนี้ไม่ใช่ใคร นอกจากวีรบุรุษแห่งทรอย เจ้าชายเฮกเตอร์ยอดขุนพลเอก ในมหากาพย์ อิเลียด อันโด่งดัง มหากาพย์สงครามแห่งทรอยที่เธอเคยอ่านผ่านหูผ่านตาแต่ไม่ค่อยได้สนใจรายละเอียดมากนักและอ่านไม่จบ เพราะ เธอชอบอ่านนิยายรักหวานแววมากกว่านิยายอิงประวัติศาสตร์ ผสมสงคราม ตอนนี้เธอได้แต่อ้ำอึ้งไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่หน้าซีดเผือก เรออลเข้าใจผิดนึกว่าเธอนั้นกำลังกังวลใจ เรื่องที่เจ้าชายปารีได้ก่อขึ้น
“ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลใจไปพะยะค่ะ ถึงอย่างไร ทรอยก็ไม่มีวันแพ้สงครามได้ในเมื่อเรามีโล่แห่งเทวี เอเธนา พัลเลเดียม อยู่กับพวกเรา”เรออลพูดอย่างภาคภูมิใจและเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ ผักกาดแก้วได้แต่อ้าปากแบบไม่มีเสียงว่า ไม่แน่หลอก
“ฝ่าบาทสรุปแล้วจะให้ข้าเตรียมการเดินทางตอนเลยหรือไม่พะยะค่ะ” ผักกาดแก้วหลับตาใคร่ครวญ และก็ต้องผ่อนลมหายใจหนักๆออกมา เอาไงก็เอากัน เราจะหลบซ้อนอยู่แต่ในนี้ไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้อยากจะอยู่ใจจะขาดก็ตาม
“ตกลง” เมื่อได้รับคำตอบแล้วเรออลก็รีบออกๆไปดำเนินการตามทันที
ส่วนผักกาดแก้วก็ได้แค่คุกเข่าพนมมือสวดมนต์
“คุณพระคุณเจ้า ช่วยลูกช้างที่เถอะเจ้าค่ะ ขอให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นความฝันทีเถอะเจ้าค่ะ”
การเดินทางจากวิหารไปยังทรอยเป็นไปอย่างรวดเร็ว และลำบากมากๆสำหรับผักกาดแก้วอย่างเหลือแสน เพราะเหนื่อยมาก ละบมก้นไปหมด เพราะเธอต้องขี่ม้าเกือบตลอดทั้งวัน ถึงแม้ร่างกายนี้จะแข็งแรงมากก็ตามที กองทัพขนาดใหญ่ที่แบ่งเป็นกองทหารม้า กองทหารเดินเท้าและรถศึก ที่ตามหลังเธอมานั้นทำให้เธอรู้สึกอึกอัดเป็นอย่างมาก มันเริ่มตั้งแต่เธอที่ถูกจับแต่งในชุดเกราะโบราณ ที่หนักแสนหนัก แถมต้องคาดดาบที่เกะกะอีกอัน เมื่อเธอเดินออกมาจนถึงหน้าวิหารเหล่ากองทหารนับหมื่นที่รออยู่ต่างส่งเสียงไชโยโห่ร้องอย่างกึกก้องจนเธอต้องสะดุ้งไปทั้งตัว ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่เดินตัวแข็งเป็นตอไม้ไปที่ม้าศึกสีน้ำตาล ตัวใหญ่ ก็เกิดอาการใจฝ่อขึ้นมากะทันหัน อย่าจะไปขอขึ้นรถศึกแทนแต่ดูท่าแล้วคงไม่แคล้ว ตกรถไปนอนดูดาวเล่นแน่ จึงต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับม้าศึกอีกครั้งมือสั่นน้อยๆ ค่อยๆ ไปแตะที่คอของม้า แบบในหนังที่เคยเห็นมา แต่ต่อไปทำอย่างไงหว่า