คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Case 1 : เบาะแส...ชายชุดดำทั้งสาม (episode 3)
“อืม หนังสือเล่มนี้มันสุดยอดจริงๆ” ไดกิพูดขึ้นขณะที่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือในมืออย่างตื่นเต้น
เรียวสุเกะที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เดินลงมานั่งด้านข้าง
“อ่านจบแล้วหรอ”
“อือ ก็ไม่ได้อ่านทุกหน้าหรอกนะ แต่รายละเอียด ข้อมูลแต่ละหน้าเนี่ย ละเอียดจริงๆ ฉันไม่เคยเจอหนังสือที่ละเอียดขนาดนี้มาก่อนเลยนะ”
พูดจบ ไดกิก็ยื่นหนังสือให้เรียวสุเกะลองอ่านดูบ้าง
“โชคดีจริงๆ ที่นายเจอหนังสือเล่มนี้ก่อนน่ะ ไม่อย่างนั้นถ้าพวกมันได้ไปละก็คงแย่แน่ๆ”
“นั่นสินะ น่าเสียดายที่เราสองคนไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้เลย” เรียวสุเกะพูดพลางพลิกหนังสือไปมา
…ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ เด็กหนุ่มทั้งสองนั่งมองหนังสือสำคัญนิ่ง
ไม่นานไดกิก็ลุกขึ้นเพื่อทำลายความเงียบ
“ยังไงเราก็ส่งให้เคย์โตะก่อนดีกว่า ส่งเล่มจริงไปเลยนะ เราเก็บไว้แค่ก๊อปปี้ละกัน” ไดกิหันหลังไปเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คสีน้ำเงินที่เขาพกมาด้วย เพื่อส่งเมล์ถึงยาบุ
“ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เรายังต้องการข้อมูลทางนิติเวชอีกนะ” เรียวสุเกะลุกขึ้นยืนแล้วใช้หนังสือตบหัวเพื่อนเบาๆ
“ฮะๆ รู้แล้วน่า” ไดกิหัวเราะ เขาเองก็รู้งานเหมือนกันนั่นแหละ “งั้นเดี๋ยวฉันส่งเมล์ไปบอกยาบุก่อนนะ ส่วนนายลงไปถ่ายเอกสารข้างล่างไป เดี๋ยวเสร็จแล้วฉันตามลงไป เราจะได้ออกไปส่งพร้อมกัน”
“เร็วๆด้วยล่ะ” เรียวสุเกะพยักหน้า หันไปหยิบกระเป๋าสตางค์พร้อมกับถือหนังสือเล่มเก่าออกไปจากห้อง โดยไม่ลืมจะหันกลับมาย้ำอีกที
“ไดกิ…ถ้าฉันรู้ว่านายแอบเล่นเกมส์ ชั้นจะงดข้าวเย็นนายพรุ่งนี้”
คำเตือนของเรียวสุเกะทำเอาไดกิที่กำลังจะกดเปิดเกมส์ถึงกับสะดุ้งไปพร้อมกับเสียงปิดประตูห้องแทบจะทันที
ปัง!
“เฮ้อ รู้ทันไปหมดเลยแฮะ” ไดกิทำหน้าขัดใจเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปทำธุระของตัวเองให้เสร็จโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นเขาคงอดกินข้าวเย็นวันพรุ่งนี้แน่
อพาร์ตเม้นต์สำหรับนักศึกษาที่ไดกิและเรียวสุเกะเช่าอยู่นั้น เป็นตึกสี่ชั้น สามชั้นด้านบนเป็นส่วนของห้องพัก และชั้นล่างจะเป็นห้องอำนวยความสะดวกต่างๆสำหรับนักศึกษา อาทิเช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้องซักรีด ห้องเล่นอินเตอร์เน็ต ห้องปริ้นงานและถ่ายเอกสาร ซึ่งช่วยทุ่นแรงให้กับพวกเขาทั้งสองได้เป็นอย่างที
ระหว่างรอคิวถ่ายเอกสารต่อจากนักศึกษาหญิงผมยาวคนหนึ่ง เรียวสุเกะนึกถึงรูปของนายซากาโมโตะและภรรยาที่ถ่ายคู่กันที่หน้าถ้ำที่ไหนซักแห่งและรายล้อมไปด้วยสวนดอกไม้
…ถ้ำนั่นจะใช่ถ้ำเดียวกันกับที่เราเห็นจากห้องทำงานของนายซากาโมโตะรึเปล่านะ แล้วดอกไม้พวกนั้นล่ะ วันนี้ที่เราเห็น มันไม่เห็นมีดอกไม้อย่างในรูปนั่นเลย
เรียวสุเกะยืนใช้ความคิดไปเรื่อยเปื่อยจนนักศึกษาตรงหน้าต้องสะกิดเรียกว่าเธอทำธุระเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เด็กหนุ่มยิ้มพยักหน้ารับแล้วลงมือถ่ายสำเนาหนังสือเล่มนี้ แต่ในใจยังมีคำถามที่ยังคาใจเขาอยู่ ดอกไม้นั่นจะเกี่ยวข้องอะไรกับคดีนี้รึเปล่านะ…
“โอเค!” ไดกิเคาะนิ้วกดส่งอีเมล์ไปถึงยาบุ อันที่จริงแค่ส่งอีเมล์เรื่องส่งหนังสือเล่มนี้ไปให้มันก็ไม่น่าจะต้องใช้เวลาอะไรมากมาย เพียงแต่เขาแค่ขี้เกียจส่งรายงานไปถึงยาบุอีกรอบ เขาจึงเขียนรายงานส่งไปพร้อมกับเมล์ฉบับนี้ซะเลย
ใช้เวลารอตอบกลับไม่นานนัก ยาบุก็ส่งเมล์กลับมา
“แหม เร็วดีจังแฮะ” ไดกิแซวพี่ใหญ่ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ก่อนจะลงมืออ่านเมล์ที่ได้รับตอบกลับมา โดยหลักๆก็ไม่มีอะไรมาก ไดกิจึงกดปิดเครื่อง แล้วตามเรียวสุเกะลงไปข้างล่าง
ไดกิเดินลงบันไดมาเรื่อยๆ ทั้งสองพักอยู่ชั้นบนสุดของอพาร์ตเม้นต์หลังนี้ คนที่เลือกชั้นบนสุดคงเป็นใครไม่ได้นอกจากไดกิ เพราะเรียวสุเกะกลัวความสูง แต่ไดกิรบเร้าจนเรียวสุเกะใจอ่อน ซึ่งข้อนี้เมื่อนึกขึ้นได้ทีไรไดกิก็อดขำไม่ได้ทุกที เพราะอะไรล่ะ…ก็เพราะว่าเขารู้น่ะสิ ว่าถ้าเขาออกปากขอร้องล่ะก็ เรียวสุเกะต้องตามใจเขาอย่างแน่นอน
ไดกิเดินลงมาหยุดอยู่ที่พักชั้น 2 เด็กหนุ่มหันหน้าออกไปมองที่นอกหน้าต่าง ลมเย็นๆลอยเข้ามาปะทะใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา เสียงของผู้คนด้านนอกมีเข้าให้ได้ยินบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหนวกหูเหมือนกับในโตเกียว
