คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Case 1 : คุณลุงร้านสหกรณ์ กับ เบาะแสที่ 2 (episode 4)
“เฮ้อ อากาศข้างนอกเนี่ยดีที่สุดเลย!!!” ไดกิบ่นแล้วทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเอง
เรียวสุเกะปิดประตูตามเข้ามาแล้วเดินไปนั่งลงข้างๆ หลังจากที่เรียวสุเกะให้สัญญาณเมื่อตอนนั้น ทั้งสองก็พากันออกมาจากบ้านซากาโมโตะทันที
อากาศนอกบ้านสัมผัสผิวกาย ทำให้เด็กหนุ่มทั้งสองแทบอยากจะร้องโห่ออกมาด้วยความดีใจ แต่ในตอนนั้นเรื่องหนีสำคัญกว่า ไดกิก็เลยมาปลดปล่อยเอาที่ห้องยังไงล่ะ
“จริงด้วย เกือบตายแน่ะ ฉันยิ่งขี้ร้อนอยู่” เรียวสุเกะพูดพลางปลดซิปที่ด้านหลังของชุดลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มกาย เป็นผลให้ชุดสีดำแสนสำคัญเปียกชุ่มไปหมด
ไดกิมองแล้วนึกขึ้นได้จึงเริ่มถอดชุดของตัวเองออกบ้าง จังหวะพอดีกับที่นาฬิกาดังบอกเวลาเที่ยงคืน หนังตาเริ่มหนักลงไปทุกที ถ้าไม่รีบอาบน้ำก่อนเข้านอนมีหวังเป็นหวัดแน่
เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังเพื่อนสนิทเงียบๆ เรียวสุเกะนั่งหันหลังใช้ผ้าเช็ดตัวซับเหงื่อของตัวเอง ปากบ่นงึมงำว่าร้อนไม่หยุด ไดกิมองเพื่อนสลับกับนาฬิกาที่แขวนบนผนังห้องก่อนจะพูดออกมา
“นายไปอาบน้ำไป เดี๋ยวเป็นหวัดนะ”
เรียวสุเกะ หันมามองตามเสียง
“อะไรกัน จู่ๆก็…” เรียวสุเกะทำหน้าสงสัย “ฉันไม่ใช่เด็กแล้วนะ ไม่เป็นหวัดง่ายๆหรอกน่า” เรียวสุเกะบอกปัดแล้ว ใช้ผ้าเช็ดตัวผืนเดิมซับหน้าต่อ
ไดกิขมวดคิ้วแล้วยกมือกอดอก
“จะเด็กหรือผู้ใหญ่มันก็ไม่เกี่ยวหรอกนะ แต่นี่มันดึกแล้ว เมื่อกี้ร้อนๆแล้วออกมาอากาศเย็นกะทันหัน ถ้าไม่สบายจะทำยังไง” เด็กหนุ่มพูด
จริงของเขา การที่ออกจากร้อนมาเจอเย็นกะทันหัน ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็มีสิทธิ์เป็นหวัดกันได้ง่ายๆทั้งนั้น แล้วนี่ก็ดึกมากแล้วด้วย อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงรีบๆเข้าไปอาบน้ำซะ…
เรียวสุเกะหันมาทำหน้าเบื่อใส่เขาอีกครั้ง
“นายอยากอาบก็ไปอาบสิ ฉันยังขี้เกียจอยู่เลย”
เมื่อได้ยินคำตอบไดกิก็ยิ่งเริ่มหมดความอดทน
“ไปอาบน้ำเดี๋ยวนี้!!!”
“ไม่ไป!!!”
“อย่าดื้อสิ!!!” ไดกิชักเริ่มรำคาญขึ้นมาบ้างแล้ว
“ไม่ได้ดื้อ! ถ้านายอยากอาบเองก็ไปอาบเองสิ!!!” เรียวสุเกะเองก็ไม่ยอมแพ้ จะว่าไปจะมาเถียงกันทำไม มันก็ควรจะต้องไปอาบกันทั้งคู่นั่นแหละ!
“ก็นายเป็นหวัดง่าย นายก็ต้องไปอาบก่อนยังไงล่ะ!”
“ฉันแข็งแรงนะ!” คำแก้ตัวของเรียวสุเกะทำเอาไดกิถึงกับส่ายหน้า งั้นครั้งก่อนที่ฉันต้องพานายไปโรงพยาบาลวันนั้นฉันฝันรึไงกัน เด็กหนุ่มอดเหน็บในใจไม่ได้ ครั้งที่แล้วเรียวสุเกะเป็นไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากปรับตัวไม่ทันเพราะอากาศเปลี่ยน ร้อนถึงเขาซึ่งต้องเป็นกลายเป็นคนดูแล เพราะในตอนนั้นพ่อของเรียวสุเกะไปทำงานที่ต่างจังหวัดหลายวัน
“แล้วคราวที่แล้ว ใครป่วยห๊ะ!!!”
“อึก!” เรียวสุเกะแทบจะกลืนคำพูดที่จะเถียงต่อลงไปไว้ไม่ทัน แล้วหันหน้าหนี
ไดกิส่ายหน้า
“ให้มันได้อย่างนี้สิ นายนี่ดื้อจริงๆเลยนะ ฉันว่าคำก็เถียงคำ พี่ชายอย่างฉันเหนื่อยนะเนี่ย เอ้า! ไปอาบน้ำ” คนตั้งตัวเป็นพี่ชายบ่น ก่อนจะยื่นชุดนอนที่เขาหยิบเตรียมไว้มาให้
เรียวสุเกะปรายตามองนิดๆ หยิบชุดนอนของตัวเองมา แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป
ปึง!
