คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Case 1 : สำรวจ (episode 2)
เวลา 11 โมงตรงของเช้าวันนี้ เรียวสุเกะและไดกิก็เดินทางมาถึงเมืองยาซาโตะจนได้ ทั้งสองแวะเข้าที่พักเพื่อเก็บของที่เมืองอิชิโอกะก่อนจะออกเดินทางต่อมาที่เมืองแห่งนี้
“เฮ้อ ถึงซักที” ไดกิบิดขี้เกียจหลังเดินลงจากรถบัสคันเล็ก
“รู้สึกว่าจะเป็นการเดินทางที่ลำบากพอสมควรเหมือนกันนะเนี่ย” เรียวสุเกะที่ยืนอยู่ข้างๆพูด
ที่ลำบากน่ะ เพราะว่า กว่าพวกเขาจะหารถที่จะเดินทางมาที่เมืองแห่งนี้ได้นั้น ช่างเป็นอะไรที่ยากเหลือเกิน ทั้งๆที่อยู่ห่างจากตัวเมืองแค่ 2 กิโลเมต แต่ก็จะให้พวกเขาเดินมาเอง มันก็ใช่เรื่องอยู่…
“นั่นน่ะสิ อ๊ะ จะเที่ยงแล้วนะ หาอะไรกินกันหน่อยดีไหม” ไดกิยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เวลา 11.50 แล้ว สมควรแก่เวลาที่ท้องน้อยๆจะเริ่มส่งเสียงร้องว่า หิวข้าว
“มาถึงก็จะกินเลยหรอ ไดกิ”
“แน่นอนสิ ข้าวเที่ยงนะ” ไดกิตอบเสียงจริงจัง
“แต่เรารีบไม่ใช่รึไง นายจำไม่ได้หรอ ว่าเรามีเวลาแค่อาทิตย์เดียวน่ะ” เรียวสุเกะแย้ง ไม่กินซักมื้อจะเป็นอะไรไป ไว้ค่อยกินตอนเย็นก็ได้นี่ อีกอย่างก่อนลงจากรถไฟพวกเขาพึ่งกินข้าวกล่องไปคนละกล่องแล้วนะ
“ก็รู้แล้วน่า แต่ถ้าไม่กินข้าวนายจะไม่มีแรงเอานะเรียวสุเกะ ไปๆ ราเมนร้านนั้นน่าอร่อยนะ” ไม่ทันที่เรียวสุเกะจะพูดแย้งอีกรอบ ไดกิก็เดินเข้าไปในร้านราเมนฝั่งตรงข้ามซะแล้ว…
ร้านราเมนเล็กๆในเมืองติดภูเขา มีลูกค้ามาอุดหนุนอยู่บางตา แม้ว่าจะเป็นเวลาเที่ยงตรงก็ตามที คงจะเป็นเพราะว่า ผู้คนในเมืองแห่งนี้ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร อีกทั้งยังไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ร้านอาหารนอกบ้านจึงไม่เป็นที่นิยมซักเท่าไหร่
เมื่อเดินเข้ามาในร้าน มีเพียงเคาท์เตอร์สำหรับพ่อครัวเพื่อปรุงราเมน และที่นั่งล้อมเคาท์เตอร์สำหรับลูกค้าเพียง 7 ตัวเท่านั้น ร้านนี้ก็ถูกกินพื้นที่ไปจนหมดแล้ว แต่ก็ยังอุตส่าห์มีโต๊ะเล็กๆ อยู่ 3 โต๊ะ สำหรับสองที่นั่ง ที่ถูกวางอย่างเบียดเสียดอยู่ในร้านเรียกได้ว่า ต้องเบียดกันนั่งเลยทีเดียว
…หมายถึงถ้ามีลูกค้าเต็มร้านน่ะนะ
“เอาราเมนพิเศษ 2 ที่ครับ” ไดกิเลือกนั่งที่เคาท์เตอร์ตรงกลาง พร้อมกับชูสองนิ้วสั่งราเมนที่คุณลุงพ่อครัวท่าทางน่าจะใจดีคนหนึ่ง
“พิเศษ 2 ที่ครับ!” คุณลุงยิ้มตอบ ท่าทางจะใจดีจริงๆเสียด้วย
“กลิ่นหอมดีจัง” เรียวสุเกะนั่งลงข้างๆ กลิ่นหอมของน้ำซุปเรียกน้ำย่อยของเขาอีกครั้ง
“ใช่ไหมล่ะ ชั้นก็เดินตามกลิ่นมาเนี่ยแหละ” ไดกิยิ้มร่าเริง พลางหยิบหนังสือพิมพ์ที่วางอยู่มาอ่าน เพื่อรอราเมนชามพิเศษของเขา
…ไม่นาน ราเมน 2 ชามของทั้งคู่ก็ถูกเสิร์ฟ
เด็กหนุ่มทั้งสองใช้เวลาไม่นานในการจัดการอาหารตรงหน้าไม่นาน ด้วยความอร่อยของมัน ทำให้พวกเขาอดใจไม่ได้ที่จะขอเพิ่มอีกคนละที่ แต่ด้วยความกลัวที่ว่า หากอิ่มมากเกินไปจะไปปฏิบัติหน้าที่ต่อไม่ไหว พวกเขาจึงเลือกที่จะมากินอีกทีตอนขากลับแทน
ในขณะเดียวกัน แม่บ้านวัยกลางคนสองคน ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าร้านราเมน…
“ราเมน 2 ที่ค่ะ” หนึ่งในคุณป้า ยกมือสั่งหลังจากที่ตัดสินใจเลือกที่นั่งได้แล้ว โต๊ะสำหรับสองที่ด้านริมขวาของประตู หรือจะเรียกให้ถูกก็คือ ที่นั่งติดด้านซ้ายของเรียวสุเกะนั่นเอง
“ราเมน 2 ที่ครับ!” คุณลุงคนเดิมรับออเดอร์
ไดกิและเรียวสุเกะ ยกน้ำเปล่าขึ้นมาดื่มจนหมด ก่อนตั้งจะท่าจ่ายเงินและลุกออกไป แต่ก็ดันไปได้ยินอะไรดีๆเข้าเสียก่อน ทั้งสองจึงตัดสินใจนั่งลงต่อ
“นี่ๆ บ้านคุณซากาโมโตะที่ท้ายซอยน่ะ เธอเห็นอะไรรึเปล่า” คุณป้าแม่บ้านที่นั่งโต๊ะด้านข้างพูด
“เห็นสิๆ บางทีก็มีเสียงคนเดินตอนดึกๆ บางทีไฟในบ้านก็เปิดเองใช่ไหมล่ะ” คุณป้าอีกคนหนึ่งพูดบ้าง
“ใช่ๆ แต่คุณซากาโมโตะไม่อยู่บ้านนี่นา หรือว่าจะเป็นผี!”
