คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Case 1 : บริษัทโอชิฮาระ (episode 1)
“เอาแล้วไง”
ไม่ว่าใคร ถ้าได้ยินคำพูดลักษณะนี้ก็คงอดคิดถึงอารมณ์ประมาณว่า เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นแล้วไม่ได้เป็นแน่ ใช่แล้วล่ะ เพราะว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้วจริงๆยังไงล่ะ
เช้าวันอาทิตย์อันแสนสดใส วันแห่งความสุขวันสุดท้ายก่อนที่นักเรียนทุกคนจะต้องกลับเข้าสู่อ้อมกอดของโรงเรียนอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่ใช่ความต้องการของพวกเขาก็ตาม…
วันอาทิตย์เป็นวันพักผ่อนสำหรับทุกคน ไม่เว้นแม้แต่เด็กหนุ่มทั้ง 10 ที่มารวมตัวกันอยู่ในบ้านหลังนี้ ซึ่งมันถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งสำหรับพวกเขา การอยู่ด้วยกันพร้อมหน้านั่นเอง
ขณะที่สมาชิกทุกคนกำลังนั่งล้อมวงดูหนังกันอยู่ในห้องนั่งเล่น ยาบุกับฮิคารุในชุดสูทสีดำสำหรับทำงานก็เปิดประตูบ้านเข้ามา พร้อมกับประโยคสั้นๆที่ฟังแล้วทำให้อารมณ์ครึกครื้นเงียบลง สายตาแปดคู่จ้องมองไปที่บุคคลที่พึ่งมาใหม่เป็นสายตาเดียวกัน
เสียงปิดประตูดังขึ้นเบาๆทำลายความเงียบ
“มีอะไรเหรอ” เคย์ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวจึงถามขึ้นมา
“คดีเก่าปัดฝุ่นใหม่น่ะ แต่มันผ่านมาแล้วตั้ง 10 ปีน่ะสิ” ยาบุพูดพลางถอดเสื้อสูท พร้อมกับคลายเนคไทออก “คงต้องออกต่างจังหวัดด้วย”
“แย่ชะมัด แถมยังเป็นคดีเร่งซะอีกนะ เพราะคดีจะหมดอายุความแล้ว” ฮิคารุแจง แล้วเดินมานั่งลงข้างๆไดกิ พอดีกับที่จิเนนรินน้ำมาให้ทั้งสอง
“อ๊ะ ขอบใจนะ ก็อย่างที่ว่าแหละ คดีผ่านมาตั้งสิบปี แถมเวลาก็มีแค่นี้ งานเลยเข้ายังไงล่ะ” ยาบุยังคงพูดต่อ
“แล้ว มันเป็นคดีประเภทไหนหรอ” ยูโตะยกมือขึ้นถาม
“รู้สึกว่าจะ…” ฮิคารุหยิบสมุดพกประจำตัวขึ้นมาเปิด “คดีฆาตกรรมพนักงานบริษัทเงินทุน โอชิฮาระ ชื่อ นายซากาโมโตะ ยูอิจิ อายุ 40 ปี ถูกพบเป็นศพอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำทามะ ตอนรุ่งเช้า วันที่ 14 กรกฎาคม 2000 แพทย์ชันสูตรศพบอกว่าน่าจะตายมาได้หนึ่งวันแล้วก่อนพบศพ แต่ดันมีรายงานมาว่า มีคนพบเห็นเขานั่งกินราเมนอยู่ที่จังหวัดอิบารากิบ้านเกิดของเขาในวันที่คาดว่าเขาน่าจะถูกฆาตกรรมน่ะสิ”
“สุดท้ายคดีนี้ก็ถูกพับเก็บลงกล่อง” ยาบุสรุป
“แต่เพราะอะไรบางอย่าง ทางเราเลยต้องดำเนินการต่อ สืบหาความจริงมาให้ได้” ฮิคารุตอบให้ ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่เพ่งเล็งมาที่เขา
“ทางเรา? งั้นก็หมายความว่า ตำรวจไม่เกี่ยวสินะ” ไดกิยิ้ม
“แล้วก็ต้องแอบสืบด้วย” เรียวสุเกะเสริมต่อ
“ถูกต้องเลย” ยาบุกับฮิคารุพูดพร้อมกัน “ เพราะครั้งนี้ตำรวจไม่ได้ร่วมมือด้วย ถ้าเราทำโจ่งแจ้งมันจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเรา” ยาบุเสริม
“แต่ผมสงสัยอยู่อย่างนึงนะ” ริวทาโร่ที่นั่งอยู่กลางวงล้อมของพี่ๆเริ่มพูดขึ้นบ้าง
“อะไรเหรอ” สายตาของทุกคนหันกลับมาจ้องน้องเล็ก
“ที่ว่าเพราะอะไรบางอย่างมันคืออะไรเหรอฮะ ทางเราถึงต้องดำเนินการเอง และตำรวจก็ไม่ได้ให้ความร่วมมืออีก”