**********************
ทั้งสองใช้เวลาในการอาบน้ำแต่งตัวไม่นาน สองคนรวมกันไม่เกินสามสิบนาที ตอนนี้เรียวสุเกะและไดกิในชุดนอนก็พร้อมกันอยู่ในห้องพักผ่อนแล้ว
“ไดกิ นายนี่ทำตัวเป็นพี่ชายฉันไม่เปลี่ยนเลยนะ” เรียวสุเกะแอบบ่นขณะกดรูปในกล้องที่ถ่ายตอนอยู่ในบ้านซากาโมโตะดู
คนถูกพาดพิงหัวเราะ
“ฮะๆ ก็ฉันเป็นห่วงนายนี่นา” ถึงเรียวสุเกะจะดูเป็นผู้ใหญ่ และเยือกเย็นมากกว่าเขา แต่เวลาอยู่ด้วยกันแล้ว สำหรับเขาเรียวสุเกะก็เป็นแค่น้องชายหัวดื้อเท่านั้นแหละ แน่นอนว่าควบตำแหน่งเพื่อนซี้อีกด้วย
“เป็นห่วงไม่เข้าเรื่องนะนายเนี่ย” เรียวสุเกะขัดเขินเล็กน้อย “เออจะว่าไป เรื่องผู้ชายสามคนนั่นน่ะ” น้ำเสียงของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไปกะทันหัน ทำให้คนฟังถึงกับต้องเปลี่ยนอารมณ์ไปด้วย
“อืม อย่างนี้ก็ชัดแล้วว่า สามคนนั้นเป็นคนของโอชิฮาระ” ไดกินึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มสามคนที่เขาพึ่งไปเจอมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตราสัญลักษณ์บนหน้าอกของชายทั้งสาม เป็นหลักฐานได้ดี
“แต่ฉันกำลังสงสัยว่า ทำไมพวกมันถึงได้แต่เชื่อมั่นในบ้านหลังนั้นขนาดนั้นด้วยล่ะ” เรียวสุเกะตั้งข้อสังเกต
ไดกิเขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ
“ได้ยินใช่ไหมที่อิซาวะพูดน่ะ หมอนั่นบอกว่า เพราะมีคำสั่งลงมา พวกมันจึงต้องเฝ้าค้นหาอยู่แต่ในบ้านหลังนั้น แต่ก็นั่นแหละ เพราะอะไรกัน ในเมื่อหามาเป็นอาทิตย์ก็ไม่เจออะไรแล้วทำไมถึงไม่ยกเลิกคำสั่ง” คิ้วของเด็กหนุ่มคดเข้าหากันจนยุ่งเหยิง
“นายหมายถึง อะไรที่ทำให้เขาเชื่อว่า ในบ้านหลังนั้นต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ อย่างนั้นหรือ” ไดกิถาม
เรียวสุเกะพยักหน้า
“เป็นไปได้ แล้วไหนจะรอยเลือดพวกนั้นอีก” เรียวสุเกะเอื้อมไปหยิบถุงเก็บเศษตัวอย่างเลือดที่เขาเก็บออกมาจากกระเป๋าเป้สีดำ ไดกิเห็นจึงหยิบออกมาบ้าง
“ไม่นึกว่าที่เราสันนิษฐานกันไว้จะถูกนะ มีรอยเลือดอยู่ในบ้านจริงๆ” เด็กหนุ่มมองถุงพลาสติกในมือ
“ฉันก็คิดอยู่นะ แต่ก็คิดไม่ถึงว่ามันจะจริงขนาดนี้ อยากรู้จังว่ามันเป็นเลือดของใคร” ไดกิแกว่งถุงตัวอย่างเล่น ยกขึ้นส่องกับหลอดไฟสีขาวนวล
“…”
เกิดความเงียบขึ้นในห้องชั่วขณะ ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว ลมหนาวจากภายนอกยิ่งโบกแรงขึ้นจนได้ยินเสียงหวิวๆเล็ดลอดเข้ามา ผ้าเช็ดตัวที่ตากคู่กันอยู่ด้านนอก ขยับไหวจนน่ากังวลว่าจะหล่น
ไดกิเหลือบมองใบหน้าของคู่หูแวบหนึ่ง สีหน้านิ่งเฉยทำให้ยากที่จะเดาได้ว่าเรียวสุเกะกำลังคิดอะไรอยู่ สายตาคมปลาบจ้องมองลงไปที่หลักฐานในมือ คิดอะไรของเขานะ….เด็กหนุ่มคิด
คนส่วนใหญ่เวลาใช้ความคิดมักแสดงออกมาทางสีหน้า แต่เรียวสุเกะนั้นตรงกันข้าม เขามักจะนิ่งเฉย แม้จะมีบ่อยครั้งที่เขาออกอาการ แต่ถ้าเป็นการใช้ความคิดที่เขารู้สึกว่ามันมีความเป็นไปได้สูง เขาก็มักจะแสดงออกแบบนิ่งเฉยเสียมากกว่า ข้อนี้ไดกิรู้ดี แต่ดูเหมือนคนอื่นจะไม่รู้ ซึ่งทำให้ไดกิรู้สึกภูมิใจ
“นี่…” เรียวสุเกะเรียก จนไดกิเผลอสะดุ้ง กำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่เชียว
“นายคิดว่าเลือดพวกนี้เป็นเลือดของใครงั้นหรอ” เพื่อนสนิทเงยหน้าขึ้นมาถาม สายตาที่บ่งบอกว่ามีอะไรอยู่ในใจของเรียวสุเกะปิดไดกิเอาไว้ไม่อยู่ สายตานั้นมองมาที่ตัวเขา
แต่ไดกิก็คิดจะตอบคำถาม จึงทำท่านึก
“เอ…นายซากาโมโตะรึเปล่านะ ไม่แน่บางทีอาจจะโดนทำร้าย ขู่ให้ทำสูตรยาก็ได้” เขาคิดได้อย่างนี้ ฟังดูตื้นๆแต่ความเป็นไปได้ก็มีสูง
เรียวสุเกะเม้มริมฝีปากนิดๆ พยักหน้าเออออ แล้วเงียบต่อ
“นายคิดอย่างนั้นเหรอ…นั่นสินะ เป็นไปได้สูงเลยทีเดียว”
“…แต่นายไม่ได้คิดอย่างนั้นสินะ” ไดกิยิ้ม
เรียวสุเกะถึงกับชะงักเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าแปลกใจอะไรนัก เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มออกมาแล้วเริ่มอธิบาย