“ต้องเป็นผีแน่ๆเลย! ทำยังไงดีล่ะเธอทีนี้!”
“ผีคุณสามี ที่เสียชีวิตไปเมื่อ 10 ปีก่อนรึเปล่า!”
“ต้องใช่แน่ๆเลย! ทำยังไงดีล่ะ ถ้าคุณซากาโมโตะกลับมาเมื่อไหร่ ชั้นคงต้องไปขอให้เขาทำบุญบ้านละมั้งเนี่ย”
“ดีนะเธอ ไม่งั้นเพื่อนบ้านอย่างพวกเราคงหัวโกร๋นกันหมดแน่!”
คุณป้าทั้งสองยังคงพูดต่อไปเรื่อย โดยที่สองคู่หูของเรายังคงนั่งฟังกันอยู่อย่างเงียบๆ
…ชักท่าจะไม่ดีซะแล้วสิ
“ดูเหมือนว่า…จะมีคนมาก่อนเรานะ เรียวสุเกะ” ไดกิพูด
เรียวสุเกะ ทำหน้าเครียดพร้อมกับพยักหน้าเห็นด้วย
“คงต้องรีบแล้วล่ะ” เรียวสุเกะ ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเงินขึ้นมาวางบนโต๊ะ ก่อนจะลุกเดินออกไปพร้อมกับได โดยทิ้งเสียงของคุณป้าทั้งสอง และคุณลุงใจดีไว้ด้านหลัง
“ราเมน 2 ที่ได้แล้วครับ!!!”
ทั้งสองเดินออกมาจากร้านราเมน และมุ่งหน้าสู่บ้านซากาโมโตะทันที แน่นอนคู่หูของเรายังคงด้วยความใจเย็นอยู่ สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องรีบออกมาไม่ใช่เพราะว่า กลัวจะมืดเสียก่อนแล้วผีจะออกมาที่บ้านซากาโมโตะหรอกนะ แต่หมายถึง รีบไปก่อนที่ใครบางคนจะเจอสูตรลับ เป้าหมายของพวกเขาก่อนยังไงล่ะ
ที่คุณป้าสองคนเล่าว่า ได้ยินเสียงคนเดิน หรือ ไฟเปิดเองในบ้านซากาโมโตะตอนกลางคืนน่ะ ไม่ได้เป็นเพราะว่าผีหรอก แต่คือใครบางคนที่ยังมีชีวิตอยู่ และต้องการสูตรลับของ นายซากาโมโตะเหมือนพวกเขายังไงล่ะ
“บ้านหลังนั้นรึเปล่า” เรียวสุเกะชี้บ้านทรงญี่ปุ่นที่อยู่ท้ายซอยตรงหน้า
“น่าจะใช่นะ สุดซอยแล้วนี่ ลองเข้าไปดูกัน” ไดกิเดินนำเรียวสุเกะเข้าไปดูบ้านหลังนั้นใกล้ๆ
ป้ายไม้เล็กๆที่แขวนไว้หน้าบ้าน เป็นหลักฐานได้อย่างดีว่า คือที่นี่แหละ พวกเขาเจอมันแล้ว…
“บ้านซากาโมโตะ”
เด็กหนุ่มสองคนยืนพินิจวิเคราะห์อยู่หน้าบ้าน พื้นทางเดินดูสะอาดผิดปรกติ ทั้งๆที่เจ้าของบ้านไม่อยู่แท้ๆ มันไม่ควรจะสะอาดแบบนี้…ทั้งสองคิด
“ไม่เห็นมีใบไม้ซักใบ” ไดกิพูดขึ้น พลันแหงนหน้าขึ้นไปมองรอบๆ
บริเวณแถวนี้มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ อาจเป็นเพราะถูกตั้งอยู่บริเวณตีนเขา การที่จะมีใบหน้าปลิวมาตกอยู่ในบ้านจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่บ้านหลังนี้กลับไม่มีใบไม้ตกอยู่บริเวณหน้าบ้านซักใบ จะมีก็แต่บริเวณสวนในบ้านก็เท่านั้น
“ไดกิ ดูนี่สิ” เรียวสุเกะก้มลงไปนั่งยองๆที่พื้น “มีรอยรองเท้าหนังด้วยล่ะ ไม่ใช่แค่คนเดียวซะด้วยสิ” เรียวสุเกะชี้นิ้วไปที่พื้นดินตรงทางเดินเข้าไปในสวน อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เมืองแห่งนี้ส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรกันเกือบทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ที่จะใส่รองเท้าหนังเข้ามาเดินแถวนี้ หรืออาจจะมีคนที่ทำงานบริษัทเดินเข้ามาก็จริง แต่จะยกกันเข้ามาในบ้านของคนอื่นทำไมกันล่ะ ที่สำคัญ เป็นขณะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่อีกเสียด้วยสิ...
