ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Santazia

    ลำดับตอนที่ #9 : นิมเซยอาละวาด

    • อัปเดตล่าสุด 23 พ.ย. 54





                    วิชาการใช้เวทมนตร์เบื้องต้นเรียนกับอาจารย์ขวัญใจนักเรียนทั้งโรงเรียนและใจดีที่สุดในแซงเคอร์ตอนเช้าเป็นภาคทฤษฎีส่วนตอนบ่ายเป็นภาคปฏิบัติ หอที่ต้องมาร่วมชะตากรรมกับหอตะวันออกด้วยคือหอเหนือ สำหรับพวกที่ใช้เวทมนตร์จนช่ำชองมันอาจกลายเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่ต้องมานั่งเรียนตั้งกะพื้นฐานการใช้เวท และมันคงไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไหร่สำหรับพวกที่ไม่ค่อยถนัดทางสายนี้ แต่ถึงจะน่าเบื่อยังไงการที่ได้เห็นอาหารตาอย่างเทพจำแลงกาย เรสเซอเรล มันก็ช่วยให้พวกเขาลืมเรื่องน่าเบื่อพวกนี้ไปได้

                    ฟรานนั่งเหยียดตัวยาวอยู่แถวล่างสุดของแสตนที่นั่ง อ้าปากหาวหวอดๆ หน้าตาเซื่องซึมตาปรือ ถ้าปล่อยไว้แบบนี้สักพัก ฟรานคงได้เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งหลังกินข้าวอิ่มๆและเป็นตอนบ่ายด้วย ชวนให้ยิ่งเกิดอาการง่วงหงาวหาวนอนยิ่งนักเหมือนที่พวกผู้ใหญ่ชอบพูดกันว่า หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน

              

                    เมื่อเช้าฟรานไม่มีโอกาสได้หลับสักกะงีบ เพราะเจอเฟรริลนั่งประกบข้างพอเขาทำท่าจะหลับทีก็โดนเฟรริลสะกิดที แถมยังมีเจ้าปีศาจจอมเย็นชานั่งขนาบข้างด้านขวาเหลือบมองด้วยสายตาไร้อารมณ์แววตาเยียบเย็น ในมือมีประกายสายฟ้าแปลบปลาบส่งเสียงเปรี๊ยะๆ เป็นเชิงขู่ว่าถ้าเขายังขืนหลับอีกได้โดนย่างเกรียมแน่ ฟรานเลยตาสว่าง นั่งตัวตรงแข็งทื่อกลืนน้ำลายเอื๊อกไม่กล้าหลับอีก เขาพยายามส่งสายตาขอความช่วยเหลือจากเฟรริล แต่คนถูกขอความช่วยเหลือทำเป็นไม่สนใจ ฟรานเลยหน้าม่อยจ๋อยสนิท จะย้ายที่ก็ไม่ได้ จำต้องทนนั่งเรียนแบบไม่เข้าหัวไปตลอดทั้งคาบโดยไม่มีโอกาสแม้เพียงจะหลับตาสักวินาที เพราะพอเขาทำท่าว่าตาจะหลับมื่อไหร่เป็นต้องได้ยินเสียงเปรี๊ยะๆทุกที พาลเอาเสียววาบหนาวๆร้อนๆ

                     เฟรริลฝืนทำใจแข็งทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็ชำเลืองมองอย่างอดห่วงไม่ได้กลัวฟรานจะโดนช็อตอย่างไร้ปรานีเหมือนในทุกๆเช้า ที่พอปลุกแล้วไม่ยอมตื่นจนเซฮันริวต้องเสกสายฟ้าผ่าใส่หรือไม่ก็เสกลูกไฟเผาก้น จนทำให้ฟรานมีสภาพตื่นนอนไม่เหมือนคนปกติแบบไม่ธรรมดา ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีกลิ่นไหม้หน่อยๆ นอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้นเท้าชี้ฟ้า หรือไม่ก้นก็มีรอยไหม้เป็นรูวงเบ้อเริ่ม