คำถามของริวทาโร่ทำให้ทุกคนเริ่มฉุกคิดขึ้นมา คดีหรืองานที่พวกเขาทำส่วนมากจะได้รับความร่วมมือจากตำรวจมาโดยตลอด มีบ้างที่ตำรวจไม่เกี่ยวข้อง แต่เพราะเป็นคดีที่พวกเขารับทำเองโดยส่วนตัวที่ไม่ได้รับคำสั่งจากใคร จะมีแค่นอกเสียจากคดีพิเศษจริงๆ
หลายคนคงยังไม่เข้าใจ คดีพิเศษจริงๆที่ว่าหมายถึงอะไร ตำรวจไม่เกี่ยวข้องด้วยงั้นหรือ จากบทสนทนาของทั้ง 10 คน ทำให้เริ่มรู้แล้วว่าพวกเขาเป็นอิสระต่อตำรวจ ถ้าอย่างนั้น แล้วพวกเขาทำงานให้ใครกันล่ะ
Federal Bureau of Investigation หรือที่รู้จักกันในนามของ FBI นั่นแหละ น่าตกใจใช่ไหมล่ะ เพราะพวกเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุอานามไม่เกิน 20 ปี อีกทั้ง FBI ยังเป็นการทำงานเพื่อสหรัฐมิใช่หรือ แต่ตอนนี้พวกเขาทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น แถมยังเป็นหน่วยสืบสวนลับให้แก่ตำรวจอีก สรุปแล้วพวกเขาทำงานอยู่ฝ่ายไหนกันแน่
จากนี้ไปผู้แต่งจะขออธิบายความหมายของ FBI ให้ผู้อ่านทุกคนเข้าใจกันก่อน FBI คือ หน่วยสืบสวน
สอบสวนกลางสหรัฐของกระทรวงยุติธรรม แต่มิใช่ตำรวจ มีหน้าที่รับผิดชอบคดีพิเศษ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐและประเทศ เช่น การก่อการร้าย องค์กรอาชญากรรม การค้ายาเสพติด อาชญากรรมอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ภายในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงการสืบสวนนอกประเทศ ที่อาจเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของสหรัฐ FBI จะร่วมจับกุมและสืบสวนด้วยทันที
ในแต่ละประเทศจะมีเจ้าหน้าที่ FBI แฝงตัวเข้าไปช่วยเหลืออย่างตามกรมตำรวจอย่างลับๆ ทำงานอยู่เบื้องหลังเพื่อคอยสนับสนุน และก็จะควบตำแหน่งการปกป้องคดีที่อาจเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของสหรัฐไปด้วย โดยจะช่วยทำงานร่วมกับตำรวจของประเทศนั้นๆที่ได้รับการอบรมหลักสูตร FBI มาแล้ว (คอร์สอบรมหลักสูตร FBI ระยะเวลา 11 สัปดาห์ ที่ National Academy แต่ละประเทศจะได้รับโควตาปีละเพียง 1 คนเท่านั้น เพื่อรับการอบรมพร้อมกับตำรวจนานาชาติ)
มาที่เด็กหนุ่มทั้ง 10 คนของเรา พวกเขาไม่ใช่ตำรวจที่ได้รับโอกาสเป็นตัวแทนประเทศในการเข้ารับการอบรมหลักสูตร FBI แต่เป็น FBI โดยแท้ที่ได้รับการฝึกฝนจนชำนาญและพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่แล้ว และถูกส่งกลับมาที่ญี่ปุ่น เพื่อประจำการทำงานให้กับสหรัฐ รวมถึงการทำงานให้กับประเทศของตนเองด้วย
ซึ่งทำให้พวกเขาไม่ใช่ตำรวจ และเป็นอิสระต่อตำรวจ ทำงานโดยรับคำสั่งโดยตรงจากสหรัฐ และให้ความร่วมมือกับการสืบสวนของตำรวจญี่ปุ่น แต่ทำไม พวกเขาถึงเป็น FBI และด้วยอายุเพียงเท่านี้ทำไมถึงสามารถเป็น FBI ได้ และยังได้รับการไว้วางใจให้มาประจำการที่ญี่ปุ่นอีก อดีตที่ช่วยและเปลี่ยนแปลงชีวิจของพวกเขาไปตลอดกาล…
“ถูกแล้วล่ะริวทาโร่ ตอนนี้อาชญกรรมในสหรัฐเพิ่มมากขึ้นทุกวัน และสิ่งที่ถูกนำมาใช้ในการก่อเหตุนั่นก็คือ…” ยาบุเว้นวรรค “ยาพิษ…”
“ยาพิษ!”
“ใช่แล้วล่ะ และจากที่ได้รับรายงานมา ยาพิษส่วนหนึ่งที่นิยมใช้และหาได้ง่ายเป็นอันดับสอง มันถูกส่งไปจาก ญี่ปุ่น” ฮิคารุรับช่วงต่อ
“จากญี่ปุ่น?”