“อันที่จริงฉันคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนที่เข้าไปตอนกลางวันแล้วล่ะ แล้วก็คิดมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่เลยไม่ได้บอกน่ะ” เรียวสุเกะออกตัว ถ้าไดกิเกิดงอนเขาด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องก็แย่น่ะสิ
“อือ ฉันรู้” ไดกิยิ้มตอบ เขาไม่งอนอะไรไร้สาระหรอกน่า
เรียวสุเกะหัวเราะก่อนจะเริ่มพูดต่อ
“นายจำรูปนายซากาโมโตะที่ถ่ายกับภรรยาได้ไหม ที่ห้องนั่งเล่นนั่นน่ะ” ไดกิทำท่านึกตามแล้วร้องอ๋อ
“นั่นแหละ เห็นรึเปล่าว่าเขาถ่ายคู่กันที่หน้าถ้ำอะไรซักอย่าง และดูเหมือนรอบๆจะเป็นสวนหรือทุ่งดอกไม้นะ” เรียวสุเกะช่วยย้อนความทรงจำ
“จำได้ๆ ทำไมเหรอ”
“จากห้องทำงาน ตรงโต๊ะที่ฉันเจอหนังสือเล่มนั้น พอมองออกไปมันจะมองเห็นถ้ำนั้นได้ด้วยแหละ ไม่แน่ใจว่าใช่หรือเปล่า แต่ฉันคิดว่าใช่นะ”
“เอ๋ จริงเหรอ! ทำไมฉันถึงไม่เห็นล่ะ!” ไดกิทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ เขาก็เข้าไปในห้องนั้นเหมือนกันแต่ทำไมถึงไม่เห็นถ้ำที่ว่าเลยล่ะ ทั้งๆที่สถานที่นั้นก็ไม่ใช่ที่ๆสามารถพบเห็นได้ทั่วไปอยู่แล้ว เขาก็น่าจะสะดุดตาบ้างสิ
“คือ มันแตกต่างจากในรูปนิดหน่อยน่ะ มองเผินๆดูเหมือนโขดหินที่มีไม้เลื้อยเต็มไปหมด แต่ถ้ามองดีๆล่ะก็ไม่ผิดแน่ อีกอย่างตอนนี้ก็ไม่มีสวนดอกไม้อย่างในรูปแล้ว” เรียวสุเกะบอก แต่ถึงอย่างไร พื้นที่ตรงนั้นก็น่าจะเป็นสถานที่เดียวกับสถานที่ในรูปอย่างแน่นอน
“อย่างนี้นี่เอง แล้วทำไมเหรอ ที่นั่นมันมีอะไร”
“…ฉันเองก็ยังไม่ได้คิดถึงกับว่าที่นั่นมันมีอะไร แต่ฉันคิดว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน” เรียวสุเกะหรี่ตาลงเล็กน้อย ด้วยอะไรบางอย่างทำให้เขาคิดว่า ภายในถ้ำจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่แน่ อาจเป็นสูตรลับที่พวกเขากำลังตามหาอยู่ก็เป็นได้
ไดกิพยักหน้า นี่หมายความว่าเราควรจะเข้าไปสำรวจถ้ำนั้นด้วยน่ะสิ…
“อีกอย่าง…” เรียวสุเกะพูดค้างเอาไว้ ดึงให้ไดกิกลับเข้ามาฟังเขาอีกครั้ง
“ฉันคิดว่าดอกไม้รอบๆถ้ำนั่นที่อยู่ในรูป น่าจะเป็นวัตถุดิบในการปรุงสูตรที่ว่านั่นน่ะ”
ประโยคสุดท้ายถึงกับทำให้ไดกิต้องตาโต
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ” เรียวสุเกะยิ้มน้อยๆ “มันก็แค่การสันนิษฐานของฉันคนเดียวเท่านั้นแหละ แต่ถ้าจริงเรื่องก็จะง่ายขึ้น”
“ฉันเห็นด้วยนะ ไว้พรุ่งนี้เราขึ้นไปดูกันดีไหม”
“เอาไว้ก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เราไปหาข้อมูลในเมืองกันเผื่อจะได้อะไรบ้าง เรื่องสำรวจถ้ำนั้น เรารอผลการตรวจสอบตัวยาจากเคย์โตะก่อนดีกว่านะ อาจจะได้อะไรมากขึ้นก็ได้ อย่างเช่น ความเป็นไปได้ของสภาพแวดล้อมในการปลูกดอกไม้ชนิดที่ว่า…”
“ก็ดีนะ งั้นพรุ่งนี้เราออกไปส่งตัวอย่างเลือดกันแล้วค่อยออกไปหาเบาะแสเกี่ยวกับนายซากาโมโตะกันดีไหม” ไดกิเสนอ นี่ก็ดึกมากแล้วเขาควรรีบพาเรียวสุเกะเข้านอน
“อืม แล้วยังมีอีกอย่างหนึ่งนะ” เรียวสุเกะเล่าข้อสันนิษฐานอีกข้อให้ฟังเมื่อตอนที่อยู่บนชั้นสอง ทั้งลักษณะรอยเลือดที่พบ และความเป็นไปได้ของเหตุการณ์
ไดกิตั้งใจฟัง พยักหน้าเออออ พร้อมกับแสดงความคิดเห็น ทั้งสองคนนั่งถกเถียงกันถึงข้อสันนิษฐานของตัวเองอย่างเผ็ดร้อนจนในที่สุดก็หลับคาเตียงกันไปทั้งคู่โดยไม่รู้ตัว
************************
เช้าวันใหม่ อากาศปรอดโปร่งเหมาะแก่การใช้ขาเดินรอบเมือง เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนเปิดบานหน้าต่างออกมารับอากาศสดชื่นยามเช้า สายลมเย็นอ่อนๆพัดเข้ามาปะทะใบหน้า ก่อนจะเล็ดลอดต่อเข้ามาในห้อง
…อือ
เสียงของคนที่ยังนอนอยู่ขยับตัว คงเพราะเขาเปิดหน้าต่างเลยทำให้ลมเย็นไปสัมผัสโดนคนที่ยังนอนอยู่ เรียวสุเกะปิดหน้าต่างแล้วหันหน้ากลับเข้ามาในห้อง
“ไดกิๆ เช้าแล้วนะ” เรียวสุเกะเขย่าตัวเพื่อนรักเบาๆ แต่สำหรับไดกิที่เป็นคนขี้เซาคงยากหากแค่นี้เขาจะตื่น
“อือ…” ไดกิพลิกตัวอีกครั้ง คราวนี้ทำให้เห็นใบหน้าของเพื่อนสนิทได้ชัดขึ้น เด็กหนุ่มเป็นคนหน้าตาน่ารัก ผิวก็ขาวผลัดกับผมสีน้ำตาลทำให้ดูเป็นคนน่ามองและร่าเริง หากแต่ใบหน้าในตอนนี้กลับดูยู่ยี่และเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
