ดงบังชินกิ : Rising Gods of the East - ดงบังชินกิ : Rising Gods of the East นิยาย ดงบังชินกิ : Rising Gods of the East : Dek-D.com - Writer

    ดงบังชินกิ : Rising Gods of the East

    ผู้เข้าชมรวม

    685

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    685

    ความคิดเห็น


    1

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  รักอื่น ๆ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ก.พ. 53 / 16:30 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น


    ดงบังชินกิเป็นบอยแบนด์จากเกาหลีใต้  สังกัด  SM  Entertainment  ชื่อของวงมีความหมายว่า  เทพเจ้าที่ฉายแสงแห่งทิศตะวันออก (เทพเจ้าที่เจริญเติบโตจากทิศตะวันออก) สมาชิกในวงมาจากการออดิชั่น  แล้วจึงมาเข้ารับการฝึกหัดที่  SM
    ดงบังชินกิ  ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อวันที่  26  ธันวาคม  2003  ในคอนเสิร์ตของโบอา  และ  บริทนีย์  สเปียร์ส  กับการร้องเพลง  Hug  และหลังจากนั้นพวกเขาออกซิงเกิ้ล  Hug และ The  Way  U  Are  และมีสมุดภาพก่อนที่จะมีอัลบัมแรก  Tri-Angle ในปี  2004  เพลงของดงบังชินกิขึ้นอันดับ  1    ในชาร์ตเพลงเกาหลี  สามเดือนหลังจากเดบิวต์  แฟนคลับอย่างเป็นทางการของดงบังชินกิ  ใช้ชื่อว่า  Cassiopeia  ปี  2005  พวกเขามีอัลบัมที่  2  Rising  Sun  และอัลบัมที่ทำกับเพื่อนๆอย่างซูเปอร์จูเนียร์  คือ Show  Me  Your  Love  ปลายปีนั้น  พวกเขาได้รับรางวัล  Peoples  Choice  Award  ในงาน 2005  Mnet  KM  Music  Video  Festival
    ปี  2006  พวกเขาได้ไปโปรโมตตัวเองในประเทศเอเชียตะวันออกหลายๆประเทศ  และมีคอนเสิร์ตจำนวนมากมายในประเทศแถบเอเชีย    29  กันยายน  อัลบัมที่สาม  O  Jung.Ban.Hap ของพวกเขาก็ออกมา  เดือนแรกที่ออกจำหน่าย  มียอดขายกว่าแสนก๊อปปี้ในเกาหลี    และอัลบัมนี้ยังได้รับรางวัลมากมาย  อาทิ  จากงาน  2006  MKMF  Music Festival  ที่พวกเขากวาดมา  4  รางวัล
    ปี  2007  ดงบังชินกิ  จัดคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่  Encore  Concert  ขึ้น  3  รอบ  ระหว่างวันที่  26-28  ตุลาคม  ที่สนามโอลิมปิกปาร์ค  ในกรุงโซล    

    TVXQ's Diary



    .........อ่านเพื่อจะได้ระลึกไว้  ว่าพี่ๆลำบากแค่ไหน  ผ่านอะไรมาบ้าง  ก่อนที่เรา (แคสสิโอเปีย) จะได้มาเจอกันกับ ดงบังชินกิ.....

    ดงบังชินกิ  :  Rising  Gods  of  the  East

    ดงบังชินกิเป็นบอยแบนด์จากเกาหลีใต้  สังกัด  SM  Entertainment  ชื่อของวงมีความหมายว่า  เทพเจ้าที่ฉายแสงแห่งทิศตะวันออก (เทพเจ้าที่เจริญเติบโตจากทิศตะวันออก) สมาชิกในวงมาจากการออดิชั่น  แล้วจึงมาเข้ารับการฝึกหัดที่  SM
    ดงบังชินกิ  ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อวันที่  26  ธันวาคม  2003  ในคอนเสิร์ตของโบอา  และ  บริทนีย์  สเปียร์ส  กับการร้องเพลง  Hug  และหลังจากนั้นพวกเขาออกซิงเกิ้ล  Hug และ The  Way  U  Are  และมีสมุดภาพก่อนที่จะมีอัลบัมแรก  Tri-Angle ในปี  2004  เพลงของดงบังชินกิขึ้นอันดับ  1    ในชาร์ตเพลงเกาหลี  สามเดือนหลังจากเดบิวต์  แฟนคลับอย่างเป็นทางการของดงบังชินกิ  ใช้ชื่อว่า  Cassiopeia  ปี  2005  พวกเขามีอัลบัมที่  2  Rising  Sun  และอัลบัมที่ทำกับเพื่อนๆอย่างซูเปอร์จูเนียร์  คือ Show  Me  Your  Love  ปลายปีนั้น  พวกเขาได้รับรางวัล  Peoples  Choice  Award  ในงาน 2005  Mnet  KM  Music  Video  Festival
    ปี  2006  พวกเขาได้ไปโปรโมตตัวเองในประเทศเอเชียตะวันออกหลายๆประเทศ  และมีคอนเสิร์ตจำนวนมากมายในประเทศแถบเอเชีย    29  กันยายน  อัลบัมที่สาม  O  Jung.Ban.Hap ของพวกเขาก็ออกมา  เดือนแรกที่ออกจำหน่าย  มียอดขายกว่าแสนก๊อปปี้ในเกาหลี    และอัลบัมนี้ยังได้รับรางวัลมากมาย  อาทิ  จากงาน  2006  MKMF  Music Festival  ที่พวกเขากวาดมา  4  รางวัล
    ปี  2007  ดงบังชินกิ  จัดคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่  Encore  Concert  ขึ้น  3  รอบ  ระหว่างวันที่  26-28  ตุลาคม  ที่สนามโอลิมปิกปาร์ค  ในกรุงโซล   


    MyNameIs  KimJae-Joong
    เส้นทางชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ
    ฮีโร่  แจจุง
    สวัสดีครับ  ผมฮีโร่ครับ....ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อนเลย  ชื่อตามบัตรประชาชนจริงๆของผมก็คือ  คิม แจจุง ครับ  ส่วนชื่อที่ใช้ในวงการก็คือ  ฮีโร่  หรือ  ยองอุง  แจจุง  ครับ  ยองอุง  ในภาษาเกาหลีหมายถึง  ฮีโร่  ดังนั้นผมจึงใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า  Hero  ครับ  เป็นไง  ชื่อเท่ดีไหม?  วันที่ผมลืมตาดูโลกคือวันที่  26  มกราคม  ค.ศ. 1986  หุ่นสมาร์ทๆ ณ ปัจจุบันของผมอยู่ด้วยความสูง  180 ซ.ม.  และน้ำหนัก  63 กก. ครับ  เป็นไงครับเป็นสัดส่วนที่ดีมากๆเลยใช่ไหมล่ะ(ฮ่าๆๆ) แต่ตอนประถม 6 ผมสูงแค่  146 ซ.ม. เองนะ  เป็นเด็กที่ค่อนข้างตัวเล็กมากๆเลยล่ะ  และความที่ตัวเล็กนี่แหละครับ  ผมจึงมักได้อยู่หน้าสุดตลอดเลย  ตอนนั้นมีเพื่อนๆสูงประมาณ 170 ซ.ม.ด้วยนะ  มันรู้สึกเป็นความผิดพลาดในชีวิตผมจริงๆเลยล่ะแต่ผมก็ไม่ได้มุ่งมั่นดื่มนมให้ตัวเองสูงขึ้นหรอกนะ  แต่อาจจะเป็นเพราะตอนมัธยมต้นผมเล่นบาสเก็ตบอลตลอด 2  ปีด้วยก็ได้  แต่จริงๆแล้วไม่ได้เล่นเพื่อจะมุ่งมั่นที่จะให้ตัวเองสูงขึ้นหรอกนะ  เล่นเพราะชอบเท่านั้นเอง  ตอนนั้นก็สูงขึ้นปีละ  10 ซ.ม.เลยล่ะ  รวม 3 ปีก็สูงขึ้น 30 ซ.ม.  ขอบอกว่าเล่นกีฬานี่ได้ผลต่อรูปร่างจริงๆเลยนะครับ

    ผมเกิดที่ Choong Nam ครับ  นั่นคือบ้านที่ผมเกิด  แต่พอมาฝึกหัดเป็นนักร้องในตอนอายุ 15 ผมก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านอีกเลย  คิดถึงบ้านและคิดถึงคุณพ่อคุณแม่มากๆครับ  คราวนี้ก็มาพูดถึงเรื่องอื่นๆกันบ้างดีกว่า  อย่างเช่นเรื่องเกี่ยวกับร่างกายของผมเอง  ขอเริ่มที่กรุ๊ปเลือดก่อนเลยนะครับ  ว่าผมเป็นคนเลือดกรุ๊ป O ซึ่งเป็นกรุ๊ปเลือดที่เขาว่ากันว่า  เป็นคนใจกว้าง  ใจดี  ชอบช่วยเหลือผู้อื่น  ซึ่งผมก็คิดว่าตัวเองเป็นคนแบบนั้นจริงๆนั่นแหละ  คนรอบข้างมักจะบอกผมว่า  ผมเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นและพยายามสู่จุดหมายของตัวเองอย่างจริงจัง  มีความเป็นตัวของตัวเองสูง  รักอิสระ  ไม่ชอบพึ่งใคร  ตั้งใจทำงาน  และเชื่ออยู่เสมอกับความพยายามของตัวเอง  ที่จะไปให้ถึงฝัน  นอกจากนั้นผมยังเป็นคนที่รักความสะอาด  ไม่อาจอดทนต่อสิ่งสกปรกและเสียงดังได้อีกด้วย  คงไม่เรื่องมากเกินไปใช่มั้ยครับ(ฮ่าๆๆ) อีกอย่างหนึ่งก็คือ  ถึงผมเป็นคนที่ดูเรียบร้อย  เขินๆขี้อาย  แต่ก็พูดตรงไปตรงมาไม่ใช่น้อยเลยนะครับ

    อืม.....เรื่องที่มักจะถูกพี่ๆสื่อมวลชนถามอยู่บ่อยๆก็คือ  สเปกผู้หญิงในฝันนี่แหละครับ  รู้สึกเขินที่ต้องตอบเหมือนกันนะ  อืม...ผมชอบผู้หญิงที่มือเท้าสวยนะ  แล้วถ้าเป็นผู้หญิงไทย  ก็ต้องเป็นคนที่สนิทสนมกับช้างได้ง่ายด้วย  ถ้าผมมีแฟนเป็นคนไทย  ผมก็คิดว่าเราน่าจะไปขี่ช้างด้วยกันนะ  และก็อยากให้เธอคนนั้นสนิทสนมและก็รักช้างจริงๆด้วยครับ  แต่จริงๆผมก็ไมได้ตั้งสเปกเอาไว้แบบเป๊ะๆหรอกนะ  เพราะมันก็คงยากเหมือนกันที่จะตามหาผู้หญิงที่ตัวเองวางสเปกไว้น่ะ  คือคิดว่าถ้าได้เจอกันมันคงเหมือนจะมีสัญญาณอะไรบางอย่างบอกว่าคือคนที่ใช่แหละ  ถ้าผมมีแฟนผมก็อยากจะไปทักทายพ่อแม่ของเธอ  แล้วก็ไปเที่ยวบ้านเธออย่างเรียบง่ายมากกว่าจะออกไปเที่ยวตามเทศกาลน่ะครับ  ผมไม่ต้องการให้เธอทำอะไรให้หรอกครับ  แต่ผมอยากทำอาหารให้เธอทานมากกว่า  แล้วก็อยากทำความสะอาดห้องให้ด้วยครับ  มีคนถามอยู่บ่อยๆว่าเวลาว่างจากการทำงานผมชอบทำอะไร  มันก็ไม่เป็นความลับหรอกครับ  เพราะส่วนใหญ่ก็คล้ายๆกับคนอื่นๆนั่นแหละ  ไม่ว่าจะฟังเพลง  เล่นเกมคอมฯ  เล่นเวท  และล่าสุดชอบเล่นเกมไพ่ด้วยครับ  สิ่งเหล่านี้มันช่วยคลายเครียดได้เหมือนกันนะ  ความสามารถพิเศษของผมนอกจากร้องเพลงแล้ว  ก็คงจะเป็นเรื่องทำอาหารนี่แหละครับ  ผมชอบทำอาหารให้เพื่อนๆในวงทานกันบ่อยๆน่ะ  พวกเขาก็ชมว่าอร่อยดีนะ(ยิ้ม)

    ลักษณะของผู้ชายในอุดมคติที่ผมรู้สึกดีเมื่อได้เห็นก็คือ  ผู้ชายที่เข้าถึงจิตใจของผู้หญิงได้  ส่วนเรื่องที่ทำให้รู้สึกโกรธล่าสุดก็เห็นจะเป็นมุขตลกเห่ยๆของจุนซูครับ(ฮ่าๆๆ) ก็ผมไม่ชอบอ่ะ  ส่วนเรื่องที่ทำให้เสียใจล่าสุด ก็มีอยู่วันหนึ่งผมฝันว่าตัวเองตาย  นั่นแหละมันทำให้ผมเสียใจมากๆเลย  แล้วผมก็ดีใจมากๆด้วยที่ได้รู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่  ช่วงนี้ถ้าได้มีวันหยุดยาวๆสักหน่อ  ผมก็อยากไปเจอเพื่อนๆและคุณพ่อคุณแม่ครับ  ปกติแล้วผมจะยุ่งๆจึงไม่ค่อยมีเวลาได้ไปหา  อ้อ!  แล้วก็อยากจะไปเที่ยวพักผ่อนด้วยครับ