…ได้ออกมาต่างจังหวัดก็ดีเหมือนกันแฮะ
เมื่อลงมาถึงชั้นล่าง ไดกิตรงเข้าไปในห้องถ่ายเอกสาร คาดว่าเพื่อนของเขาคงจะกำลังยืนถ่ายเอกสารอยู่เป็นแน่ แต่กลับไม่ใช่อย่างที่เขาคิด คนที่กำลังยืนถ่ายเอกสารอยู่ไม่ใช่เรียวสุเกะน่ะสิ
…อ้าวไม่อยู่นี่ เสร็จแล้วงั้นเหรอ
ไดกิเริ่มมองหาเพื่อน จนเจอเรียวสุเกะยืนเรียงกระดาษอยู่ที่โต๊ะด้านซ้ายมือห่างออกมาจากเครื่องถ่ายเอกสารไม่มากนัก
ไดกิรีบเดินเข้าไปหา แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปถึงโต๊ะ…
“ไดกิ เดินไปขอที่เย็บกระดาษที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าให้หน่อยสิ” เรียวสุเกะพูด ทั้งๆที่สายตากลับยังคงคร่ำเคร่งอยู่กับการเรียงกระดาษตรงหน้าอยู่
เขารู้ได้ยังไงกันว่าไดกิเดินมา?
ไดกิแทบจะเลี้ยวหันหลังกลับไปที่เคาน์เตอร์ไม่ทัน
เด็กหนุ่มเดินกลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง โดยมีที่เย็บกระดาษติดมือมาด้วย ครั้งนี้เขาเดินเข้าไปถึงโต๊ะแล้วจริงๆ(จริงๆนะ)
“ขอบใจ”
เรียวสุเกะเงยหน้าขึ้นรับที่เย็บกระดาษจากมือไดกิ แล้วก้มลงไปจัดการงานของตัวเองต่อ ไดกิที่ว่างจึงนั่งลงตรงข้ามเขา
“ทำไมถ่ายเสร็จเร็วจัง”
“นายต่างหากที่ช้า” เรียวสุเกะสวนแทบจะทันที
“ช้าตรงไหน นายนั่นแหละที่เร็วเกินไป” ไดกิแย้ง เขาเร็วแล้วนะ!
เรียวสุเกะไม่ตอบ เด็กหนุ่มจัดแจงเย็บเข้าเล่มอย่างเรียบเรียบร้อย เขาเปิดเช็คดูเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง ก่อนจะเก็บมันใส่ซองสีน้ำตาลซองใหญ่ที่จ่าหน้าซองถึงสมาชิกที่โตเกียวไว้เรียบร้อยแล้ว
“ไปกันได้รึยัง รีบไปส่งเดี๋ยวจะถึงไม่ทันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงนะ”
เรียวสุเกะลุกขึ้นยืน สองแขนกระชับซองสีน้ำตาลแน่น
“ไปสิ”
ทั้งคู่เดินออกไปสู่เส้นทางนอกที่พักที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน…
โชคดีของทั้งคู่ ไดกิและเรียวสุเกะมาทันก่อนรถขนส่งพัสดุรอบสุดท้ายจะออกไปอย่างเฉียดฉิว ทั้งคู่เดินออกมาจากร้านส่งพัสดุด้วยความโล่งใจ แต่ก็ยังโล่งใจได้ไม่มากนักเพราะภารกิจของวันนี้ยังมีต่อ
“เฮ้อ โชคดีไป นี่ก็สองทุ่มแล้วนะ” ไดกิยกมือมองนาฬิกา
“นั่นน่ะสิ รีบกลับไปเตรียมตัวกันดีกว่า”
“เออใช่ ฉันก็ว่าจะถามอยู่ ว่าทำไมเราไม่เตรียมตัวกันตั้งแต่แรก แล้วออกมาเลยทีเดียวล่ะ” ไดกิสงสัย ใช่แล้วล่ะ พวกเขายังคงต้องกลับไปสำรวจบ้านซากาโมโตะต่อยังไงล่ะ กลับไปพร้อมกับ…สิ่งของที่พวกเขาพึ่งไปเอามาเมื่อตอนเย็นวันนี้
“จริงด้วย นั่นน่ะสิ แล้วทำไมนายไม่เตือนฉันล่ะ” เรียวสุเกะหยุดเดินแล้วทำหน้าฉนง ทำไดกิงงใหญ่
“เอ๊า! ก็นึกว่าคุณเรียวสุเกะผู้รอบคอบจะมีแผนอะไรไว้ซะอีก”
“ก็ต้องมีพลาดกันบ้างสิ แล้วคนวางแผนมันนายไม่ใช่รึไง”
“อ่ะ ฉันผิดอีกสินะเนี่ย”
“ใช่นายผิด รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวก็เที่ยงคืนกันพอดี” เรียวสุเกะพูดรวดเดียว ก่อนจะซอยเท้านำหน้าคู่หูไป ปล่อยให้ไดกิยืนงงยังไม่หาย
ทั้งคู่เดินทางมาถึงบ้านซากาโมโตะอีกครั้ง แต่ครั้งนี้พวกเขาพกอุปกรณ์พิเศษมาด้วย พร้อมทั้งการเตรียมตัวที่ดีกว่าตอนกลางวัน ไม่ว่าจะอุปกรณ์ หรือแม้กระทั่งเครื่องแต่งกาย
ไดกิและเรียวสุเกะ ในชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้า ถุงมือและรองเท้าสีดำเข้าชุด แน่นอนว่ามันมีประสิทธิภาพมากกว่า ถุงมือและถุงสวมรองเท้าที่ทั้งสองนำออกมาใช้ตอนกลางวันเป็นแน่ เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่องานแบบนี้โดยเฉพาะยังไงล่ะ
ต้นไม้สูงในรั้วบ้านซากาโมโตะต้นเดิม ยังคงถูกใช้งานเป็นบันไดลับให้พวกเขาอีกครั้ง เด็กหนุ่มกระโดดลงสู่พื้นดินอย่างเงียบเชียบและว่องไว การจะลงมือในยามวิกาฬถือว่าค่อนข้างเสี่ยงและก็ปลอดภัยมากที่สุดในเวลาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับจังหวะและสถานการณ์
อีกทั้งคราวนี้อาจเป็นไปได้ว่า ฝ่ายตรงข้ามจะเปลี่ยนเวลาเข้ามาเร็วขึ้นกว่าเดิม แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจรู้ได้ ถ้าเจอกันขึ้นมาบางทีอาจะส่งผลเสียมาถึงพวกเขาอย่างไม่อาจแก้ไขได้ ทางที่ดีควรจะระวังตัวไว้ให้มากที่สุดดีกว่า
ครั้งนี้พวกเขาไม่ได้มาเพื่อเผชิญหน้า แต่มาเพื่อหาข้อมูลอย่างเป็นความลับ การหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าคือสิ่งที่ดีที่สุด อีกอย่างถ้าพวกมันพบพวกเขา นายโอชิฮาระก็จะต้องไหวตัวทันเป็นแน่
ไดกิมุ่งหน้าไปที่ประตูหลังบ้าน โดยมีเรียวสุเกะคอยคุ้มกันด้านหลังให้
กริ๊ก!