เรียวสุเกะถอนหายใจแล้วส่ายหน้า เด็กหนุ่มหายเข้าไปในห้องน้ำและกลับออกมาพร้อมผ้าเช็ดตัวผืนเล็กสำหรับเช็ดผม เรียวสุเกะค่อยๆใช้มันซับใบหน้าของไดกิเบาๆ
“อือ…ขะ ขอร้อง” เสียงอันสั่นเครือของไดกิดังขึ้นเบาๆทำให้เขาต้องชะงัก เรียวสุเกะรู้ดีว่าเพื่อนเขาเห็นอะไรในความฝันแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากคอยซับเหงื่อที่ผุดขึ้นมา และคอยนั่งอยู่ข้างๆเพื่อรอไดกิตื่น
มันเป็นแบบนี้มา 5 ปีแล้วนับตั้งแต่ ที่รู้จักกัน แต่เขารู้ว่าไดกิฝันแบบนี้มาก่อนที่จะเจอกับเขาเสียอีก ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็เป็นได้แค่คนที่คอยนั่งมองอยู่อย่างเดียว ไม่อาจทำอะไรได้ แต่ก็ไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะรู้สึกเฉยเมยหรือชินชากับภาพของเพื่อนรักที่นอนทุรนทุรายอยู่ตรงหน้าของเขาทุกเช้า
…เจ็บเสียยิ่งกว่าตัวเองเป็นเสียอีก
“ระ เรียวสุเกะ” ไดกิค่อยๆลืมตาขึ้นมา เสียงเรียกชื่อทำให้เขารู้สึกตัว
“อือ ฉันเอง เป็นยังไงบ้าง” เรียวสุเกะถามเพื่อนรักอย่างเป็นห่วง
ไดกิยิ้มตอบเหนื่อยๆ
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะ…” ไดกิตอบเสียงเบาก่อนจะเหลือบไปเห็นผ้าผืนเล็กที่เรียวสุเกะถืออยู่ “ขอโทษนะลำบากนายแย่เลย เหงื่อฉันออกเยอะหรอ” ไดกิยิ้มน้อยๆด้วยสีหน้าอยากขอโทษ และก็ค่อยๆประคองตัวเองขึ้นมา
เรียวสุเกะส่ายหน้า แค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำที่เขาควรจะทำอะไรให้กับเพื่อนคนนี้…
“คงเพราะข้างนอกอากาศเย็นน่ะ เหงื่อนายเลยคงออกเยอะ ไปล้างหน้าเถอะ”
“อืม” ไดกิพูดอย่างว่าง่าย อาจเป็นเพราะเขาเห็นเรียวสุเกะแต่งตัวจนเสร็จแล้ว จึงไม่อยากให้เพื่อนต้องรอนาน
ไดกิใช้เวลาในการเตรียมตัวไม่นาน และสามารถกลับไปเป็นไดกิผู้ร่าเริงคนเก่าได้อย่างรวดเร็ว ทั้งคู่ลงมาหาอาหารเช้ากินกันที่ชั้นล่างกันจนอิ่มหนำสำราญ คงพร้อมซักทีที่จะออกไปหาเบาะแสกันข้างนอก
แต่ก่อนอื่นคงต้องจัดการธุระแรกให้เสร็จก่อนคือต้องส่งตัวอย่างเลือดไปที่โตเกียวยังไงล่ะ จะว่าไปแล้วพวกเขายังไม่ได้รับการติดต่อกลับจากเคย์โตะเลยนี่นา….
ช่วยไม่ได้ คงต้องรออย่างเดียว เพราะถึงยังไงถ้าโทรไปตอนนี้ก็อาจจะไปรบกวนเคย์โตะก็เป็นได้ คงได้แต่นั่งรอไปพลางหาเบาะแสไปพลาง
ไดกิและเรียวสุเกะเดินมาถึงท่ารถเดิมที่พวกเขาลงรถมาจากตัวเมืองอิชิโอกะ ตอนนี้ผู้คนค่อนข้างบางตาลงแล้ว อันที่จริงตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลาเช้าซักเท่าไหร่ กว่าจะตื่น ลงมากินข้าว ไหนจะต้องไปส่งของอีก เวลาก็ล่วงไป 9 โมงครึ่งแล้ว ไม่แปลกหากสถานีปล่อยรถจะไม่ค่อยมีคนอยู่
“แล้ว…เราจะไปไหนกันก่อนดีล่ะ” จอมวางแผนเอ่ย เอาข้อมูลมาแล้วให้เขาจัดเรียงก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าให้เขาเป็นคนเริ่มต้นหาข้อมูลเองคงจะต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่คนอื่นแทน เขายิ่งไม่ค่อยถนัดเรื่องเดาสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่
อ๊ะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนหาข้อมูลต้องเป็นคนเดาเก่งหรอกนะ หมายถึง ในเมื่อเราต้องเริ่มจากศูนย์การค้นหาความเป็นไปได้อันดับแรกก็ต้องมาจากการเดานี่แหละ
ไดกิพยักหน้าพอใจกับคำแก้ตัวและแก้ต่างให้ตัวเองและเพื่อนคนอื่น ก่อนจะโดนเรียวสุเกะลากให้เดินตามเขาไปในสหกรณ์เกษตรกรที่ตั้งอยู่ข้างๆท่ารถ
“สวัสดีครับ” ประตูบานเลื่อนอัตโนมัติเปิดออก ผู้ชายอายุประมาณ 60 ปีเศษนั่งยิ้มต้อนรับอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองตรงแถวหน้า ศีรษะตรงหน้าเริ่มล้านบาง รอยเหี่ยวย่นที่ดูเยอะกว่าวัย สีผิวคล้ำแดด ร่างกายกำยำ ดูยังไงคนๆนี้ก็จะต้องเคยเป็นชาวสวนมาอย่างแน่นอน
