ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic hey!say!jump] Special Short Fic

    ลำดับตอนที่ #15 : [SF] My idol (Ariyama)

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 55


    คุณเคยลองคิดถึงความรักที่เป็นไปไม่ได้บ้างหรือเปล่า?

     

    พอได้ยินคำถามนี้ ผมเชื่อว่าในหัวของพวกคุณคงกำลังประมวณภาพถึงความารักที่เป็นไปไม่ได้ว่ามันมีอะไรบ้างสินะ บางคนอาจจะนึกถึง การรักคนมีเจ้าของ หรือ บางคนอาจจะนึกถึงการหลงรักคนที่อยู่สูงเกินเอื้อม

    แต่สำหรับผม ยามาดะ เรียวสุเกะ คนนี้ ผมหลงรักไอดอลคนนึงครับ

    ผมเป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกคนนึงที่อาศัยอยู่ที่เมืองๆหนึ่งในจังหวัดฮอกไกโด ผู้ชายตัวเล็กๆหน้าตาบ้านๆคนนึง มีคนบอกว่าหน้าตาของผมออกไปทางหวานเหมือนกับเด็กผู้หญิง ซึ่งผมก็ยอมรับว่าตัวผมเองก็คิดแบบนั้น แต่นั่นมันไม่ใช่เรื่องที่ผมจะเล่าให้คุณฟังวันนี้

    ชีวิตที่เริ่มมีสีสันมากขึ้น มันพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นมาเมื่อตอนสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้น มัธยม 2 ผมได้มารู้จักกับวง Hey!Say!JUMP วงไอดอลบอยแบรนด์กรุ๊ปสังกัด ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่จอร์นนี่ สมาชิกรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมทั้ง 8 คน ก้าวหน้าออกมาในฐานะไอดอล คนเหล่านี้ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป

    ที่แล้วๆมา ผมก็เป็นแค่เด็กผู้ชายคนนึงที่ชอบอ่านการ์ตูนเป็นชีวิตจิตใจ ผมอาจจะไม่บ้าคลั่งเหมือนพวกผู้ชายตัวอ้วนๆใส่แว่นเดินตามย่านอากิฮาบาร่าในโตเกียว แต่ผมก็ถือได้ว่าเป็นโอตาคุตัวยงคนหนึ่งได้เหมือนกัน ซึ่งในอีกแง่ผมกำลังจะหมายถึง ผมไม่เคยเหลียวมองไอดอล ซึ่งเป็นคนที่มีชีวิตจริงๆเลย

    แต่เหมือนสวรรค์ช่างเล่นตลกกับชีวิตของผม หลังจากที่ผมได้มารู้จักกับวงจัมพ์วงนี้ แว๊บแรกที่ผมมองผ่านโปสเตอร์ขนาดใหญ่ในเมืองระหว่างทางเดินกลับบ้าน สมองของผมก็จดจำใบหน้า และชื่อของสมาชิกคนหนึ่งในวงนี้ได้อย่างแม่นยำ ซึ่งผมค่อนข้างจะมั่นใจว่าผมจำมันได้ขึ้นใจเสียงยิ่งกว่ากรุ๊ปเลือดในร่างกายของผมซะอีก อาริโอกะ ไดกิ


     

    ผ่านมาเกือบ 5 ปีแล้ว ทุกวันนี้ผมก็ยังจำภาพๆแรกของไดจัง(ตอนนี้ผมเรียกเขาแบบนั้น)ได้เสมอ รอยยิ้มราวกับดอกทานตะวันที่กำลังเบ่งบานท่ามอากาศหนาวในเดือนพฤศจิกายน หัวใจผมหยุดนิ่งราวกับถูกสะกด สมองน้อยๆที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องได้ราวซักเท่าไหร่ จดจำตัวอักษรคันจิ  4 ตัวนั้นได้ราวกับว่ามันคือชื่อของพ่อแม่ผม

    ทุกอย่างมันเริ่มต้นจากตรงนั้น

    หลังจากนั้นทุกๆวัน ผมก็มักจะใช้ช่วงเวลาในชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการติดตามมองไดจัง ทั้งทางโทรทัศน์ นิตยสารหรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต ผมทั้งสั่งซื้อของ สั่งจองซีดี หรือแม้แต่ไปยืนรอรถขนส่งซีดีในคืนก่อนที่ซีดีจะถูกวางขาย พูดมาขนาดนี้แล้ว อย่าว่าแต่ถ่างตาตื่นมาแต่เช้ามืด มานั่งรอดูข่าวเกี่ยวกับไดจังที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่กันแน่เลย ผมก็ทำมาแล้ว

    ความทุ่มเทเหล่านี้มันชักเลยเถิด จนผมได้เข้าใจว่า มันคือความรัก ที่ผมมีต่อผู้ชายคนหนึ่ง ที่ชื่อ ไดกิ ผมไม่ใช่เด็กผู้หญิงนะ แต่ผมก็รู้สึก ว่าผมรักเขาในฐานะที่เขาคือเด็กผู้ชายคนนึง ซึ่งผมจะยอมเป็นฝ่ายผู้หญิงเองล่ะมั้ง

    ความรู้สึกนี้ มันรุนแรงจนผมอยากที่จะไปหาเขาให้ได้ เมื่อตั้งใจได้แล้ว ผมก็เริ่มตั้งใจเรียนจนสอบเข้าโรงเรียนในโตเกียวได้สำเร็จ เมื่อทุกอย่างพร้อมผมก็ทำการย้ายตัวและหัวใจไปหาเขาที่โตเกียวทันที

    หลังจากที่ผมย้ายมาอยู่โตเกียว การดำเนินชีวิตของผมก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ แต่มันเปลี่ยนไปตรงที่ทุกๆครั้งที่ผมเดินออกจากหอ ผมจะมีความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง ทำไมน่ะเหรอ? ก็เพราะว่าผมหวังว่าจะมีซักวัน ที่ผมจะได้บังเอิญเจอไดจังเดินอยู่ในเมืองน่ะสิ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เคยเจอเขาซักครั้งเลย หรือว่าเราคงจะแคล้วกันจริงๆรึเปล่านะ?