ในระหว่าคิดว่าจะทำไงต่อนั้น เจ้าม้าศึกสะบัดหัวมามองและพ่นลมออกทางจมูกอย่างแรง ส่วนเธอนั้นก็กระโดดตัวลอยไปกอดคอเรออลที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาทำหน้าแบบตกใจผสมงงงวง ผักกาดแก้วเหมือนจะรู้สึกตัวจึงค่อยๆแกะตัวเองออกจากรอบคอของเรออล เลือดก็พุ่งพรวดมาอยู่บนหน้าจนแดงกล่ำ จึงหันกลับไปห้าเจ้าม้ามีปัญหาอีกครั้งแต่คราวนี้มีทหารมาช่วยจับและมีเก้าอี้ตัวเล็กๆมาช่วยในการขึ้น และหลังจากเหตุการณ์นั้นเธอก็แทบหันไปมองหน้าเรออลได้เลยโดยที่ไม่หน้าแดง
“กำลังคิดอะไรอยู่พะยะค่ะฝ่าบาท” เลนัสเด็กรับใช้ของเจ้าชายเฮกเตอร์ซึ่งตอนนี้เธอเป็นใช้ร่างอยู่ถามขึ้น เพราะเห็นนายตนเองอยู่ดีๆก็หน้าแดง และทำปากงุบงิบอยู่คนเดียว เ
“ไม่มีอะไรเลนัสข้าแค่ บ่นอะไรนิดหน่อยนะอย่าได้ใส่ใจเลย” ผักกาดแก้วรีบแก้ตัว
“จะให้ข้าไม่ใส่ใจได้อย่างไรเล่าพะยะค่ะในเมื่อ ฝ่าบาทเป็นถึงเจ้าชาย และเป็นถึงแม่ทัพของพวกเรา และเป็นหน้าที่ของข้าที่ต้องดูแลทุกอย่างให้เป็นไปตามความต้องการของฝ่าบาท ดังนั้นข้าจะต้องจัดการทุกอย่างให้ดีจนฝ่าบาท ไม่มีเรื่องที่จะต้องบ่นนะพะยะค่ะ” เลนัสทำหน้าร้อนใจเป็นอย่างมาก
“เอาน่าเลนัสไม่ต้องคิดมากอะไร....มันไม่เกี่ยวกับเธอ เอ้ย..เจ้าหรอกนะ เจ้านั้นทำงานได้ดีมาแล้ว เราพอใจในการรับใช้ของเจ้ามาก เลนัส” ผักกาดแก้วพูดปลอบใจเลนัส และเป็นไปตามที่เธอพูดทุกอย่าง เลนัสดูแลบริการเธอดีมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นอน อาหารการกิน และการนวดตัวให้เธอทุกคืนเพื่อนผ่อนคลายความปวดเมื่อย แล้วผักกาดแก้วก็เร่งฝีเท้าออกไป สีหน้าของเลนัสนั้นอิ่มเอิบด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เจ้านายของตนเอ่ยชม แต่ไม่ใช่เพราะเจ้าชายเฮกเตอร์เอ่ยชมตนเองเท่านั้น แต่เป็นเพราะนี้เป็นครั้งแรกที่เจ้าชายเฮกเตอร์ยอดวีรบุรุษแห่งทรอยที่ตนเองชื่นชมมาตลอด มองมาที่ตน ทุกครั้งเจ้าชายเฮกเตอร์แทบจะไม่ชายตาแลเลยซักครั้ง สงสัยกลับทรอยครั้งนี้ต้องไปเล่าให้เพื่อนฟังเสียแล้วว่าเจ้าชายเฮกเตอร์เอ่ยชมตน งานนี้เพื่อนต้องอิจฉาเขามากแน่
และแล้วขบวนกองทัพก็มาถึงประตูเมืองทรอย กำแพงเมืองที่สูงใหญ่สีน้ำตาลแดงที่ทอดแนวยาวสุดลูกหูลูกตา ประตูเหล็กขนาดใหญ่ตรงหน้าเธอค่อยเปิดออกอย่างช้า ๆ ผักกาดแก้วกลืนน้ำลายดังเอื๊อกเมื่อเห็นผู้คนจำนวนมากยืนเต็มสองฝั่งถนนที่ปูลาดไปยังพระราชวังผู้คนต่างโห่ร้องอย่างยินดีดังกึกก้องจนเธอแทบหูอื้อ