ตอนที่ไดกิและเรียวสุเกะเปิดประตูเข้ามา ชายคนที่ว่ากำลังนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาทักทายด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนทำติดจนกลายเป็นหน้าที่ไปซะแล้ว ด้านข้างมีเพื่อนร่วมงานนั่งอยู่ประจำโต๊ะทุกตัว แลดูครึกครื้น แต่ทุกโต๊ะก็มีคนมาติดต่อด้วยอยู่แล้ว โต๊ะของคุณลุงคนนี้เลยว่างอยู่แค่โต๊ะเดียว
สหกรณ์เมืองการเกษตรค่อนข้างคึกคักมากกว่าสหกรณ์ที่ตั้งอยู่ในเมืองหลวงใหญ่อย่างโตเกียว อาจเป็นเพราะที่นี่เป็นที่รวมของเกษตรกรโดยตรงเลยทำให้มีผู้มาแวะเวียนมากกว่าตามเมืองใหญ่
ทั้งสองยิ้มและโค้งให้อย่างมีมารยาท เด็กหนุ่มเดินเข้าไปเลื่อนเก้าอี้สองตัวตรงหน้าและนั่งลงพลางหันไปสำรวจป้ายชื่อที่ติดอยู่ที่หน้าอกของคุณลุงคนนี้
‘โทคิเอดะ เคียวสุเกะ’
หืม? นามสกุลนี้ เหมือนกับหนึ่งในคุณป้าสองคนนั่นที่เราเจอหน้าบ้านนายซากาโมโตะเลยแฮะ ไดกิลอบยิ้มน้อยๆแล้วพยักหน้าขึ้นลง
“ติดต่ออะไรหรือครับ” คุณลุงโทคิเอดะ ยิ้มทักทาย มือข้างหนึ่งเตรียมหยิบเอกสารสำหรับกรอกประวัติขึ้นมา เรียวสุเกะเห็นจึงรีบห้ามเอาไว้
“เอ่อ ไม่เป็นไรครับพวกเราไม่ได้มาติดต่อธุระน่ะครับ” เรียวสุเกะปฏิเสธ พยายามทำหน้าตาให้รักษาน้ำใจไว้ให้ได้มากที่สุด เขาไม่ค่อยเก่งเรื่องการเผชิญหน้ากับคนอื่นซักเท่าไหร่
นึกได้ดังนั้น เรียวสุเกะตีตักของไดกิที่ด้านล่างเป็นสัญญาณเตือนให้ไดกิเป็นคนสอบถาม อันที่จริงเรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องเตือน แต่คงเป็นเพราะไดกิมัวแต่ทำหน้ายิ้มกรุ่มกริ่มแปลกๆจนเขาต้องเป็นฝ่ายเรียก
“เอ๋ แล้วมีอะไรหรือครับ” คุณลุงโทคิเอดะ เมื่อถูกปฏิเสธก็หยุดมือที่กำลังจะหยิบเอกสารไว้ ใบหน้าขึ้นเครื่องหมายคำถามซะเต็มไปหมด
“ขอโทษที่รบกวนการทำงานนะครับ คือพวกเราอยากจะสอบถามอะไรนิดหน่อยน่ะครับ” ไดกิยิ้มอย่างเป็นมิตร ดูท่าทางจะเข้าโหมดการสอบปากคำเต็มพิกัด หรือจะเรียกอีกอย่างได้ว่า กำลังสนุกมากกว่า
“งาน? งานอะไรหรือครับ” คุณลุงโทคิเอดะยังไม่หายสงสัย จะบอกไปตรงๆว่ามาสืบไม่ได้ในเมื่อครั้งนี้พวกเขามาอย่างเป็นความลับ ตำรวจก็ไม่ได้ให้ร่วมมือด้วย แล้วไดกิจะตอบอย่างไรล่ะ…แต่พูดก็พูดเถอะ เรื่องอย่างนี้เรียวสุเกะไม่กังวลอยู่แล้ว ยังไงเสียไดกิก็คงหาเรื่องอะไรมาพูดเข้าจนได้แหละ
คิดได้ดังนั้นเรียวสุเกะจึงเผลอตั้งใจฟังด้วยเหมือนกัน
“คือพวกเรามาทำกิจกรรมชมรมของโรงเรียนน่ะครับ เป็นชมรมคล้ายๆพวกตามรอยภาพถ่าย หรือไขปริศนาความลับอะไรกันทำนองนั้นน่ะครับ” ไดกิตอบอย่างลื่นไหล แต่ไอ้ชมรมประเภทนั้นมันมีด้วยหรือ เรียวสุเกะเองก็อดสงสัยไม่ได้
ดูเหมือนการอธิบายลื่นไหลของไดกิจะทำให้คุณลุงโทคิเอดะตามไม่ค่อยทัน จึงได้แต่พยักหน้าเอออออย่าง งงๆ
“เอ่อ ครับ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการมาสอบถามที่สหกรณ์หรือครับ” คุณลุงประจำสหกรณ์ถาม
“อ๋อ แน่นอนครับ เพราะครั้งนี้ เราจะมาตามหาสถานที่กันน่ะครับ” ไดกิตอบอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“สถานที่?” คุณลุงขึ้นเครื่องหมายคำถาม
“ดูเหมือนว่า อาจารย์ที่ปรึกษาของเราจะเคยมาพบกับคนรักคนแรกที่เมืองนี้น่ะครับ ท่านเล่าให้ฟังว่าอยู่บนภูเขาลูกนั้นน่ะครับ” ไดกิชี้ผ่านประตูเลื่อนออกไปที่ภูเขาหลังบ้านนายซากาโมโตะ “เห็นท่านบอกว่า ถ้ำนั้นจะคล้ายๆกับโขดหิน รอบๆเป็นสวนหรือทุ่งดอกไม้อะไรทำนองนั้นน่ะครับ”
ไดกิเว้นจังหวะ เพื่อไม่ให้ดูลื่นไหลจนเกินไป เรียวสุเกะจึงอาศัยจังหวะนี้ขึ้นมาช่วยเสริมต่อแทน
“แต่เมื่อวานพวกเราเดินสำรวจกันรอบๆแล้ว ไม่เห็นจะมีสวนดอกไม้ที่ว่านั่นเลยนี่ครับ เห็นจะมีก็แต่ โขดหินที่ดูคล้ายๆกับถ้ำเท่านั้น แต่ก็ไม่เห็นมีดอกไม้ซักดอก ก็เลยว่าจะเข้ามาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้น่ะครับ”
ไดกินั่งพยักหน้าตาม ถึงเรียวสุเกะจะบอกว่าพูดไม่เก่ง แต่จริงๆแล้วก็ไม่เลวซะทีเดียว แต่จะว่าไป วันนี้เราจะมาหาเบาะแสนายซากาโมโตะไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงลากเขามาในสหกรณ์นี้ล่ะ…เพราะอย่างนั้นจึงช่วยไม่ได้เขาเลยต้องถามเกี่ยวกับถ้ำนั้นแทน ถ้าเข้ามาที่นี่แล้วถามเกี่ยวกับบ้านซากาโมโตะก็คงดูน่าสงสัยไม่น้อย