“บริษัทเงินทุนโอชิฮาระ” เรียวสุเกะพูดเสียงนิ่ง ทำเอาทุกคนหันมามองหน้ากัน
“ใช่ เงินทุนที่เขานำมาให้กู้ มาจากการส่งออกยาพิษนี่แหละ ตอนนี้มันเป็นที่ต้องการของตลาดมืดในอเมริกาเป็นอย่างมาก เพราะหาซื้อง่าย ได้ผลเร็ว และไม่หลงเหลือหลักฐานเลยทำให้อาชญากรรมเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ยาบุพูดต่อ จากที่ฟังไม่น่าเชื่อว่ามันจะสร้างความเสียหายได้มากถึงเพียงนี้
“แล้วทำไมถึงไม่จับกุมเสียเลยล่ะ” ทาคาคิตั้งคำถาม ถ้ารู้ถึงขนาดนี้แล้วการจับกุมก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“หลักฐานที่จะมัดตัวไม่เพียงพอน่ะสิ ทางเราพบเจอโรงงานผลิตแล้วก็จริง แต่หลังจากนำไปตรวจสอบแล้วพบว่ามันไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะคร่าชีวิตของเหยื่อได้ ทำให้เราไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เข้าใจใช่ไหม”
“เอ๋? ถ้าอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่ยาพิษจริงๆอย่างที่เรากล่าวหางั้นหรือ หมายความว่าข้อมูลที่เราได้มามันผิดหรือยังไงกัน?” ทาคาคิยังคงถามต่อ
มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าข้อมูลที่ได้รับมาจะผิดพลาด เพราะการสังเคราะห์ข้อมูลจาก CIA ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองกลาง มีความแม่นยำสูง และจะพิสูจน์จนแน่ชัดแล้วเท่านั้น ถึงจะนำมาซึ่งกระบวนการสืบสวนและดำเนินการจับกุมได้ แต่ครั้งนี้หลังจากนำหลักฐานมาพิสูจน์แล้วกลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่ยาพิษอย่างนั้นหรือ
เคย์โตะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านยาและสารเคมีเริ่มนึกอะไรขึ้นมาได้
“ไม่หรอก หมายความว่า ต้องมีตัวยาสองตัวมาทำปฏิกิริยากันถึงจะได้ยาพิษที่สามารถฆ่าคนได้จริงๆ อย่างนี้ถูกหรือเปล่า ยาบุคุง”
เคย์โตะพูดและมองหน้ายาบุซึ่งเป็นคนที่รับคำสั่งมา
ยาบุยิ้ม
“ถูกต้องเลย สมเป็นเคย์โตะจริงๆ ใช่ ยังมีตัวยาอีกตัวหนึ่งซึ่งจะถูกนำมาผสมทีหลังก่อนจะส่งไปที่อเมริกา แต่เพราะตัวยาตัวที่สองนี้ไม่ได้ถูกผลิตในที่เดียวกัน ที่ยิ่งกว่านั้นมันถูกผลิตและนำมาผสมกันโดยคนเพียงคนเดียวยังไงล่ะ”
“และคนๆนั้น ก็เป็นเพียงคนเดียวที่รู้สูตรของยาตัวนี้ด้วย” ฮิคารุปิดสมุดพก
“คนๆนั้น คือ นาย ซากาโมโตะ ที่ถูกฆาตกรรมไปเมื่อ 10 ปีก่อนใช่ไหม” จิเนนถาม
“ใช่แล้วล่ะ เพราะฉะนั้นหลักฐานสูตรยานี้ถึงได้ตายไปพร้อมกับเขายังไงล่ะ เพราะไม่มีการบันทึกเอาไว้ในข้อมูลการผลิตของบริษัทเลย” ฮิคารุอธิบายแทน หลังจากที่เห็นยาบุโบกมือให้เขารับหน้าที่ต่อ
“งั้นตอนนี้ยายังคงผลิตอยู่ได้ยังไงล่ะฮะ เพราะถ้าสูตรมันหายไปแล้ว แถมยังไม่มีการบันทึกเอาไว้อีก คนที่รู้เพียงคนเดียวก็ตายไปตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว แล้วด้วย” ริวทาโร่สงสัย ซึ่งนับว่าเป็นคำถามที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว ตอนนี้ยาผลิตอยู่ได้อย่างไรกัน?