“จริงด้วย” ไดกินั่งลงบ้าง “รอยชัดขนาดนี้ น่าจะเป็นเมื่อคืน ไม่แน่อาจจะเป็นตอนเช้าก็ได้นะ” ไดกิวิเคราะห์ สภาพภูมิอากาศที่เย็นชื้นทำให้ดินนิ่ม และเห็นรอยรองเท้าได้ชัดเจน
เรียวสุเกะหยิบตลับเมตรขนาดพกพาออกมาจากกระเป๋า วัดขนาดรอยรองเท้าที่พวกเขาเจอ พร้อมกับวัดความลึกของมันด้วยความชำนาญ
“ยาว 28 cm ลึก 2 cm จากความหนาแน่นของดินแล้ว น่าจะเป็นผู้ชาย สูงราว 180 cm น้ำหนัก ประมาณ 70-80 kg อืม… สามคนล่ะมั้งเนี่ย ” เรียวสุเกะเก็บตลับเมตรลงกระเป๋า และลุกขึ้นนับรอยเท้า
“ให้ตายสิ แต่งตัวแบบนั้น เข้ามาค้นบ้านคนอื่นแบบนี้ ไม่มืออาชีพเลยแฮะ” ไดกิบ่น แล้วลุกขึ้นยืน เขาคงหมายถึง แต่งตัวเต็มยศ สวมรองเท้าหนังเข้ามากระมัง
“คงไม่ใช่มืออาชีพแหละ ดูหุ่นพวกมันสิ พวกข่มขู่ชัดๆ”
“แล้วเอาไงต่อดี จะเข้าไปเลยรึเปล่าล่ะ” ไดกิมองบ้านตรงหน้า อันที่จริงพวกเขายังไม่ได้ก้าวเข้าไปในเขตบ้านด้วยซ้ำ
“ก็…” ขณะที่เรียวสุเกะกำลังจะอ้าปากตอบ ก็มีเสียงอันคุ้นหูแทรกขัดจังหวะเข้ามา
“อ้าว เธอสองคนที่นั่งอยู่ในร้านราเมนนี่นา” คุณป้าในร้านราเมนนั่นเอง!
ไดกิและเรียวสุเกะหันมาตามเสียงเรียก ก่อนจะปั้นหน้ายิ้ม แล้วโค้งให้ตามมารยาท
“มาหา คุณซากาโมโตะ หรอ” คุณป้าอีกคนถาม
“เอ่อ…ใช่ครับ เขาไม่อยู่เหรอ” เรียวสุเกะยิ้มถามอย่างนอบน้อม
“ไม่อยู่มาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วแล้วล่ะจ้ะ แต่อีกสองวันเขาก็จะกลับมาแล้วล่ะ” คุณนายโทคิเอดะบอก ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านของตัวเอง ที่หน้าบ้านแขวนป้ายไม้ลักษณะเดียวกันกับบ้านซากาโมโตะไว้ว่า
“บ้านโทคิเอดะ”
“อ้าว อย่างนั้นเหรอครับ ว่าแต่ ขอโทษที่เสียมารยาทแอบฟังนะครับ คือ บ้านหลังนี้มีผีจริงๆน่ะ เหรอครับ” ไดกิไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือ ถามคุณนายคนสุดท้ายที่ยังไม่ยอมเข้าบ้าน
“ใช่จ้ะ ช่วงราวๆ เที่ยงคืน ถึง ตีสามน่ะ ทุกคืนเลยตั้งแต่คุณนายเจ้าของบ้านเขาไม่อยู่” คุณนายคนนั้นเหลือบมองบ้านซากาโมโตะอย่างเกรงๆเล็กน้อย “ต้องเป็นผีคุณสามีเจ้าของบ้านที่เสียชีวิตไปเมื่อ 10 ก่อนแน่ๆเลย ใครๆเขาก็พูดกันอย่างนั้น” พูดจบ คุณป้าแกก็ทำท่าหวาดกลัวเสียจนโอเวอร์
“คุณสามีที่พึ่งเสียชีวิตไปเมื่อ 10 ปีก่อนหรอครับ เขาเป็นอะไรถึงได้เสียชีวิตหรอครับ” ไดกิแสร้งถามต่อ
…คุณป้ามีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“แหม มันไม่ใช่เรื่องสนุกนักหรอกนะจ๊ะ เอาเป็นว่า ไว้ค่อยมาใหม่ก็แล้วกันนะ” ว่าจบ คุณนายแกก็รีบวิ่งกลับเข้าบ้านไปทันที
หลังจากที่คุณป้าแกปิดประตูบ้านแล้ว…
“เชอะ ทำอย่างกับกลัวอะไรนักหนา คุณนาย ซึซึกิ” ไดกิแอบแลบลิ้นไล่หลังคุณนายคนนั้น
“เอาเหอะน่า อย่างน้อยเราก็รู้ว่าพวกนั้นจะมาราวๆ เที่ยงคืน ถึง ตีสาม เราก็ชิงลงมือก่อนที่พวกนั้นจะมาถึง โอเคไหม” เรียวสุเกะปราม
“เข้าใจแล้ว แต่ว่า ไหนๆก็ไหนๆแล้ว มาถึงหน้าบ้านแล้วทั้งที จะให้กลับแล้วมาใหม่ตอนกลางคืน ก็ไม่ใช่นิสัยที่ดีของเด็กๆอย่างเราเสียด้วยสิ” ไดกิยิ้มแล้วเอามือล้วงกระเป๋า
เรียวสุเกะยิ้มบ้าง
“นั่นน่ะสิ เด็กดีต้องกลับบ้านก่อน 5 โมงเย็นสิ ใช่ไหม”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม ก่อนจะพากันเดินอ้อมไปด้านหลัง แล้วลอบเข้าบ้านซากาโมโตะจากทางประตูหลังแทนที่จะเข้าทางประตูหน้า…
…กันไว้ก่อนเผื่อคุณป้าสองคนนั่นแอบดูอยู่ต่างหากล่ะ
“อึ๊บ! แหม่ เข้าง่ายกว่าที่คิดแฮะ” ไดกิพูดหลังทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้สูงหลังบ้านได้แล้ว พวกเขาปีนต้นไม้เข้ามาทางสวนหลังบ้านนี่เอง
“ดูสิไดกิ ในนี้ก็มีรอยรองเท้าอยู่เพียบเลยล่ะ” เรียวสุเกะที่ลงมาก่อน ชี้บริเวณโดยรอบให้ดู
“นี่เราต้องเก็บรอยเท้าแทนพวกมันไหมเนี่ย” ไดกิบ่นติดตลก
“เรื่องสิ…เราไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ไปกันได้แล้ว” เรียวสุเกะไม่เล่นด้วย เดินนำไปที่ประตูหลังบ้านแทน
ไดกิจึงต้องรีบเดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
“ไดกิ เปิดประตูให้หน่อยสิ”
“รู้แล้วน่า” ไดกิตอบร่าเริง งานแบบนี้ล่ะ เขาถนัดที่สุดเลย เด็กหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบกล่องเหล็กสีเงินใบเล็กออกมา
กริ๊ก!