และดูท่าทางสิ่งที่เขาถามก็จะตรงตามที่เรียวสุเกะอยากรู้เสียด้วย
“อ๋อ เข้าใจแล้วครับ เพราะอย่างนี้ถึงมาที่นี่ใช่ไหม” คุณลุงโทคิเอดะยิ้ม
ทั้งคู่พยักหน้าเขินๆ พอมาอยู่ต่อหน้าคนเก่าคนแก่แล้วก็อดรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กไปไม่ได้ สำหรับพวกเขาที่อยู่ในเมืองมาตลอด การพบหน้ากับคนแก่ใจดีนั้นหาได้น้อย ส่วนใหญ่ที่เจอก็จะเป็นพวกประธานบริษัท หรือ ข้าราชการบำนาญนิสัยไม่ค่อยดี เห็นแก่ตัวเสียมากกว่า ดังนั้นทุกครั้งที่พบหน้ากันพวกเขาจึงรู้สึกว่า ตัวเองมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า และไม่จำเป็นต้องเกรงอกเกรงใจด้วย
แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ ความใจดีและเป็นกันเองของคนต่างจังหวัดทำให้พวกเขารู้สึกเกรงใจ
“ถ้ำนั้นน่าจะเป็นถ้ำที่พวกคุณหากันอยู่นั่นแหละครับ แต่ตอนนี้ออกจะดูไม่ค่อยเหมือนเมื่อก่อนซักเท่าไหร่” คุณลุงเปิดลิ้นชักโต๊ะหยิบรูปถ่ายเก่าๆใบหนึ่งขึ้นมาให้ดู
ไดกิและเรียวสุเกะหยิบรูปถ่ายไปนั้นขึ้นมาดูอย่างสนใจ
ไม่ผิดแน่ เป็นที่ๆเดียวกับที่ที่นายซากาโมโตะถ่ายกับภรรยาเลย….แต่รูปถ่ายใบนี้กลับเป็นรูปของคุณลุงโทคิเอดะสมัยยังหนุ่มกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งยืนถ่ายคู่กันน่ะสิ
อุ๊บ! ไดกิเผลอยกมือขึ้นปิดปาก เกือบกลั้นหัวเราะไม่ทัน ก็นี่น่ะ มันคุณนายโทคิเอดะสมัยยังสาวนี่นา คุณลุงคนนี้เป็นสามีของคุณป้าคนนั้นจริงๆด้วย แต่ดูเหมือนเรียวสุเกะจะยังไม่รู้สึกตัว
“ที่นี่แหละ ใช่จริงๆด้วย รูปถ่ายใบนี้เป็นรูปเดียวกับที่อาจารย์เอามาให้ดูเลยครับ” เรียวสุเกะพูด สายตาคมปลาบเหมือนเมื่อคืนฉายแววขึ้นมาอีกครั้ง
รูปถ่ายใบนี้ยังพอเห็นสีได้ชัดมากกว่ารูปของนายซากาโมโตะอยู่บ้าง รูปร่างดอกไม้ชัดเจนขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกเหมือนเคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้ แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามันคือดอกอะไร
“ถ้าอย่างนั้น ถ้ำนี้ก็เป็นที่ๆเดียวกับโขดหินบนภูเขาที่พวกเราเห็นกันจริงๆสินะครับ” ไดกิพยายามเสริมให้ดูไม่ผิดสังเกต
คุณลุงประจำโต๊ะยิ้ม
“คิดว่าคงเป็นอย่างนั้นแหละ เวลาก็ผ่านมานานแล้ว พวกดอกไม้ที่ไม่ได้รับการดูแลก็เหี่ยวเฉาแห้งตายกันไปเป็นธรรมดา” คุณลุงมองรูปถ่ายใบนั้นเศร้า
แน่นอนว่าใบหน้าเศร้าของคุณลุงไม่อาจหลุดพ้นสายตาของทั้งสองได้
“หมายความว่ายังไงกันครับที่ว่าไม่ได้รับการดูแลนั่นน่ะ” เรียวสุเกะตวัดสายตามองด้วยแววตาจริงจัง
คุณลุงโทคิเอดะ ถอนหายใจเบาๆแล้วหลับตาลง
“เมื่อ 15 ปีก่อน มีข่าวลือว่า ในถ้ำแห่งนั้นมีแก๊สพิษอยู่ และมันก็ได้กระจายออกมาจากถ้ำนั่นเนื่องจากมีคนเผลอไปเปิดปากถ้ำตอนที่กำลังเดินขึ้นไปเก็บของป่าบนภูเขาน่ะ”
ไดกิและเรียวสุเกะมองหน้ากัน
“จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปแถวนั้นอีกเลย พวกดอกไม้ที่เคยมีคนไปปลูกเอาไว้ก็ค่อยๆเฉาตาย คงเป็นเพราะว่าโดนแก๊สพิษด้วยกระมัง” คุณลุงพูดเสียงเศร้า
ไม่หรอก…ที่ถ้ำนั่นไม่มีอะไรเลยต่างหาก เพราะถ้ามีจริงแก๊สพิษคงไม่ทำลายแค่ดอกไม้เป็นแน่ แต่ต้นไม้แถวนั้นก็ต้องล้มตายลงไปด้วย ที่สำคัญบริเวณแถวนั้นเป็นที่สูง ไม่ใช่เรื่องแปลกหากลมจะพัดเอาแก๊สพิษพวกนั้นลงมาข้างล่าง ผู้คนในเมืองนี้ก็จะต้องล้มตายกันอย่างแน่นอน ถ้าไม่…อย่างมากก็ต้องเกิดโรคระบาด
“แล้วทำไมถึงคิดว่าในถ้ำนั้นมีแก๊สพิษล่ะครับ” ไดกิถาม ข่าวลือจะเกิดขึ้นมาได้ ก็ต้องมีมูลเหตุที่พอจะนำมาสร้างข่าวลือได้
“อืม…รู้สึกว่า” คุณลุงเกาคางใช้ความคิด “ถ้ำนั่นจะเคยเป็นห้องทดลองอาวุธเชื้อโรคสมัยสงครามอะไรทำนองนี้น่ะ ผมเองก็จำไม่ค่อยได้แล้ว เพราะว่าเรื่องนี้มันก็ผ่านมาตั้ง 15 ปีแล้วน่ะ” คุณลุงยิ้มเขินๆ
เรียวสุเกะก้มหน้า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้สูงเลยนะ ไม่สิ อาจถึงร้อยเปอร์เซ็นต์เลยก็ได้…
ไดกิลอบมองเพื่อนสนิทจากด้านข้าง ถ้าเป็นอย่างที่เรียวสุเกะคิดจริง เราต้องพยายามลบล้างข้อเท็จจริงไปให้ได้ให้หมดเพื่อให้ข้อสันนิษฐานมันชัดเจนมากขึ้น…