                    เฟรริลทอดถอนใจ เขาก็อยากเข้าไปห้ามเซฮันริวไม่ให้ทำแบบนั้น แต่มันก็ไม่มีวิธีไหนที่จะปลุกฟรานแชมป์นอนขี้เซาอันดับหนึ่งให้ตื่น วิธีนุ่มนวลที่คนปกติเขาทำกันเฟรริลลองมาหมดที่จะปลุกฟรานแชมป์นอนขี้เซาอันดับหนึ่งให้ตื่น วิธีนุ่มนวลที่คนปกติเขาทำกันเฟรริลลองมาหมดแต่ก็ยังไม่สามารถปลุกฟรานจอมขี้เซาได้ เลยเหลือแต่วิธีของเซฮันริวที่ได้ผลดีซะด้วย เขาจึงปล่อยเลยตามเลยถึงแม้ใจจริงจะเป็นห่วงอยู่มากและอดสงสารไม่ได้ แต่เฟรริลก็คงยอมไม่ได้ที่จะปล่อยให้เพื่อนตื่นสายแล้วไปเรียนไม่ทัน

                    ฟรานเข้าสู่โหมดสัปหงกโดยสมบูรณ์ เขาเอียงไปซ้ายทีอย่างน่าหวาดเสียวอีกนิดเดียวได้หัวทิ่มตกเก้าอี้ จู่ๆฟรานก็สะดุ้งตื่นแต่ตายังคงปรือ เปลือกตาเผยอขึ้นนิดเดียวแล้วก็ปิดกลับเหมือนเดิม จากนั้นก็เปลี่ยนทิศเอียงไปทางขวา หัวของฟรานวางพาดอยู่บนไหล่ของเฟรริลพอดิบพอดี คราวนี้ไม่มีการเอียงกลับไปที่เดิม เขาขยับหัวและตัวเล็กน้อยให้อยู่ในท่าที่สบายๆ เฟรริลมองฟรานอย่างเหนื่อยอ่อน แต่ในแววตานั้นยังคงแฝงไว้ด้วยความห่วงใยอยู่เสมอ

                    มีเงาทะมึนทาบทับร่างของเฟรริลและฟรานพร้อมกับเสียงเยียบเย็นชวนสั่นประสาทที่ทั้งสองคุ้นเคยเป็นอย่างดีดังขึ้น

                    “ หลับอีกแล้ว เจ้านี่คงไม่เข็ด ข้าคงต้องผ่าให้แรงขึ้น...สินะ ”

                    คำลงท้ายน้ำเสียงยิ่งเยียบเย็นลงทำเอาคนฟังขนลุกโดยพร้อมเพรียงแบบไม่ต้องนัดหมาย ในมือเซฮันริวมีประกายสายฟ้าแปลบปลาบส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ส่วนมืออีกข้างมีลูกไฟลูกน้อยๆลอยหมุนวนอยู่ในมือ ถึงขนาดมันจะเล็กแต่ความร้อนแรงใช้ได้เลยทีเดียวถึงขนาดทำให้ลูกหมูสุกกำลังพอดี

                    เฟรริลหน้าถอดสีรีบร้องห้ามพร้อมกับกอดฟรานแน่นเหมือนแม่ที่กำลังปกป้องลูกน้อย เขาไม่อาจทนเห็นฟรานถูกช็อตเป็นครั้งที่สองหลังจากถูกสายฟ้าฟาดไปสายใหญ่เมื่อเช้า ทำเอาฟรานเกรียมไปครึ่งตัว แถมยังโดนลูกไฟลูกน้อยๆเผาก้นจนกางเกงไหม้เป็นรูวงเบ้อเริ่ม

                    “ เดี๋ยวก่อน ตอนนี้อาจารย์ยังไม่มาปล่อยให้เขาหลับไปก่อนเถอะ ถ้าอาจารย์มาแล้วข้าจะปลุกเอง ”

                    เซฮันริวหรี่ตาลงจ้องมองเฟรริลสีหน้าไร้อารมณ์ พลางมองฟรานเป็นเชิงว่าคราวนี้เจ้ารอดตัวไป

                    “ แล้วแต่เจ้า ”