     

    ยามะจัง~ เมื่อวานเราไปชิบุย่ามาเจอไดกิคุงกับเคย์โตะคุงเดินไปซื้อของกันด้วยนะ เราล่ะอยากจะเป็นลมอยู่ตรงนั้นเลย!” ยูริเพื่อนสนิทต่างโรงเรียนของผมฝอยข้อมูลใหม่ล่าสุดที่ตัวเองพึ่งได้ไปพบเจอมาเมื่อวานนี้ให้ผมฟังขณะที่เรานัดออกมาเจอกันหลังเลิกเรียน

    ห๊ะ! อย่ามาล้อเล่นน่า เราไปทุกวันไม่เคยเจอแม้แต่เด็กจูเนียร์ซักคนเลยนะ!” ผมโวยวาย ก็ใช่น่ะสิ ผมก็รู้นะ ว่าแฟนๆคนอื่นๆชอบเดินไปเจอเจ้าพวกนี้เดินเพ่นพ่านกันให้ว่อนในแหล่งช็อปปิ้ง มิกซี่(บล็อกมือถือ)ก็เด้งโชว์ขึ้นมาเกือบทุกวัน ว่ามีคนไปเจอคนนู้นมาคนนี้มา นี่ถามจริง สรุปว่าผมเดินผิดซอยหรือว่าพวกเขาพยายามจะเดินหลบผมกันแน่ห๊ะ?

    ยูริทำท่ากระริกกระรี้~ ยูริเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กหน้าหวานสวยราวกับเด็กผู้หญิง ทำให้ผมอดที่จะอิจฉาไม่ได้ หลายครั้งที่เจอหน้าเขาแล้วเราพูดคุยกันเรื่องของจัมพ์ มันก็ทำให้ผมอดที่จะเฟลไม่ได้ ก็นะ~ แฟนๆทุกคน อีกแง่นึงมันก็ศัตรูนั่นแหละ! ลองคิดสิ ถ้าได้มาเจอกันจริงๆ ถ้าเพื่อนเราที่เป็นแฟนจัมพ์อีกคนหน้าตาดีกว่า เขาก็ย่อมมีโอกาสที่จะเตะตาของไอดอลรูปหล่อได้มากกว่าอยู่แล้ว นี่แหละที่บางทีมันมักจะทำให้ผมรู้สึกไม่อยากเจอหน้ายูริ ก็เพราะผมน่ะ มันไม่มีอะไรสู้เขาได้เลย

    แหม ยามะจัง ไม่แน่ยามะจังอาจจะเดินกระทบไหล่มาหลายคนแล้ว แต่ยามะจังไม่ได้มองเองรึเปล่า~” ยูริพยายามปลอบผม ก็นะยังไงเราก็เพื่อนรักกัน ผมก็แค่อิจฉาเขาไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นแหละ~

    งั้นมั้ง ไม่รู้สิผมทำท่าเมินหน้าออกไปมองนอกกระจก บางทีผมก็ท้อนะ อุตส่าห์พยายามแทบตาย จากเด็กหัวธรรมดาๆคนนึง เปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างหนักจนสอบได้ทุนเรียนฟรี พร้อมค่ากินอยู่และที่พักของโรงเรียนชื่อดังใจกลางเมืองโตเกียวได้ พูดก็พูดเหอะ ผมเองก็ยังไม่คิดเลยว่าน้ำหน้าอย่างผมจะทำได้ขนาดนี้เหมือนกัน นี่สินะที่เขาเรียกว่า การทำเพื่อใครซักคน มันมักจะให้พลังวิเศษแก่เรามาเสมอ แต่ก็นั่นแหละ ทั้งๆที่เป็นอย่างนั้น จะหนึ่งปีผ่านไปแล้ว ผมก็ยังไม่มีโอกาสได้พบกับไดจังเลย แม้แต่ครั้งเดียว แม้แต่ฉิวเฉียดซักนิดก็ไม่มีอ่ะ!

    เอาน่ะๆ~ เดี๋ยวก็ต้องได้เจอเข้าซักวันนั่นแหละ~ แล้วนี่ยามะจังยังเขียนจดหมายส่งไปให้จัมพ์อยู่รึเปล่า?” ยูริปลอบใจผมอีกครั้งและเปลี่ยนเรื่องคุยเป็นเรื่องจดหมาย จดหมาย ใช่ ผมเขียนจดหมายถึงไดจังทุกเดือนเลยล่ะ แต่ผมก็ไม่กล้าพอที่จะจ่าหน้าสองไปถึงไดจังตรงๆหรอกนะ ถึงผมจะทำมาขนาดนี้แล้วก็ตาม แต่พอเอาเข้าจริง ผมมันก็แค่คนขี้ขลาดคนนึงที่ไม่กล้าที่จะต่อสู้อย่างเต็มเหนี่ยว ผมเลือกที่จะจ่าหน้าซองถึงจัมพ์และเขียนอ้อมๆถึงไดจังแทน

    เขียนสิยูริ เนี่ยเมื่อวานก็พึ่งส่งไปล่ะผมอมยิ้มเล็กๆ ตั้งแต่ผมย้ายมาอยู่โตเกียว ก็จะครบหนึ่งปีแล้ว ทุกๆอาทิตย์ที่สามของเดือนผมจะเขียนจดหมายส่งถึงจัมพ์ (เอ่อ เนียนส่งหาไดจังน่ะ) ถ้าถามว่าผมเขียนทำไมน่ะหรอ? ก็แค่ความหวังลมๆแล้งๆ ที่จะทำให้เขาจดจำผมได้น่ะสิ ผ่านการเขียนจดหมายเนี่ยแหละ

    ถ้าจะถามว่าผมทำยังไง ก็แค่ความคิดตื้นๆ ผมเขียนความรู้สึกที่มีแต่แรกถึงพวกเขา ความพยายามอันสุดโต่ง และอะไรหลายๆอย่างจนทำให้ผมเข้ามาอยู่ใกล้ๆเขาได้ โดยที่ผมจะเขียนจดหมายลงในกระดาษที่ฉีกมาจากสมุดไดอารี่เล่มโปรดของผมเพื่อเพิ่มพลัง (ฟังดูเหมือนผมเล่นของเลย?) และจงใจใช้กระดาษแบบเดียวกันนี้ส่งไปทุกครั้ง เพียงเพื่อหวังให้เขาจดจำผมได้
     