    และจากนี่ไป  ผมก็จะขอพูดถึงการเข้ามาเป็น 1 ในวงดงบังชินกิสักหน่อย  เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากๆ และผมก็จะไม่มีวันลืมวันแรกที่ก้าวเข้ามาสู่วงการนี้เลย  เพราะการเข้าเป็น 1 ในดงบังชินกิ  ทำให้ผมได้รับความรักจากเพื่อนๆแฟนเพลงมากมาย  ผมซาบซึ้งใจมากครับ  อืม...ผมเข้ามาเป็นสมาชิกคนที่ 3 ของดงบังชินกิครับ  ตอนนั้นผมเป็นคิม แจจุง  เด็กที่ขี้อายมากๆเลยนะ  แต่ผมก็มีความฝันที่ยิ่งใหญ่นะครับ  ผมทิ้งบ้านเกิดที่ชุงนัมเพื่อมาสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริง    ทันทีที่ถึงกรุงโซล  ผมก็ได้เข้าร่วมออดิชั่นของค่าย SM และตอนนั้นผมก็ชนะการออดิชั่นด้วยนะ  ก่อนจะได้รับการเทรนอยู่ 4 ปีได้  จากนั้นก็ได้ฤกษ์เป็นศิลปินเต็มตัวซะที  และจากนั้นผมก็เปลี่ยนมาใช้ชื่อที่เคยมีหมอดูทำนายไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า  ยองอุง แจจุง  หรือเรียกง่ายๆว่า ฮีโร่ ครับ

    แต่ประสบการณ์ตอนออดิชั่นเพื่อเป็นศิลปินฝึกหัดเนี่ย  ก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หลายๆคนคิดหรอกนะครับ  ผมเคยตกไป 1 ครั้งเหมือนกัน  จากนั้นผมก็ได้โอกาสอีกครั้ง  ตอนนั้นผมโลภมากๆเลยล่ะ  ทั้งร้อง  ทั้งเต้น  แต่ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นๆเลยเรียกว่าฝึกฝนคนเดียวเลยล่ะ  แต่พอตอนนี้มีสมาชิกอีก 4  คนอยู่ด้วยก็เลยรู้สึกอุ่นใจมากๆเลยครับ  ตอนนั้นผมฝึกเรื่องเสียงร้องโดยการไปคาราโอเกะคนเดียว  บางทีก็ร้องในห้องนอนของตัวเอง  ส่วนใหญ่ผมจะฟังดนตรีมากกว่าร้องนะ  เพราะผมคิดว่าการฟังเป็นสิ่งสำคัญ  ตอนนั้นฟังแต่เพลงดังๆพวกเพลงประกอบหนังหรือละคร  ส่วนพวกเพลงเทคโน  เพลงร็อกนี่ไม่ฟังเลยครับ  ฟังแต่ K-POPประมาณนั้นน่ะ  พอเข้ามาเป็นนักเรียนฝึกหัดก็ได้เต้น  บอกตรงๆนะว่าไม่ค่อยชอบเท่าไหร่เลย  เพราะตอนเป็นนักเรียนฝึกหัดและเพื่อจะเต้นให้เข้ากับคนอื่นๆได้  ผมก็ต้องใช้ความพยายามมากๆเลย  แต่ถึงยังไงผมก็ไม่คิดล้มเลิกความตั้งใจเลยครับ  กว่าจะมาเป็นดงบังชินกิที่มีชื่อเสียงอย่างทุกวันนี้ได้  ผมต้องฝ่าฝันอุปสรรคมากมายเหมือนกันครับ  ผมออกมาอยู่คนเดียวตลอดตั้งแต่อายุ 15 ปี  ผมต้องฝ่าฟันมันด้วยจิตใจที่เข้มแข็งมากเลยนะ  แต่พอข้ามผ่านช่วงเวลาการเป็นนักเรียนฝึกหัดมาได้แล้ว  เรื่องที่**ชนะก็คือ  การแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆของตัวเองที่นึกคิดเอาไว้  คือผมยังทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่น่ะครับ  พอคิดอะไรแล้วก็มักจะแสดงออกมาทางร่างกาย  คนรอบข้างมักจะบอกว่า ผิดนิดหน่อย อยู่เรื่อยเลยครับ  แต่การตั้งใจและทุ่มเทให้กับการฝึกฝนเหล่านั้น  มันก็ส่งความชื่นใจให้มาให้ผมมากที่สุดในชีวิตเลยล่ะ  มันทำให้ผมต้องเสียน้ำตาด้วย  อย่างเมื่อวันที่ 10 กันยายน ปี 2005  พวกเราดงบังชินกิก็ได้ไปคอนเสิร์ตใหญ่ที่โอลิมปิค  สเตเดียมในกรุงโซล  ตอนนั้นผมเพิ่งผ่าตัดข้อเท้าที่หักในระหว่างการฝึกซ้อมเต้น  แต่เพราะแฟนๆทั้ง 5 หมื่นคนที่รอชมคอนเสิร์ตครั้งนี้  และผมก็อยากจะพบเจอกับแฟนเพลงด้วย  ตอนนั้นผมร้องเพลง Hug  แล้วแฟนเพลงก็ร้องคลอตาม  ผมถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลยล่ะ  ก็มันรู้สึกซาบซึ้งมากๆเลยนี่นา  นอกจากนั้นแฟนๆยังตะโกนขึ้นมาบนเวทีอีกว่า หายเร็วๆนะ  ผมก็ตอบพวกเขากลับไปด้วยรอยยิ้มสดใสว่า  ผมไม่เจ็บเลยสักนิดเดียวครับ  ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรืออนาคตผมก็จะยิ้มต่อไปครับ  มันเป็นวันที่ผมมีความสุขวันหนึ่งเลยก็ว่าได้  และผมก็จะไม่มีวันที่จะลืมวันนั้นเลยครับ

            ชีวิตของผมผ่านความยากลำบากมาเยอะครับ  ถ้าเทียบกับเพื่อนๆสมาชิกในวงคนอื่นๆ  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมอดจะร้องไห้โฮออกมาไม่ได้  ตอนนั้นพวกเรา  ดงบังชินกิ  ไปออกรายการหนึ่ง  คุณพิธีกรได้ถาม ยูนโฮ และ ซีอา  ถึงเรื่องการที่ทั้งสองได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรวมถึง ชางมิน ที่เข้าเรียนวิทยาลัยเป็นนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว  แบะคุณพิธีกรก็ถามผม  ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว ว่า คุณดร็อปเรียนเพื่อมาร้องเพลงใช่ไหม  ผมก็ตอบว่า ใช่ครับ  ผมอยากทำอะไรที่ผมชอบ  เขาก็ถามต่อว่า  คุณต้องเจอกับช่วงที่ยากลำบากมากมาย  ตอนที่ต้องจากบ้านมาตามฝันที่กรุงโซลใช่มั้ย  ผมก็ตอบว่า  ใช่ครับ  ผมทำงานหลายอย่างเลย  จากนั้นเขาก็ถามผมอีกว่า  ได้ยินมาว่าคุณถึงกับขายเลือดด้วย  คำถามนี้มันทำให้ผมถึงกับอึ้งไปเลยครับ  ความทรงจำที่เจ็บปวดในอดีตมันถาโถมเข้ามาทันที  แต่ผมก็ทำใจตอบไปตามความจริงว่า ผมบริจาคเลือดต่างหากและนั่นมันก็ทำให้ผมจ่ายค่าเช่าห้องได้  ผมนำไปซื้อขนมมาประทังชีวิต ชีวิตของผมดูเศร้ามั้ยครับ  แต่ผมก็ผ่านมันมาได้นะ  และทำให้รู้ว่า  ผมไม่เสียใจเลยที่ตัวเองฝ่าฟันอุปสรรคมาถึงตอนนี้  มันทำให้ผมอดภูมิใจกับตัวเองไม่ได้จริงๆนะครับ

    จากนั้นพิธีกรก็ถามผมต่อว่า มันดูลำบากมากเลยนะครับ  คุณทำทุกอย่างเพื่อขนมชิ้นน้อยๆและได้ยินมาว่าตอนทำงานพาร์ตไทม์  คุณต้องกินราเมงที่เหลือด้วยไม่ใช่หรือ  เมื่อถามถึงตรงนี้  จุนซู  ที่นั่งฟังอยู่อย่างเห็นใจ  เขาคงอดสงสารผมไม่ได้จึงพยายามแก้ไขสถานการณ์โดยตอบแทนผมว่า ไม่ใช่ครับ  พี่แจจุงไม่ได้ตะกละเหมือนชางมินนะ  ก่อนที่ชางมินจะระเบิดเสียงหัวเราะของตัวเองออกมา  เพื่อสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น  ตอนนั้นผมเอาแต่เงียบไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี  ไม่ใช่ว่าผมลืมเรื่องที่ผ่านมานั่นหรอกนะ  แต่ผมนึกถึงวันที่ยากลำบากนั่นต่างหาก  ผมพูดขึ้นมาว่า ทั้งหมดนั่นก็เพื่อความฝันของผม  แต่....ผมเคยหิวมากๆจริงๆนะ ตอนนี้เองแหละครับที่ผมพยายามกลั้นสะอื้นที่มันขึ้นมาจุกที่คอลงไป  แต่มันกลับทำให้ผมร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น  แต่ถึงอย่างไรผมก็ไม่ท้อหรอกนะ  เพราะตอนนี้ผมยังมีเพื่อนๆที่รักผม  ผมมีครอบครัวที่รักผม  และยังมีแฟนเพลงอีกมากมายที่รักผม ขอบคุณทุกๆคนมากๆครับ

    และตอนนี้ผมจะขอพูดถึงเหตุการณ์สำคัญๆที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ของผมบ้างล่ะ  ก็เรื่องที่คุณพ่อแท้ๆขออ้างสิทธ์ความเป็นพ่อกับผม  ซึ่งเป็นเรื่องที่ผ่านมาประมาณ 2 ปีนี่เองครับ  คือจริงๆแล้วผมจำเรื่องราวในอดีตอย่างละเอียดไม่ได้หรอกครับ  ผมเคยได้ยินมาว่าครอบครัวแท้ๆของผมทิ้งผมไว้ในชื่อ ฮัน แจจุง  แต่ผมเพิ่งมาทราบชื่อพ่อแม่จริงๆและรู้ว่าพวกท่านยังมีชีวิตอยู่เมื่อ 2-3 ปีก่อนนี้เองครับ  ตอนนี้แม่ที่ให้กำเนิดผมมาจริงๆท่านก็อยู่สบายดีและทุกวันนี้ผมก็ติดต่อกับท่านอยู่เรื่อยๆครับ  ผมคิดว่าปัจจุบันสำคัญกว่าอดีตครับ  ผมอยู่มาได้จนถึงตอนนี้  ก็เพราะครอบครัวพ่อแม่บุญธรรมที่อุปการะผม  ต่อไปผมก็ยังคงเป็น คิม แจจุง  และผมก็รักครอบครัวที่รับเลี้ยงอุปการะผมมาตลอดครับ  ถ้าได้อยู่ด้วยกันต่อไปก็คงดี (สำหรับคดีความดังกล่าวเกิดขึ้นคือ  เมื่อคุณพ่อแท้ๆของ ฮีโร่ที่ชื่อ ฮัน โมซี  วัย 49 ปี ได้ไปยื่นฟ้องร้องขอรับตัวฮีโร่กลับจากคุณพ่อคุณแม่ที่รับเลี้ยงดูเขามาตลอด  และคุณพ่อที่แท้จริงได้ให้ข่าวว่า  คนอื่นอาจคิดว่าที่ผมทำไปเพราะลูกโด่งดังมีชื่อเสียง  มันสร้างความลำบากใจให้ผมมากจริงๆ  ผมต้องการแค่ให้การรับเลี้ยงได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  ผมไม่คิดว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่  ซึ่งต่อมาพ่อของเขาก็ได้ยื่นถอนคดีความออกไป  ก็กลายเป็นคดีความดังตกเป็นข่าวฮือฮาในเกาหลีพอสมควร  คุณพ่อที่แท้จริงบอกว่า  เขาได้แยกทางกับแม่ของฮีโร่เมื่อปี 1990  พร้อมมอบสิทธิ์การเลี้ยงดูลูกให้กับฝ่ายแม่  ต่อมาก็ได้ขาดการติดต่อกันไป  ภายหลังถึงรู้ว่าคนอื่นที่ไม่ใช่ญาติเป็นคนเลี้ยงดูเขามา  พ่อของเขาจึงต้องการฟ้องร้องขอพิสูจน์ความเป็นพ่อลูก  และพ่อที่แท้จริงของฮีโร่รู้มาว่า  พ่อแม่ที่รับเลี้ยงดูเขามานั้นไม่ได้ทำตามขั้นตอนการขอรับเลี้ยงเด็กอย่างถูกต้องจริงๆแต่ที่ผ่านมา  คุณพ่อคุณแม่บุญธรรมได้เลี้ยงดูเขามาเป็นอย่างดี  และพวกท่านเองก็ไม่ได้คิดว่ามันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตขนาดนี้  พวกท่านเป็นห่วงที่สุดคือความรู้สึกของฮีโร่  แต่ว่าตอนนี้พวกท่านทั้งสองครอบครัวก็ได้คุยกันแล้ว  และตกลงกันแล้วว้าจะหันหน้ามาเจรจากันอย่างดีเพื่อฮีโร่  แจจุงคนนี้  พวกท่านเสียใจที่เรื่องนี้ทำให้เขาต้องเจ็บปวดส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่ง  ซึ่งผมจะลืมไม่ลงเลยก็คือ  อุบัติเหตุที่เกิดกับผมครับ  วันนั้นผมขับรถสปอร์ต บีเอ็มดับเบิ้ลยูกับมิกกี้  และประสบอุบัติเหตุชนกับต้นไม้  เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อต้นปี 2007 นี่เอง  ในวันปีใหม่ครับและโชคดีที่พวกเราทั้งคู่ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรมาก  ขอบคุณแฟนที่เป็นห่วงพวกเราและส่งกำลังใจมาให้นะครับ  พูดถึงเรื่องเครียดๆไปแล้ว  ก็มาถึงเรื่องความสุขกันบ้างดีกว่า  ผมมีความสุขมากนะที่ได้นึกถึงเรื่องความฝันในวัยเด็ก  ตั้งแต่เด็กๆทุกครั้งที่มีดาวตก  ผมก็จะอธิษฐานขอให้ได้เป็นเจ้าของซูเปอร์มาร์เก็ต  ด้วยความเป็นเด็กเลยคิดว่า  ถ้าได้เป็นเจ้าของร้านซูเปอร์มาร์เก็ตก็จะเอาของที่มีอยู่ในนั้นไปได้หมดทุกอย่าง ตอนนี้ความฝันนั้นได้เปลี่ยนไปเล็กน้อยครับ  ตอนนี้ผมอยากทำร้านอาหารเกาหลีครับ  ที่ขายอาหารเกาหลีทุกอย่าง  เป็นร้านอาหารที่ใหญ่กว่าซูเปอร์มาร์เก็ตน่ะ  ซึ่งพอเล่าเรื่องนี้ให้ยูโนวฟัง  เขาก็หัวเราะขึ้นมาแล้วกูพูดว่า สมาชิกดงบังชินกิไม่ได้กินอาหารเกาหลีเพียงอย่างเดียวนะ  ถ้าเราไปที่ร้านนั้นคงไม่ได้การแน่ๆเลย  ผมไม่รู้ตัวเอวเป็นคนน่ารักหรือเปล่า  แต่พี่ๆทีมงานก็เคยให้สัมภาษณ์กับพี่ๆสื่อมวลชนเกี่ยวกับความน่ารักของผมว่า แจจุงเป็นคนพูดเก่ง  โดยเฉพาะกับคนที่สนิท  ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรเขามักจะชอบอธิบายแบบยาวเหยียด  ครั้งหนึ่งเคยเล่าเรื่องตลกขบขัน  เขาใช้คำวิเศษณ์ถึง 20 คำเพื่อบรรยายปากกาลูกบอลลูกเดียว  บางครั้งก็เล่าอธิบายแบบน้ำท่วมทุ่งเพื่อบรรยายสิ่งต่างๆจนลืมไปเลยว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร  แต่เขาก็ยังชอบที่จะทำแบบนั้น  ใช่แล้วล่ะครับ  ผมเป็นคนพูดเก่งมาก  พูดจนคนเขาหูชาไปเลยล่ะ  ผมว่าตัวเองค่อนข้างมีมนุษยสัมพันธ์ดีนะ  เข้ากับคนง่าย  แม้แต่กับคนแปลกหน้าก็เถอะ  และผมก็ชอบทำอาหารด้วยนะ  ผมทำเป็นหลายอย่างนะ  และก็ชอบกินระหว่างทำอาหารด้วย  ดังนั้นตอนที่ผมทำอาหารก็จะไม่ค่อยเหลือเท่าไหร่  ฮ่า ฮ่า