เสียงกุญแจถูกปลดล็อคดังขึ้น คราวนี้เร็วกว่าตอนกลางวันมาก คงเป็นเพราะไดกิไม่จำเป็นที่จะต้องลองผิดลองถูกกับกุญแจดอกนี้อีก
ทันทีที่ไดกิเปิดประตูออก ทั้งคู่แทรกตัวเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบ ก่อนที่ประตูจะปิดลงอีกครั้ง…
บ้านซากาโมโตะตอนกลางคืนต่างกับตอนกลางวันลิบลับ คงเพราะปราศจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาให้ความสว่าง เลยทำให้ภายในบ้านมืดสนิทจนแทบไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย เห็นเพียงแต่เงาเครื่องเฟอร์นิเจอร์ลางๆเมื่อสายตาเริ่มปรับเข้ากับความมืดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี ไม่แปลกที่พวกมันจะเปิดไฟจนเป็นเหตุให้เกิดข่าวลือ ผีนายซากาโมโตะออกมาป้วนเปี้ยนตอนกลางคืน
แต่นั่นไม่จำเป็นสำหรับมืออาชีพอย่างพวกเขา ทั้งสองวางกระเป๋าเป้ของตนลงตรงหน้า หยิบแว่นตาที่สามารถใช้มองในความมืดได้ออกมาใส่ ก่อนจะปิดกระเป๋าเป้ แล้วสะพายมันขึ้นหลังอีกครั้ง
เมื่อสวมแว่นแล้ว ทำให้อะไรๆดูสะดวกขึ้นมาก นอกจากจะมองเห็นภายในบ้านได้อย่างชัดเจนแล้ว ยังไม่หนักและเทอะทะอีก เปรียบเสมือนใส่คอนแทคเลนส์อยู่ก็ไม่ปาน สมแล้วที่อิโนะโอะ เคย์ เป็นคนพัฒนามันขึ้นมา พวกเขาได้รับแว่นอันนี้มา ตอนที่เคย์เรียกไดกิให้ตามเข้าไปในห้องทำงานของเขานั่นเอง
ตาก็มองเห็นแล้ว คราวนี้คงถึงเวลาลงมือกันซักที ไดกิมองหน้าเรียวสุเกะ ทั้งคู่พยักหน้าให้กันโดยปราศจากการใช้เสียงใดๆ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทันที โดยเรียวสุเกะ เดินขึ้นไปบนชั้นสองอีกครั้ง ส่วนไดกิ ลงมือค้นหาที่ชั้นล่างอย่างละเอียด เผื่อจะพบช่องลับที่อาจถูกทำไว้เหมือนโต๊ะทำงานบนชั้นสอง
เรียวสุเกะเปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของสามีภรรยา เมื่อตอนกลางวันเขาไม่ได้เป็นคนลงมือสำรวจห้องนี้ จึงรู้สึกอยากจะลองเข้ามาด้วยตัวเองดูอีกครั้ง
เด็กหนุ่มเริ่มต้นพื้นฐานโดยการเปิดลิ้นชักทุกลิ้นชักที่มีในห้อง โดยไม่ได้หวังผลว่าจะเจออะไรและก็เป็นอย่างที่เขาคิด จึงเปลี่ยนเป้าหมายมาที่ตู้เสื้อผ้าแทน ต่อด้วยเตียงนอน โต๊ะเครื่องแป้ง หรือแม้แต่โคมไฟ
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พบอะไรอยู่ดี แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาก้มลงนั่งกับพื้น ใช้สองมือคลำๆแตะๆไปที่พื้นห้อง ไม่แน่อาจมีช่องลับอยู่ก็เป็นได้ เรียวสุเกะทำอย่างนี้ไปจนทั่วห้อง ไปจนถึงห้องทำงาน แต่ก็ไม่พบอะไรอยู่ดี
เด็กหนุ่มถอดใจ แล้วลุกขึ้นยืนอยู่ตรงทางเดินระหว่างห้องสองห้อง เรียวสุเกะยืนมองห้องสองห้องสลับไปมาราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างอยู่
…อืม ถ้าอย่างนั้นจัดการเลยดีกว่า
เรียวสุเกะวางกระเป๋าเป้ลงบนพื้นบ้านอีกครั้ง ล้วงเข้าไปหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลขึ้นมา เด็กหนุ่มแกะห่อกระดาษปรากฏเห็นขวดสเปรย์สีใสขนาดกลางอยู่ข้างใน เขาหยิบมาขึ้นมาอ่านฉลากข้างขวดเพื่อความแน่ใจ มุมปากยิ้มออกมานิดๆก่อนจะ เก็บห่อกระดาษเปล่าลงกระเป๋า และเปิดฝาขวดสเปรย์ออก
ในเวลาเดียวกันที่ชั้นล่าง ไดกิหยิบห่อกระดาษสีน้ำตาลที่เขาอุตส่าห์เดินลุยเข้าไปในบาร์เพื่อนำสิ่งนี้มาด้วยความอึดอัดใจ? สเปรย์สีใสที่ถูกหยิบขึ้นมา สะท้อนกับแสงจันทร์เพียงเล็กน้อยที่แทรกเข้ามาในบ้านได้
‘Luminol’*
*เป็นสารเคมีที่สามารถตรวจพบร่องรอยของเลือดได้ ซึ่งหน่วยงาน Crime Scene Investigation หรือ CSI จะใช้บ่อยเพื่อหาร่องรอยของเลือดสารลูมินอลจะทำปฏิกิริยากับ ฮีโมโกบิล ทำให้แสงเปร่งออกมา เป็นกระบวนการที่พลังงานของสารเริ่มต้นมากกว่าพลังงานของสารผลิตภัณฑ์ ทำให้โมเลกุลนำพลังงานที่เหลือออกมาในรูปแบบของโฟตอนแสงสีม่วงฟ้า