    ทั้งๆที่พวกเขาจะได้อ่านรึเปล่าผมก็ยังไม่รู้เลย

     

    ผมกับยูริคุยกันเพลินจนพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน เราจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน ถึงในกรณีของผมจะหมายถึงการกลับหอก็เหอะ
     

    เอ๊ะ?จะถามว่าทำไมผมถึงไม่ไปคอนเสิร์ตน่ะเหรอ? ผมมาอยู่โตเกียวตั้งปีนึงแล้วนะ คิดว่าผมจะพลาดหรอ ไม่มีทางซะหรอก~ ผมขึ้นรถไฟขบวนแรกไปยืนรอต่อแถวตอนปีใหม่ อุณภูมินั้นถ้าจำไม่ผิดก็เกือบติดลบ ผมไปยืนรอที่จะได้ไปซื้อของหน้าคอนเสิร์ต มันเป็นความทรงจำที่เจ็บปวดสำหรับคนตัวเล็กๆแต่อ้วนกลมอย่างผมจริงๆ

    อันที่จริงผมก็มีเรื่องดราม่าในการไปคอนเสิร์ตครั้งแรกเหมือนกันนะ หรือจะพูดอีกแง่ มันก็คือครั้งแรกที่ผมได้พบกับไดจังจริงๆนั่นแหละ ผมยังจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้ มันคือสิ่งที่เจ็บปวดจนผมเกือบที่จะตัดใจจากไดจังไปซะแล้ว

     

    วันนั้นเป็นการไปคอนเสิร์ตครั้งแรก ครั้งนั้นผมไปกับยูริซึ่งเป็นเจ้าถิ่นและไปบ่อยจนแทบจะไม่ตื่นเต้นกับคอนเสิร์ตอีกแล้ว ต่างจากผมที่ตื่นเต้นจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ จนถึงวินาทีที่ได้ก้าวเข้าไปอยู่ในฮอลนั้น ผมรู้สึกบรรยากาศรอบตัวของผมมันอื้ออึงไปหมด จนผมจำไม่ได้เลยว่ายูริพูดอะไรกับผมบ้างในช่วงก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่ม น่าเสียดายที่ครั้งนั้นพวกเราได้ที่นั่งที่ไกลจากตัวเวทีเหลือเกิน แต่ก็ไม่มากถึงขั้นเลวร้ายหรอกนะ แต่สำหรับผม ครั้งแรกผมว่านั่นน่ะดีแล้วล่ะ เพราะถ้าหากว่าอยู่ใกล้กว่านั้น ผมคงจะเป็นบ้า หรือร้องไห้ไปเลยก็เป็นได้

    ช่วงวินาทีที่ไฟดับลงพร้อมกับเสียงทักทายของไดจังที่มักจะโผล่ออกมาเป็นคนแรกๆเสมอก่อนที่จะปรากฏตัว ผมรู้สึกตัวเองเหมือนถูกผีอำ ตัวชาไปหมด ใจผมเต้นดังราวกับจะกระเด็นออกมาให้มันรู้แล้วรู้รอด ในใจเฝ้ารำพึงอยู่ตลอดว่า เราไม่ได้ฝันไป วันนี้เรากำลังจะได้เจอไดจัง ผู้ชายที่เรารักอย่างสุดหัวใจแล้ว

    ภาพของไดจังที่ปรากฏขึ้นมาต่อสายตาครั้งแรกในชีวิตของผม น้ำตาผมไหลออกมาเป็นทางอย่างไม่รู้ตัว ในที่สุดผมก็ได้เจอแล้ว ไดจังในที่สุดเราก็ได้มาหานายแล้วนะ

    ผมมองดูคอนเสิร์ตเงียบๆไม่ส่งเสียงร้อง หรือกระทำสิ่งใดๆทั้งนั้น ผมต้องการที่จะซึมซับสิ่งที่ผมเฝ้ารอมานานตลอดช่วงเวลานึงของชีวิตให้ได้มากที่สุด แต่วันนั้น มันก็ทำให้ผมค้นพบสัจธรรมที่แท้จริงว่า ไดจังในวันนั้นไม่ใช่ไดจังที่ผมรู้จักอีกต่อไป

    สิ่งนี้มันทำให้ผมช็อคยิ่งกว่าการได้เจอตัวของจัมพ์เป็นๆบนเวทีคอนเสิร์ตเสียอีก วันนั้นมันเหมือนกับเป็นการตอกย้ำผมให้ตื่นจากความฝัน ว่า เขาไม่ใช่ไดจังของผมคนเดียว ไม่ใช่ไดจังบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ของผม ไม่ใช่ไดจังคนที่ออกมาบนหน้าจอทีวีของผม ไม่ใช่ไดจังที่ยืมยิ้มกว้างราวกับดอกทานตะวันบนนิตยสารของผม ไม่ใช่ไดจังของผมอีกต่อไป

    เขากำลังทำงานอยู่ นี่คือสิ่งที่ผมตระหนักได้ดี อันที่จริงผมก็รู้ ผมเป็นคนยอมรับความจริงเสมอ ว่าที่ๆเขาทำมา เขาทำเพราะมันคืองาน ซึ่งผมไม่อาจรู้ได้เลยว่าตัวตนที่แท้จริงของเขานั้นเป็นยังไง แต่ผมก็พอจะเดาได้ ว่ามันคงจะต่างจากไดจังของผม แต่มันก็เผลอที่จะลืมมันไปไม่ได้ แล้วคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาคือไดจังของผมตลอดไป วันนั้น ความรู้สึกของผมมันตีกันมั่วอย่างร้ายกาจจนทำให้ผลพาลรู้สึกแย่กับคอนเสิร์ตแรกที่ผมเฝ้าคอย

    ผมจำได้ว่าหลังจบคอนเสิร์ตผมรู้สึกทั้งแย่ ทั้งเศร้าจนปนเปกันไปหมด จนทุกอย่างดับสนิทเป็นสีขาวโพลนราวกับโอเวอร์ฮีต และผมก็หลับไปบนเตียงนอนเย็นๆในห้องของผม