เสียงปลดล็อกกล่องดังขึ้น ไดกิจัดแจงเปิดฝามันออก ภายในกล่องถูกบุด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดงสด กุญแจรูปแบบต่างๆถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ มันคือ กุญแจผีนั่นเอง! ของเล่นชิ้นโปรดของไดกิเชียวล่ะ
เด็กหนุ่มสลับสายตามองระหว่างของในมือกับรูกุญแจประตูบ้านไปมา ไม่นานไดกิก็ตัดสินใจเลือกกุญแจดอกหนึ่งออกมา กุญแจดอกนี้มีลักษณะเหมือนกุญแจบ้านทั่วไป แต่แตกต่างจากกุญแจบ้านทั่วไปตรงที่ว่า มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุทนทานแข็งแรงชั้นดีต่างกับกุญแจทั่วไป และที่สำคัญมันมีเพียงดอกเดียวในโลก
…เพราะ อิโนโอะ เคย์เป็นคนประดิษฐ์มันขึ้นมา บนฐานความสร้างสรรค์ของไดกิยังไงล่ะ
กริ๊ก!
เสียงปลดล็อกดังขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเสียงปลดล็อกจากประตูบ้านซากาโมโตะมิใช่กล่องของเล่นของไดกิแต่อย่างใด เด็กหนุ่มยิ้มอย่างพอใจและเก็บกุญแจลงกล่องของมัน
แอ๊ดดด
เรียวสุเกะที่สวมถุงมือรออยู่ เปิดประตูเข้าไปทันทีที่ได้ยินเสียงปลดล็อก ไดกิเก็บกล่องเหล็กใส่กระเป๋ากางเกง เขาดึงถุงมือขึ้นมาสวมและเดินตามเข้าไปในบ้าน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป ห้องแรกที่พบก็คือห้องครัว ประตูนี้เป็นประตูห้องครัวนั่นเอง บ้านทั้งหลังมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ แต่ก็มีแสงแดดจากภายนอกส่องเข้ามาในตัวบ้านทำให้บ้านสว่างขึ้น ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการสำรวจแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนคงจะลำบากกว่านี้หลายเท่าแน่
เด็กหนุ่มทั้งสอง เปิดกระเป๋าเป้ใบเล็กที่พกมา หยิบถุงพลาสติกใสชนิดพิเศษออกมาจากกระเป๋า พวกเขาสวมมันเข้าที่รองเท้าของตัวเองทั้งสองข้าง เพื่อช่วยกันไม่ให้เกิดรอยเท้าและเศษดินที่อาจติดเข้ามาในบ้านพร้อมกับรองเท้าของพวกเขาหลุดเลอะออกมา อีกทั้งยังช่วยลดการเกิดเสียงอีกด้วย นับว่าเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นสำหรับการสำรวจอย่างมาก
เมื่อเตรียมตัวเสร็จ ทั้งคู่รูดซิปปิดกระเป๋าเป้ และยกขึ้นสะพายหลังอีกครั้ง ก่อนจะค่อยๆเดินเข้ามาในตัวบ้าน โดยไม่ลืมที่จะหันไปล็อกประตูห้องครัวที่พวกเขาเดินเข้ามาไว้อย่างเก่า
กริ๊ก!
“อื้อหือ ดูก็รู้ว่ามีคนเข้ามา” ไดกิพูด จริงของเขา แม้ว่าจะภายในบ้านจะไม่ได้ถูกรื้อเหมือนกับมีขโมยขึ้นบ้าน แต่ก็ยังพอจะมีร่องรอยที่จะแสดงให้เห็นได้ว่า มีใครบางคนเข้ามาเป็นแน่
เรียวสุเกะยังคงเดินสำรวจอยู่อย่างเงียบๆ สายตาเขาไปสะดุดเห็นกรอบรูปอันเก่าอันหนึ่งวางเด่นอยู่บนตู้โชว์ สองสามีภรรยาถ่ายรูปกันชื่นบานอยู่หน้าถ้ำหินแห่งหนึ่ง บริเวณข้างๆถูกล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้จนเต็มตา น่าเสียดายที่รูปเก่าแล้วจึงทำให้ดูสีจางลงไปบ้าง ดูไม่ค่อยออกว่าเป็นดอกอะไร
“รูปนาย ซากาโมโตะกับภรรยาสินะ” ไดกิยื่นหน้าเข้ามาดูข้างๆ
“อืม ไปต่อเถอะ ชั้นว่า เราดูชั้นสองกันก่อนดีไหม ถ้าจะให้ค้นตามที่พวกมันเคยค้นไว้ก็อาจจะเสียเวลาก็ได้ เพราะพวกมันก็คงจะไม่เจอเหมือนกัน ไว้เรามีเวลาค่อยมาย้อนตามดีกว่านะ” เรียวสุเกะออกความเห็น
“เห็นด้วยนะ ชั้นว่าห้องนอนมันก็น่าจะมีอะไรบ้างแหละ” ไดกิพยักหน้า แล้วเดินนำขึ้นไปบนชั้นสอง
บ้านชั้นสอง ถูกแบ่งออกเป็นห้องใหญ่ๆเพียงแค่ 2 ห้อง ห้องหนึ่งเป็นห้องนอน ส่วนอีกห้องหนึ่ง เป็นห้องทำงาน เหนือความคาดหมายของไดกิและเรียวเรียวสุเกะเล็กน้อย ไม่คิดว่าบ้านเล็กๆอย่างนี้จะมีห้องทำงานอยู่ด้วย พวกเขาทั้งสองคนจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปที่ห้องทำงานก่อนแทน