ใช่แล้ว เมื่อตอนเย็นที่ไดกิพาเรียวสุเกะไปที่ Forte’ bar นั้นไม่ใช่เพื่อไปดื่มมาร์ตินี่ แต่ไปเพื่อนำลูมินอลมาทำงานต่างหากล่ะ! และการสั่งมาร์ตินี่แอปเปิลนั้น หมายถึง โค้ดลับที่จะใช้กันเพื่อบอกถึงความต้องการเจ้าลูมินอลตัวนี้ สองแก้ว หมายถึง สองขวด ส่วนตัวจริงของ มาสเตอร์อิชิดะ ก็คือ หนึ่งในเจ้าหน้าที่พิเศษของ FBI ที่ถูกจ้างให้มารับหน้าที่ดูแลอุปกรณ์ลับของ FBI ที่กระจายอยู่ในทั่วทุกพื้นที่นั่นเอง
แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องโชคดีของไดกิและเรียวสุเกะที่เมืองเล็กๆแห่งนี้มี เจ้าหน้าที่พิเศษประจำอยู่ด้วย เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ตามเมืองหลวงเสียมากกว่า แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดปกตินัก เพราะบางทีก็จะแฝงตัวอยู่ตามเมืองท้องถิ่นเล็กๆด้วย
ส่วนที่ทั้งสองดื่มมาร์ตินี่นั้น มันคงเป็นแค่น้ำแอปเปิลธรรมดามากกว่า…
ไดกิเปิดฝาขวดสเปรย์ และลองฉีดพ่นดูที่ตู้ไม้ตรงหน้าเขาอยู่เพื่อทดสอบประสิทธิภาพ น้ำสีใสค่อยๆซึมหายเข้าไปในเนื้อไม้ และปรากฏแสงสีม่วงฟ้าขึ้นจางๆ เด็กหนุ่มยิ้มกับตัวเอง
…ใช้ได้
ก่อนหน้านี้ตอนกลางวันเขาจงใจป้ายเลือดทิ้งไว้ที่ตู้นี่ก่อนแล้ว เพื่อการทดสอบในคืนนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เลือดเขา มันเป็นเลือดของสัตว์ที่ถูกแช่อยู่ในสารป้องกันเลือดแข็งที่เขาพกมาต่างหาก
เมื่อเห็นว่า ลูมินอลขวดนี้สามารถใช้ได้ผลแล้ว เขาจึงเริ่มลงมือปฏิบัติการทันที
…ช่วยหน่อยนะ
เรียวสุเกะฉีดพ่นลูมินอลไปทั่ว โดยเริ่มจากทางเดินระหว่างห้องทั้งสอง รอยแสงสีม่วงฟ้าปรากฏขึ้นเป็นรอยจางๆจากทางราวบันได เรียวสุเกะมองมันนิ่ง
…นึกแล้วไม่ผิด
เด็กหนุ่มตามรอยเลือด เข้าไปในห้องนอน เขาเริ่มฉีดพ่นลูมินอลอีกครั้ง รอยเลือดค่อยๆปรากฏมาจากทางบันได เข้ามาสู่ประตูห้อง และหยุดอยู่ตรงเพียงแค่ปลายเตียง ตรงนั้นมีรอยเลือดสะเปะสะบอยู่บริเวณพื้นเป็นวงอยู่ไม่กว้างนัก ลักษณะคล้ายกับเจ้าของเลือดนั่งลงตรงนี้และวางมือที่เปื้อนเลือดไว้ด้านข้างลำตัว
ส่วนบริเวณอื่นของห้องไม่พบรอยเลือดอีก
จากรอยเลือดที่เขาพบ คิดว่าน่าจะเป็นรอยเลือดจากมือข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียวเท่านั้น และจากที่สังเกตปริมาณในแต่ละรอยแล้ว เลือดมีจำนวนไม่มาก น่าจะเป็นเพียงแค่แผลเลือดที่ไม่ใหญ่และไม่ลึกมากนัก แต่ก็คงไม่ใช่แค่รอยมีดบาดหรือโดนตะปูทิ่ม จากมือข้างใดข้างหนึ่งเป็นแน่ แต่เป็นไปได้ที่จะเป็นมือข้างขวา เพราะราวบันไดอยู่ด้านขวามือนั่นเอง
เรียวสุเกะวางขวดสเปรย์ไว้ที่พื้น หยิบกล้องออกมาจากกระเป๋าและถ่ายรูปสภาพห้องที่มีรอยเลือด ลักษณะของรอยเลือดรวมไปถึง ตัวอย่างเลือดที่เขาจะนำไปตรวจสอบหา DNA อีกด้วย
เขาถ่ายรูปไล่ตามรอยเลือดออกมานอกห้อง ถ่ายรูปที่ราวบันไดไว้เล็กน้อย แล้วเดินกลับไปหยิบสเปรย์ในห้องนอนออกมา โดยไม่ลืมที่จะเช็ดเอาน้ำยาเรืองแสงออก
การกระทำซ้ำไปซ้ำมา ทำให้เรียวสุเกะได้ภาพถ่ายรอยเลือดได้หลายจุด จากที่สรุปได้ก็คือ ใครซักคนที่บาดเจ็บเดินขึ้นมาจากชั้นล่าง แล้วคลานเข้าไปนั่งในห้องนอน คาดว่าจะอ่อนแรงจากการขึ้นบันได หลักฐานก็คือ มีรอยเลือดอยู่ที่ราวบันไดแต่หลังจากขึ้นมาถึงชั้นบน รอยเลือดกลับลงไปอยู่บนพื้นแทน
หลังจากฟื้นตัวได้ซักพัก จึงเดินออกไปที่ห้องทำงาน ที่บอกว่าเดินออกไปหลังฟื้นตัวได้ นั่นก็เพราะไม่มีรอยเลือดอยู่ที่พื้นหน้าห้องทำงานเลย รอยเลือดปรากฏขึ้นอีกครั้งบริเวณชั้นหนังสือ แต่รอยเลือดแต่ละลอยเริ่มมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ อาจเป็นเพราะว่าเลือดเริ่มหยุดไหลแล้ว แสดงว่า คงใช้เวลาพอสมควรกว่าจะฟื้นตัว
เรียวสุเกะกวาดสายตาไปเรื่อยๆ พบรอยเลือดอีกรอยที่โต๊ะทำงาน คราวนี้แทบจะมองไม่เห็นรอยเลือดแล้ว เขาคิดว่า ใครบางคน คงกำลังหาหนังสืออะไรบางอย่างอยู่ แล้วนำมาเปิดอ่านตรงนี้
…อย่างนั้นเหรอ
เรียวสุเกะสันนิษฐานไปเรื่อย จนเริ่มรู้สึกตัวถึงอะไรบางอย่าง ใช่แล้วล่ะ! หนังสือที่เจ้าของเลือดหา!