    เอาล่ะ  ตอนนี้ก็มาพูดถึงสิ่งที่ผมชอบกันบ้างดีกว่า  เอ!  นายชอบอะไรที่สุดนะฮีโร่  อืม...ผมชอบพวกเสื้อผ้ามาตั้งนานแล้วล่ะครับ  แต่ระยะหลังมาๆนี่  สไตล์ที่ชอบดูจะเป็นผู้ใหญ่ต่างไปจากเมื่อก่อน  เมื่อก่อนจะชอบกางเกงตัวใหญ่ๆแต่ตอนนี้จะชอบกางเกงตัวเล็กๆพอดีตัว  สิ่งสำคัญอีกอย่างสำหรับผมก็คือ  คอมพิวเตอร์  ก่อนที่จะออกอัลบั้มแล้วก็มีคอนเสิร์ตที่ญี่ปุ่นทำให้ต้องอยู่ที่นั่นนานๆ  ดังนั้นการติดต่อกับเพื่อนๆที่เกาหลี  แล้วก็อีเมล์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  นอกจากนั้นคอมฯยังใช้เล่นเน็ต / เล่นเกม / แต่งเพลง และได้เรียนรู้อะไรอีกหลายๆอย่างอีกด้วย  ผมตั้งใจจะเรียนรู้มันให้มากขึ้นครับ  และสิ่งที่ผมชอบในช่วงนี้ยังมี  เดสซอส  ด้วยนะ  มันเป็นซอสที่เผ็ดนิดหน่อย  ก้คนเกาหลีชอบของเผ็ดๆน่ะ  ลองหามากินกันดูนะครับ  อร่อยจริงๆนะ

    และถ้าผมจะไม่พูดถึงเพื่อนที่ผมรักมากที่สุดเลยก็คงจะไม่ได้หรอกจริงมั้ยครับ  และนี่คือความจริงระหว่างเรา  Yun-Jae Couple เราไม่ได้แกล้งทำเป็นว่ารักกันสนิทกันเพื่อโชว์ทางทีวีเท่านั้นนะครับ  แต่เราเป็นคู่ที่จริงใจที่แสดงออกถึงความเป็นเราจริงๆ  เราไม่จำเป็นต้องพูดออกไปตรงๆแบบนั้นก็ได้  ถึงแม้เราจะแค่นั่งคู่กันเฉยๆเราก็ส่งออร่าดึงดูดความสนใจของผู้คนแล้ว  ยูโนวเขาเป็นคนที่โดดเด่นมากนะ  คุณอาจจะจดจำเขาไม่ได้เวลามองดูเขาใกล้ๆ  แต่พอมองจากระยะไกลๆเขาจะสูงจัดและมีใบหน้าที่เรียวเล็กมากๆ  เขาช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อสมบูรณ์แบบจริงๆ  อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้  ทำให้เขาไม่ค่อยเป็นที่จดจำ  คนหล่อในลักษณะนี้มันดูยากจากการมองลักษณะไกลๆ  ดังนั้นเราควรจะอยู่ใกล้ๆเพื่อที่จะสัมผัสออร่าหล่อๆอย่างชัดไง  ถ้าจากไกลๆเราจะมองไม่เห็นหน้าเขาเลย  เพราะหน้าเค้ามันเล็กเกินไป  เคยดูเรื่อง Men In Black มั้ยครับ  **ตัวเอเลี่ยนที่มันมีหัวเล็กๆนั่นแหละยูโนว  หน้าที่เล็กๆแบบเดียวกันกับเอเลี่ยนนั่นเลย  และมันทำให้ผมอิจฉาน่ะครับ(ฮ่าๆๆ)

    และผมก็มีบางอย่างอยากจะพูดเหมือนกัน  ผมเจอกับยูโนวมาก็ 6 ปีแล้ว  ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเขาดี  ตั้งแต่นิสัยส่วนตัวจนถึงทุกส่วนของร่างกาย  เมื่อใดก็ตามที่เขามีปฏิกิริยาหรือแสดงออกทางสีหน้าใดๆผมจะรู้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่  แต่ว่ามันคงจะดีมากๆเลย  ถ้าเขาจะเป็นตัวของตัวเองมากกว่านี้  อย่างตอนที่เราอยู่ในรายการโชว์  เขาก็จะเก๊กไป  แล้วเขาจะดูหล่อเท่บาดใจ  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทำอะไรเลย  และผมก็แบบว่า....ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย  เค้าจะเป็นที่น่ารักนะในชีวิตจริง  แต่เมื่ออยู่ในรายการโชว์แล้ว  เค้าจะเก๊กหล่อ  ผมจะแปลกใจว่า  นี่เขาทำมันเพื่อดงบังชินกิหรอ  หรือจริงๆแล้วแอบอยากดังขึ้นไปอีก(ฮ่าๆๆๆ)  ผมเคยพูดในรายการหนึ่งว่า  ผมน่ะเป็นประเภทที่อยากดังมากๆหลังจากที่พูดออกไปแล้ว  ก็มีฟีดแบ็กตอบกลับมาดีมากๆ  ผมเลยคิดว่าเขาแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง  เพื่อเรียกแม่ยกมากกว่าจะพูดออกมาด้วยคำพูดตรงๆ(ฮ่าๆๆ)มันรบกวนใจผมมากนะ  ผมคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมพูดเรื่องนี้ออกมา  และยังมีอีกอย่างที่อยากจะบอกกล่าว  มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ  ยูโนวน่ะเวลาที่เขาอยู่กลับคนอื่น  เขาจะพูดแต่สิ่งที่ดีๆชมเราเสมอๆ  ผมไม่ได้ฟังจากเขาหรอก  แต่ผมได้ยินมาจากคนอื่นอีกที  และเมื่อได้ยินอะไรแบบนั้น  มันทำให้ผมชื้นใจจริงๆนะ  แต่ก็คงจะดีกว่านี้นะถ้าได้ยินจากผากเขาตรงๆ  ผมแอบเสียใจนิดๆนะเนี่ย  แต่มันก็ดีที่สุดแล้วนะ  และผมก็รักที่เขาเป็นแบบนั้น  ผู้นำที่แท้จริง

    ความเจ้าเสน่ห์ของยูโนวน่ะ  ทุกคนรู้ซึ้งดีอยู่แล้ว  ในรายการโชว์ต่างๆเขาจะโดดเด่น  และการเต้นของเขาก็จะสุดยอดเสมอ  แสดงให้ทุกคนเห็นถึงความเจ๋งสุดยอดของเขา  แต่รู้มั้ยครับว่ายูนโฮน่ะไม่ได้เป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์อย่างที่แสดงออกหรอก  เค้าเป็นคุณพ่อต่างหาก  คุณพ่อที่น่ารักที่สุดเลย  เมื่อตอนที่เราอยู่ที่ญี่ปุ่น  ผมมักจะต้มซุปเอาไว้บนเตาเสมอ  และผมชอบคิดว่าอาหารที่น่าตาสวยๆจะทำให้รสชาติดีกว่าเยอะ  ฉะนั้นผมก็มักจะใส่เครื่องเคียงที่ทำให้ซุปมันออกมาหน้าตาสวยๆ  และผมก็จะเปิดฝาออกมาเพื่อจะเสิร์ฟให้กับทุกๆคน  แล้วไงรู้มั้ยครับ  ก็จะคนไปคนๆๆๆจนซุปที่ผมแต่งไว้สวยๆไม่เหลือสภาพเดิมเลย  แล้วเมื่อผมถามว่าใครเป็นคนทำลายงานศิลปกรรมแกงซุปของผม?!!  พวกเด็กๆก็จะพากันบอกว่า  ยูนโฮนั้นแหละที่เอาช้อนไปคนๆตักน้ำซุปมาซดอ่ะ  คือเขาอาจจะอยากได้แค่น้ำซุปมาซดสักช้อน  แต่มันจำเป็นต้องคนกระจุยกระจายขนาดนั้นเลยหรอ (ฮ่าๆๆๆ) แล้วเขาก็จะพูดขอโทษแล้วทำท่าน่ารักๆเป็นการไถ่โทษ  เชื่อมั้ยครับ  นี่แหละคือยูโนวตัวจริงล่ะ  ยูโนวและผมมักจะพูดว่า  พวกเราเป็นพี่ใหญ่ที่น่ารักสำหรับวง    แต่สำหรับความสัมพันธ์ส่วนตัวของเราสองคนแล้ว  มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  เวลาตอนเราพูดปลอบใจกันเราก็จะค่อนข้าง  ซีเรียส....  เขาบอกว่าผมเหมือนคุณแม่  และผมก็ว่ายูโนวเหมือนคุณพ่อครับ

    แม้จะสนิทกับยูโนวเป็นพิเศษ  แต่จะบอกให้นะครับ  จริงๆแล้วผมก็สนิมกับเพื่อนๆทุกคนในวงนั่นแหละ  แต่กับยูโนว  ผมวางเขาไว้ในฐานะ เพื่อนแท้ ครับ  คือ  ผมว่าถ้าไม่มี ยูโนว  จุนซู  ยูชอน  ชางมิน และผม  ก็คงไม่มี  ดงบังชินกิ  อย่างทุกวันนี้ใช่มั้ยครับ  ดงบังชินกิ Fighting!!!  และผมจะพยายามยิ่งๆขึ้นไปครับ


    MyNameIs  JeongYoon-ho
    เส้นทางชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ ยูโนว
    ชื่อจริงๆของผมคือ ชอง ยูนโฮว  วันที่ผมร้องไห้วันแรกคือ  6  กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1986  ครับ  และวันนั้นเป็นวันที่แม่ผมมีความสุขที่สุดเลยล่ะ  เพราะได้เห็นหน้าผมเป็นวันแรกไง  ถึงแม้วันนั้นท่านจะเจ็บปวดมากก็ตาม...ตอนนี้ผมพกความสูงถึง  183 ซ.ม.  และน้ำหนัก  66  กก. ครับ  ส่วนบ้านเกิดของผมหรอ  ก็ที่ควางกูไงครับ  ผมมีกรุ๊ปเลือด A นะไม่รู้ว่านิสัยของผมจะเกี่ยวข้องกับกรุ๊ปเลือดหรือเปล่า  เพราะมีคนบอกว่าผมเป็นที่มีความรับผิดชอบสูงต่อหน้าที่ต่างๆที่ได้รับมอบหมาย  เป็นคนที่มีความพยายาม  และสามารถจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ดี  เชื่อและไว้ใจคนง่าย  เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับครอบและเพื่อนๆมาก (ตามลักษณะของคนกรุ๊ป A นี้  จะเป็นคนที่เข้าใจจิตใจหรือความรู้สึกภายในของผู้อื่นได้ดี  ถึงจะเป็นกิจกรรมของกลุ่มหรือองค์กรภายในกลุ่ม  ก็สามารถจัดการกับเรื่องต่างๆได้)....ผมเป็นคนที่ชอบออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็กๆแล้วครับ  กีฬาเทควันโดเป็นกีฬาที่ผมเรียนเป็นอย่างแรก  พ่อผมได้เทควันโดสาย 5 มาด้วยนะ  ดังนั้นผมเลยอยากเรียนบ้างน่ะครับ  ตอนเด็กๆผมเคยชนะการประกวดร้องเพลงด้วยนะ  แต่ตอนนั้นเกิดบาดเจ็บจึงทำให้ต้องหยุดร่องเพลงไประยะหนึ่ง  ซึ่งช่วงนั้นแหละที่ผมเริ่มหัดเต้น  แล้วก็ห่างจากการร้องเพลงตอนนั้น  แต่พอมัธยมตอนต้นปี 3 ผมก็ได้เข้ามาสังกัด  และเพราะมีความฝันอยู่แล้ว  ก็เลยหัดแร๊พหัดเต้นตลอดเลย  ยิ่งพอได้รับคำชม  ผมก็ยิ่งพยายามฝึกมากขึ้นไปอีก  อีกอย่างตอนผมยังเป็นนักเรียน ม.ต้น ศิลปินตรงใจผมคือ  ไมเคิล  แจ๊คสัน ครับ  ผมคิดว่าเขาทั้งร้องทั้งเต้นได้เท่มากๆและเก่งสุดๆเลยล่ะ  หลังจากนั้นผมก็เลยตั้งใจฝึกฝนมาตลอดเลยครับ  เมื่อมีคนอยากเต้นได้อย่างผมบ้าง  ผมก็จะดีใจสุดๆไปเลย  แต่พูดตรงๆนะถ้ามีเป้าหมายในฐานะการเป็นนักร้องจะดีมากกว่า  เพราะตอนนี้ผมเป็นนักร้องน่ะสิ    เพียงแต่ชอบการเต้นมากๆและคิดว่าเป็นความสามารถพิเศษของตัวเอง  สำหรับวันนี้ก็คือ  นักร้องครับ