เมื่อเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป ชั้นหนังสือสองสามชั้นถูกตั้งเรียงเป็นหน้ากระดานติดผนังห้อง หนังสือตำราเก่าที่จัดไว้อย่างเป็นระเบียบ แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครแตะต้องมันมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้านคนปัจจุบันหรือภรรยาของนายซากาโมโตะ จะทำหน้าที่แค่ปัดฝุ่นให้พวกมันเท่านั้น
ไดกิเดินไปหยิบหนังสืออกมาเปิดอ่าน
“หนังสือพวกนี้พิมพ์มา 20 กว่าปีได้แล้วมั้งเนี่ย”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นา ” เรียวสุเกะตอบอย่างไม่ใส่ใจ เพราะเขากำลังง่วนอยู่กับโต๊ะทำงานไม้ตัวเก่าของเจ้าของบ้านอยู่
โต๊ะไม้ตัวเก่าตั้งอยู่ริมหน้าต่าง ทำให้เขาเห็นวิวด้านนอกหน้าต่างได้อย่างชัดเจน เด็กหนุ่มเห็นภูเขาที่อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไหร่นัก ต้นไม้สีเขียวแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ แต่กลับมีจุดๆหนึ่งที่เด่นสะดุดตาอยู่ท่ามกลางหมู่ไม้สีเขียวเหล่านั้น แต่เรียวสุเกะก็เลือกที่จะหันกลับมาสนใจบนโต๊ะทำงานแทน
เด็กหนุ่มลูบลงที่พื้นโต๊ะไม้ที่เริ่มแตกเป็นลายไม้เก่าอย่างชัดเจน เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปรกติของโต๊ะไม้โต๊ะนี้ ดูเหมือนกับว่าลายไม้มันเชื่อมต่อกันอย่างไงอย่างนั้นแหละ
เรียวสุเกะใจเต้น หรือว่า…
สองมือของเขากดลงไปบนพื้นโต๊ะไม้ด้วยแรงที่ไม่เบาและไม่มากจนเกินไป แผ่นไม้ยุบตามแรงมือของเขา และเมื่อปล่อยมือออก แผ่นไม้ก็ถูกยกตัวขึ้นมาจากหน้าโต๊ะเบาๆ ปรากฏออกเป็นลิ้นชักลับที่ถูกซ่อนเอาไว้
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง ด้านในมีหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่งวางอยู่…
“ไดกิ นายมาดูนี่หน่อยสิ” เรียวสุเกะเรียกเสียงเบา คู่หูอีกคนเก็บหนังสือเข้าที่แล้วเดินมาหา
“มีอะไรหรอ” ไดกิถาม ก่อนจะเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นสิ่งที่เรียวสุเกะเอามาให้ดู
มันคือหนังสือเล่มเก่าหนาเล่มหนึ่ง ที่กระดาษเริ่มแห้งกรอบเป็นสีเหลืองบ้างแล้วหลายจุด ที่หน้าปก มีตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเลือนๆถูกเขียนด้วยลายมือว่า
‘Poisonous flowers by Sakamoto yuichi’ *ดอกไม้พิษ
ทั้งสองคนมองหน้ากัน
“นายเจอมันได้ยังไงน่ะ เรียวสุเกะ”
“มันมีช่องลับอยู่บนโต๊ะนี้น่ะ” เรียวสุเกะค่อยๆหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมา “นายลองอ่านดูสิ” แล้วยื่นให้ไดกิที่ยืนตื่นเต้นอยู่ด้านหลัง
ไดกิรับมันมาเปิดอ่านอย่างระมัดระวัง
“เป็นยังไงบ้าง” เรียวสุเกะถาม
ไดกิเริ่มมีสีหน้าตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งตื่นเต้นและเสียวสันหลัง
“อืม ของสำคัญเลยนะเนี่ย” ไดกิเปิดหน้าผ่านๆไปเรื่อยๆอย่างตื่นเต้น แต่ละหน้าจะประกอบไปด้วย ชื่อ และ รูปของดอกไม้ รวมไปถึงสรรพคุณความเป็นพิษของมันอย่างละเอียด ทำให้เขาถึงกับมือสั่นเลยทีเดียว
เรียวสุเกะพยักหน้า
“เอากลับไปเถอะ” เรียวสุเกะบอกก่อนจะหันหลังกลับไปที่ลิ้นชักลับอีกครั้ง “ดูจากฝุ่นบริเวณรอบๆ กับในลิ้นชักแล้ว ดูท่าทางพวกนั้นจะยังไม่เจอมันนะ” เรียวสุเกะยิ้มบางๆ ถึงจะมาช้ากว่าแต่พวกเขาก็นำหน้าพวกมันได้แล้ว
“ดีมากเพื่อน” ไดกิยกนิ้วให้ พลางเก็บหนังสือลงในกระเป๋าอย่างระมัดระวัง “ดูท่าทางนายซากาโมโตะ จะเป็นผู้เรียบเรียงนะ เพราะมันถูกเขียนด้วยลายมือทั้งเล่มน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ดี เผื่อเราจะได้ข้อมูลทางนิติเวชเพิ่มขึ้นอีกด้วย” เรียวสุเกะหมายถึง ข้อมูลจากลายมือของนายซากาโมโตะ “แต่หน้าแปลก ทำไมเขาถึงบันทึกเป็นภาษาอังกฤษนะ” เรียวสุเกะคิด พลางปิดลิ้นชักลับนั่น