เด็กหนุ่มสะดุ้งตัว รีบหันกลับไปที่ชั้นหนังสืออย่างรวดเร็ว หนังสือเล่มนั้นคงมีอะไรบางอย่าง แน่นอน ถ้าลองหาจากรอยเลือดที่มีอยู่ที่ตรงปกหนังสือ และกระดาษด้านในละก็ จะต้องเป็นเล่มนั้นอย่างแน่นอน ถ้าการสันนิษฐานว่า เจ้าของเลือดเป็นแผลที่มือด้านขวาของเขาไม่ผิดล่ะก็ มันจะต้องเจอหนังสือที่ว่าอย่างแน่นอน
เรียวสุเกะใจเต้น แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าเจ้าของเลือดเป็นใคร แต่การที่ใครคนนั้นบาดเจ็บ ไม่ยอมไปทำแผลแต่เข้ามาในห้องนี้หาหนังสืออะไรบางอย่างแทน แสดงว่าหนังสือเล่มนี้คงจะเป็นอะไรที่สำคัญมากเป็นแน่
ด้วยความสงบเยือกเย็นตามแบบฉบับ ทำให้เด็กหนุ่มควบคุมอาการใจร้อนได้ และค่อยๆลงมือตรวจสอบหนังสือบริเวณนั้นทีละเล่มได้อย่างใจเย็น แต่ไม่ชักช้า
แต่ผลสุดท้ายคือคว้าน้ำเหลว ไม่มีหนังสือเล่มไหนที่ตรงตามลักษณะที่ว่าเลย รอยเลือดปรากฏเพียงแค่สันหนังสือและหน้าปกเล็กน้อยเท่านั้น
…แสดงว่า ใครคนนั้นเอาหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว
เด็กหนุ่มพิงหลังกับชั้นหนังสืออย่างเหนื่อยอ่อน นึกว่าจะได้เรื่องแล้วแท้ๆ เขาเองก็ไม่ได้หวังว่าจะเจอสูตรลับที่ว่าภายในวันแรกหรอก แต่เมื่อได้เบาะแสที่สำคัญแล้ว ก็อดดีใจไปไม่ได้
เรียวสุเกะส่ายหัวไล่ความผิดหวังออกไปและลงมือเช็ดรอยน้ำยาเรืองแสงออก แล้วลงไปสมทบกับไดกิข้างล่าง เผื่อว่าไดกิจะเจอเบาะแสอะไรดีๆอีกบ้างก็เป็นได้
ขณะที่เขากำลังเช็ครอยน้ำยาบริเวณโต๊ะทำงานอยู่นั้น เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาอีกครั้ง บางทีหนังสือที่ว่าอาจจะเป็นหนังสือเล่มที่เขาเจอในโต๊ะนี้ก็เป็นได้นะ!
เด็กหนุ่มเริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง จนเผลอเอามือลูบโต๊ะอย่างลืมตัว แต่ก็ต้องหุบยิ้มลงอีกครั้ง
…บ้าจริง เราส่งเล่มจริงไปให้เคย์โตะแล้วนี่นา ทำไมไม่นึกออกให้เร็วกว่านี้นะ
แต่นั่นมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก เพราะยังไงเขาก็พึ่งมารู้เบาะแสเรื่องนี้ก็ตอนกลางคืนนี้แหละ เขาไม่นึกโทษตัวเอง อีกอย่างยังไงเคย์โตะก็ต้องจัดการเรื่องนี้อยู่แล้ว เขาจึงรู้สึกเบาใจขึ้น เก็บข้อมูลและเบาะแสเอาไว้ทั้งหมด ก่อนจะลงตามไปสมทบกับไดกิ
…โชคดีจริงๆที่ตอนกลางวันเรากับเรียวสุเกะเจอรอยเลือดเก่า ไม่อย่างนั้นคืนนี้คงไม่ได้ออกมาหาเบาะแสกันตอนกลางคืนนี้หรอก
ไดกินึกชมตัวเองกับเพื่อนสนิท เพราะการมาครั้งที่สองนี้ทำให้เขาพบเบาะแสใหม่ และปัญหาชวนแก้มากมายให้ขบคิด รอยเลือดกระจายอยู่ทั่วห้องรับแขก ขึ้นไปจนถึงตามราวบันได แม้ว่าส่วนอื่นๆจะไม่มีรอยเลือดก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องปกติที่จะมีรอยเลือดขนาดนี้อยู่ในบ้านคนธรรมดา
…เป็นไปอย่างที่คิดจริงๆ
แม้ว่าพวกเขาจะเจอรอยเลือดที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าเพียงไม่กี่จุด แต่พวกเขาก็พอจะเดาออกว่ามันไม่ใช่รอยเลือดธรรมดา จะต้องเกิดอะไรขึ้นที่นี่อย่างแน่นอน
ในตอนนั้นเองพวกเขาเกิดความคิดเหมือนกันแทบจะทันที ว่าคืนนี้จะต้องกลับมาที่นี่อีก พร้อมน้ำยาลูมินอล
ไดกิถ่ายรูปพร้อมกับเดินสำรวจไปทั่วบริเวณที่มีรอยเลือด คงไม่ถึงกับจะพูดว่า เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นในบ้านหลังนี้หรอก แต่ก็คงจะเกิดการตู่สู้ หรือ อะไรบางอย่างขึ้น
ดูจากจำนวนเลือดแล้ว น่าจะเป็นแค่ ของคนๆเดียว…
เด็กหนุ่มหยิบตัวอย่างเศษเลือด ที่เขาเก็บมาก่อนที่จะฉีดพ่นน้ำยาลูมินอลขึ้นมาดู ตัวอย่างเลือดหลายถุงเล็กถูกเย็บติดกันเอาไว้ เขาไม่ได้เก็บเพียงที่เดียว แต่สุ่มเก็บจากหลายๆที่ เพราะอาจจะไม่ใช่เลือดของคนเพียงคนเดียวก็เป็นได้
ขณะที่ไดกิกำลังเช็ดคราบน้ำยาลูมินอลอยู่นั้น เรียวสุเกะก็เดินลงมาจากชั้นบนพอดี เด็กหนุ่มได้ยินเสียงลงบันไดอันแผ่วเบาจึงหันหลังไปหา