“จากรายงานสายของเรา บอกว่า ก่อนถูกฆาตกรรมเขาได้ผลิตหัวเชื้อเอาไว้จำนวนมาก รู้สึกว่ามันจะสามารถเก็บมาใช้ได้ถึง 10 ปีเชียวล่ะ แต่มันใกล้หมดลงแล้ว”
“แต่พวกนักเคมีของพวกเขาก็น่าจะนำตัวหัวเชื้อไปตรวจสอบ ก็น่าจะรู้ได้ว่า มันมีส่วนประกอบของอะไรบ้างนี่นา ทางเราเองก็เหมือนกัน คงไม่ยากหากจะหาสูตรมาได้” เคย์โตะออกความเห็น
“คือเราไม่เจอตัวหัวเชื้อนั้นน่ะ ไม่รู้ว่าเก็บซ่อนไว้ตรงไหน แต่จากที่เรานำตัวยาที่สมบูรณ์แล้วไปตรวจสอบดู เราก็ไม่สามารถรู้ได้ทั้งหมด แต่สันนิฐานได้แค่ว่า น่าจะมีดอกไม้เป็นส่วนประกอบหลักเท่านั้นเอง… ”
“ดอกไม้งั้นเหรอ…” เคย์โตะลูบคางอย่างใช้ความคิด
“ขนาดทางเราที่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดยังไม่อาจรู้ถึงส่วนประกอบที่แน่ชัดได้ ทางฝ่ายผู้ผลิตเองก็คงจนปัญญาเหมือนกัน ดังนั้นการค้นหาสูตรลับนั่นจึงเริ่มขึ้น…”
“…” สมาชิกทุกคนเงียบลงอีกครั้ง
“หมายความว่า เราต้องหาให้เจอก่อนพวกเขาใช่ไหม” ไดกิพูด
“ใช่แล้วล่ะ ถ้าพวกเขาเจอก่อนแล้วนำไปผลิต การติดตามหยุดยั้งจะยากขึ้น แต่ไม่ต้องห่วงนะ ทางสำนักงานใหญ่จส่งกำลังมาเฝ้าที่โรงงานเอาไว้แล้วล่ะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังไม่รู้ว่ามีโรงงานที่อื่นอีกไหม ทางออกที่ดีที่สุด คือเราต้องหาสูตรนั้นมาให้ได้ก่อนพวกมัน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องคดีหมดอายุความล่ะ ในเมื่อพวกเรามีหน้าที่แค่หาสูตรลับนั้นมาเฉยๆ ไม่เกี่ยวว่าเขาจะถูกฆาตกรรมยังไงไม่ใช่เหรอ” ยูโตะถาม
“เพราะว่า ฆาตกรก็คือ ประธานบริษัทโอชิฮาระ นั่นแหละ มีข่าววงในมาว่า นายซากาโมโตะต้องการจะถอนตัว และบอกว่าจะไปสารภาพกับตำรวจ เขาก็เลยถูกฆ่าปิดปาก แต่ประธานโอชิฮาระก็พลาดเพราะไม่รู้ว่า สูตรที่ถูกขู่ว่าจะนำไปบอกตำรวจนั้น มันได้ตายไปพร้อมกับนายซากาโมโตะแล้วยังไงล่ะ”
“ก็พอจะเดาได้อยู่ แต่กลับกลายเป็นว่า มันยังไม่ตายไปพร้อมกับเขาใช่ไหมล่ะ มันน่าจะถูกเขียนและซ่อนเอาไว้ที่ไหนซักแห่ง” ไดกิพูด
“ใช่แล้วล่ะ เขาก็คงรู้ตัวเหมือนกันว่าตัวเองอาจตกอยู่ในอันตรายจึงเขียนมันเอาไว้ เผื่อว่าถ้าเขาตายก่อนที่จะได้สารภาพกับตำรวจ จะมีใครบางคนหรือตำรวจเอง เข้ามาสืบจนพบสูตรลับนี้ได้ยังไงล่ะ แต่มันก็เป็นเพียงการสันนิฐานนะ ไม่มีอะไรมายืนยัน แต่ก็เป็นไปได้สูง” ฮิคารุพูดจบยาบุก็พูดขึ้นมาต่อ
“ซึ่งที่ๆหน้าสงสัยที่สุดก็คืออิบารากิบ้านเกิดของเขานั่นแหละ เพราะหลังจากที่เขาลาออกจากบริษัทแล้ว เขาก็กลับบ้านเกิดทันที และที่ต้องจัดการให้เสร็จก่อนที่คดีจะหมดอายุความน่ะ หนึ่ง ก็เพื่อจะได้จับคนร้ายมาลงโทษไม่ปล่อยให้มันลอยนวลสบายใจอยู่อย่างนี้ไงล่ะ อีกอย่าง เรื่องนี้ตำรวจเคยสืบสวนมาก่อนแล้ว น่ามีข้อมูลอยู่มากพอสมควรเหมือนกัน แต่ถ้าคดีหมดอายุความไปข้อมูลทั้งหมดจะถูกลบทิ้ง และการทำงานของเราก็จะลำบากขึ้นไงล่ะ”
“อ๋อ เข้าใจแล้วล่ะ” สมาชิกทุกคนพยักหน้าเข้าใจ
“แต่ทีนี้ ใครจะไป” ยาบุพูดมองหน้าสมาชิกทุกคน ตัวเขากับฮิคารุไม่สามารถไปได้ เพราะต้องประจำการอยู่ที่นี่ตลอดเพื่อรอรับคำสั่ง และการติดต่อจากภายนอก