     

    ผมเป็นพวกความรู้สึกช้า ตื่นขึ้นมาอีกทีและลองทบทวนเหตุการณ์อีกครั้ง มันทำให้ผมร้องไห้หนักมาก เกิดอาการรับกับความจริงไม่ได้จนผมเกือบจะตัดสินใจที่จะตัดขาดจากจัมพ์จริงๆ ผมหักดิบชีวิตของตัวเองทุกอย่างเกี่ยวกับจัมพ์ได้ในเวลาเพียงแค่ 3 เดือน ผมลดความรู้สึก ความทุ่มเทไปจนเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว ซึ่งนั่นมันทำให้ตัวผมรู้สึกเบาและดีมากเลยทีเดียว จนผมค่อยๆกลับมามองไดจังได้อย่างปกติอีกครั้ง และเริ่มที่จะสนับสนุนพวกเขาต่อไป

    ถึงผมจะบอกว่าความรู้สึกของผมที่มีต่อไดจังมันจะถูกลดลงไปเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว ผมไม่หวั่นไหวอะไรมากนักกับข่าวลือแย่ๆหรืออะไรอย่างอื่นมากมายเหมือนอย่างที่เคยอีก แต่ผมก็ยังยอมรับอยู่ว่า ไม่ว่ายังไง ผมก็ยังรักไดจังอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

    ผมยังคงเขียนจดหมายต่อไป หวังว่าการไปคอนเสิร์ตครั้งต่อๆไปนั้น มันอาจจะทำให้เขาจำผมได้ เหมือนอย่างในหนังไง ประมาณว่ามองหน้ากันปุ๊บแล้วรู้สึกผูกพันทำนองนั้นน่ะ ซึ่งผมก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็อยากลองหวังดูนี่นา ช่วยไม่ได้ล่ะนะ~

    แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกอยากจะตัดขาดเขาให้ได้อยู่ดี เพราะมันเจ็บเกินไป มันเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ เว้นแต่ว่าเราจะเกิดมาคู่กันจริงๆอย่างไร้เหตุผล ผมรู้ว่าพวกเราน่ะ มันต่างกันราวกับอยู่กันคนละโลก ทั้งๆที่เราก็อายุเท่าๆกัน ใช้ชีวิตกินเที่ยวเหมือนๆกัน แต่มันมีเหมือนกับกำแพงใสๆแต่หนาและใหญ่มากมาตั้งกั้นพวกเราเอาไว้ อ้อ กรณีของผม ผมรู้สึกเหมือนกับมีเชือกมาผูกเอวของผมเอาไว้อีกด้วยนะ ประมาณว่าไม่ให้แม้แต่จะเดินไปทุบกำแพงได้ อย่างไงอย่างนั้นเลย

    ผมเคยถึงขั้นเฟลเวลาที่เห็นไดจังซื้อของแพงๆมาใส่ หรือไปเที่ยวต่างประเทศด้วยเงินของตัวเอง ทั้งๆที่มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนมีชื่อเสียงที่เขาจะทำกัน แต่มันกลับกระเด้งมากระแทกใจผม ว่าพวกเรานั้น มันช่างต่างกันจริงๆ แต่ผมเลิกไม่ได้ ผมทำไม่ได้หรอก นอกเสียจากผมจะโดนอุบัติเหตุรถชนจนสูญเสียความทรงจำ หรือผมจะเบื่อไปเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันจะอีกนานแค่ไหน

    เหนื่อยจัง แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเป็นไป ผมถึงกับคิดว่ามันเป็นเวรกรรมเลยนะ ว่า ชาติที่แล้วผมคงทำไดจังเอาไว้เยอะ ชาตินี้ไดจังเลยมาเอาคืนโดยที่ผมเป็นฝ่ายที่จะต้องเจ็บปวดเพียงแค่ฝ่ายเดียว โดยที่ไดจังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ นั่นแหละมันทำให้ผมทำใจได้ ฮะๆ


     

    วันก่อนยูริโทรมาปรึกษาผมเรื่องคนที่เขาชอบ ดูเหมือนจะรักซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรทำนองนั้นซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่แต่ผมก็รับฟัง แต่คุณรู้ไหม? มันอาจจะผิดจังหวะไปบ้าง แต่ผมอยากจะบอกว่าผมอิจฉายูรินะ ที่ชีวิตจริง เขาก็มีคนรักของเขาจริงๆยืนอยู่ แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เป็นไปได้สวย แต่อย่างน้อยเขาก็มีโอกาสที่จะได้ต่อสู้เพื่อความรักของเขาจริงๆ ไม่เหมือนกับผม ที่ทำไม่ได้แม้แต่จะเริ่มต้นด้วยซ้ำ

    อิจฉาจัง ผมล่ะอยากจะมีความรักจริงๆในโลกแห่งความเป็นจริงนี้อย่างยูริบ้าง มันคงจะทำให้ผมลืมไดจังได้ หรืออย่างน้อยมันก็อาจจะทำให้ผมรู้สึกกับเขาเป็นเพียงแค่ไอดอลธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่ผมไม่มีเนี่ยสิ แล้วก็ไม่ได้คิดอยากจะมีด้วย อันที่จริงผมน่ะมีเป้าหมายชีวิตที่ยิ่งใหญ่รออยู่นะ ซึ่งมันทำให้ผมมุ่งมั่นแต่เรื่องนั้น ไม่ได้คิดถึงเรื่องการมีความรักเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ไดจังน่ะเป็นกรณียกเว้นสำหรับผม