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่าง เรียวสุเกะกวาดสายตามองรอบบริเวณห้องรับแขกซึ่งมีไดกิยืนอยู่ตรงกลางห้อง รอยเรืองแสงที่ยังถูกเช็ดไม่หมดปรากฏอยู่ให้เห็น ทำให้เรียวสุเกะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าได้
ไดกิมองหน้าเพื่อนสนิทสลับกับรอยเรืองแสงที่ยังคงอยู่ รอยยิ้มบางๆปรากฏออกมาเล็กน้อย เหมือนกับกำลังจะภูมิใจถึงความแม่นยำในการตัดสินใจของพวกเขาทั้งสอง
เรียวสุเกะเห็นและยิ้มตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เหมือนกัน แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีนักที่ได้เห็นรอยเลือดกระจายอยู่เต็มบ้านของคนอื่น แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้รอยเลือดพวกนี้เปรียบเสมือน คำใบ้ชั้นดีที่จะนำไปสู่กุญแจที่พวกเขากำลังตามหาอยู่
ทั้งสองคนช่วยกันเช็ดทำความสะอาดห้องนั่งเล่นและราวบันได โดยไม่มีใครปริปากพูดอะไรกันแม้แต่คำเดียว
เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามใบหน้า คงเป็นเพราะทั้งสองอยู่ในบ้านที่ถูกปิดมิดชิด ทั้งประตูและหน้าต่างแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิดปกติแต่อย่างใดเพราะพวกเขาไม่ได้เข้ามาตอนที่บ้านหลังนี้มีคนอยู่
นาฬิกาไม้เรือนเก่าบนฝาผนังตีบอกเวลา สี่ทุ่มตรง เวลาผ่านไปถึงเกือบสองชั่วโมงหลังจากที่พวกเขามาถึงบ้านหลังนี้
ใช้เวลาทำความสะอาดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดไดกิก็เริ่มวางมือคนแรก ตามด้วยเรียวสุเกะที่เริ่มหยิบเจลล้างมือในกระเป๋าออกมาทำความสะอาดฝ่ามือตัวเอง
…คงเรียบร้อยแล้วละมั้ง ไดกิยืนยิ้มเท้าสะเอวมองมาที่เพื่อนด้านข้าง
เด็กหนุ่มอีกคนกวาดสายตามองรอบบริเวณห้องนั่งเล่นอีกหนึ่งครั้งก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงตอบ
เสียงลมจากด้านนอกเล็ดลอดเข้ามาในบ้านที่ปิดสนิท ฟังจากเสียงแล้วคาดว่าข้างนอกอากาศคงเย็นน่าดู ถึงกับทำให้คนยืนเหงื่อตกในบ้านแทบอยากจะวิ่งออกไปรับลมซะให้มันรู้ไป
ความคิดที่เหมือนกันของทั้งสองแล่นเข้ามาในโสตประสาทดุจความเร็วแสง สั่งการให้ขาทั้งสองข้างเริ่มออกเดิน มุ่งหน้าสู่ประตูหลังบ้าน…
ในตอนนั้นเอง จังหวะเดียวกันกับที่ไดกิกำลังจะก้าวพ้นผ่านห้องรับแขกออกไปนั้น เสียงเครื่องยนต์ และแสงไฟส่องสว่างจ้าเข้ามาในตัวบ้าน
ไวเท่าความคิด ทั้งสองคนก้มตัวลงหลบใต้แสงทันที…
เสียงเปิดประตูรถดังก้องในยามวิกาฬ หนึ่ง…สอง…สาม… เสียงเปิดและปิดประตูดังสามครั้ง คาดว่าผู้มาเยือนมีจำนวนสามคน
ไดกิและเรียวสุเกะมองหน้ากันหนึ่งครั้ง และค่อยๆคลานหลบใต้แสงเข้าซ่อนตัวหลังเคาน์เตอร์ไม้สีดำที่ตั้งกั้นอยู่ระหว่างห้องครัวกับห้องรับแขก ซ่อนตัวอยู่ในความมืดและแสงเงา มือข้างที่ถนัดดึงผ้าขึ้นมาปิดปากจนถึงจมูก
…แย่จริง เจอพวกมันเข้าจนได้
เรียวสุเกะออกเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน
…ไม่นึกว่าวันนี้พวกมันจะมาเร็วกว่าปกติ
ไดกิตอบกลับด้วยเสียงที่เบาไม่ต่างกัน
…ยังไงออกไปตอนนี้ก็เสี่ยงอยู่ดี สังเกตการณ์พวกมันต่อดีกว่า
เรียวสุเกะหันไปเพ่งสายตาที่ประตูหน้าบ้าน เพื่อเตรียมตัวบันทึกหน้าตาของฝ่ายตรงข้ามเอาไว้
….ชั้นก็กำลังจะพูดแบบนั้นเหมือนกัน
ไดกิหยักไหล่เหมือนเป็นเรื่องสนุก แต่เจ้าเม็ดเหงื่อที่ดูเหมือนจะไหลออกมาต่อเนื่องสวนทางกับความคิดในใจของเขานี่สิ มันอะไรกัน
มันก็ต้องแน่อยู่แล้ว ถึงจะฝึกฝนและเตรียมตัวมาอย่างดี แต่นี่ก็ไม่ใช่ความสามารถที่พวกเขาถนัดเลย บางทีการที่พวกเขาตัดสินใจอยู่ต่ออาจจะเป็นทางเลือกที่ผิดก็เป็นได้