“เอ่อ…ผมยังเคลียงานไม่เสร็จเลย” จิเนนพูด แล้วหันหน้าไปมองทาคาคิซึ่งเป็นคู่หู
“อืมใช่ ชั้นกับจิเนนคงไปไม่ได้น่ะ” เพราะงานที่พวกเขาสองคนทำอยู่ก็เป็นงานใหญ่พอสมควรเช่นกัน
ทาคาคิกับจิเนนจึงถูกตัดออกไป
“ส่วนพวกเราสนับสนุนได้ แต่คงไปด้วยไม่ได้หรอก ชั้นกับยูโตะ ก็มีงานที่พึ่งมีคำสั่งเข้ามาเมื่อคืนต้องสะสางอยู่เหมือนกัน” เคย์พูดแล้วมองหน้ายูโตะ
เคย์กับยูโตะจึงถูกตัดออกไปด้วยตามลำดับ
ยาบุจึงหันหน้าไปทางเคย์โตะและริวทาโร่แทน
“ชั้นว่า งานนี้เหมาะกับนายสองคนนะ” ยาบุบอก เพราะเคย์โตะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาและเคมี รวมถึงริวทาโร่ที่ถนัดในการไขรหัสลับ น่าจะมีประโยชน์ต่อการค้นหาอย่างมาก
“ผมว่าผมอยู่สนับสนุนที่นี่ดีกว่า ออกนอกสถานที่แล้วจะให้ลงมือตรวจสอบ มันจะทำได้ไม่เต็มที่น่ะสิ เพราะการตรวจสอบจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ที่ครบถ้วนและพื้นที่ที่สะอาดและปลอดเชื้อ อีกอย่างริวทาโร่ก็ยังเด็ก ชั้นไม่อยากให้เขาออกไปลุยข้างนอกน่ะ” เคย์โตะเหลือบมองริวทาโร่
ถึงแม้ว่า ริวทาโร่จะไม่ใช่เด็กที่ดูแลตัวเองไม่ได้ แต่ในความรู้สึกของสมาชิกในบ้านแล้ว ริวทาโร่คือน้องเล็กที่พี่ๆทุกคนต้องดูแล โดยเฉพาะเขาที่เป็นคู่หูแล้วยิ่งต้องรับผิดชอบดูแลมากที่สุดอีกต่างหาก
“เอ๋? ผมอายุ 15 แล้วนะ!” ริวทาโร่โวย
“อืม ชั้นเห็นด้วยกับเคย์โตะนะ ริว นายอยู่บ้านนี่แหละดีแล้ว งั้นก็…เหลือพวกนายสองคนสินะ” ทุกคนหันหน้าไปมองไดกิ กับเรียวสุเกะที่กำลังนั่งเท้าคางกันอยู่
“ชั้นก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่นายจะเรียกพวกชั้นซักที” ไดกิพูด
“นั่นน่ะสิ เรียกแต่คนอื่นอยู่ได้” เรียวสุเกะพูดตามบ้าง
ทำเอาทุกคนขำกันใหญ่
“ฮะๆ ขอโทษที งั้นฝากด้วยนะ” ยาบุแตะไหล่คนทั้งสอง
“แหงล่ะ น่าสนุกจะตายไป ได้ออกต่างจังหวัดอีกต่างหาก”
“นายก็แค่อยากโดดเรียนใช่ไหมล่ะ ไดกิ” เรียวสุเกะรู้ทัน เล่นเอาไดกิแทบหล่นจากโซฟา
“นี่เรียวจัง ทำไมนายถึงรู้ไต๋ชั้นหมดเลยเนี่ย” ไดกิแกล้งทำหน้าไม่พอใจแล้วหยิกแก้มเรียวสุเกะที่นั่งอยู่ข้างล่างเขา
“อย่ามาเรียกชั้นแบบนั้นนะ! ชั้นรู้ก็แล้วกันน่า!” เรียวสุเกะสะบัดหน้าหนี
การเล่นกันของสองคนนี้เรียกเสียงหัวเราะจากสมาชิกในบ้านได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศตึงเครียดเมื่อซักครู่หายวับไปกับตา
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นไปทำเรื่องลาที่โรงเรียนให้นะ แล้วนี่เป็นตั๋วรถไฟ เที่ยว 7 โมงเช้า” ฮิคารุยื่นตั๋วรถไฟ 2 ใบมาให้คนทั้งคู่
“พวกนายต้องคลี่คลายคดี และหาสูตรยานั้นมาให้ได้ก่อนวันอาทิตย์หน้านะ” ยาบุย้ำอีกครั้งหนึ่ง
“รู้แล้วน่า” ไดกิพูดส่งๆ เขากำลังตื่นตาตื่นใจกับตั๋วรถไฟของตัวเองอยู่
เรียวสุเกะมองไดกิอย่างเอือมๆ แต่เขาก็รู้สึกชินชากับมันเสียแล้ว ครั้งนี้เป็นงานใหญ่อีกครั้งของพวกเขาสองคน แม้ว่าจะไม่ต้องลุยบู๊ทะลวงบุกเข้าไปก็ตามที แต่ด้วยเวลาอันจำกัด และตามสืบหาข้อมูลของเมื่อ 10 ปีแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร
“อิบารากิงั้นเหรอ…ระวังเป็นหวัดนะ ช่วงนี้ยังหนาวอยู่เลย ทางเหนือก็คงจะหนาวว่าโตเกียวแน่” ทาคาคิพูดพลางกดรีโมทในมือเปลี่ยนไปดูช่องพยากรณ์อากาศ
“เวลานอนต้องห่มผ้าด้วยนะรู้ไหม ห้ามนอนเปิดพุงผึ่งลมล่ะ” ยาบุทำหน้าดุ ตามด้วยเสียงระเบิดหัวเราะของเหล่าสมาชิกในบ้าน
“เฮ้ย! รู้ได้ไง!” ไดกิตกใจ แต่ก็ไม่มีท่าทีจะแก้ตัว
“แอบเข้ามาดูงั้นเหรอ!” เรียวสุเกะทำหน้าอึ้ง
“เขารู้กันหมดแล้วล่ะน่า” เคย์หัวเราะ
“ใช่ๆ มีรูปด้วยนะสนใจจะดูไหมล่ะ” ยูโตะยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากด ทำท่าเหมือนจะโชว์รูปให้ดู เรียวสุเกะรีบแย่งโทรศัพท์ในมือเพื่อนไปทันที
“ฮะๆ เอาล่ะๆไปเตรียมตัวกันได้แล้ว” ยาบุตบมือบอกให้ทุกคนหยุด เขาหมายถึงการเตรียมตัวให้ไดกิและเรียวสุเกะต่างหากล่ะ รวมไปถึงการแจกจ่ายอุปกรณ์ที่จำเป็น และแผนการทำงานด้วย
“โอเค งั้นไดจังมากับชั้น” เคย์ลุกขึ้นยืนแล้วกวักมือเรียกไดกิ
“ยามะจัง มากับชั้นนะ” ส่วนเรียวสุเกะก็โดนเคย์โตะเรียกไปด้วยเช่นกัน
“เดี๋ยวชั้นกับยาบุจะไปเตรียมข้อมูลทั้งหมดของ 10 ปีที่แล้วให้นะ ริวทาโร่ จิเนน ทาคาคิ ก็มากับชั้นด้วยล่ะ” ฮิคารุพูดและเดินหายเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ตามด้วย ยาบุ ริวทาโร่ จิเนน และทาคาคิ
เมื่อทุกคนเดินหายเข้าไปตามห้องแล้ว ยูโตะเองก็ลุกขึ้นบ้างและเดินเข้าไปในห้องของตัวเองเพื่อเตรียมอุปกรณ์ป้องกันตัวให้กับไดกิและเรียวสุเกะ…
เช้าวันรุ่งขึ้น
สถานีรถไฟยามเช้าคละเคล้าไปด้วยผู้คนที่กำลังเตรียมตัวจะออกเดินทาง อากาศสดใส ท้องฟ้าปรอดโปร่งเหมาะแก่การมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด
เด็กหนุ่มสิบคน ยืนอยู่หน้าประตูทางขึ้นรถไฟ เพื่อรอส่งเพื่อนรักไปปฏิบัติภารกิจอันยากลำบาก แต่ด้วยความเชื่อใจซึ่งกันและกัน พวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ไปพร้อมๆกันอย่างมีประสิทธิภาพแม้ว่าจะอยู่ต่างที่กันก็ตาม
“ไม่ลืมของนะ” เรียวสุเกะกระชับเป้ด้านหลังแล้วหันไปถามคู่หู
“อืม ขอบคุณที่มาส่งนะ” ไดกิหันไปขอบคุณสมาชิกทุกคน ที่ออกมาส่งกันพร้อมหน้า
“ระวังตัวด้วยล่ะ แล้วก็ขอให้หาสูตรเจอด้วยนะ” ฮิคารุพูดพลางเดินเข้าไปขยับหมวกให้ไดกิ
“พวกเราจะคอยสนับสนุนอยู่ที่โตเกียวนะ ไม่ต้องห่วง” เคย์โตะยกนิ้วให้
“เข้าใจแล้ว งั้นไปล่ะนะ ไปกันเถอะ ไดกิ” เรียวสุเกะพูดแล้วโบกมือลา ก่อนจะก้าวขึ้นรถไฟไป
“บ๊ายบาย” ไดกิโบกมือและขึ้นรถไฟตามเรียวสุเกะที่ล่วงหน้าเข้าไปก่อน
“ระวังตัวด้วยนะ!” เพื่อนๆที่อยู่ด้านล่างตะโกนไล่หลัง ก่อนที่รถไฟขบวนนี้จะค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากชานชาลาไปเพื่อมุ่งสู่จังหวัดอิบารากิ
“เฮ้อ อากาศอย่างนี้ สบายจัง” ไดกิบิดขี้เกียจ
“อีกตั้ง 2 ชั่วโมงแน่ะกว่าจะถึง” เรียวสุเกะที่นั่งอยู่ตรงข้ามมองนาฬิกา
จากโตเกียวไปถึงตัวเมืองอิบารากิใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า แต่ปลายทางของพวกเขาไม่ใช่ตัวเมือง จึงทำให้ต้องใช้เวลาในการเดินทางต่อขึ้นไปอีกประมาณ 1 ชั่วโมง