    ทุกครั้งที่ผมฟังว่ามีคนบางคนได้ใกล้ชิดกับจัมพ์ หรือ ได้เจอ ได้เป็นเพื่อน อะไรก็ตามแต่โดยเริ่มมาจากฐานะแฟนคลับเหมือนกัน มันทำให้ผมอยากจะร้องไห้ ทำไมนะ ทั้งๆที่ผมก็มั่นใจว่าผมก็รักและพยายามไม่ต่างจากคนอื่นแท้ๆ แต่ผมกลับไม่ได้รับพรดีๆอย่างนั้นกลับมาบ้าง ผมไม่อยากรับรู้ แล้วก็ไม่อยากฟัง แต่ทุกครั้งมันก็จะลอยเข้ามาในหูผมเสมอ นี่ตกลงผมโดนสวรรค์กลั่นแกล้งหรือว่าผมโดนสวรรค์ลงโทษกันแน่นะเนี่ย? แต่ผมก็ยินดีกับแฟนคลับเหล่านั้นนะ เพราะถ้าเป็นผมเองได้มีโอกาสแบบนั้นผมคงดีใจจนร้องไห้ แต่นั่นแหละ เพราะผมอิจฉายังไงล่ะ

    แต่ผมก็คิดว่า ถ้าเราไม่แคล้วกันจริงๆ (ซึ่งผมคิดเข้าข้างตัวเอง) ซักวันนึงคงจะเป็นวันของผม

     

     

    เดือนหน้าจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ของจัมพ์ซึ่ง จากประสบการณ์ครั้งที่แล้วที่ไปกับยูริมันทำให้ผมมั่นใจที่จะฉายเดี่ยวได้ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมหวังแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งแรกผมคงยังจะไม่กล้าพอผมจึงต้องหวังพึ่งยูริ ผมไปชิงบัตรคอนเสิร์ตมาได้ทั้งหมด 3 รอบ ซึ่งมันไม่เกินความสามารถของคนทะเยอทะยานแต่แท้จริงแล้วขี้ขลาดอย่างผมหรอก~

    แน่นอน ผมยังคงหวังบ้าๆลมๆแล้งๆของผมอีกครั้ง เมื่อผมรู้ว่าที่นั่งของผมอยู่ตรงไหน ผมก็เขียนจดหมายหาจัมพ์อีก (แน่นอนว่าเนียนถึงไดจัง) ผมทำตัวหน้าด้านลองเขียนหมายเลขที่นั่งของตัวเองไป เผื่อปารติหารย์จะมีจริง

    แต่จนแล้วจนรอด คอนเสิร์ตวันนั้นทั้ง 3 รอบ ก็ไม่มีใครเดินมาหาผมเลย ผมเจ็บและเสียใจนิดๆนะ แต่ก็ไม่นิดหรอก มากเลยล่ะ แต่มันก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ซึ่งผมก็ยอมรับมันได้อย่างรวดเร็ว ว่าแต่หมายเลขที่นั่งของผมแต่ละรอบเนี่ยมันช่างแย่จริงๆ นี่ผมจะไม่มีดวงแม้แต่จะได้เข้าใกล้ไดจังเลยหรือยังไงกันนะ เฮ้อ

     

     

    ชีวิตผมวนเวียนอยู่เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบสิ้นจนในที่สุดผมก็จบม.ปลาย ผมรักไดจังยังไงตอนนี้ผมก็รักเขาอย่างนั้นนั่นแหละ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมจะรักใครได้มากและนานขนาดนี้ (นอกเสียจากพ่อแม่หรือเพื่อนนะ) เคยมีคนบอกผมว่า เดี๋ยวก็เบื่อเองนั่นแหละ หรือ ถ้าเข้ามหาลัยแล้วก็คงยุ่งจนลืมไปเองนั่นแหละ อาจจะจริงนะ แต่มันไม่เคยเกิดขึ้นกับผมเลยแฮะ~

    ผมก็ยังคงหน้าด้านรักไดจังอย่างนี้ต่อไป ก็เจ็บออดๆแอดๆ ตามประสาคนรักข้างเดียวมาตลอดนั่นแหละ แต่ผมก็มีความสุขที่ผมได้รักไดจังแบบนี้ ว่าแต่คุณเชื่อในพรหมลิขิตไหมล่ะ? แล้วตื้อเท่านั้นที่จะครองโลกล่ะ? ผมไม่เชื่อหรอกว่าไม่มีใครไม่เคยได้ยิน

    แต่กรณีผม คงจะหมายถึงตื้อโชคชะตามากกว่าล่ะนะ~

    ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของญี่ปุ่นได้ด้วยความเพียรของผม ก็ผมบอกแล้วว่าผมมีเป้าหมายนี่ คนอย่างผมน่ะ ถ้าลองจะทำแล้ว ไม่ว่ายังไงผมก็จะเอามันมาให้ได้นั่นแหละ (ยกเว้นเรื่องของไดจัง) ซึ่งบังเอิญ มันดันเป็นมหาวิทยาลัยเดียวกับที่สมาชิกของจัมพ์คนนึงเรียนอยู่อันที่จริงมันก็ไม่ได้บังเอิญซะขนาดนั้นเพราะผมรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่มันบังเอิญก็ตรงที่เพราะว่ามันคือมหาลัยที่เป็นเป้าหมายของผมแต่แรกเหมือนกันน่ะสิ ผมไม่ได้ตามเขาไปนะ!

    แต่ถึงอย่างนั้น คนดวงดีอย่างผมก็ไม่เค้ยไม่เคยเลยที่จะเจอเจ้าสมาชิกคนนั้นแม้แต่ครั้งเดียว เฮ้อ~ เรื่องนี้ผมบ่นกับยูริทุกวัน ที่บัดนี้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นรูมเมทของผมแล้วเพราะเราสอบเข้ามหาลัยมาพร้อมกันได้ จะว่าไปผมก็สงสารยูรินิดๆนะ แต่ยูริก็ไม่เคยเจอเหมือนกันนั่นแหละ ซึ่งผมรู้สึกในใจเบาๆว่า เยส!’

    ครึ่งปีผ่านไปหลังรั้วมหาลัย ในที่สุดวันที่ผมเคยพูดเอาไว้เมื่อ 3 ปีก่อนว่า ซักวันวันของผมจะต้องมาถึงนั้นน่ะ มันจะได้มาถึงจริงๆแล้ว

    ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันพุธตอนสิ้นเดือนกันยายน ใบไม้กำลังจะเริ่มผลัดสีเชียวล่ะ แต่ผมจำได้ว่าตอนนั้นผมไม่มีอารมณ์โรแมนติกพอที่จะมานั่งประทับใจ ก็เพราะผมจะต้องส่งรายงานในวันถัดไปน่ะสิ!