เมื่อคิดได้ ไดกิจึงเปิดปากถามต่อ
“คุณลุงครับ แล้วช่วงที่มีข่าวลือ ที่นี่มีการเกิดโรคระบาดหรืออะไรทำนองนี้บ้างไหมครับ”
“ไม่มีนะครับ ที่นี่น่ะ ไม่เคยมีโรคระบาดหรืออะไรทำนองนั้นเลยครับ”
…กะแล้วเชียว
ถ้าอย่างนั้น ก็เป็นอย่างที่เรียวสุเกะพูด ที่นั่นจะต้องมีอะไรซ่อนอยู่แน่นอน เผลอๆบางทีอาจมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอยู่ด้วยก็เป็นได้
“คุณลุงครับผมอยากจะถามอะไรอีกซักข้อ” เรียวสุเกะที่นั่งเงียบอยู่เปิดปากถาม
“ครับ อะไรครับ” คุณลุงขานรับ
“ดอกไม้รอบๆถ้ำนั้น มันคือดอกอะไรเหรอครับ…”
ทั้งสองบอกลาคุณลุงโทคิเอดะ แล้วเดินออกมาจากสหกรณ์ ทั้งคู่เดินออกนานั่งพักที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
ต่างจังหวัดในฤดูใบไม้ผลิอากาศดีจนน่านอนหลับ แต่ทว่า อีกแค่หนึ่งเดือนก็จะเริ่มเข้าสู่หน้าร้อนมรณะเสียแล้ว พอพูดอย่างนี้จิตใจก็ห่อเหี่ยวลงไปในทันควัน
ตู๊ด
เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าเสื้อดังสั่น ทำให้เจ้าของสะดุ้ง ไดกิล้วงกระเป๋าเสื้อหยิบโทรศัพท์สีแดงเข้มคู่ใจออกมา
“ฮัลโหล อ๊ะ เคย์โตะเหรอ” ไดกิรับโทรศัพท์เสียงใส ส่วนเรียวสุเกะเมื่อรู้ว่าเป็นใคร ก็เผลอมองหน้าไดกิอย่างตื่นเต้น
…อืม ฉันเอง เป็นไงเหนื่อยกันไหม เคย์โตะพูด
“ไม่เลย กำลังรออยู่เชียว แล้วได้เรื่องไหม”
…ขอโทษที่ให้คอยนะ พอดีต้องใช้เวลาอ่านหน่อยน่ะ ฮะๆ แน่นอน ต้องได้เรื่องสิ เคย์โตะขำ
“สมเป็นเคย์โตะจริงๆ แล้วตกลงได้อะไรมาบ้าง” จนถึงตรงนี้ เรียวสุเกะเริ่มทนไม่ไหวจึงแนบหูตัวเองลงกับโทรศัพท์เพื่อฟังด้วย
…อืม หนังสือเล่มนี้ เป็นลายมือของนายซากาโมโตะไม่ผิดแน่ ว่าแล้วเชียว
“อย่างนั้นสินะ…”
…ใช่ แต่ไม่พบรอยเลือด หรือ อะไรแปลกๆหรอกนะ ดูเหมือนจะเป็นแค่บันทึกธรรมดาน่ะ ส่วนเนื้อหานั้น ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ฉันกับอิโนะจังและก็ฮิคารุคุงช่วยกันอ่านและก็หาข้อมูลตามที่หนังสือเล่มนี้เขียนไว้แล้ว เพราะอย่างนั้นไม่ผิดแน่
ไดกิและเรียวสุเกะมองหน้ากันอีกครั้ง ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่า เป็นไปได้ที่หนังสือเล่มนี้จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับดอกไม้ตัวปัญหาที่เป็นส่วนประกอบหลักน่ะสิ
“ไดกิเอาโทรศัพท์มานี่” เรียวสุเกะดึงโทรศัพท์ไปพูดแทน “เคย์โตะ ในหนังสือเล่มนั้นมีดอก…เขียนเอาไว้ไหม” เรียวสุเกะถาม ไดกิถึงกับเบิกตา
…มีสิ รู้สึกว่า ดอกนั้นจะมีรายละเอียดเยอะกว่าใครเพื่อนเลยนะ อ๊ะ ยามะจังอย่าบอกนะว่าดอกไม้นี่… เคย์โตะมีน้ำเสียงตกใจ
“อย่างนั้นเหรอ ฉันก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ตอนนี้มันมีความเป็นไปได้สูงมาก เคย์โตะนายช่วยตรวจสอบตัวยานั่นอีกทีได้ไหม และก็ดอกไม้นั่นด้วย ขอข้อมูลที่ละเอียดที่สุดรวมทั้งลักษณะทางกายภาพและการเพาะปลูกด้วยนะ”
…เข้าใจแล้ว ฉันจะทำเดี๋ยวนี้แหละ เสียงเคย์โตะรับคำ ให้ทำให้สองคู่หูเริ่มเบาใจ
“ขอบคุณมาก แล้วเมื่อเช้าฉันกับไดกิส่งตัวอย่างเลือดแห้งไปให้ ช่วยตรวจสอบให้ด้วยนะ ถ้าได้เรื่องแล้วรีบโทรมาทันทีเลยนะ”
…เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะติดต่อไปนะ พยายามเข้าล่ะ
เคย์โตะพูดทิ้งท้ายแค่นั้นและตัดสายไปทันที
“นายว่าไง ไดกิ” เรียวสุเกะถาม ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยความตื่นเต้น
“อืม ไม่แน่ เราอาจมาถูกทางแล้วล่ะ” ไดกิตื่นเต้นไม่แพ้กัน ความรู้สึกที่ใกล้จะได้รู้ความจริงนี้ มันทำให้เขาอดตื่นเต้นไม่ได้ทุกครั้ง
“เรื่องราวค่อยๆกระจ่างแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่ต้องไปหาคุณนายซากาโมโตะก่อนสินะ”
“จริงด้วย จะว่าไปเรายังไม่ได้เจอเลยนี่นา” ไดกินึกขึ้นได้
“ใช่แล้ว ฉันคิดว่า คนๆนั้นต้องมีอะไรที่ทำให้เราได้ข้อสันนิษฐานเพิ่มอย่างแน่นอน” เรียวสุเกะยิ้ม
“เข้าใจล่ะ งั้นไปกันเถอะ!” ไดกิพยักหน้าเรียกความคึก ก่อนจะกระโดดตัวลอย เพื่อลุกออกจากที่นั่ง
เรียวสุเกะนั่งมองอย่างเซ็งๆ