“นั่นน่ะสิ เอาเป็นว่าค่อยไปคุยกันต่อที่ห้องพักดีกว่า ตอนนี้เราไปดูอย่างอื่นกันก่อนเถอะ” ไดกิชวน “นายดูห้องนี้ต่อนะ เดี๋ยวชั้นจะไปดูที่ห้องนอน”
…และไดกิก็เดินออกไปจากห้องทำงาน
เรียวสุเกะเริ่มออกเดินสำรวจห้องทำงานอีกครั้ง เด็กหนุ่มลองใช้มือลูบลงไปตามพื้นไม้ เผื่อจะเจออะไรที่ซ่อนอยู่อีกครั้ง
เด็กหนุ่มยังคงลูบไปตามชั้นไม้ต่างๆ เผื่อว่าความหวังอันริบหรี่จะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ผิดหวังเลย แม้จะผิดจุดประสงค์ไปบ้าง แต่ดูเหมือนเขาจะพบอะไรเข้าให้แล้ว
ทางด้านไดกิเองก็ดูเหมือนจะพบอะไรเข้าเหมือนกัน…
“เรียวสุเกะ!” ไดกิเปิดประตูห้องทำงานเข้ามา
“ไดกิ!” จังหวะเดียวกันเรียวสุเกะก็หันหน้าไปหาคู่หูเช่นกัน ทั้งสองมองตากันซักพัก ต่างฝ่ายต่างดูเหมือนจะพบอะไรสำคัญๆเข้าให้
บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าจริงจังของแต่ละฝ่าย ทำให้คนฝั่งตรงข้ามเริ่มทนไม่ไหว…หลุดขำออกมา หลังจากจ้องหน้ากันอยู่ได้ซักพักหนึ่ง
“อุ๊บ ฮ่าๆๆ หน้านายตลกชะมัดเลย ไดกิ” เรียวสุเกะ หัวเราะจนเก๊กหลุด
“ฮ่าๆๆๆ นายก็เหมือนกันแหละ เรียวสุเกะ” ไดกิ หัวเราะเสียงดัง
“อ๊ะ! ชู่ว! อย่าเสียงดังสิ!”
“เออใช่ ลืมตัวไปหน่อย” ไดกิตกใจจนเผลอยกมือขึ้นปิดปาก
เด็กหนุ่มทั้งสองคนมองหน้ากันอีกครั้งแล้วขำน้อยๆ
“ฮะๆ อะไรกัน สถานการณ์ตึงเครียดแท้ๆ” เรียวสุเกะส่ายหน้า
“ก็หน้าตานาย ตอนจริงจังสุดๆมันตลกนี่นา” ไดกิหัวเราะ
“หน้าตานายตอนจริงจัง มันก็ตลกแบบขนลุกนิดๆเหมือนกันแหละ” เรียวสุเกะพูด
“เฮ้ย! หมายความว่าไงเนี่ย”
“เอาน่าๆ แล้วตกลง นายไปเจออะไรมา”
“เออใช่ มานี่สิๆ” ไดกินึกขึ้นได้ แล้วเดินนำกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง และชี้บางสิ่งบางอย่างที่ตัวเองพบให้เรียวสุเกะดู
เรียวสุเกะมองนิ่ง
“อืม ชั้นก็เจอเหมือนกัน ดูท่าทาง เรื่องจะยากขึ้นมาอีกซะแล้วสิ”
“อุตส่าห์เจอของดีแล้วแท้ๆ สงสัยต้องเข้ามาอีกหลายรอบแหงๆ” ไดกิทำหน้าเบื่อแล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
“ทำใจน่า อีกอย่างวันนี้พึ่งวันแรกเอง แล้วก็ไปได้แล้ว จัดเตียงให้เหมือนเดิมด้วยล่ะ”
เรียวสุเกะบอก แล้วก็เดินลงไปข้างล่าง ทิ้งไดกิให้บ่นง้องแง้งต่ออยู่คนเดียว…
ทั้งสองคนเดินลงมา สำรวจที่ชั้นล่าง เพื่อค้นหาสิ่งที่อาจจะมีเหมือนกันบนห้องชั้นสองที่พวกเขาพึ่งขึ้นไปเมื่อสักครู่นี้และก็เป็นไปตามคาด มันมีอยู่จริงๆด้วย…
“สงสัยเราต้องจัดการไอ้นี่ก่อน สูตรลับซะแล้วมั้งล่ะเนี่ย” ไดกิยืนลูบคางอยู่หน้าชั้นวางของในห้องนั่งเล่น
เรียวสุเกะเหลือบไปมองที่รูปถ่ายใบนั้นอีกครั้ง
“มีอีกหลายอย่างต่างหากล่ะ ที่ต้องจัดการก่อนหาสูตรลับน่ะ” เรียวสุเกะเปรยเบาๆกับตัวเอง โดยที่ไดกิไม่ได้ยิน
…คงต้องรอคุณนายคนนั้นกลับมาซะแล้วล่ะ
ทั้งสองเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างเงียบๆ พวกเขาตกลงกันว่า จะกลับมาอีกทีพร้อมของบางอย่าง ก่อนเที่ยงคืนวันนี้ หรือในอีกนัยก็คือ ก่อนที่กลุ่มคนอีกกลุ่มจะเข้ามายึดครองบ้านหลังนี้ต่อจากพวกเขา…
“เฮ้อ คราวนี้จะมีอะไรแปลกๆอีกไหมเนี่ย” เรียวสุเกะแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างเหนื่อยอ่อน
“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ ชั้นล่ะ ตื่นเต้นจะตายไป” ไดกิพูดร่าเริง พลางยกโทรศัพท์ขึ้นมากด
“ก็ใช่สิ แต่สำหรับชั้นมันมีแต่อะไรแปลกๆนี่นา”
พวกเขาพูดเรื่องอะไรกันอยู่เหรอ…?