    ยามะจัง นอนเหอะ เดี๋ยวจะตายเอานะ =o=!” ยูริลุกตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วมาสะกิดผมที่กำลังนั่งปั่นรายงานหัวฟูเหมือนกับไปโดนผีหลอกมา

    ถ้านอนก็ตายเหมือนกันแหละยูริ!” ผมตอบกลับไป แต่มือยังคงรักษาระดับความเร็วอยู่ พร้อมกับความรู้ในหัวที่มันเริ่มปั่นรวมกันราวกับเป็นเครื่องปั่นน้ำผลไม้

    แต่ถ้าเป็นแบบนี้มะจี้จะล้มเอานะ!” รูมเมทอีกคนตื่นมาดึงแขนเสื้อของผมข้างนึงเอาไว้ พร้อมกับคู่หูของมันที่ตื่นมาจับแขนเสื้ออีกข้างของผมไว้ด้วยอีกคน นี่จะขยันตื่นกันไปไหนครับเนี่ย!?

    ไม่เป็นไรหรอกๆ พรุ่งนี้ต้องส่งก่อน 9 โมงน่ะๆ ไปนอนกันเหอะนะ เราไม่เป็นอะไรหรอกผมวางปากกาแล้วพยายามหันมาอธิบายเพื่อนๆแล้วไล่ให้กลับไปนอนต่อ

    แต่…” รูมเมทแสนดีทั้ง 3 ของผมมองหน้ากันราวกับลังเล ผมยิ้มอ่อนๆให้

    ขอบคุณนะ แต่ไปนอนกันเหอะ ถ้าพรุ่งนี้พวกนายตื่นสายไปเข้าเรียนไม่ทันเราคงรู้สึกผิดแน่ๆ นะๆไปนอนเถอะนะเราไม่เป็นอะไรจริงๆ ^^” ผมพยายามปั้นยิ้มทั้งๆที่ผมกำลังจะมองเห็นแสงไฟแห่งธรรมในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้าแล้วแท้ๆ

    เพื่อนๆทั้งสามของผมถอนหายใจพยักหน้ารับก่อนจะแยกย้ายกันกลับไปที่เตียงของตัวเอง ผมมองส่งเพื่อนๆเข้านอนก่อนจะหันกลับมาปั่นงานอีกครั้ง

    คืนนี้ไม่ตายกันไปข้างก็ให้มันรู้ป๊ายยยย!!!’

    .

    .

    เช้าวันรุ่งขึ้นแสงแดดลอดกลีบมู่ลี่เข้ามาแยงตาผมจนตื่น พร้อมกับเสียงดังกุกกักๆในห้องซึ่งผมเดาว่า ตอนนี้เพื่อนๆของผมคงจะเริ่มตื่นมาแต่งตัวกันแล้ว

    ผมค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย พร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่ของผมหล่นลงไปกองลงบนพนักเก้าอี้ คงจะมีใครเอามาห่มให้ผมสินะ แสดงว่าผมหลับไปทั้งๆอย่างนี้เลยหรอเนี่ย ผมจำได้แค่ว่าพอผมเขียนตัวอักษรตัวสุดท้ายเสร็จ ทุกอย่างมันก็วูบดับลงไปเลย

    จะว่าไป น้ำลายหกเลอะงานรึเปล่าเนี่ย!

    อ่ะ ไม่มี ค่อยยังชั่ว แล้วนี่กี่โมงแล้วเนี่ย~

    ยามะจังตื่นแล้วหรอ~ นี่แปดโมงแล้วนะ ต้องรีบไปไม่ใช่หรอ?” เสียงเล็กๆของยูริดังขึ้นใกล้ๆตัวผม ทำให้ผมตาสว่าง

    เฮ้ย! สายแล้ว!!!!” ผมลุกขึ้นวิ่งตึงตังหยิงผ้าเช็ดตัวผืนเล็กวิ่งฝ่ารูมเมทอีกสามคนที่ยืนเกะกะเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่หน้าประตูห้องเข้าห้องน้ำไป ปัง! โชคดีนะที่หอของผมมีห้องน้ำในตัว

    .

    .

    .

    ผมในสภาพกึ่งผีดิบวิ่งหน้าตื่นพร้อมแบกกระเป๋าเป้วิ่งตรงจากหอพักภายในมหาลัยไปยังตึกคณะที่ซึ่งเป็นสถานที่สถิตของเทพเจ้าที่มีชื่อเรียกว่า อาจารย์

    ผมส่งเครื่องถวาย(รายงาน) พร้อมกล่าวคำสวดมนต์(พรีเซ้นต์)ต่อหน้าท่านเทพเจ้า อย่างลื่นไหล แหงสิเพราะผมคิดถึงแต่เจ้าเรื่องเครื่องถวาย เอ๊ย! รายงานเล่มนี้มาตลอดทั้งอาทิตย์นี่นา ซึ่งผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ผมสอบผ่าน! ใช่แล้วอันที่จริงมันคือการสอบปลายภาคของผมนั่นเอง~

    ผมกล่าวคำอำลากับท่านอาจารย์แล้วเดินยิ้มแป้นออกมาจากตึกคณะ สายลมเย็นๆของฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ามากระทบใบหน้า ใบไม้สีส้มเหลืองถูกผลัดออกมาจนเหลืองอร่ามไปทั่วมหาลัย ผมพึ่งมารู้สึกถึงความเป็นฤดูใบไม้ร่วงได้ช้าไป 1 อาทิตย์เนี่ย ผมจะผิดรึเปล่านะ~?

    ผมเดินอารมณ์ดีไปที่ลานนั่งเล่นกลางมหาลัย สอดส่องมองหาโต๊ะหินอ่อนสีขาวว่างๆหนึ่งตัว ผมถอดเป้วางลงบนโต๊ะและก็ฟุ๊บหน้าหลับไปกับกระเป๋าเป้นั่นทันที

    พอสบายใจแล้วผมก็ขอพักผ่อนก่อนล่ะนะ~ ซึ่งตอนนั้นผมลืมเรื่องของไดจังไปชั่วขณะเลยทีเดียว

    .