“แล้วนายจะไปไหน” เด็กหนุ่มค่อยๆลุกขึ้นแล้วถามเพื่อนสนิทที่กำลังคึกคะนองอยู่ข้างๆ
“เอ๋ ไปไหนงั้นเหรอ ก็ไปบ้านซากาโมโตะไง”
“จำที่คุณป้าสองคนนั้นบอกไว้ไม่ได้หรอ ว่าเขาจะกลับมาวันพรุ่งนี้น่ะ”
“เออจริงด้วยสิ!!!” ไดกิทำท่านึกออก ให้ตายสิ ทีเรื่องไม่เป็นเรื่องล่ะดันจำได้
“นายก็อย่างนี้ทุกที เอาเป็นว่า ตอนนี้เราไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า ฉันหิวแล้ว” เรียวสุเกะเงยหน้ามองนาฬิกาในสวนสาธารณะ สิบเอ็ดโมงจะครึ่งอยู่แล้วเชียว เรียวสุเกะพูดจบก็ออกเดินไปโดยไม่สนใจไดกิ
“อ้าว เฮ้! รอด้วยสิ!!!” ไดกิวิ่งตามไป ทำไมชอบทิ้งเขาทุกทีเลยนะ
ทั้งสองเดินออกมาจากสวนสาธารณะ พระอาทิตย์เคลื่อนที่มาอยู่ตรงกลางหัว อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ในใจของเรียวสุเกะกลับร้อนกว่า เขาอยากจะขึ้นไปดูในถ้ำนั้นใจจะขาด แต่ไม่อยากเสียเวลาเข้าไปดู เพราะมันทั้งไกลและต้องใช้เวลา เขาคิดว่าจะไปถามอะไรบางอย่างกับคุณนายซากาโมโตะให้แน่ใจก่อนแล้วค่อยขึ้นไปก็ยังไม่สาย
ไดกิเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้ แต่ในเมื่อเรียวสุเกะไม่ชวน เขาก็ไม่อยากจะดึงดัน เอาไว้เรียวสุเกะบอกเมื่อไหร่ค่อยไปก็ยังไหว แถมในเวลานี้ช่วยกันนั่งคิดหาเบาะแสเกี่ยวกับนายซากาโมโตะข้างล่างน่าจะดูมีประโยชน์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ เพราะพวกเขายังไม่ได้เบาะแสเกี่ยวกับนายคนนี้เลย ไม่แน่เบาะแสของนายคนนี้อาจยิ่งช่วยเสริมให้ข้อสันนิษฐานทั้งหมดชัดเจนมากขึ้นอีกก็เป็นได้
ไดกิเดินคิดเพลินจนไม่ทันเห็นว่าคนด้านหน้าหยุดเดินแล้ว…
เขาจึงชนเข้าไปอย่างจัง
“โอ๊ย! อ้าวหยุดทำไมล่ะ” ไดกิถามพลางลูบหน้าผากตัวเอง ยังไม่ได้คำตอบแต่สายตาของเขาก็หันไปสะดุดกับรถยนต์สีดำคุ้นตาจอดอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามเสียก่อน
รถของสามคนนั้นนี่!
ไดกิเข้าใจแล้วว่าทำไมเรียวสุเกะถึงหยุดเดิน
“พวกมันมาทำอะไรแถวนี้กันตอนกลางวันน่ะ” ไดกิพูด เห็นอิซาวะ ซานาดะ และทาเคอิ กำลังเดินออกมาจากร้านร้านหนึ่งเพื่อขึ้นรถ มากันครบสามคนเลย แถมยังอยู่ในชุดสูทสีดำเต็มยศตัวเดิมอีก ทำให้ไดกิสงสัยไม่น้อยว่า ชุดนั้นมันใช่ชุดเดิมรึเปล่า
รถสีดำเคลื่อนตัวออกไปในทิศทางตรงกันข้ามกับพวกเขา ดูเหมือนว่าสามคนนั่นจะมุ่งหน้าไปทางเมืองอิชิโอกะนะ ไม่แน่อาจไปพักอยู่ที่เมืองใหญ่ก็เป็นได้
เรียวสุเกะมองย้อนตามทางร้านที่ทั้งสามคนนั้นพึ่งเดินออกมา ร้านสะดวกซื้องั้นเหรอ…
เด็กหนุ่มไม่คิดเปล่า ออกวิ่งข้ามถนนอย่างรวดเร็วไปที่หน้าร้านสะดวกซื้อที่อิซาวะ ซานาดะและทาเคอิพึ่งเดินออกมา และครั้งนี้เขาก็ทิ้งไดกิไวเบื้องหลังอีกแล้ว…
*********************
“แฮ่กๆ คราวหน้าเรียกบ้างก็ดีนะ” ไดกิวิ่งหอบตามมา
“…” เรียวสุเกะไม่ตอบ เด็กหนุ่มหยิบใบเสร็จที่หล่นอยู่หน้าถังขยะขึ้นมาอ่าน เขาเห็นทาเคอิทิ้งอะไรบางอย่างลงบนพื้น คาดว่าน่าจะเป็นใบเสร็จใบนี้
“หึ เครื่องดิ่มชูกำลัง 3 ขวดอย่างนั้นเหรอ” เรียวสุเกะหัวเราะ แล้วเก็บใบเสร็จลงกระเป๋าเสื้อ
“เอ๋?” ไดกิซึ่งไม่รู้เรื่องอะไร ถึงกับงง
“ดูท่าสามคนนั้นจะพึ่งออกมาจากบ้านซากาโมโตะนะ” เรียวสุเกะหัวเราะในลำคอ “ท่าทางคงเบื่อแย่ น่าสงสารจริงๆ” เด็กหนุ่มยังไม่หยุดหัวเราะ แล้วเดินเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อต่อ
“อ่ะ อ้าว เรียวสุเกะ!”
“ฉันเองก็อยากดื่มกาแฟเหมือนกันนะ” เรียวสุเกะพูดกับตัวเองยิ้มๆแล้วกดน้ำแข็ง…
************************
เดือนนึงมาที - - นิสัยแย่จริงๆ กร๊ากกก มันจะจบมั๊ยเนี่ยเรื่องนี้? (จบเส่) อิอิ แต่งเพลินมากเลยอ่ะ แต่กลัวยาวกว่านี้เลยหยุด ฮ่าๆ เดี๋ยวมาแต่งต่อ หุหุ ตอนแรกว่าจะให้หาเบาะแสกันเยอะๆ ไปๆมาๆ ก็รักกันอยู่นั่นแหละ =///= อ๊าก ไดยามะเรียลลิตี้! รู้ตัวอีกทีชักจะยาวและ เลยรีบตัดบทไปหาคุณลุง ฮ่าๆๆๆ ตอนหน้าคงได้พบคุณนายซากาโมโตะ ผลเลือดก็คงออก ใกล้จะจบแล้วสิน้า~
แล้วเจอกันใหม่จ๊า!!! เอ้อ เปลี่ยนขนาดตัวอักษรแล้วดีมั๊ย หรือว่า เท่าเดิมดีแล้วอ่ะ???
ความคิดเห็น