“เออน่า อ๊ะ ฮัลโหล ยาบุคุงหรอ~” ไดกิกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ เขาโทรหายาบุที่โตเกียวนี่เอง รายงานผลงั้นหรือ? “อื้ม เข้าไปแล้วล่ะ เจอของดีมาด้วย เออนี่ มีอะไรจะรบกวนหน่อยน่ะ คือว่า…”
เรียวสุเกะเดินฟังไดกิคุยโทรศัพท์อย่างเงียบๆ พวกเขาเดินมาจนถึงร้านขายราเมนเมื่อตอนกลางวันแล้ว ตอนนี้ก็16.45 โมงแล้ว ถึงเวลาเลิกงานพอดี ร้านรวงแถวนี้จึงเริ่มคึกคักขึ้นมาบ้าง แต่ก็ไม่มากนัก เพราะมีพนักงานบริษัทอยู่น้อยกว่าเกษตรกร
ตอนแรกกะจะแวะกินราเมนอร่อยๆขากลับอีกครั้ง สงสัยคงต้องยกยอดไปพรุ่งนี้แล้วเสียล่ะ เพราะดูท่าทางคงต้องเดินผ่านร้านคุณลุงใจดีคนนี้ไปอีกหลายวัน
“โอเค! แล้วเดี๋ยวจะส่งเมล์ไปนะ บ๊ายบาย” จังหวะพอดีกับที่ไดกิคุยโทรศัพท์เสร็จ
“ว่าไง มีไหม” เรียวสุเกะถามเสียงเนือยๆ
ไดกิยิ้มเผล่ แล้วเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
“แน่นอน ครั้งนี้ต้องถูกใจนายแน่ๆ” ไดกิจิ้มแก้มเรียวสุเกะ เป็นเชิงแกล้ง
เรียวสุเกะสะบัดหน้าหนี
“ถูกใจทุกที ถูกใจนายน่ะสิ! แล้วตกลงยังไงล่ะ…ที่ไหน” เรียวสุเกะถามเสียงเย็น ซึ่งเรียกต่อมความอยากแกล้งของไดกิได้เป็นอย่างดี เขาจึงทำท่าร้องเพลงสบายใจเดินนำเพื่อนรักไป อย่างมีความสุข
เห็นดังนั้นยิ่งทำให้เรียวสุเกะหมั่นไส้เข้าไปอีก เด็กหนุ่มเดินไปตบหัวคู่หูหนึ่งที แล้วเดินขึ้นรถบัสไป…
เมืองอิชิโอกะตอนกลางคืนคึกคักผิดกับเมืองยาซาโตะลิบลับ ทั้งๆที่ห่างกันแค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับตัวเมืองใหญ่ๆหรอกนะ
“ทำไมลงรถที่นี่ล่ะ ชั้นนึกว่าจะเข้าไปในเมืองใหญ่ที่อิบารากิซะอีก” เรียวสุเกะถาม หลังจากเดินตามไดกิอยู่นาน
“ตอนแรกชั้นก็นึกว่าจะต้องไปที่นั่น แต่เห็นยาบุคุงบอกว่า ที่นี่ก็มีน่ะ” ไดกิตอบยิ้มๆ เด็กหนุ่มเดินเนิบนาบไปตามถนนเหมือนกับมาเที่ยว
“เดี๋ยวนี้กระจายไปทั่วแล้วหรอเนี่ย แล้วนายเหอะ รีบๆหน่อยสิ ไม่ได้มาเที่ยวนะ” เรียวสุเกะ เตือน
“รู้แล้วน่า อย่าพึ่งรีบสิ พึ่ง 5 โมงครึ่งเอง เมื่อกี้ยิ่งเครียดๆอยู่ ขอปล่อยกายปล่อยใจบ้างสิ”
“ชั้นยังไม่เห็นว่านายจะเครียดตรงไหนเลย” ถึงจะสนิทกันจนรู้กันไปเสียหมดทุกเรื่อง แต่บางทีเรียวสุเกะก็เดาไม่ออกว่าไดกิคนนี้ ตอนไหนเครียด ตอนไหนเอาจริงกันแน่
“ฮะๆ ว่าแต่นายชอบกินน้ำหวานรึเปล่า” จู่ๆไดกิก็เปลี่ยนเรื่องพูด
“น้ำหวานเหรอ? อืม ชอบกินสิ ชั้นชอบกินของหวานนี่นา” เมื่อนึกถึงของหวาน เรียวสุเกะจึงเริ่มยิ้มออกมานิดๆ
“หรอ แล้วน้ำหวานรสแอปเปิลล่ะ”
“นายหมายถึงน้ำแอปเปิลรึเปล่า? ชอบสิ”
…เรียวสุเกะตอบคำถาม โดยที่ไม่ทันสังเกตว่าไดกิหยุดเดินแล้ว
“งั้นก็คงถูกใจนายล่ะนะ” ไดกิยิ้มหน้าแป้น พร้อมกับชี้สถานที่เบื้องหน้าที่คาดว่าจะเป็นจุดหมายปลายทางของพวกเขาให้ตอนนี้ให้ดู
‘Forte Bar’
ตัวอักษรไฟตัวใหญ่โชว์เด่นอยู่กลางซอยย่านคึกคักของคนเมืองนี้ ประตูหน้าร้านเป็นกระจกติดฟิล์มหนาสีดำทึบ เสียงดนตรีกระหึ่มดังเล็ดลอดออกมาจากนอกร้าน หน้าประตูมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าโหดยืนอยู่ มันคือ ร้านอาหารยามดึกของหนุ่มสาว หรือ เรียกอีกอย่างว่า ผับนั่นเอง
“ไดกิ!!!” เรียวสุเกะแทบจะเดินหนีออกไปเสียให้ได้ ก็เขาไม่ชอบสถานที่พวกนี้นี่นา! ผิดกับเพื่อนรักที่ชอบอะไรที่สนุกสนานเป็นชีวิตจิตใจ แต่ไดกิก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งกับสถานที่พวกนี้เลยนะ
“แหม ว่าแล้วต้องโวยวาย” ไดกิยืนยิ้มเกาหัว
“ไม่เอา นายเข้าไปคนเดียวเหอะ!” เรียวสุเกะตั้งท่าจะไม่ยอมอยู่อย่างเดียว
แต่คงไม่พ้นคู่หูขี้แกล้งของเขาลากเข้าไปจนได้ อีกอย่างเพราะถึงยังไงเขาก็ต้องเข้าไปด้วยอยู่ดี เพราะเป็นห่วงกลัวไดกิจะเผลอโดนหลอกเข้าเสียก่อน ไดกิยิ่งเป็นพวกเอ๋อๆอยู่?