    .

    ตึกตึก

    เอ~ หมอนั่นเนี่ยช้าจังน๊า ไหนว่าจะมารอแถวๆนี้ตอน 10 โมงไง จนจะสิบโมงครึ่งแล้วยังไม่เห็นแม้แต่เส้นผมซักเส้น!” เสียงอันคุ้นเคยดังลอดเข้ามาในโสตประสาทของผมที่นอนตุ๊มุ๊อยู่อย่างไม่แคร์นักศึกษาคนอื่นบนโต๊ะไม้หินอ่อน แต่เป็นเพราะตอนนี้ผมกำลังหลับสนิทอยู่และดูเหมือนสมองของผมจะหยุดทำงานไปแล้ว ผมเลยไม่ได้คิดอะไรต่อและนอนหลับต่อไป อันที่จริงผมหลับสนิทอยู่ผมก็ไม่น่าจะได้ยินเสียงอะไรนะ ตอนนั้นผมเลยคิดว่า ผมคงฝันไป แต่ทำไมนะ เสียงนี้มันช่างคุ้นเคยจริงๆ~

    ผมรู้สึกถึงเสียงไม้หินอ่อนกระดกดังตึ๊กๆเบาๆที่ฝั่งตรงข้าม ราวกับว่ามีใครพึ่งนั่งลงไปบนนั้น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรนักเลยนอนหลับต่อ เอ๊ะ ก็ผมว่าผมนอนหลับสนิทอยู่นี่นา นี่ผมเพ้อรึเปล่าเนี่ย?

     

     

    วันนั้นผมไม่รู้ว่าผมนอนหลับไปนานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อผมลืมตาตื่นขึ้นมาได้ซักทีอีกครั้ง ผมก็บิดขี้เกียจหนึ่งทีแล้วก็หาวปากกว้างอย่างกับฮิปโป ซึ่งเพื่อนๆรูมเมทของผมลงความเห็นกันว่า สภาพการณ์เหมือนหมีพูตอนตื่นมากที่สุดเลยทีเดียว

    ผมหาวและบิดขี้เกียจจนสุดในพร้อมกับสะบัดหัวไปมา มือหนึ่งยกขึ้นปาดน้ำตาที่หางตาเล็กน้อยจากการหาว ก่อนจะค่อยๆลืมตาแล้วมองไปรอบๆ

    เสี้ยววินาทีที่ผมลืมตา ผมมีความรู้สึกเหมือนเห็นดอกทานตะวันที่เบ่งบานสดใสที่สุดในชีวิต เจิดจ้าจนต้องหรี่ตามอง กำลังบานอยู่ตรงหน้าของผม

    ไดจังกำลังนั่งยิ้มอยู่ตรงหน้า

    แขนสองข้างที่เคยยกบิดขี้เกียจค่อยๆตกลงมาวางกระแทกบนกระเป๋าเป้ใบงามที่นอนแอ้งแม๊งทำหน้าที่เป็นหมอนให้ผมเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา สายตาผมเบิกโตไม่เหมือนกับคนที่พึ่งตื่นจากฝันหวาน

    ไดจังที่นั่งยิ้มมองผมอยู่แล้ว เริ่มคลี่ยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกครั้งและหัวเราะ

    ฮะๆ นายนี่ตลกดีนะ ยามะจัง ^^” ไดจังหัวเราะน่ารัก จนผมรู้สึกแสบตาเหมือนกับกำลังมองพระอาทิตย์ยิ้มอยู่อย่างไงอย่างนั้นเลย

    ผมสะบัดหัวไปมาอีกครั้งอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง ปราศจากความคิดใดๆ น้ำตาทำท่าจะไหลออกมา แต่สมองของผมที่พึ่งเริ่มตื่นตัวขึ้นพอดีหลังจากที่น้ำตาเม็ดแรกเริ่มตั้งท่าจะไหล เมื่อกี้ไดจังเรียกเราว่าอะไรนะ

                ยามะจัง’…งั้นหรอ

    อ่ะ ทะ ทำไม ดะ ไดจังถึง รู้จัก…” ผมเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก สายตายังคงจ้องค้างไปที่ใบหน้าของไดจังที่ห่างกันเพียงแค่โต๊ะๆเดียวที่ขั้นอยู่ สภาพของผมตอนนี้คงเหมือนหุ่นยนต์กระป๋องในหนังซักเรื่อง

    ไดจังยิ้มแล้วชี้ลงไปที่กระเป๋าเป้ของผม มีพวงกุญแจป้ายชื่อสีเหลืองสดใส เขียนเอาไว้ว่า ยามะจังพร้อมด้วยออฟชั่นดอกทานตะวันสีเหลืองน่ารักที่ด้านข้าง มันคือของขวัญวันเกิดปีนี้ที่ที่ผมได้มาจากยูริ

    ผมพยักหน้าอย่างรับรู้ แต่ผมก็ยัง งงๆไม่อยากจะเชื่อตัวเองอยู่ ทั้งๆที่ผมอยากจะร้องไห้ใจจะขาด เพราะผมดีใจ และรู้สึกเหลือเชื่อที่ไดจังตัวเป็นๆโผล่มานั่งอยู่ตรงหน้าแบบนี้ แถมยังกำลังคุยกับผมอยู่อีก แต่สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นพวงกุญแจรูปหน้าไดจังที่ผมห้อยเอาไว้ข้างๆป้ายชื่อของผม รวมถึงสมุดไดอารี่คู่ชีพ ที่ผมมักจะฉีกกระดาษจากไดอารี่เล่มนี้ไปเขียนจดหมายส่งไปให้ไดจังเสมอมาตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้อยู่เสมอ มันได้หลุดออกมาจากซิปกระเป๋าเป้ที่แตกออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ของผมน่ะสิ

    ผมหน้าชาแล้วเงยหน้าขึ้นไปมองไดจังอีกครั้ง ไดจังยิ้มกว้าง รอยยิ้มที่ผมเคยหวังว่าซักวัน เขาจะมายิ้มแบบนี้ต่อหน้าผม และยิ้มให้ผม