    งานอดิเรกของผมก็มีทั้งฟังเพลง  อ่านหนังสือ  ออกกลังกาย  แต่งเพลง  แต่งฟิกชั่น  ส่วนงานอดิเรกที่เพิ่งมีเข้ามาก็คือแต่งตัวครับ    ตอนนี้ผมกำลังอินกับการแต่งชุดสูท  ก็ตั้งแต่เข้าหน้าร้อนแล้วครับ  ผมชอบแต่งตัวสไตล์ซัมเมอร์น่ะ  อ้อ!  แล้วก็เล่นเกมไพ่ด้วยครับ (เหมือนฮีโร่เลย)  พูดถึงความสามารถพิเศษแล้ว  ผมก็มีไม่แพ้ใครเหมือนกันนะ  ก็คือ  การร้องเพลง  เต้น  ศิลปะป้องกันตัว  กับเรื่องเต้นๆนี่ผมเคยรางวัล SM Entertainment 1st Best Youth Competition : Best  Dance Award ด้วยนะครับ

            ผมมีหนังเรื่องหนึ่งที่ชอบมากๆเลยล่ะ  นั้นก็คือ A Moment To Remember เป็นหนังที่ดีมากๆเลยล่ะครับ  ส่วนหนังสือนวนิยายที่ชอบก็คือ The Da  Vinci  Code มันลึกลับและน่าค้นหาจริงๆเลย  ส่วนสถานที่ๆผมอยากไปเที่ยวน่ะหรอ  อืม....อยากไปยุโรป  และก็ดิสนีย์เวิร์ดในรัฐฟลอริด้าครับ  แต่ถ้ามีวันหยุดยาวๆเพิ่มขึ้นมาอีก  ผมก็อยากกลับไปบ้านเกิดครับ  ผมว่าต้องมีความสุขมากๆเลย  แต่ตอนนี้คิวงานยาวเหยียดเลยล่ะ  แม้แต่เวลาพักผ่อนยังแทบจะไม่ค่อยมี  แต่ก็มีความสุขนะครับ
    ส่วนเรื่องที่หลายๆคนชอบถามและอยากรู้  ก็เรื่องสเปกสาวในฝันนี่แหละครับ ยูโนวชอบผู้หญิงแบบไหนหรอ  พวกเขาชอบถามกันแบบนี้แหละ (ฮ่าๆๆ) อืม....ผมชอบผู้หญิงที่เป็นผู้นำผมได้น่ะ  เธอคนนั้นต้องเผชิญหน้าเวลาอยู่กับเพื่อนๆผมได้ด้วย  และเวลาอยู่ด้วยกันสองคนก็ให้คำแนะนำผมได้    และเธอก็ต้องตั้งใจทำงานของตัวเองด้วยครับ  ผมชอบผู้หญิงที่เป็นลูกกตัญญู  ปรนนิบัติพ่อแม่  รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่น่ะครับ

    ผมเข้ามาเป็น 1  ในดงบังชินกิเป็นคนที่  2  ของทีมครับ  ผมมีความมุ่งมั่นอย่างมากเลยล่ะ  ผมตัดสินใจจากบ้านเกิดที่  ความกู  มุ่งสู่กรุงโซล  เพื่อตามหาความความฝันที่แท้จริงที่จะเป็นนักร้องครับ  หลังจากที่ผมได้รับรางวัลชนะเลิศด้านการเต้นประกวด  จากการแข่งขันของค่าย SM จากนั้นผมก็ได้เริ่มเป็นแดนเซอร์  และแรปเปอร์ให้กับศิลปินรุ่นพี่ในค่ายอย่าง Dana น่ะครับ  ซึ่งพอทางต้นสังกัดมองเห็นความสามารถของผม  เขาก็เสนอให้ผมเป็น 1 ในสมาชิกดงบังชินกิ  และจากนั้นผมใช้ชื่อในวงการว่า  ยูโนว  ยูนโฮว  และใช้เวลาในการเทรนเป็นศิลปินประมาณ  4  ปีก่อนเดบิวต์ครับ  ความรู้สึกที่ได้ขึ้นเวทีครั้งแรกน่ะหรอ  พูด/ไม่ออกเลยล่ะ  เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นเวที  และยังได้ขึ้นเวทีของ  บริทนีย์  สเปียร์ส  กับ รุ่นพี่โบอา  อีกด้วย  ตอนนั้นพวกเราใส่หมวกปิดหน้าแล้วออกไปข้างนอก    ไม่มีใครรู้หรอก  ประมาณว่าพวกเราเป็นดาราไปแล้วน่ะ

    หลังจากที่มีแฟนเพลงชื่นชอบเรามากมาย  ก็มีคนอยากได้ลายเซ็นเราเยอะแยะเลยล่ะ  จำได้ว่าตอนแจกลายเซ็นแฟนคลับน่ะ  ผมตื่นเต้นจนล้างมือไป 8 ครั้ง  ตอนนั้นพวกเราได้ไปแจกลายเซ็นให้แฟนๆในเกาหลีเมื่อกลางเดือนตุลาคม ปี 2005 ที่สนามกีฬายอกโด  สวนสาธารณะโอลิมปิกในโซลนี่แหละครับ  ก็มีแฟนเพลงมาประมาณ 1 หมื่นคนเลยนะ  พวกเราได้ช่วยกันประทับตราลายเซ็นและจับมือโดยตรงกับแฟนๆเลยล่ะ  ในส่วนของตราประทับก็จะมีลายเซ็น  ชื่อ  รูปใบหน้าสมาชิกทุกคน  และผมกังวลในการจับมือกับแฟนๆกลัวว่ามือตัวเองจะไม่สะอาดพอน่ะ  เลยล้างมือเพื่องานนี้ถึง 8 ครั้งแหนะครับ (ฮ่าๆๆๆ)

    สิ่งที่ผมชอบมีหลายอย่างครับ  แต่สุดๆเลยมีอยู่ไม่กี่อย่าง  เช่น มอเตอร์ไซด์  ที่ผมชอบเพราะรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ที่สามารถทำให้รู้สึกกับมันได้โดยตรงว่าร่างการเราสปีดขึ้น  เวลาเครียดหรืออยากไประบายที่ไหน  มอเตอร์ไซด์เป็นสิ่งที่ผมสามารถขับขี่ไปได้ทันที  ต่อไปถ้ามีโอกาสได้ไปเที่ยว  ผมคงต้องเตรียมเอารถของผมออกไปทะยานแน่นอนครับ  สิ่งที่ผมชอบอีกอย่างก็คือความทรงจำ  มันเป็นสิ่งที่ผมหวงแหนเลยล่ะ  ความทรงจำก็อยู่ในหลากหลายรูปแบบครับ  อย่างเช่น  รูปถ่าย  ล่าสุดผมซื้อกล้องมาใหม่รูปหนึ่ง  มันไม่เคยห่างจากตัวผมเลยนะ  เรียกว่าไปไหนไปกันเลยล่ะ  ผมก็เลยมีรูปถ่ายค่อนข้างเยอะ  ช่วงนี้ผมก็มัวยุ่งอยู่กับงาน  วันเวลามันช่างผ่านไปเร็วมาๆ  แต่พอหยิบรูปภาพมาดูเมื่อไหร่  ก็ทำให้ผมนึกถึงวันเวลาและบรรยากาศในช่วงเวลานั้น  ก็เหมือนกับเมื่อช่วงต้นปี  2007  ที่ผ่านมาครับ  ที่ผมได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว  ซึ่งมันเป็นเวลาที่มีคุณค่าที่สุดของผมเลยล่ะ  ของขวัญจากแฟนๆก็เป็นสิ่งที่มีค่าเหมือนกันนะครับ  ผมรู้สึกถึงความรักที่ลึกซึ้งในของขวัญเหล่านั้น  รู้สึกว่าแต่ละชิ้นเต็มไปด้วยความรักจากใจ  แต่ที่ประทับใจมากๆก็คือบันทึกประจำวันที่มีทั้งหมด 17 เล่มน่ะ  ตั้งแต่ที่พวกผมเป็นดงบังชินกิ  ผมก็เขียนบันทึกทุกวันเลย  พร้อมทั้งติดรูปด้วย  เขียนมาโดยตลอด  ผมชอบอันนั้นมากๆจริงๆ  แล้วประหลาดใจทีเดียวล่ะ  นั่นน่ะเป็นของขวัญที่ประทับใจมากเลยครับ  ที่ชอบอีกอย่างคงจะเป็น  เดสซอส  ครับ  แจจุงก็ชอบด้วยล่ะ  ใช่แล้วล่ะ  มันเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนชอบ  แต่ว่ามีนสุดยอดสำหรับผมเลยนะ  โดยเฉพาะรสชาติที่ไม่ใช่แค่อร่อยเท่านั้นแต่ยังเผ็ดอีกด้วย(หัวเราะ) ตอนแรกที่ทุกคนติดใจกัน  ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงได้ชอบมากมายขนาดนั้น  แต่ก็เริ่มกินตามๆกันจนติดเป็นนิสัย  สุดท้ายก็เลยติดกันไปทั้งหมดเลย  ทุกคนลองกินกันให้ได้นะครับ

            ชีวิตคนเราย่อมมีทั้งสุขและทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาใช่ไหมครับ  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตผม  ที่ผมลืมได้ยากก็คือ  เรื่องที่โดนแฟนคลับแอนตี้วางยาพิษเมื่อวันที่  14 ตุลาคม 2006 ครับ  วันนั้นพวกเราได้ไปบันทึกเทปรายการเกมโชว์ของช่อง KBS หลังจากบันทึกรายการเสร็จประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ  พวกเราก็เดินไปยังห้องพักรับรอง  ตอนนั้นมีผู้หญิง 3 คนอ้างตัวเป็นแฟนคลับของพวกเรา  ได้เดินเข้ามาส่งเครื่องดื่มให้ผม  ผมไม้เอะใจอะไรครับ  เพราะคิดว่าเป็นน้ำใจจากแฟนคลับ  แต่พอดื่มเข้าไปแป๊ปเดียว  ผมก็อาเจียนอย่างรุนแรง  และมารู้สึกตัวอีกทีก็มาอยู่โรงพยาบาลยออึยโดแล้ว  เป็นโรงบาลที่อยู่ใกล้ห้องอัดที่สุดแล้วครับ  ซึ่งทีมงานเล่าว่า  หลังจากที่ผมดื่มเครื่องดื่มนั้นไปแล้ว  ผมก็อาเจียนออกมาทันที  และมีเลือดปนออกมาด้วยเล็กน้อย  ซึ่งทางต้นสังกัดผมได้นำขวดน้ำนั้นไปให้ทางตำรวจตรวจสอบลายนิ้วมือ  และให้ทางโรงบาลตรวจสอบสารที่อยู่ในเครื่องดื่มนั้นด้วย

    ซึ่งทางทีมงาน KBS ก็บอกว่า  ปกติทุกครั้งที่อัดรายการ  บุคคลภายนอกจะไม่สามารถเข้ามาข้างในได้  แต่มีอยู่ 3 คนที่เข้ามาข้างใน  ซึ่งทางทีมงานเองก็ไม่คุ้นหน้ามาก่อน  แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ  เพราะคิดว่าพวกเขาเป็นแฟนคลับ  และอยากเข้าดูแลศิลปินคนโปรดของตัวเอง  อีกอย่างทางทีมงานก็ได้ตรวจสอบอย่างเคร่งครัดตรงทางเข้าอยู่แล้ว  ก็คิดว่าคงไม่มีเหตุร้ายอะไร  แต่ด้วยความพยายามของแฟนคลับ  พวกเขาก็จะหาวิธีเข้ามาข้างในให้ได้  ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม  หลังจากล้างท้องที่โรงบาลแล้ว  ผมก็ปลอดภัยดีครับ  แต่ผมรู้สึกเสียใจมากที่เกิดเหตุนี้ขึ้น  หมอบอกว่าผมโชคดีมากที่อาเจียนออกมาทันทีหลังจากดื่มน้ำขวดนั้นเข้าไป  ไม่อย่างนั้นอาการอาจจะหนักกว่านี้  ผมก็ต้องขอบคุณแฟนคลับที่รักและเป็นห่วงผมมากๆนะครับ