แต่ไม่มีเวลาให้เปลี่ยนใจแล้ว เพราะ เจ้าของเสียงเปิดประตูรถทั้งสามครั้ง ได้ก้าวเข้ามาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันกับพวกเขาแล้ว…
“ให้ตายสิ บ้านหลังนี้วังเวงได้ทุกวี่ทุกวันไม่เปลี่ยนเลย” ชายหนุ่มชุดดำร่างใหญ่คนแรกเอ่ย
“นั่นน่ะสิ กุญแจบ้านก็เก่าขนาดนี้ ถ้าเข้ามาอีกที กลัวกุญแจของเราจะโดนสนิมกินคาที่จนดึงออกไม่ได้เลยนะเนี่ย” ชายหนุ่มอีกคนกล่าว คนๆนี้เป็นคนเปิดประตูเข้ามา แต่หลีกทางให้คนร่างใหญ่กว่าเข้ามาก่อน โดยที่ตัวเองกำลังพยายามดึงลูกกุญแจที่คาอยู่ที่ประตูออก
“จะต้องหาไปถึงไหนกัน อิซาวะ ฉันว่ามันคงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอกนะ” ชายชุดดำคนสุดท้าย เดินผ่านชายคนที่สองเข้ามาพูดกับชายร่างใหญ่คนแรก หมอนี่ชื่อ อิซาวะ…เรียวสุเกะบันทึกหน้าตาและชื่อของชายคนนี้ไว้ในสมอง แน่นอนไดกิเองก็เช่นกัน
“เฮ้ ทาเคอิ นายกลัวหรอ” อิซาวะหันมาแซว ชายคนสุดท้ายหรือทาเคอิไอกระแอมอย่างขัดเขินเล็กน้อย ทาเคอิมีรูปร่างเล็กและได้สัดส่วนมากกว่าอิซาวะที่เป็นคนร่างใหญ่ยักษ์ แต่ด้วยลักษณะผิวพรรณที่ออกจะดูสะอาดมีสุขภาพแล้ว ทาเคอิจึงดูท่าทางเป็นคนเจ้าสำอางเลยทีเดียว
“ปะ เปล่าซักหน่อย ฉันก็แค่คิดว่าเราหากันมาจะอาทิตย์นึงแล้ว ยังไงก็หาไม่เจอซักที เลยคิดว่ามันอาจจะไม่อยู่ที่นี่ก็ได้” ทาเคอิเอามือล้วงกระเป๋า
“ฉันก็ว่าอย่างนั้นนะ เราจะมัวแต่ตามหาในที่ซ้ำซากแบบนี้อยู่ต่อทำไม” ชายคนที่สองเดินเข้ามามีบทบาท ดูท่าทางเขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการะดึงลูกกุญแจออกพอสมควร สังเกตจากเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบนสันจมูก
“ก็ใช่ว่าฉันจะไม่คิดเหมือนนายสองคนหรอกนะ ทาเคอิ ซานาดะ แต่คำสั่งมีมาว่าอย่างนี้พวกเราก็คงต้องมาหาทุกวันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ” อิซาวะแจง ดูท่าทางนายคนนี้จะเป็นเหมือนผู้นำของคนทั้งสาม
“อืม งั้นเราหากันต่อดีกว่า” ซานาดะ ควักไฟฉายออกมา แล้วเริ่มรื้อตามลิ้นชักตู้
ทาเคอิ และอิซาวะ ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเริ่มลงมือค้นหา ชายร่างใหญ่สามคนเดินผ่านกันไปมาอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ไม่เจออะไร
สองคู่หูยังคงซ่อนตัวอยู่ที่เดิมอย่างเงียบเชียบ คอยเฝ้าดูพฤติกรรมของชายทั้งสามไปเรื่อยๆ แต่ยิ่งนานเข้าก็ดูเหมือนจะยิ่งสูญเปล่าทั้งสำหรับพวกเขา และชายชุดดำ
เวลาผ่านไปไดกิฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ เจ้าสามคนนี้ อิซาวะ ทาเคอิ และซานาดะ จะต้องเป็นเจ้าของรอยเท้าที่มีอยู่รอบตัวบ้านไม่ผิดแน่ ลักษณะของทั้งสามคนตรงกับที่เรียวสุเกะสันนิษฐานไว้ทุกอย่าง
แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานว่าพวกมันจะเป็นคนที่ประธานโอชิฮาระส่งมาหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ แต่กลับเป็นคนที่มาจากฝ่ายอื่นล่ะก็ การทำงานคงยิ่งลำบากขึ้นอีกหลายเท่าเป็นแน่
แค่คิดไดกิก็เริ่มจะกังวลเสียแล้ว เด็กหนุ่มหันหน้าไปมองเพื่อนด้านข้าง สายตาคบปลาบ จ้องนิ่งที่เป้าหมายทั้งสามตรงหน้าอย่างแน่นิ่งและใจเย็น เรียวสุเกะเป็นคนที่มีความอดทน สุขุม ไม่เหมือนเขา เป็นคนที่พึ่งพาและดูแลตัวเองได้ แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นมาระหว่างปฏิบัติหน้าที่ที่มีแค่พวกเขาสองคน เขา…จะสามารถปกป้องเพื่อนคนนี้ได้ไหม
ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่ควรจะเป็นฝ่ายถูกปกป้องจะต้องเป็นเขาต่างหาก เพราะเรียวสุเกะเชี่ยวชาญเรื่องการป้องกันตัวมากกว่าเขาอยู่หลายขุมนัก แต่ไม่ว่าอย่างอย่างไรก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