“3 ชั่วโมงต่างหาก ทำอะไรกันดี” ไดกิคิด อาจะเป็นเพราะว่าเมื่อคืนเขานอนหลับมาจนเต็มอิ่มแล้ว จึงไม่รู้สึกง่วงหรืออยากนอนต่อ เกมส์ก็เล่นหมดแล้ว ไม่รู้จะทำอะไรดี
“ฟังเพลงสิ” เรียวสุเกะตอบโดยไม่มองหน้า เพราะเขากำลังหาหนังสือการ์ตูนในกระเป๋าของเขาอยู่ยังไงล่ะ
“ไม่เอา เบื่อแล้ว นายห้ามอ่านการ์ตูนนะ ไม่งั้นชั้นก็อยู่คนเดียวน่ะสิ!” ไดกิเอื้อมไปแย่งกระเป๋าบนตักของเรียวสุเกะมากอดเอาไว้
“แล้วนายจะให้ชั้นทำอะไรล่ะ” เรียวสุเกะทำหน้าเซ็ง
“ก็…มาคุยกันหน่อย”
“คุยอะไรล่ะ” เรียวสุเกะปรับท่านั่ง แล้วยกแขนขึ้นหนุนหัว
“ก็อย่างเช่น เมื่อคืนนายฝันว่าอะไรบ้างดีไหม”
เรียวสุเกะขมวดคิ้ว
“ใครจะไปจำได้ล่ะ”
“งั้นนายก็ถามมาสิว่าชั้นฝันว่าอะไรบ้าง” ไดกิยิ้มแล้วเอามือเท้าค้างกับกระเป๋า
เรียวสุเกะมองหน้าไดกิ
“รู้อยู่แล้ว เลยไม่อยากถาม เปลืองน้ำลาย” เรียวสุเกะตอบอย่างไม่มีเยื่อใย แต่จริงๆแล้วเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากพูดต่างหากล่ะ เขารู้อยู่แก่ใจว่าไดกิฝันว่าอะไร มันเป็นความฝันที่หลอกหลอนเพื่อนรักของเขามาตลอด 8 ปี ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าไดกิเจ็บปวดแค่ไหน มันเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด และไดกิเองก็คงพูดเล่น ไม่ได้คิดว่าจะให้เขาถามจริงๆหรอก
ไดกิยิ้ม
“เรียวจังเนี่ยใจดีจังเลย”
“แน่สิ ใครจะอยากเห็นไดจังร้องไห้กันล่ะ” เรียวสุเกะลดสีหน้าลงมายิ้มน้อยๆ
เวลาที่พวกเขาอยู่กันแค่สองคน พวกเขามักจะเรียกชื่อเล่นสมัยเด็ก กันอยู่บ่อยๆ ตอนที่พวกเขาเจอกันครั้งแรก
“เห็นบ่อยจนชินแล้วไม่ใช่รึไง”
“ไม่ชินซักหน่อย ถ้าชินจริงๆชั้นคงเป็นคนนิสัยแย่สุดๆเลยน่ะสิ”
“ชั้นไม่ว่าหรอกน่า ชินก็ได้ไม่เป็นไรหรอก หรือจะไม่สนใจเลยก็ได้นะ เห็นนายเป็นทุกข์เวลาชั้นร้องไห้ มันก็รู้สึกแย่เหมือนกันแหละ”
“ไม่มีทาง เอ๋ ไม่ยักรู้นะว่านายรู้สึกแบบนั้นน่ะ”
“ก็รู้ไว้ซะ แต่เวลาอยู่กับนายแค่สองคนทีไร มันก็ห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาไม่ได้ทุกที ก็เลยต้องให้นายเห็นน้ำตาของชั้นอยู่เรื่อย” ไดกิยิ้มกับตัวเอง
“ก็ไม่ต้องห้ามสิ จะร้องก็ร้องออกมา เคยว่าที่ไหนกันล่ะ”
เรียวสุเกะพูดพลันแกล้งเมินหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เป็นภาพที่ทำให้ไดกิยิ้มออกมาได้อีก ก็ที่เรียวสุเกะหันหน้าหนีไปแบบนี้น่ะ เป็นเพราะว่าเรียวสุเกะเขินยังไงล่ะ
“แล้วนายล่ะ เรียวจัง เวลานายเป็นแบบนั้นทีไร รู้ไหมว่าชั้นเหนื่อยนะ” ไดกิแกล้งพูด ทำเอาเรียวสุเกะหน้าลงบึ้งทันที
“ขอโทษละกัน แต่ชั้นก็เหมือนกับนายแหละ ว่าอยู่ต่อหน้าไดจังทีไร ก็ยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้ คิดว่าอีกด้วยว่า ถ้าเป็นนายล่ะก็คงไม่เป็นอะไรหรอก…น่ะ” เรียวสุเกะเริ่มเขินอีกครั้ง
“จริงหรอ ดีใจจัง เรียวจังเนี่ยน่ารักจริงๆด้วย” ไดกิเอื้อมมือไปจิ้มแก้มของเรียวสุเกะ ยิ่งทำให้เรียวสุเกะเขินเข้าไปใหญ่