    วันต่อมา  วันที่ 15 ตุลาคา 2006  แฟนคลับที่ทำร้ายผมคนนั้นก็ได้เข้ามอบตัวกับทางตำรวจ  ตามข่าวบอกว่าเธอชื่อ โค  อายุ 20 ปี เรียนอยู่ที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง  เธอบอกว่า  ที่เข้ามอบตัวในครั้งเพราะเธอรู้สึกกลัว  อีกทั้งยังมีภาพในกล้องวงจรปิดในร้านขายของชำ  ที่เธอไปซื้อน้ำดื่มนั้นเพื่อผสมสารพิษด้วย  ทำให้ตำรวจตามตัวเธออย่างหนัก เธอจึงตัดสินใจเข้ามอบตัว  เธอเดินทางไปยังห้องส่งรายการ  Heroine 6 และในช่วงพักเธอก็เข้าไปยังห้องพักของนักแสดง  และให้น้ำดื่มที่มีสารเคมีชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในกาว  เธอบอกว่าเธอไม่ได้ใส่กาวลงไปในขวดหรอก  แค่ทาไว้ที่ด้านในปากขวดเท่านั้นเอง  เธอคิดว่าผมคงไม่ดื่มน้ำในขวดนั้นแน่ๆเพราะที่ปากขวดเห็นได้ชัดว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่    เธออยู่ในกลุ่มแอนตี้ดงบังชินกิ  และเกลียดสมาชิกในวงทุกคนโดยเฉพาะผม (และตามข่าวสาวโคพูดว่า ฉันไม่ชอบดงบังชินกิ  แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะดื่มน้ำที่ฉันให้เข้าไปจริงๆที่ทำลงไปมันก็แค่เกม  คือฉันอยากจะทำอะไรขำๆสักหน่อย  ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะดื่มมันจริงๆ  ฉันให้ขวดน้ำไปพร้อมๆกับโน้ต  แต่เขาไม่อ่านเองนี่นา  ฉันก็แค่อยากขู่ให้เขากลัวเท่านั้น  ฉันขอโทษ  ฉันเสียใจจริงๆค่ะ  ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากคำว่าเสียใจ  ขอโทษทุกอย่าง)  ต่อมาเธอก็ถูกตำรวจปล่อยตัวไปครับ  ตำรวจให้เหตุผลว่า  เธอไม่มีแรงจูงใจในการฆาตรกรรม  แค่ต้องการทำให้บาดเจ็บ  และเธอก็เข้ามอบตัวเอง  อีกทั้งเธอรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตน และ เหยื่อ คือผมได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

    ผมเขียนข้อความไว้ในไดอารี่ถึงแฟนๆที่เป็นห่วงผม่า  สำหรับ  Cassiopeia (ชื่อเรียกสำหรับแฟนคลับดงบังชินกิ) ที่อยู่กับเรามาตลอดเวลา  ผมอยากขอบคุณพวกคุณมากๆครับ  ในอัลบัมใหม่นี้เรามีตารางงานมากมายที่ถูกตระเตรียมเอาไว้  และพวกเราทั้ง 5 คนก็ทุ่มเทกำลังกายกำลังใจกับอัลบัมนี้ไว้มาก  ดังนั้นกรุณารอชมพวกเรานะครับ  ในอนาคตผมจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ช้าๆค่อยๆเป็นค่อยๆไป  ก็แค่ลืมมันให้หมด....สำหรับบางคน  ผมอาจจะทำอะไรผิดพลาดอยู่บ่อยๆมันทำให้ผมคิดว่า    ผมต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อแสดงให้ดีกว่านี้  ได้โปรดอย่าเกลียดพวกเราเลยครับ    ผมและสมาชิกทุกคนในวง  มีความต้องการสูงสุดคือ  อยากจะแสดงออกในด้านที่สวยงามแก่พวกคุณทุกคน  ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับพวกคุณมา  ผมอยากเก็บความทรงจำในเสี้ยววินาทีนั้นไว้  เพราะมันทำให้ผมมีความสุข  รู้สึกมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

    วันที่ 17 ตุลาคม  ผมก็ออกจากโรงบาลและไปพักผ่อนที่บ้าน  ส่วนตารางงานที่ผมมีก็ต้องยกเลิกไป  เพราะหมอบอกอย่างน้อยต้องพักผ่อน 2 อาทิตย์  ดังนั้นผมจึงได้ดูเพื่อนขึ้นรับรางวัลในรายการ  SBS Ingygayo Multizen Song  ผ่านทางทีวี  ผมรู้สึกแปลกๆที่ดูการแสดงคอนเสิร์ตโดยปราศจากผม  ผมอยากจะไปที่รายการนั้นจริงๆเลยครับ

    และถ้าผมจะไม่พูดถึงเพื่อนตายของผมเลย  ก็คงจะไม่ได้หรอกนะครับ  นั่นก็คือ แจจุง ไงล่ะ    เขาน่ะชอบทำให้สมาชิกในวงทะเลาะกัน  แล้วก็เดินหนีประจำ (หัวเราะ) ทั้งแจจุงและผมเราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ก่อนที่จะมาเป็นดงบังชินกิเสียอีกครับ  เราอยู่ด้วยกันเสมอในระหว่างที่กำลังเตรียมตัวเป็นดงบังชินกิ  แจจุงและผมอยู่ทีมเดียวกันทุกครั้งในยามทำกิจกรรมต่างๆ  ตอนนั้นเราสองคนอายุน้อยที่สุดในกลุ่มเลยล่ะ  เราจึงมักทะเลาะกันตลอด  และเข้ากันไม่ได้เลย  คือด้วยบุคลิกของเราสองคนเหมือนไฟกับน้ำ  เราเหมือนอยู่คนละขั้ว  อย่างเวลาที่เรามีความเห็นต่างกัน  ผมก็จะดื้อรั้นเอาตึความคิดของตัวเองเป็นใหญ่    และแจจุงก็เป็นดั่งน้ำที่สามารถดับไฟนั้นได้  เพราะงั้นเราสองคนจึงมีเวลาที่ดีและแย่ๆเหมือนกัน  และวันเวลาที่ผ่านไปนั้น  ก็ค่อยๆทำให้เราสองคนสงบลงครับ  แล้วมองดูแจจุงตอนนี้สิ  เขาเปล่งประกายตั้งหัวจรดเท้าเลยทีเดียว  ผมไม่ได้พูเดล่นนะ  ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ผมมองเขา    อย่างตอนที่ผมเจอเขาครั้งแรก  เค้าดูโดดเด่นมากๆเลยล่ะ  เพราะงั้นเวลาที่แจจุงไปทางไหน  อย่างเวลาถ่ายรูป  เขาก็จะเป็นจุดโฟกัสเด่นเด้งออกมาจากรูปเลยที่เดียวล่ะ  เขาจะเป็นคนที่มองเห็นง่ายที่สุดไม่ว่าอยู่ไหนก็ตาม  และแน่นอนว่าคู่  ยูน & แจ  นี่เจ๋งจริงๆครับ  ขอบคุณครับที่ยกให้เราเป็นคู่รักสุดยอด(ฮ่าๆๆ) แต่มีบางอย่างที่ผมอยากจะขอแก้ข่าวนิดนึง  คือภายนอกพวกเราอาจจะมีภาพลักษณ์ที่เซ็กซี่  เท่  แต่จริงๆแล้วเวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน  พวกเราจะออกแนวน่ารักมากกว่า  เพราะเราอายุเท่าๆกันนั่นเอง  เราจึงมักจะทำอะไรที่น่ารักๆด้วยกัน  อย่างแจจุงมักจะทำอาหารอร่อยๆให้เราทาน  อืม.....ผมจะพูดยังไงดีน้า  มันเป็นอะไรที่เป็นคุณแม่มากๆเลยล่ะ  และเค้ามักจะถามตลอดเลยว่า  เป็นไงบ้าง?  และผมก็จะตอบว่า  มันดีกินไปแล้วล่ะแจจุง  เราไม่ค่อยได้แสดงออกในมุมแบบนี้มาสักพักแล้วล่ะ  แจจุงมีภาพลักษณ์ภายนอกที่เจิดจ้าและสง่างาม    แล้วยังมีจิตใจที่อบอุ่นเหมือนคุณแม่อีกด้วยนะ

    นอกจากนั้นแจจุงก็ยังเข็มแข็ง  และยังมีความเป็นลูกผู้ชาย
    อย่างเต็มเปี่ยมอีกด้วย  เมื่อใดก็ตามที่มองดูแจจุง  อืม...ผมหมายถึงทุกคนในวงก็มีความสำคัญและพิเศษเช่นกันนะ  แต่กับแจจุงแล้ว  ฐานะเพื่อน....เพื่อนแท้คนเดียวในโลก  เพราะเมื่อใดที่ผมมีปัญหาลำบาก  สมาชิกทุกคนก็จะพากกันให้กำลังใจผม  แต่คุณรู้มั้ยครับว่าบางอย่างเพื่อนแท้เท่านั้นที่จะสัมผัสได้  แจจุงจะมาอยู่ข้างๆและช่วยผมตลอด  ไม่ว่าเมื่อใดที่เกิดปัญหา  ดังนั้นสำหรับผมแล้ว  เขาคือเพื่อนแท้ของผม  มากกว่าเพื่อนๆและน้องๆอีก 3 คนในวงเลยล่ะ  แจจุงเป็นคนที่ผมขาดไม่ได้ในชีวิตนี้  เรารู้จักกันมาถึง 6 ปีแล้ว  ฉะนั้นผมก็รู้อะไรทุกๆอย่างเกี่ยวกับเค้าเหมือนกัน  แจจุงเป็นคนที่อบอุ่น  และคนทั่วๆไปก็มักจะพูดถึงเค้าแบบนั้น  แต่บางทีคนอาจจะไม่รู้ว่าทำไมผมถึงพูดถึงเค้าแบบนั้น  คือคนทั่วไปเรียกกันและกันว่า เพื่อน  แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้สนิทกันแบบเพื่อนจริงๆเลยด้วยซ้ำ  ผมอาจจะอยากให้ดูเป็นคนเข้มแข็งและแข็งแกร่งต่อหน้าคนอื่น      ผมจะเป็นประเภทที่แสดงออกมาด้วยการกระทำก่อนที่จะพูดหรือคิด  แต่สำหรับแจจุงแล้ว  เค้าทำทุกอย่างที่พูด  เขาจะส่งข้อความไปบอกเมมเบอร์ทุกคนว่า  ตอนนี้เค้าอยู่ไหน  และถามเราตลอดเวลาว่างานเราทำออกมาดีหรือเปล่า  คอยเช็คเราเรื่องอาหารการกินไม่ให้ขาดตกบกพร่องเหมือนกับแม่จริงๆ    เค้าต้องเป็นแบบนั้น  เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับเราหลายต่อหลายครั้งในอดีต  บางครั้งผมก็จะมีพบปะกับเพื่อนๆในครอบครัวบ้าง    และก็อยากจะมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง  แต่แจจุงก็เอาล่ะ  ส่งเมสเสจหาผมทันที ทำอะไรอยู่?  และขณะที่ผมกำลังจะพิมพ์ตอบกลับไป  ข้อความใหม่ของเขาก็เด้งขึ้นมาล่ะ ทำไมไม่ตอบล่ะ?  ผมก็คิดว่าเค้าคงจะเลิกส่งมาแล้วล่ะ  แต่ข้อความใหม่ก็เด้งขึ้นมาอีก (ฮ่าๆๆ) บางทีมันก็มีติดขัดเรื่องเวลา  ผมก็ไม่ค่อยสะดวกที่จะตอบนะครับ

    ตอนที่เราคุยเรื่องจุดอ่อนของกันและกันนะ  แจจุงของเราจะรีบชิ่งจากวงสนทนาอย่างรวดเร็ว  แต่เราไม่ควรพลาดหัวข้อนี้นะ  เพราะนี่จะเป็นการแฉจากเพื่อนที่คบกันมาถึง 6  ปี  เราเคยคุยกันถึงเรื่องที่ว่า    แจจุงช่างมีจิตใจที่อ่อนโยน  แล้วพูดก็อยากจะพูดอีกสักอย่างที่เป็นข้อดีของแจจุง  คือแจจุงจะแคร์แฟนๆของเขามาก  เขาจะดีกับแฟนๆด้วยใจจริง  และคิดถึงพวกเขาเสมอ  แต่แจจุงมักจะมีอะไรที่แปลกๆอยู่เสมอ  อย่างไม่นานมานี้  ก็จะมีแฟนๆมาดักรอเราอยู่ข้างนอก  ตอนนั้นเราก็นั่งอยู่ข้างใน  และมิกกี้ซึ่งเป็นคนที่แปลกๆพอๆกัน  แจจุงจะบอกให้เราทำอะไรบางอย่างเพื่อเซอร์วิสแฟนๆด้านนอก    และตอนที่เราตกลงใจว่าจะทำ  แจจุงก็มักจะทำท่าที่ประหลาดๆออกไป  แฟนๆของเขาคงจะมองแจจุงแปลกๆไปบ้างเล็กน้อยนะตอนนั้น

    กับแจจุงคงไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะ  เพราะพวกเราอยู่ด้วยกันตลอด  แจจุงนะเป็นคนที่สามารถเชื่อใจได้    เขาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่ผมสามารถวางใจได้ทุกอย่าง  และในฐานะของสมาชิกในวงแล้ว  ผมต้องขอบคุณเขาอย่างมาก  ที่ช่วยดูแลทุกคนเป็นอย่างดี  และเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปกับน้องๆอีก 3 คนในฐานะดงบังชินกิ  ให้กำลังใจเราด้วยนะครับ    ดงบังชินกิ Fighting!!!