“เอาไงก็เอากัน” ผักกาดแก้วพูดปลอบใจตนเอง และชักม้านำเข้าเมืองไปสู่พระราชวังสีขาวเจิดจ้าที่อยู่บนเนินที่ไกลออกไป เมื่อเธอไปถึงก็ได้พบกับ ผู้คนมากมายที่ยืนต้อนรับ มีทั้งหนุ่มและแก่ สตรีและเด็ก พอเธอลงจากหลังม้าก็ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก ทีนี้จะเอาไวดีละ จะเข้าไปทักใครดีบ้าง หรือเราจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ดีไหม แล้วทันใดนั้น ชายชรา แม้สูงวัยก็ยังคงความแข็งแรงไว้อย่างดี เดิมเข้ามาสวมกอดแบบไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว พร้อมกับพูดดังน้ำเสียงที่แหบพร่าว่า
“เป็นจริงดังที่เทพธิดาพยากรณ์กล่าวไว้สินะ” เอ๊ะ! เทพธิดาพยากรณ์ อะไร ผักกาดแก้วคิดอย่างงง
ชายแก่เลอกกอดเธอแต่เปลี่ยนมาเป็นการโอบไหล่ไว้แทนและประกาศเสียงดังและทรงอำนาจ
“เจ้าชายเฮกเตอร์ ได้นำชัยชนะมาให้แก่ทรอยเราอีกครั้งหนึ่ง และก็จะต้องนำทรอยสู่ชัยชนะอีกครั้งได้อย่างแน่นอน” เสียงผู้คนโดยรอบต่างโห่ร้อง อย่างเห็นด้วยกับคำพูดของชายชรา “ ขอต้อนรับสู่บ้าน ลูกชายข้า” แล้วชายแก่ก็ลากเธอตามเขาเข้าไป ในขณะนั้นเธอก็ได้ยินมีคนตะโกนว่า คืนนี้จะมีการจัดงานแลอกการกลับมาจากสงครามพร้อมชัยชนะของเจ้าชายเฮกเตอร์ตลอดคืนทั่วทั้งเมือง ชายชราพาเธอไปยังห้อง ห้องหนึ่ง ในนั้นมีผู้คนอยู่ประมาณ สิบกว่าคน ต่างก็จ้องมายังเธอ
“ไม่ต้องกลัวไป คนต่างเวลา”คำพูดของชายชราที่บอกว่าร่างนี้คือลูกชาย ทำให้ผักกาดแก้วสะดุ้ง แล้วหันมามองหน้า
“คุณลุงรู้ได้ไง” ผักกาดแก้วพูดด้วยความตกใจ
“เพราะข้าเป็นคนบอกอย่างไรเล่า เด็กน้อย” เสียงหญิงสาวกล่าวขึ้น เธอนั้นอยู่ในชุดขาวสะอาด ที่คอของเธอมีจี้เป็นรูปพระอาทิตย์ก้าวออกมาจากผู้คน “ข้าคือเทพธิดาพยากรณ์แห่งวิหารอพอลโล”นางยิ้มอย่างใจเย็น เธอได้แต่มองอ้าปากค้าง ไปยังหญิงสาวคนนั้น
“หมายความว่าเฮกเตอร์ตายแล้วใช้ไหม”เสียงสั่นเครือของหญิงชราดังขึ้น พร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองก่อนที่จะร้องไห้ราวกับคนไม่สมประกอบพร้อมกับซบไหล่ของชายชรา เสียงในห้องนั้นก็ดังกระหึ่ม ตามคำประกาศของหญิงชรา
“อย่าร้องไห้ไปเฮกคิวบา” แม้ว่าจะปลอบหญิงชรา แต่น้ำเสียงและมือที่ปลอบประโลมนั้นกลับสั่นสะท้าน พร้อมกลับน้ำตาที่คลออยู่
“ไม่ต้องสงสัยไปเด็กน้อย.....ข้าจะเล่าให้เจ้าฟังเอง” เทพธิดาพยากรณ์พูดขึ้น และยกมือขึ้นห้ามเสียงกระหึ่มของผู้คนที่อยู่รอบตัว
ความคิดเห็น