“บ้าน่ะ! ชั้นโตแล้วนะ ไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อนแล้ว” เรียวสุเกะดึงมือไดกิออก
ไดกิหัวเราะ
“รู้แล้วน่า แต่นะ นายไม่ต้องขอโทษหรอก เพราะชั้นเต็มใจ และคิดว่านี่เป็นสิ่งที่มีแค่ชั้นคนเดียวที่ทำให้นายได้น่ะ”
“อืม แต่ถ้าเหนื่อยก็บอกนะ เผื่อชั้นจะได้พยายามควบคุมตัวเองไว้บ้าง”
“ไม่ต้องหรอก เราอยู่ด้วยกันตลอดเวลานี่ ก็ต้องเข้าใจกันอยู่แล้วถูกไหม”
“ก็จริงนะ นี่คนอื่นเขาจะเข้าใจผิดคิดว่าเราเป็นอะไรกันไหมเนี่ย” เรียวสุเกะพูดติดตลก
“เรารักกันยิ่งกว่าพวกคู่รักซะอีก” ไดกิลุกขึ้นไปนั่งกับเรียวสุเกะ แล้วกอดคอเพื่อนรักเอาไว้
“แน่นอน”
…หลังจากเริ่มสบายใจขึ้นแล้ว ทั้งคู่ก็ผล็อยหลับไป ยิ่งฟังบทสนทนาของทั้งคู่ก็ยิ่งอยากรู้ว่าอดีตของทั้งสองคน รวมถึงอดีตของสมาชิกอีก 8 คนที่กำลังรอการกลับไปของพวกเขาอยู่ที่โตเกียวน่ะ มันมีอะไรกันแน่นะ
ย้อนไปเมื่อคืนก่อนที่เมืองยาซาโตะ เมืองเล็กๆ ติดที่ตีนภูเขา ห่างจากตัวเมือง อิชิโอกะ เพียง 2 กิโลเมตรเท่านั้น หมู่บ้านเล็กๆและเรียบง่ายเรียงรายติดกันอย่างเงียบสงบ ที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาอุดมสมบูรณ์
บ้านหลังญี่ปุ่นเล็กๆหลังหนึ่ง มันไม่ได้มีลักษณะเด่นกว่าบ้านข้างเคียงเท่าไหร่นัก แต่ทำไม…ถึงมีคนมาเยี่ยมเยียนมันเยอะกว่าใครถึงเพียงนี้นะ ชายชุดดำจำนวนสองถึงสามคน แวะเวียนกันเดินเข้าเดินออกบ้านหลังนี้อย่างหลบๆซ่อนๆ โชคดีของชายชุดดำที่บ้านหลังนี้อยู่ลึกพอสมควร จึงทำให้ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านเท่าไหร่นัก
ชายชุดดำเหล่านี้เป็นใครกัน แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เจ้าของบ้านเป็นแน่ เจ้าของบ้านหลังนี้เป็นเพียงแม่ม่ายวัยกลางคนคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่กับน้องสาวเพียงสองคน เพราะสูญเสียสามีไปเมื่อ 10 ปีก่อน และวันนี้เนื่องจากพวกเธอสองคนต้องไปงานแต่งงานของญาติที่ต่างจังหวัด ทำให้กลายเป็นการเปิดทางสะดวกแก่ชายชุดำเหล่านี้
หน้าบ้านมีป้ายไม้เล็กๆถูกห้อยเอาไว้…
‘บ้านซากาโมโตะ’
.
.
.
*******************
เป็นยังไงบ้างตอนนี้ ไม่ได้ Talk ซะนานเลย คงสงสัยว่าทำไมเรื่องนี้แต่ละตอนที่โซลอัพน้อยจัง ยอมรับค่ะ ประมาณแค่ 10 – 11 หน้าเวิร์ดเอง เป็นเพราะช่วงนี้ทำงานทุกวัน ไม่ได้เรียนเลย แต่อยากแต่งฟิคก็เลยมาแต่ง มันก็เลยได้น้อย (แต่ไม่ใช่ประเด็นอ่ะ - -) คือ โซลต้องหาข้อมูลด้วย ข้อมูลที่เขียนลงมาจะเป็นเรื่องจริงทั้งหมดนะ อย่างสถานที่ก็มีอยู่จริง แต่อาจจะไม่ได้เชื่อมต่อกันบ้างเล็กน้อย เพราะข้อมูลพวกนี้หายาก (แฮะๆ) ส่วนเรื่อง FBI เป็นข้อมูลจริงจ้า
เรื่องการบรรยายการใช้คำพูดอาจจะยังไม่ลงตัวเท่าไหร่ (น่าจะนะ) ก็ต้องขอโทษด้วย แต่งไปซักพักก็จะดีขึ้นเองแหละ (มั้ง) โฮะๆๆ ตอนหน้าคงจะยาวแล้วล่ะ ตอนแรกๆพวกนี้มันไม่มีรายละเอียดอะไรมาก มันเลยน้อยอ่ะ
จะไม่ขอพูดถึงตัวเรื่องนะให้ลุ้นต่อไปดีกว่า โซลทิ้งปมไว้เยอะ (รึเปล่า) ก็ทิ้งไว้แหละ (อ้าว) โฮะๆๆ
สุดท้ายขอบคุณที่ติดตามจ้า
ความคิดเห็น