“ผมมาหา มาสเตอร์อิชิดะ น่ะครับ” ไดกิพูดกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าโหดอย่างเป็นมิตร
รปภ.หน้าโหดก้มหน้าลงมามองเด็กหนุ่มทั้งสอง
“อายุเท่าไหร่แล้ว” รปภ.ถามเสียงเย็น แต่มีหรือไดกิจะกลัว
“เราอายุ 20 กันแล้วล่ะครับ พวกเราหน้าเด็กน่ะ” ไดกิตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน ทำเอาเรียวสุเกะหันหน้ากลับมามองอย่างตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสามารถเก็บอาการตกใจไว้ได้อย่างทันท่วงทีล่ะนะ
รปภ.คนนั้นมีท่าทีลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยอมปล่อยให้เดินเข้าไป เพราะท่าทีที่ดูไม่สะทกสะท้านของไดกิ และท่าทีสงบเยือกเย็นของเรียวสุเกะ
“ไดกิ นายนี่ชักจะหน้าด้านขึ้นทุกวันเลยนะ”
“อะไรกัน นายเองก็นิ่งได้ทุกวันเหมือนกันแหละ” ไดกิยิ้ม
ในร้านทั้งมืดทั้งเสียงดัง เรียวสุเกะจึงเดินติดไดกิไม่ห่าง ส่วนตัวไดกิก็เดินนำไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่ายังไง เรียวสุเกะก็ไม่มีทางออกห่างจากเขาอยู่แล้ว
ทั้งคู่เดินเข้ามาถึงเคานท์เตอร์เรืองแสงสีสวยกลางร้าน ไดกินั่งลงที่เก้าอี้สูงอย่างวางมาดเหมือนผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่เรียวสุเกะกำลังพยายามเลียนแบบไดกิอยู่เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต
ไดกินั่งเคาะนิ้ว สายตามองหาคนที่น่าจะเป็นเป้าหมายของเขา และในที่สุด เขาก็เห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่งยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่ไม่ไกลในชุดบาร์เทนเดอร์
“มาสเตอร์ อิชิดะ ใช่รึเปล่าครับ” ไดกิหยั่งเชิง โดยมีเรียวสุเกะนั่งมองอยู่ด้านข้างอย่างใจเย็น
ชายคนนั้นหันมาเมื่อได้ยินเสียงเรียก
“ใช่ครับ”
“ผมไม่ชอบแอปเปิลหวาน แต่ก็อยากลองชิมแอปเปิล ไม่ทราบว่าจะจัด มาร์ตินี่แอปเปิลให้ผมซักสองแก้วได้รึเปล่าครับ” ไดกิยิ้ม
ฟังดูเหมือนไดกิกำลังกวน หรือไว้ท่าใส่มาสเตอร์คนนั้นรึเปล่านะ ทำยังไงดีล่ะ เขาจะโกรธไหมนะ! แล้วทำไมเรียวสุเกะถึงได้ไม่มีท่าทางจะเข้าไปห้ามเลยล่ะ?
มาสเตอร์อิชิดะยิ้ม
“ได้ครับ รอซักครู่” พูดจบเขาก็หันหลังเดินหายเข้าไปในห้องของพนักงานทันที
“ท่าทางชำนาญแบบนั้น นายไปเลียนแบบมาจากไหนน่ะไดกิ” เรียวสุเกะเหน็บ ก็ท่าทีของไดกิเมื่อกี้นี้ ดูเหมือนกับพวกเที่ยวกลางคืนตัวฉกาจเลยนี่นา
“ก็เลียนแบบในหนังแหละ ไม่นึกว่าจะได้มาใช้จริงๆนะเนี่ย” ไดกิทำท่าภูมิใจกับความสามารถของตัวเอง เรียวสุเกะจึงถอนหายใจอย่างปลงๆ
“เมื่อไหร่จะออกมานะ ชั้นล่ะอยากจะออกไปใจจะขาดอยู่แล้ว”
ทันใจเรียวสุเกะ มาสเตอร์คนเดิม เดินออกมาจากห้องพนักงานพร้อมกับถุงกระดาษในมือสองใบ และยื่นให้กับเด็กหนุ่มทั้งสอง และหันหลังไปหยิบแก้วนิ้วสีเขียวใสด้านหลัง มาเสิร์ฟให้เด็กหนุ่มทั้งสองตรงหน้า
“มาร์ตินี่แอปเปิลที่สั่งได้แล้วครับ” มาสเตอร์อิชิดะ ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ก่อนจะผายมือเหมือนกับจะเชิญให้ดื่มน้ำสีเขียวอำพันนั่น
ไดกิยิ้มแล้วยกแก้วขึ้นมา เรียวสุเกะถึงกับตาโต เพราะว่ามันเป็นเหล้าน่ะสิ!
แต่ไดกิขยิบตาให้บอกว่าไม่เป็นอะไร เขาจึงยอมยกตามขึ้นมาบ้าง
“คัมไป”
“คัมไป”
****************
ยาวขึ้นมาอีกนี้ดด ไม่ได้อัพนานอีกแล้ว ฮ่าๆๆ ตอนนี้แต่งนานมากเลย ตั้งแต่บ่ายสองยันห้าทุ่ม โอ้ว! หยุดพักไปตอนหนึ่งทุ่มถึงสามทุ่มครึ่งน่ะ อย่าตกใจไป อิอิ อาจจะจบแบบค้างๆบ้าง? แต่ก็รอติดตามตอนต่อไปนะจ๊ะ
ความคิดเห็น