    MyNameIs  ParkYoo-Chun
    เส้นทางชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ มิกกี้
    ชื่อจริงของผมคือ  ปาร์ค  ยูชอน  ครับแต่ในวงการส่วนใหญ่จะเรียกผมว่า  มิกกี้  ยูชอน  วันที่ผมลืมตาขึ้นมาดูโลกก็คือ  วันที่  4  มิถุนายน  1986  ครับ  ผมเป็นคนตัวสูงเหมือนกันนะ  ผมสูงตั้ง  180  ซ.ม.แน่ะ  ส่วนน้ำหนักน่ะหรอ  ก็ไม่มากไม่มายหรอกครับ  แค่  64 กก.หน่อยๆเท่านั้นเอง  แต่มันก็ขึ้นๆลงๆตามจำนวนที่ทานมากทานน้อยน่ะครับ (ฮ่าๆๆ)  ผมมีเลือดกรุ๊ป O ครับ  ก็ไม่รู้มันสัมพันธ์กับนิสัยส่วนตัวของเราหรือเปล่า  แต่สำหรับผมแล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนที่สนุกสนาน  เฮฮา  ร่าเริง  และเคยได้ยินคนอื่นๆบอกเหมือนกันว่า  คนกรุ๊ปเลือดนี้เป็นคนที่ลึกซึ้งต่อการทำงาน  มีพลังทางจิตใจที่เข้มแข็ง  เป็นคนเข้มแข็งมาก  มีกริยามารยาทที่นิ่มนวล  มีน้ำใจต่อผู้อื่น  เป็นคนขี้สงสาร  และคนทั่วไปมักจะชื่นชมเขา  และที่สำคัญ  ปฏิเสธคนไม่ค่อยเป็นน่ะ  ซึ่งผมก็ว่าใกล้เคียงกับนิสัยของผมเหมือนกันนะ  อืม....ความสามารถพิเศษของผม  นอกจากร้องเพลง  และแต่งเพลงแล้ว  ก็น่าจะเป็นการพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากทั้งครับ  นั่นเพราะผมไปใช้ชีวิตที่อเมริกาตั้งแต่เด็กๆไงล่ะ  ผมเพิ่งกลับมาที่โซลเมื่อไม่กี่ปีนี้เองครับ    เวลาว่างของผมหมดไปกับอะไรน้า  อืม....การร้องเพลง  และเล่นบาสเก็ตบอลครับ  แต่ล่าสุดก็มีกิจกรรมเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอย่างล่ะ    นั่นก็คือการถ่ายรูป  ผมชอบถ่ายรูปสมาชิกในวง  หรือไม่ก็ฉากสวยๆระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตครับ  คือผมรู้สึกว่า  สิ่งที่เรามองจากตาเปล่า  กับสิ่งที่เรามองจากรูป  หลังจากถ่ายมันแล้วมันต่างกันนะ  และนั่นก็เป็นส่วนที่น่าสนใจที่สุดเลยครับ  และนอกจากนั้นผมยังเล่นเปียโนและแต่งเพลงไว้มากมายอีกด้วยนะ    พูดถึงเรื่องความชอบไปแล้ว    ผมก็อยากพูดถึงหนังที่ตัวเองชอบจังเลย  ผมชอบหนังเรื่อง  Romance  Holiday    ที่  ออเดรย์  เฮพเบิร์น  เล่นน่ะ  เธอเจ๋งมากเลยนะครับ  พูดถึงหนงที่ชอบแล้ว    ก็คงต้องพูดถึงหนังสือที่ชอบด้วยสิผมชอบนิยายเรื่อง  The  Professor  And  His  Beloved  Equation  ครับ  ส่วนสถานที่ๆอยากไปก็น่าจะเป็นตรงกลางเส้นศูนย์สูตรน่ะ (ฮ่าๆๆ)  ผมอยากไปที่ที่เป็นจุดศูนย์กลางของโลกน่ะ  แต่ผมก็จะไม่ตะโกนบอกรักหรอกน่า (ล้อเลียนหนังเรื่องหนึ่ง)  ผู้ชายที่ดูดีที่สุดในความคิดผมก็น่าจะเป็นผู้ชายที่รักตัวเอง  และมอบความรักให้กับคนอื่นด้วยน่ะครับ  ส่วนผู้หญิงในสเปกผมหรอ  ก็ต้องเป็นผู้หญิงที่ดูเหมาะกับผมยาว  และมีความเป็นแม่บ้าน  และทำกับข้าวเกงๆอร่อยๆน่ะครับ

    เรื่องที่ทำให้ผมมีความสุขล่าสุดก็แน่นอนว่า  ต้องเป็นเวลาที่ยืนอยู่บนเวที  แล้วมองยังแฟนเพลงที่กำลังฟังเพลงเราอย่างมีความสุขนั่นเองครับ  และถึงจะเห็นผมเป็นคนอารมณ์ดีอย่างนี้ก็เถอะ  เรื่องที่ทำให้โกรธได้ก็มีเหมือนกันนะ  ฮึ!!  อย่างเรื่องล่าสุดก็เป็นเรื่องที่ผมพูดไม่ค่อยดีน่ะสิ  ไม่บอกหรอกว่าเป็นเรื่องอะไร (ฮ่าๆๆ)  ส่วนเรื่องที่ทำให้เสียใจล่าสุด  มันก็เป็นคนละเรื่องกับที่ทำให้รู้สึกโกรธน่ะ  ผมรู้สึกเสียใจกับเวลาที่มันช่างผ่านไปเร็วเหลือเกินน่ะ    ผมรู้สึกเศร้าเมื่อต้องคิดว่า  มนุษย์เรามีชีวิตอยู่ได้ประมาณ  100  ปี  แล้วช่วงสูงสุดของวัย  20-40  ก็ผ่านไปแค่พริบตาเดียวเอง (อืม...เสียงเศร้าจัง)

    ตลอดเวลาที่เริ่มเดบิวต์มาเป็นดงบังชินกิ    ผมก็งานเยอะซะจนไม่มีเวลาได้หยุดพักเลยล่ะ  เอ!!  มิกกี้ถ้ามีวันหยุดยาวๆนายอยากจะทำอะไรน้า  อืม....ก็คิดว่าอยากไปเที่ยวพักผ่อน  หรือทำอะไรที่ไม่สามารถทำได้บ่อยๆน่ะครับ  เช่น  อยากทำเกี่ยวกับดนตรี  หรือมีสตูดิโอส่วนตัว  และที่สำคัญ  อยากอยู่อย่างสงบน่ะคร้าบ....บ  ผมเข้ามาเป็น 1  ในสมาชิกดงบังชินกิ  ที่มีแฟนๆรักมากมายอย่างนี้ได้ยังไงน่ะหรอ  อืม....ผมใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาตั้งแต่เด็กๆแล้วล่ะ  และผมก็เคยชนะเลิศการประกวดร้องเพลงที่เวอร์จิเนียร์ในปี  2001  อีกด้วย  นอกจากนั้นยังได้รับรางวัลพิเศษจากการประกวดร้องเพลงเยาวชน KBN  ในปี  2003  หลังจากนั้นแหละที่ผมถูกทาบทามให้เข้าร่วมทีมดงบังชินกิอย่างเป็นทางการเพียงแค่  6  เดือนเองน่ะนั่น  โชคดีตรงที่  พี่ๆทีมงานบอกว่า  ผมเป็นคนที่ค่อนข้างเรียนรู้เร็ว  และเข้ากับสมาชิกคนอื่นได้ไม่ยาก  ตอนนี้ผมกับครอบครัวอยู่ห่างกันครับ  ผมคิดถึงพวกท่านมากๆเลยล่ะ  ตอนนี้ครอบครัวของผมอยู่ที่อเมริกาครับ  แต่ผมก็ปฏิเสธที่จะเป็นพลเมืองของสหรัฐนะ  อืม...จริงๆผมมีความลับที่ไม่ค่อยเปิดเผยเหมือนกันนะ    คือผมไปอเมริกาตั้งแต่  ป.6  เลยล่ะ    เพราะผมอยากเป็นนักร้องมาก  เลยหาเงินไปออดิชั่น  ก็ทำงานพาร์ท-ไทม์ด้วย  จากนั้นก็มาที่เกาหลี    จริงๆแล้วผมอยากทำงานเพลง  อยากทำดนตรีมากกว่าเป็นนักร้องซะอีกนะ  แต่พอแคสติ้งที่อเมริกาแล้วมาที่เกาหลีผมก็เลยฝึกฝนอย่างหนักเลยล่ะ

    พูดถึงเรื่องหนักๆไปแล้วตอนนี้พูดถึงเรื่องเบาๆ  น่ารักๆกันบ้างดีกว่านะ  อย่างเช่น  เรื่องของรักของหวงของผมไงล่ะ  ก่อนหน้านี้ตอนที่ไปงาน  event  ที่ญี่ปุ่น  ใกล้ๆกับที่ๆพวกเราไปกินข้าวเย็น    ก็มีร้านขายสัตว์เลี้ยงด้วยที่นั่นมีสัตว์ให้ดูเยอะแยะเลยล่ะ    แต่ที่ผมชอบที่สุดก็เห็นจะเป็นน้องหมาไงล่ะ    มันน่ารักจริงๆนะ  ที่ร้านนั้นยังมีนกและเต้าตัวเล็กๆประมาณฝ่ามืออยู่ด้วยล่ะ    เจ้าเต่านั่นน่ะน่ารักสุดๆไปเลย    นี่ยังลืมไม่ลงเลยนะเนี่ย    แต่ด้วยความที่ผมยุ่งทุกวันน่ะสิ    ไม่ค่อยมีเวลาอยู่บ้านเท่าไหร่  ทำให้เลี้ยงสัตว์ไม่ได้  เสียดายจังเลยอ่ะ  ตอนนี้เห็นอะไรน่ารักๆก็แทบจะทนไม่ได้แล้วล่ะ    สัญชาตญาณความเป็นแม่ในตัวก็แทบจะแสดงออกมาทันทีเลย (ฮ่าๆๆๆ)  แต่ว่า!!  เจ้าเต่าตัวนั้นราคาประมาณ 3 หมื่นเยนแหนะ    ตกใจจริงนะเนี่ย  สิ่งสำคัญอีกอย่างในตอนนี้ก็คือ  เพลงกับเครื่องดรตรีครับ  ทุกวันหลังจากกลับบ้านไปก็จะนั่งแต่งเพลง    คิดว่าสักวันผมคงจะมีโอกาสให้แฟนเพลงได้ฟังเพลงที่ผมแต่งขึ้นนะ

    อืม.....มาลองนึกดูแล้ว  เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเรามีอะไรบ้างนะ    ลองนึกออกมาเป็นข้อๆดีกว่า    เริ่มจากสิ่งที่ดีของตัวเอง  ท่าจะไม่มีนะ (ฮ่าๆๆๆ)  แล้วสิ่งที่ไม่ดีล่ะ  ท่าจะมีเยอะเลยนะเนี่ย  (ฮ่าๆๆๆ)  ไม่สามารถจำได้หมดหรอกถ้าพูดถึงเรื่องนี้น่ะ  และถ้าจะบรรยายลักษณะของตัวผมเองสักประโยคหนึ่ง    ผมก็น่าจะเป็นแปลกประหลาด  หรือถูกหลอกได้ง่ายนะ (ฮ่าๆๆๆ)  คนดังที่ผมปลื้มก็คือ  คุณโบอา  ฮวังโบ  และคิม  กอนโม  ครับ  จะว่าไปแล้วคุณฮวังโบเนี่ยเป็นผู้หญิงในอุดมคติของผมเลยนะ  แต่ถ้าถามว่าผมอยากแต่งงานเมื่อไหร่  บอกตรงๆว่าผมไม่อยากแต่งงานครับ    แต่ถ้าผมมีแฟนแล้ว  สิ่งที่อยากจะซื้อให้เธอก็คือคิมบับครับ    แล้วถ้าผมนัดกับแฟนแล้วเธอยังไม่มา  ผมก็คิดว่าตัวเองจะรอเธอได้นานถึง  24  ชั่วโมงเลยนะ (โอ้โห!)  แต่ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยครับ  อ๋อ!!  แล้วผมจำได้แม่นเลยล่ะ  ว่าจูบแรกของตัวเองน่ะตอนไหน  อ้า....ก็ตอนอนุบาลไงล่ะ (เขิน)  แต่รักแรกของผมเกิดขึ้นเมื่อตอนประถมครับ  ส่วนฤดูที่ผมชอบก็  อืม....ยังเลือกไม่ถูกเลยระหว่าหน้าหนาวกับหน้าร้อนน่ะ  เอ!!  แล้วเพลงอะไรนะที่เราชอบร้องเวลาไปคาราโอเกะน่ะ  แน่นอนว่าต้องเป็น  Incomplete ของ SISQO  น่ะครับ  แจจุงก็ชอบร้องเพลงนี้เหมือนกันนะ  สิ่งที่ผมไม่ชอบที่สุดคือ  การแบ่งแยกชนชั้นน่ะ

    ผมดีใจมากที่ผมได้ยืนอยู่จุดๆนี้  ได้มีเพื่อนแท้อีก  4  คน  ได้มีแฟนๆที่รักเราทั่วเอเชีย  แล้วผมจะพยายามให้มากขึ้นเรื่อยๆเพื่อแฟนนะครับ  ให้กำลังใจพวกเราด้วย  ดงบังชินกิ  Fighting!!!