    ฉันว่าฉันรู้จักนายนะ ยามะจัง~” ไดจังล้วงหยิบจดหมายฉบับล่าสุดที่ผมพึ่งส่งไปให้จัพม์(เนียนให้ไดจัง)เมื่อเดือนที่แล้วออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ตอนนี้ผมห้ามตัวเอฃไว้ไม่อยู่อีกแล้ว น้ำตาผมไหลพราก จนไม่รู้ว่าตัวเองลุกขึ้นเดินไปกอดไดจังที่อีกฝากโต๊ะตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    ฮึก ฮือ ไดจัง ไดจังจริงๆด้วย ฮึก ไดจังจำฉันได้ผมร้องฟูมฟาย ดีนะที่คนรอบๆเขาไม่ได้หันมาสนใจผม แต่ถึงจะหันมาผมก็ไม่สนใจหรอก ก็ในเมื่อคนที่ผมสนใจและแคร์จริงๆน่ะ เขาอยู่ตรงนี้แล้วนี่นา

    ไดจังลูบหัวผม

    ก็ฉันน่ะสิ ในที่สุดฉันก็หานายเจอแล้ว~ ขอบคุณสำหรับความรู้สึกดีๆนะ ขอบคุณจริงๆ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะได้มาเจอยามะจังตัวจริงในวันนี้ ดีใจที่สุดเลยไดจังพูดทิ้งท้ายแล้วค่อยๆดันผมให้หันมามองหน้าเขาดีๆ

    ผมดีใจจนไม่อาจจะบรรยายได้ ปารติหารย์เกิดขึ้นแล้ว ใครจะเชื่อล่ะว่าความหวังลมๆแล้งๆ มันจะกลายเป็นจริงขึ้นมาได้แบบนี้ ขอบคุณสวรรค์ที่ให้พรผม ขอบคุณจริงๆครับ

    หลังจากนั้นเราก็ได้พูดคุยกันยาว จนสมาชิกจัมพ์คนที่เรียนอยู่มหาลัยเดียวกับผมเดินมา มันทำให้ผมรับรู้เรื่องราวหลายๆอย่างจากไดจังตัวเป็นๆ ไดจังที่จะกลายเป็นไดจังของผมแล้วจริงๆ ไดจังเล่าให้ผมฟังว่า ตัวเขาเองและจัมพ์มักจะรอจดหมายของผมอยู่ทุกเดือนเสมอจนกลายเป็นกิจวัตรประจำไปโดยไม่รู้ตัว และเขาก็ขอโทษที่ในคอนเสิร์ตเขาไม่ได้เดินไปหาที่ที่นั่งของผมที่ผมเขียนลงไปไว้ เพราะเขาไม่มีเวลา หลังจากฟังอะไรมากมาย มันก็ทำให้ผมร้องไห้อีกครั้ง แต่มันจะไม่ใช่น้ำตาแห่งความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว

    ดีจังที่ได้รักไดจัง ความฝันของผมเป็นจริงแล้ว ต่อไปนี้ นี่จะไม่ใช่สิ่งที่เพ้อฝัน ความรักของผมที่มีต่อไอดอลจะไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป ดีจริงๆที่เราได้พบกันซักทีนะ

    END…

     




    ฟิคอาริยามะแต่งมาหลายวันแล้วพึ่งได้ลง อันที่จริงโซลไม่อยากเรียกมันว่าฟิคเลยอ่ะ =_=? ไม่รู้ดิ เอาเห๊อะ กร๊ากกก ชอบเรื่องนี้มากเป็นเรื่องที่แต่งแล้วอยากกลับมาอ่าน เป็นเรื่องที่แต่งได้ตามที่อยากแต่งทุกอย่างเหมือนในหัวที่คิดขึ้นมาได้ (เอ่อ แสดงว่าปกติไม่ได้ดั่งใจสินะ TwT) โซลแค่อยากให้อ่านไม่ต้องเม้นหรอก แค่อยากเห็นตัวยอด View เพิ่ม แค่นี้ก็จะดีใจมาก TwT

    ใครใจดี แชร์ให้เพื่อนๆอ่านก็ดีนะ กร๊ากกกก


    ปล. อย่างที่ทราบตอนนี้โซลกลับมาไทยแล้วค่ะ แล้วก็กำลังรับสอนภาษาญี่ปุ่น โดยเริ่มตั้งแต่แรก จนถึง ระดับประมาณ N3 สอนหลักๆคือ แฟชั่นไอส์แลนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว สยาม ค่า โซลคิดชั่วโมงละ 250 เรียนกลุ่มก็จะลดอีกน๊า TwT โซลหาเงินไปเรียนต่อน่ะ (บอกตรงๆเลย) กร๊ากก ขอบอกว่าสนุก!? เราจะสอนโดยใช้ผู้ชายของเรา?มาช่วยสอน ใครสนใจติดต่อมาที่ เฟสน๊าา

    เรากันเองแบบเพื่อนๆ มาสนุกกันดีกว่า~ อิอิ ตอนนี้ วันจันทร์กับพฤหัส โซลมีสอนที่ แฟชั่นไอส์แลนด์ ส่วน เสาร์ ที่สยาม (ตอน 10 โมง ถึง เที่ยง) ใครอยากมาเรียนก็ลองคุยกันจ๊า จะเรียนรวม (ถ้าเราตกลงกับอีกคนได้~) หรือแยกก็ไม่มีปัญหา~!

    ส่วนวันอาทิตย์ตอนนี้มีพี่คนนึงรอเรียนอยู่ ช่วงบ่าย พี่เขาเป็นตัวแม่อาราชิ! สุดยอดมาก เขารอเรียนหาเพื่อนมาเรียนด้วยกันเป็นกลุ่ม ที่สยาม หรือเซ็นทรัลลาดพร้าว รออยู่นะ! ใครสนใจมาคุยกันๆ =..=b


    เฟส : Patty Zaol

    อ้อ เชิญชวนมาฟอล อาริยามะบอทกัน กร๊ากกก =..= Ari_Yama_bot

    OVER?

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×