การทำงานเป็นคู่ คือการเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน ทุกครั้งที่ต้องหันหลังชนกันเพื่อต่อสู้ความเชื่อใจก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง หรือแม้จะต้องแยกกันทำงานที่เสี่ยงถึงความตายก็ยังคงต้องเชื่อว่าเพื่อนจะต้องรอดชีวิตกลับมาแน่ แต่ด้วยจิตสำนึกของมนุษย์แล้วคงอดไม่ได้ที่จะกังวล
อาจจะดูผิดที่ผิดเวลาที่เขามาคิดอะไรเอาเวลาแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่การคิดมากไปก่อนของเขาเพียงฝ่ายเดียว แต่ทุกอย่างคือสิ่งที่กลั่นกรองมาจากหัวใจ
เขาไม่อยากสูญเสียอีก…
มืออันอบอุ่นของเพื่อนแตะไหล่ด้านขวาผ่านเนื้อผ้าผืนหนานำสติเขากลับมาสู่ตัวอีกครั้ง เรียวสุเกะมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเป็นห่วง ไดกิส่ายหน้าก่อนจะหันกลับไปมองที่ชายชุดดำทั้งสามต่อ
…ดันเหม่อเอาซะได้
ไดกินึกบ่นตัวเองในใจ
เด็กหนุ่มรู้สึกถึงแรงเบาๆที่ไหล่ขวาอีกครั้ง เรียวสุเกะเรียกเขาคราวนี้ดูเหมือนเรียวสุเกะจะบอกอะไรบางอย่าง
ไดกิทำหน้าเป็นเชิงถาม
เรียวสุเกะชี้นิ้วไปทางอิซาวะที่ยืนควงไฟฉายเล่นอยู่แทนคำตอบ ชายร่างยักษ์ควงไฟฉายเล่นไปมาอย่างเบื่อหน่าย แสงไฟฉายสะท้อนลงบนเสื้อสูทสีดำของอิซาวะเป็นจังหวะ
…อ๊ะ
ไดกิรู้สึกตัวว่าเรียวสุเกะเขากำลังจะบอกถึงอะไร จังหวะนึงที่ไฟฉายสะท้อนลงบนหน้าอกของอิซาวะ เข็มกลัดขนาดเท่าเหรียญห้าร้อยเยน (*ใหญ่กว่าเหรียญสิบบาท) สีทองลายสีแดงปรากฏให้เห็นเป็นจังหวะตามที่แสงไฟส่อง เด็กหนุ่มจำมันได้ทันที มันเหมือนกับข้อมูลการสืบสวนที่เขาได้อ่านพร้อมกับเรียวสุเกะก่อนที่จะเดินทางมาถึงที่นี่
ตราบริษัทเงินทุนโอชิฮาระ…
ไม่ผิดแน่ พวกมันมาจากบริษัทโอชิฮาระจริงๆ น่าแปลกที่มันทำให้เขารู้สึกโล่งอกอย่างน่าประหลาด อย่างน้อยๆตอนนี้ศัตรูก็มีแค่ฝ่ายเดียว เด็กหนุ่มเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย
ไดกิรู้สึกตัวอีกครั้งหลังเรียวสุเกะเรียกเป็นครั้งที่สาม คนด้านข้างพูดอะไรบางอย่างกับเขาโดยปราศจากเสียง เรียวสุเกะพยักหน้าประกอบและค่อยๆลุกออกไปอย่างเงียบเชียบ
…กลับกันเถอะ
***********************
เป็นยังไงบ้าง กับตอนนี้ คงจะทำให้ทุกคนเข้าใจถูก? แล้วว่าสองคนนี้เข้าไปในผับทำไม ไม่ได้ไปเพราะดื่มเหล้าน่า ฮะๆ ลายละเอียดค่อยๆปรากฏขึ้นทีละนิด (หรือไม่นิด) ถ้าใครอยากลองคิดตามบ้างก็ได้นะ ^^ เบาะแสออกมาเกือบทั้งหมดแล้วโซลบอกแค่นี้ ตอนต่อไปหวังว่าความชัดเจนจะเริ่มมาพร้อมกับใครบางคนแล้วล่ะ มีเบาะแสก็ต้องมีพยาน~ ฝากติดตามด้วยน้า ^^
HAPPY NEW YEAR~~ 2011 >< ขอโทษจริงๆที่อัพช้ามาก ข้ามปีเลย T^T โซลยอมรับว่าเครียดมากจริงๆ แต่ยังไงก็แต่งไม่ออก แต่พอออกทีก็ยาว ฮ่าๆๆๆ ขอโทษจริงๆ ปีนี้ฝากตัวด้วยจ้า ขอต้อนรับรีดเดอร์คนใหม่ไปพร้อมๆกับรีดเดอร์คนเก่าที่อุตส่าห์ติดตามกันมาตลอดนะจ๊า ><
อีกเรื่อง…ถ้าใครที่อยู่กับโซลมาตั้งแต่ปีที่แล้ว จะรู้ว่าโซลดองฟิคไรไว้เรื่องนึง =..= ด้วยเรื่องนี้เป็นแนวสืบสวนเลยจะบอกคำใบ้ให้ไปคบคิดเอาเอง? มันเป็นเรื่องที่โซลแต่งกับ วีนัส แห่ง ไดอารี่ของยามะจัง คาดว่าคงรู้จักกันดี…คำตอบคืออะไรน้า~~ (ยังจะกล้าเล่น)
มันอัพแล้วล่ะ!! ขอโทษจริงๆอย่าโกรธแล้วฝากเข้าไปรับอ่านด้วยนะจ๊า T^T (จะมีคำขอโทษอย่างเป็นทางการอีกทีในตอน)
http://writer.dek-d.com/zaol-chan/writer/view.php?id=620276 สำหรับรีดเดอร์คนใหม่ มันคือ…! (เปิดดูเอง) อิอิ ขอบคุณจ้า
ลืมอีกนิด จากลิ้งค์ด้านบนคงรู้กันแล้วว่าโซลกับวีนัสเป็นอะไรกัน (ไม่ใช่แฟนแน่นอน - -‘’ อย่าคิดพิเรน) เราคงต้องโปรโมท? ไดอารี่ของยามะจังทำออกมาเป็นเล่มแล้วนะจ๊ะ >< ถ้าใครสนใจก็ไปติดต่อที่หน้าฟิคได้เล้ย~~ ลิ้งค์ฟิคเรื่องไดอkรี่หาได้ในลิ้งค์ด้านบนนี้นะจ๊ะ จะมีแบนเนอร์แปะอยู่ อิอิ โชคดีปีใหม่~ โอคาริวจงเจริญกำลังจะมา วะฮ่าฮ่าๆ!!!
ความคิดเห็น