    MyNameIs  KimJun-Soo
    เส้นทางชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ ซีอา
    ผมชื่อจริงว่า  คิม  จุนซู  ครับ  วันเกิดตามบัตรประชาชนคือ  1 January ค.ศ.  1986  ครับ  ตอนนี้ผมสูง  178 ซ.ม. หนัก  60 กก.  บ้านเกิดของผมอยู่ที่  คยองกี  ครับ  ผมมีเลือดกรุ๊ป B ครับ  ได้ยินคนบอกว่า  ผู้ชายกรุ๊ปบีจะเป็นคนที่ไร้เดียงสา  ฉลาด  แคร์ความรู้สึกของคนอื่น    เป็นคนที่มีพลังการแสดงออกที่ยอดเยี่ยม  ชอบต่อกรกับสิ่งต่างๆอย่างแรงกล้า  ลักษณะภายนอกจะมีความเย็นชาต่อสิ่งที่พบเห็น  แต่จริงๆแล้วเป็นคนที่มีความรู้สึก  และจิตใจที่อบอุ่น  รับรู้ต่อสิ่งต่างๆได้ดี  ว่านอนสอนง่าย  สามารถแสดงอารมณ์  และสามารถปรับตัวเข้ากับสังคมได้ดี  (มันก็จริงเหมือนกัน)  เพื่อนๆสมาชิก  ดงบังชินกิ  มักจะชอบบอกว่า  ผมเป็นคนที่หูเบามาก....ก  แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไปหรอกนะครับ  งานอดิเรกของผมคือเล่นเปียโน  เล่นฟุตบอล  เล่นเกมคอมฯ  ร้องเพลง  ซึ่งร้องเพลงเนี่ยถือเป็นความสามารถพิเศษของผมด้วยนะ  อ้อ!!  นอกจากนั้นยังมีเต้นด้วยครับ  แต่ผมมีงานอดิเรกล่าสุดเพิ่มขึ้นด้วยนะ  นั่นก็คือการเล่นมุขตลกนั่นเอง (ฮ่าๆๆ)

    ผมมีความใฝ่ฝันส่วนตัวด้วยนะ  คือ  ผมอยากมีงานเขียนของตัวเองตีพิมพ์เป็นหนังสือสักครั้งหนึ่งในชีวิตน่ะ  แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่า  ยังไงก็เอาใจช่วยผมด้วยนะครับ (น้ำเสียงอ้อนสุดๆ)  ตอนเด็กผมเป็นคนที่ตัวผอมมาก  ผอมจริงๆนะ  น่าเกลียดที่สุดเลยล่ะ  ผอมขนาดเห็นซี่โครงเลยนะ  คล้ายโครงกระดูกที่เล่นกีตาร์ได้ยังไงยังงั้นเลย(ฮ่าๆๆ)  ตอนนั้นก็พยายามกินให้มากๆ  พอได้ออกกำลังกายบ่อยๆ  เลยทำให้กล้ามเนื้อเฟิร์มกว่าคนปกติทั่วไป  แต่เรื่องกำลังเนี่ยรู้สึกจะอ่อนแอกว่าทุกคนนะครับ (ฮ่าๆๆ)  สถานที่ๆผมอยากไปที่สุดน่ะหรอ  ผมอยากไปดูแกะกระโดดที่ภูเขา แอลป์ ที่สวิสเซอร์แลนด์  แล้วก็ที่เที่ยวที่ปารีสและฝรั่งเศสครับ    ถ้ามีวันหยุดยาวๆหลายๆวัน    ผมต้องไปเที่ยวพักผ่อนแน่  ผมเคยไปเกาะโบรา  โบร่า  มาก่อนและอยากกลับไปที่นั่นอีก    มันประทับใจมากๆเลยล่ะ  ผมเป็นคนที่เล่นเกมไพ่เก่งมากๆเลยล่ะ  แล้วเพื่อนในสมาชิกจะชอบมารบกวนให้ผมเสียสมาธิน่ะ      พวกเขาอิจฉาที่ผมเล่นเก่งไงล่ะ (ฮ่าๆๆ)

    ถ้าให้พูดถึงผู้หญิงในสเปกหรอ  ผมชอบคนที่บุคลิกสดใส  สนุกสนาน  ร่าเริง  แล้งก็ชอบออกกังกายด้วยครับ  เป็นผู้หญิงที่ชอบเล่นกีฬาประมาณนั้นน่ะ  นอกจากนั้นยังเป็นผู้หญิงที่น่ารักๆด้วยนะ  อีกอย่างผมชอบผู้หญิงที่เป็นมืออาชีพในการทำงาน  และขยันในการทำงานของตัวเองด้วยครับ

    ผมเข้ามาเป็น 1 ในสมาชิกดงบังชินกิด้วยการแคสติ้งจากรายการโชว์ทางโทรทัศน์ที่ต้องการหาศิลปินหน้าใหม่มารวมตัวกันตั้งวงดน**่ะ  ตอนนั้นผอายุ  12 ปีเองนะครับ  ซึ่งผมก็ผ่านการแคสติ้งนั้นมา  จากนั้นผมก็เริ่มฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก    โดยได้รับแรงผลักดันและสนับสนุนอย่างเต็มที่จากคุณแม่ครับ    คุณแม่ผมเคยเป็นอดีตนางงามจากประเทศเกาหลีด้วยนะ  แม่เป็นคนสวยและจิตใจดีครับ  หลังจากนั้นผมก็ได้รับการเทรนถึง  6  ปีเลยล่ะ    กว่าที่จะได้มาเป็นศิลปินอย่างเต็มตัวได้น่ะ

    ผมมีความลับจะเล่าให้ฟังอยู่เรื่องครับ  ในสมาชิกดงบังชินกิเนี่ย  ผมจะเป็นคนที่ใช้ชีวิตการเป็นนักเรียนฝึกหัดนานกว่าคนอื่นๆนะ  สาเหตุน่ะหรอ  ก็เพราะเสียงของผมมันเพี้ยนน่ะ  เป็นอยู่อย่างนั้นประมาณ  3  ปีเลยนะ  ตอนนั้นผมกลุ้มมากๆเลยล่ะ  เรียกว่าเป็นเรื่องที่กังวลที่สุดเลยก็ว่าได้  คือผมจะร้องเสียงสูงไม่ได้เลย  เพราะผมเป็นคนเสียงต่ำ  ผมเลยกังวลว่า  ถ้าทำไม่ได้จะเป็นยังไงนะ  ตอนนั้นร้องไห้ทุกวันเลยครับ(เสียงเศร้าจัง)  มีหลายคนสงสัยเหมือนกัน  ว่าผมข้ามผ่านมันมาได้ยังไง?  อ้า....สวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า  สวดแล้วก็รอครับ    ตอนนั้นฝึกซ้อมเท่าไหร่ก็ถูกบอกว่าผิดใช้คอไม่ค่อยได้  ตอนนี้เสียงของผมก็แหบๆนะ  เหตุผลก็ฝึกเสียงด้วยการตะโกนอยู่ในห้อง  พอทำไม่ได้ก็จะโมโหตัวเอง  มันแย่จริงๆแต่ก็ตะโกนนะ  ตอนนี้คิดว่าดีขึ้นนิดหน่อยๆน่ะ  ไม่สิ  เป็นเสียงที่ไพเราะเชียวล่ะ (ฮ่าๆๆๆ)  อ๊ะ!!  ขอโทษ  ขอโทษ  ไม่เพาะก็ได้  แต่ตอนนี้ปมด้อยของตัวเองก็คือหน้าตาของผมไม่เพียงพอ  เพราะผมไม่มีใบหน้าของคนวงการบันเทิงน่ะสิ  คือหน้าตาของคนวงการบันเทิงเป็นยังไวก็ได้ยกเว้นผมน่ะ (ฮ่าๆๆ) ให้บอกเป็นรูปธรรมผมเองก็ไม่รู้หรอก  รู้แต่ว่าไม่ใช่แบบผมแน่ๆผมมักจะถูกทุกคนบอกว่า  เป็นพวกมุขคุณปู่น่ะครับ  ก็ทุกคนเขาว่าอย่างงั้นนี่นา  ก็ผมเป็นคนคุยไม่สนุกนี่ครับ  ผมเป็นอย่างนี้ตลอกแหละ  เพื่อนๆสมาชิกก็ไม่ปกป้องกันเลย  แถมยังทำเป็นจี้ท้องจี้เอวให้ขำอีกด้วย  เฮ้อ!

    ตอนนี้ผมทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุขแล้วนะครับ    เพราะตอนนี้ท่านได้เปิดร้านพิซซ่าสมใจแล้ว  ร้านพิซซ่าของคุณคิม  (ฮ่าๆๆๆ)  ซึ่งที่ร้านก็มีแฟนเพลงของผมและของดงบังชินกิเข้าอุดหนุนเสอมๆครับ  ซึ่งก็ต้องขอบคุณมากครับ  ซึ่งคุณคิมก็จะเป็นคนคอยบริการลูกค้าเองเลยนะ  และพอร้านพิซซ่าของคุณพ่อได้ออกอากาศทางทีวีไป  ก็ทำให้มีแฟนๆดงบังชินกิไปอุดหนุนเพิ่มมากขึ้นกว่าเก่าอีก  อีกทั้งยังได้สั่งเดลิเวรี่เพิ่มเป็นอีก 2 เท่าด้วย  คุณพ่อบอกว่า  เพราะพิซซ่าของเราทำมาจากข้าวและชีสในประเทศเกาหลี 100 % รสชาติจึงดี  แถมดีต่อสุขภาพอีกด้วย  แฟนๆที่สนใจก็สามารถสั่งได้นะครับ  และสำหรับแฟนๆที่สนใจอยากเข้าชมร้านพิซซ่าของคุณพ่อ  สามารถเข้าไปชมได้ที่เว็บไซด์ 
    www.misarangpizza.co.kr นะครับ

    ของหวงของผมตอนนี้ก็คือเจ้าสุนัขครับ  มันเป็นสิ่งที่ผมชอบที่สุดเลยล่ะ    ที่บ้านของผมก็เลี้ยงสุนัขด้วย  เนี่ยก็เพิ่งจะได้สมาชิกใหม่มาเลี้ยงไม่นานนี้เอง    ตัวมันขาวมากๆเลยนะ  ผมว่าพวกมันดูน่ารักและก็บริสุทธิ์ดี  ซึ่งเหมือนกับผมเลย (ฮ่าๆๆ)  สมาชิกตัวใหม่นี้ชื่อ  ชาคิ    ครับ  ความหมายก็ไม่มีอ่ะ  มันเป็นสุนัขพันธุ์ Samoyed จะคล้ายๆพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้  ชาคิเป็นลูกสุนัขตัวผู้ครับ.....

    ส่วนเรื่องบูมๆฮอตๆของผมในช่วงนี้คือ  การแต่งเพลงครับ  ผมไม่ค่อยยึดติดกับแนวเพลงเท่าไหร่นะ  รู้สึกยังไงก็เขียนไปอย่างนั้นแหละ    สนุกมากๆเลย  แต่เพราะยังไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่  ก็เลยยังไม่สามารถเขียนออกมาให้ทุกคนฟังได้ครับ  ถ้าสามารถแต่งเพลงดีๆได้เยอะๆ  สักวันหนึ่งจะเอามาร้องในคอนเสิร์ตดูนะครับ  ดังนั้นกรุณาคอยจนถึงวันนั้นนะ  อืม....อยากฟังคุณแม่ของผมพูดถึงลูกชายคนนี้ไหมครับ  ถ้างั้นมาดูกันเลยดีกว่านะครับ 
    ว่าคุณแม่เม้าท์ถึงลูกชายที่ชื่อว่าซีอาว่ายังไงบ้าง
    1.จุนซูชอบพูดกับชั้นว่า ผมรักแม่นะ พร้อมทั้งหอมแก้มบ่อยๆและเค้าก็มักส่งเมสเซจรูปหัวใจมาให้ฉันเสมอ
    2.ถึงเค้าจะเป็นเด็กขี้อ้อนแค่ไหน  แต่ก็ไม่เคยฉี่รดที่นอนเลยนะ  ครั้งสุดท้ายที่เค้าทำก็คือตอน 6 ขวบค่ะ
    3.จุนซูไม่เคยทะเลาะกับพี่น้องเลยค่ะ
    4.เค้าไม่ชอบใส่อะไรที่มันรัดๆเพราะทำให้รู้สึกอึดอัด  จึงหันไปใส่กางเกงบ๊อกเซอร์แทนเวลาที่ต้องซ้อมเต้น
    5.เค้าไม่เคยยืนนิ่งๆเลยค่ะ  เวลาที่ต้องพูดกัน  แต่กับเวลาจะเดินเข้าห้องน้ำนั้นเค้าจะเชื่องช้ามาก...ก
    6.เค้าช่วยงานบ้านทุกอย่างที่เค้าทำได้นะคะ
    7.จุนซูชอบกินไก่มากเลยค่ะ
    8.เค้าชอบวาดเขียนในสมัยเด็กๆและเค้าก็เป็นนักกีฬาที่ดีด้วยค่ะ
    9.จุนซูและพี่ชายของเค้า จุนโฮ เป็นพี่น้องที่ดังมากๆในละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงค่ะ
    10.เวลาที่ทรหดที่สุดของเค้าก็คือ  ตอนที่เค้ากำลังจะโตเป็นหนุ่มนะค่ะ  เสียงของเค้ามันเปลี่ยนแปลงไปด้วย  ฉันคิดว่ามันน่ารักนะ
    11.จุนซูเป็นนักเรียนที่ดีมากๆเลยค่ะ
    12.ฉันไม่เคยตีเค้าเลยนะคะ
    13.ของขวัญที่ฉันชอบที่สุดที่เค้าให้ฉันก็คือ  ดอกกุหลาบช่อโต  พร้อมกิ๊บติดผมค่ะ
    14.จุนซูจะเดินตามรอยเท้าพ่อของเค้า  หลังจากที่พ่อของเค้าเสียชีวิตลง
    15.ถ้าจุนซูบอกกับฉันว่าอยากจะเป็นผู้หญิงล่ะก็  ฉันก็จะไม่รีรอที่จะบอกเลยว่า เอาเลยลูก  อยากได้ลูกผู้หญิงอยู่แล้วน่ะค่ะ
    16.ฉันคิดถึงเค้ามากที่สุดเลยค่ะ  เวลาที่ฉันต้องอยู่คนเดียว
    17.จุนซูมักใส่เสื้อผ้าหลวมๆเวลานอนหลับค่ะ
    18.ฉันเคยทำซุปร้อนจัดหกใส่ต้นคอของเค้าตอนที่เค้าเริ่มเป็นหนุ่ม  แต่โชคดีที่ไม่มีรอยแผลเป็นค่ะ
    19.พ่อตั้งชื่อของจุนโฮ  และจุนซู  โดยให้ความหมายว่า  จุนโฮเป็นเด็กหนุ่มที่แข็งแรง  ส่วนจุนซูคือเด็กหนุ่มผู้น่ารัก
    20.ฉันคิดว่าจุนซูไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไปแล้ว  เมื่อตอนที่เค้าพูดว่า  แม่ครับ  แม่ไม่ต้องห่วงผมอีกต่อไปแล้วนะครับ  ความยากลำบากของแม่นั้นมันมากมายเกินไปแล้ว  ผมจะทำให้แม่มีความสุข  บ้านที่แม่เคยวาดฝัน  ก็ไม่ต้องฝันอีกต่อไปแล้ว  ผมจะซื้อบ้านให้แม่ใหม่  เมื่อผมมีเงินมากพอ  แม่เชื่อในตัวลูกชายคนนี้ใช่ไหม  ผมรักแม่ครับ และตอนนี้ผมก็คิดถึงแม่และครอบครัวที่สุดเลยครับ  เอาไว้เดี๋ยวเราคงได้เจอกันนะครับ

    ถ้าพูดถึงเพื่อนที่สนิทในดงบังชินกิแล้วล่ะก็  ใครๆก็มักจับคู่ให้ผมกับ ยูชอน ครับ  ซึ่งผมว่าจริงๆแล้วเราก็สนิทกันมากเลยแหละ    มิกกี้นั้นเป็นคนที่เปิดเผย  และเค้าก็จะเป็นแบบที่ชอบตามใจเด็กๆ  เขาเป็นคนอารมณ์ขันให้กับวง  ถ้ามิกกี้ได้เล่นแกล้งอำคนอื่นก็จะเป็นที่สนุกมากๆเวลาจะผ่านไปเร็วมากเมื่อได้อยู่กับเค้า  มิ้กกี้ไม่เคยที่จะปฏิบัติกับคนรอบข้างเค้าอย่างหยาบคายหรือจะทำให้คนอื่นโกรธ  แม้เวลาที่เค้าโกรธมิกกี้ก็จะลืมมัน  เขาเป็นคนที่น่ารักนะครับ  ดูเหมือนเด็กๆอยู่ตลอดเวลา  แต่ทุกคนในวงก็ล้วนแล้วแต่น่ารักกันหมด  ซึ่งนั่นทำให้พวกเราเข้ากันได้ดี  และทำให้งานของ  ดงบังชินกิ  ออกมาดี  ว่ามั้ยครับ (ฮ่าๆ)แล้วพวกเราทั้ง 5 จะสู้ต่อไปครับ  ดงบังชินกิ 
    Fighting!!!


    MyNameIs  ShimChang-Min
    เส้นทางชีวิตของลูกผู้ชายที่ชื่อ แม็กซ์ 
    อันดับแรกก็คงต้องแนะนำตัวกันก่อนใช่มั้ยล่ะ  เริ่มจากชื่อจริงก่อนแล้วกันนะ  ผมชื่อ  ชิม  ชางมิน  ครับ  เกิดเมื่อวันที่  18  กุมภาพันธ์  ค.ศ.  1988  ตอนนี้ผมสูง  187  ซ.ม.  หนัก  61  กก.  บ้านเกิดอยู่ที่โซลครับ  สำหรับกรุ๊ปเลือดของผมน่ะหรอ    ผมเป็นผู้ชายกรุ๊ป  B  ครับ  นิสัยของผมก็  อืม...จริงๆถ้าจะให้ผมพูดถึงตัวเอง  มันก็จะเหมือนเป็นการเข้าข้างตัวเองเกินไปหรือเปล่า  เอาเป็นว่า  ผมจะเอาคำพูดของคนรอบตัวที่พูดถึงผมแล้วกันนะครับ  พวกเขาบอกว่า....ผมเป็นคนที่หมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ตัวเองชอบจนลืมนอน  ลืมทานข้าวไปเลยล่ะ  และยังเชื่อเรื่องลางสังหรณ์ของตัวเองมากๆอีกด้วย (อืม....ก็ใช่นะ)  ผมมีความสามารถในการรวบรวมสมาธิ  และโดยปกติเป็นคนเงียบขรึม    แต่ถ้าเป็นหัวข้อที่ตัวเองสนใจล่ะก็  จะพูดไม่หยุดเลยล่ะ (อืม..อันนี้ก็จริงแท้ที่สุดเลยนะ)  เป็นคนที่จัดว่าเข้ากับคนอื่นได้ดี  ปรับตัวเข้ากับสังคมตลอดเวลา  อืม....ก็ใช่อีกนั่นแหละ  อ้อ  แล้วพวกเขาก็บอกว่าผมน่ะกินจุและกินเก่งมากๆอีกด้วยล่ะ (ฮ่าๆๆ)  ยืนยันได้จากเหล่าสมาชิกของผมเลยล่ะครับ

    งานอดิเรกของผมก็คือฟังเพลง  ร้องเพลง  เล่นเกมคอมฯ  แล้วก็อ่านหนังสือครับ  สำหรับความสามารถพิเศษหรอ  ก็คือร้องเพลงและเต้นนั่นไงล่ะ  ล่าสุดผมชอบ  Brian McKnight  นะ  ส่วนหนังสือที่ชอบน่ะหรอ  ก็น่าจะยังเป็นเรือง  Be  With  You  อยู่นะ  อืม...แล้วสถามที่ที่ผมอยากไปที่ไหนมากที่สุดน่ะหรอ  ฮ่าๆๆ  ปนะเทศกรีซไงเล่า  เอ!!  แล้วส่วนเรื่องที่ทำให้มีความสุขล่าสุดล่ะ  อืม...ก็คงจะเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้หรอกครับ  คือหลังจากการทัวร์คอนเสิร์ตทั่วประเทศแล้ว  พวกเราก็ได้พบปะกับแฟนเพลงมากมาย  ผมรู้สึกมีความสุขที่สุดเมื่อคิดว่า  เราทำงานสำเร็จด้วยความปลอดภัยแล้ววันนี้  ตอนที่ทักทายแฟนๆนั้นน่ะ  อืม.....โดยส่วนตัวแล้วผมชอบออกไปกินอาหารที่ขึ้นชื่อของที่ที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตกับทีมงานน่ะ  เอ!! แล้วเรื่องอะไรที่ทำให้รูสุกโกรธล่าสุดนะ  อ๋อ!!  ผมโกรธตัวเองที่รู้สึกว่า  ไม่สามารถทำงานได้ดีพอน่ะครับ  ส่วนเรื่องที่ทำให้ต้องเสียใจล่าสุดหรอ  ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวไม่มีนะ  แต่ผมรู้สึกเศร้ามากเลยตอนดูละครเรื่อง  1  Lire  of  Tears  เพื่อที่จะเรียนภาษาญี่ปุ่นน่ะครับ (ฮ่าๆๆ)  ปกติดงบังชินกิก็ไม่ค่อยได้มีวันหยุดยาวๆกับเขาหรอกครับ    แต่ถ้ามีวันหยุดยาวๆสักช่วงเวลาหนึ่งน่ะหรอ  สิ่งแรกเลยที่อยากจะทำก็คือ  นอนให้เยอะๆ (ฮ่าๆๆๆ)  จากนั้นก็ไปเที่ยวพักผ่อนในเกาหลีนี่แหละ  ถ้ามีเวลาว่างมากกว่านั้นก็คงจะไปเที่ยวหลายๆที่เลย    เพราะนอกจากจะเป็นการพักผ่อนแล้ว  ผมว่านั่นจะเป็นประสบการณ์ที่ดีอย่างหนึ่งในชีวิตเลยล่ะ

    ถ้าไม่พูดถึงผู้หญิงในฝันก็คงไม่ได้หรอกว่ามั้ย    ผมชอบผู้หญิงที่เป็นมืออาชีพในการทำงานของตัวเอง    และขยันทำงานครับ  นั่นแหละสเปกของผมเลยล่ะ  นอกจากนั้นก็ชอบผู้หญิงที่อินโนเซนส์ด้วย    ถ้าเธอเป็นคนสวยก็คงจะดีเลยล่ะ  แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญทีสุดก็คือ  คนที่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง  ทำอะไรก็ตั้งใจทำตามหน้าที่  พูดง่ายๆว่าผมชอบผู้หญิงทำงานเก่ง
    สำหรับเส้นทางการมาเป็น  ดงบังชินกิ  นั้น  ผมจะเล่าให้ฟังคร่าวๆนะครับ  ผมน่ะเด็กที่สุดในวงเลยนะ  เรียกว่าเป็นน้องเล็กแห่งดงบังชินกิเลยล่ะ  ผมเข้ามาได้เพราะผ่านการออดิชั่นครับ  อ๋อ!!  ผมเคยได้รางวัลชนะเลิศด้านการร้องเพลงด้วยนะ  ถึงแม้ตอนนั้นผมยังเด็กอยู่ก็เหอะ  แต่ใครๆก็มักบอกว่าผมมีพลังเสียงและโทนเสียงที่โดดเด่นมาก  อีกอย่างผมเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับการร้องเพลงมากนะ  จนบางทีผมร้องไห้ออกมาเลยล่ะ  ถ้าร้องไม่ได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้  อืม.....นอกจากนั้นผมยังเป็นคนที่ยอมรับในความคิดเห็นของเพื่อนๆในวงอีกด้วยนะครับ  และผมยังได้ชื่อว่าเป็นคนที่ทุ่มเท  และอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอด้วยล่ะ    แต่ก่อนที่จะเดบิวต์นั้น  ผมก็เป็นแฟนฟุตบอลตัวยงเลยนะ  ดังนั้นก่อนเดบิวต์ถ้าได้ยินคำว่า  โกล  ผมก็มักจะนึกถึงฟุตบอลก่อนอื่น  แต่ตอนนี้พอได้ยินคำว่า  โกล  ก็จะนึกถึงคำว่า  เป้าหมาย ครับ  ผมเป็นคนละโมบนะ (ฮ่าๆๆ)  จะคิดถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของตัวเองทุกวันเลย  อย่างถ้าก่อนหน้านี้ 1 ปี  เป้าหมายตอนนั้นก็คือ  ถ้าได้เข้าไปอยู่ใน 5 อันดับของเดลี่ชาร์ทจะดีมากๆเลยล่ะ  และตอนนี้เราก็ทำสิ่งนั้นได้สำเร็จแล้ว  แล้วผมก็ละโมบอีกนะ  ก็อยากมุ่งสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก  ก็อย่างเช่น  อยากทัวร์ไลฟ์ไปยังสถานที่ต่างๆอยากเล่นในสถานที่ใหญ่ๆ  ผมนี่ละโมบจริงๆ  (ฮ่าๆๆ)

    ตอนนี้ก็มาดูของรักของหวงของผมกันเลยดีกว่า  ตอนนี้สิ่งที่ผมรักที่สุดก็คือ  การนอนครับ  นอกจากการนอนผมยังติดละครซีรี่ส์ของอเมริกาเรื่อง  Prison  Break  อีกด้วยล่ะ  มันสนุกมากๆเลย  มันเป็นละครแนวลึกลับสืบสวนสอบสวน    น่าสนใจมากๆจริงๆนะ  และช่วงที่ผมทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นซะส่วนใหญ่นั้น  ของที่ผมมักติดตัวไว้เสมอก็คือ  เจ้าคอมพิวเตอร์  และดีวีดีหนังต่างๆ  รวมถึง  iPod  ด้วยครับ  เรียกได้ว่าทั้ง  3  อย่างนี้กลายเป็นเพื่อนรักของผมไปเลยล่ะ  ตอนที่อยู่ญี่ปุ่นเหงาเหมือนกันครับ  คิดถึงเพื่อนๆที่เกาหลีด้วย  แต่ว่าชีวิตในญี่ปุ่นก็ไม่เลวนะ  เพราะผมชอบกินหมี่เย็นของที่นี่  ช่วงซัมเมอร์ผมจะกินหนำใจไปเลยล่ะ
    นิสัยแปลกๆของผมหรอ  บางทีผมก็ไม่รู้ตัวหรอกนะ  แต่เพื่อนๆสมาชิกในดงบังชินกิเขาจะชอบเอาผมมาเผาเรื่อยอย่างตอนนั้นในรายการวิทยุ TVXQ Bigeast  Station  ที่พวกเราดงบังชินกิไปจัดที่ญี่ปุ่น  โดยพวกเราจะหมุนเวียนกันเป็นดีเจและมีวันหนึ่ง  ซึ่งเป็นวันที่ยูชอนเป็นคนจัดรายการ  และมีพี่จุนซูกับพี่แจจุงมาร่วมจัดด้วย  เหตุการณ์ที่นำมาเล่าให้ฟังในวันนั้นก็คือ    พวกเค้าเม้าท์ถึงผมล่ะ  ซึ่งงานนี้พี่แจจุงเค้าเป็นคนเปิดประเด็นก่อนเลย  นิสัยแปลกๆของสมาชิกในวงเรามีอะไรบ้าง  แล้วพี่แจจุงนั่นแหละที่บอกว่าเป็น นิสัยนอนละเมอ ของผม  เขาบอกว่า  มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมฝันว่าทะเลาะอยู่กับพี่จุนซู  แล้วพี่จุนซูเค้าต่อยผม  ผมเลยทนไม่ได้ตอบโต้กลับโดยการต่อยพี่จุนซูกลับ  แต่ที่จริงมันกลายเป็นว่าผมกำลังต่อยกำแพงอยู่น่ะ  มีเลือดออกด้วย  น่ากลัวมากๆเลยนะ  ผมไม่รู้นะเนี่ยว่าตัวเองนอนละเมอขนาดนั้น  แต่ถึงอย่างไรผมก็เป็นแม็กซ์ที่น่ารักของพี่ๆนะครับ  ผมรักพี่ๆในวงทุกคนเพราะพวกเราคือดงบังชินกิที่ฝ่าฟันด้วยกันมา  แฟนๆก็อย่าลืมเป็นกำลังใจให้พวกเราด้วยนะครับ  ดงบังชินกิ  Fighting!!!




    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×