                    เขาพูดสั้นๆแล้วนั่งลงข้างๆเฟรริล ตอนที่กำลังจะหย่อนก้นดันถูกเจ้าบ้าเลออนเนลวิ่งหน้าตั้งเบียดแทรกลงไปนั่งแทน เซฮันริวหันมาส่งสายตาอย่างมาดร้ายบวกกับแผ่รังสีเย็นยะเยือกซึ่งแต่เดิมมันก็ทำให้บรรยากาศรอบข้างอึมครึมอยู่แล้วยิ่งกลับทำให้บรรยากาศเข้าใกล้คล้ายจะเกิดพายุลูกใหญ่

                    แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เลออนเนลตกใจเท่ากับที่เห็นฟรานซบไหล่เฟรริล แถมเฟรริลยังกอดเขาไว้อีก

                    “ เฟรริล! เจ้าทำไร! ทำไมถึง...ถึง... ”

                    เลออนเนลตาโตลุกพรวด พูดค้างอยู่แบบนั้น ในหัวขาวโพลนนึกคำพูดต่อไปไม่ออก เฟรริลมองงงๆแล้วหันไปมองตามนิ้วที่เลออนเนลชี้มายังฟราน มือทั้งสองของเฟรริลยังคงกอดฟรานไว้ เขาเลิ่กคิ้วขึ้นสีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เลออนเนลกำลังคิดอยู่ แต่จริงๆแล้วที่เฟรริลเข้าใจมันคนละอย่างกับที่เลออนเนลคิดอ่ะดิ เด็กหนุ่มปล่อยมือออก หันไปยิ้มละไม ดวงตาสีฟ้าใสกลมโตซึ่งมักจะเต็มไปด้วยความอบอุ่นเสมอจ้องมองเลออนเนล และพูดขึ้นว่า

                    “ ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ไม่อยากให้เซฮันริวใช้สายฟ้าผ่าฟรานอีก ”

                    “ เจ้าก็เลยเอาตัวบังไว้งั้นดิ? ”

                    “ ใช่ ”

                    เฮ้อ โล่งอกไปที ที่เจ้าไม่ได้เป็นไปตามที่ข้าคิด..... ไม่งั้นข้าคงเสียใจแย่ที่คนหน้าตาน่ารักๆอย่างเจ้า จะหันไปชอบ เอ่อ..... ช่างมันเหอะ

                    “ เจ้านี่น๊า ทำอะไรไม่เข้าเรื่อง เจ้าขี้เซานั่นสมควรถูกสั่งสอนบ้างไม่งั้นก็ไม่รู้จักเข็ดหลาบว่าไม่ควรหลับในชั่วโมงเรียน เจ้าเองก็ไม่อยากให้เจ้านั่นทำแบบนี้บ่อยๆใช่ไหมล่ะ ”

                    “ ก็ใช่ แต่ว่าเมื่อเช้าฟรานถูกเซฮันริวใช้ทั้งสายฟ้าผ่าใส่กับลูกไฟเผาก้น ข้าก็เลย... ”

                    “ อดสงสารไม่ได้ ”

                    เลออนเนลตอบแทนอย่างรู้ทัน เฟรริลนิ่งเงียบพยักหน้าน้อยๆ ก็มันอดสงสารไม่ได้นี่นา ที่จะเห็นเพื่อนถูกสายฟ้าผ่า ถูกไฟเผาก้นวันละหลายๆครั้ง ยิ่งกับฟรานที่มีใบหน้าคล้ายกับตัวเองมันทำให้เขารู้สึกปวดใจและทรมานอย่างบอกไม่ถูกทุกครั้งที่เห็นฟรานถูกเซฮันริวปลุกด้วยวิธีที่คนปกติเขาไม่ทำกัน อย่างเสกสายฟ้าแรงสูงผ่าใส่ หรือไม่ก็เสกลูกไฟเผาก้นจนเป็นรูวงเบ้อเริ่มแถมติดกลิ่นไหม้หน่อยๆ บางครั้งก็เล่นใช้เวทสองสายพร้อมกันจนฟรานต้องตื่นด้วยสภาพสะบักสะบอม บางทีกลิ้งตกเตียงหงายหลังเท้าชี้ฟ้าในสภาพเกรียมแบบพอดี เขารู้สึกเจ็บแปลบไปด้วยทุกครั้งที่เห็นฟรานถูกปลุกอย่างไม่ปรานีปราศัยเหมือนกับ...ตัวเองเป็นคนโดนเอง

                    “ เฮ้อ เจ้านี่น๊า ขี้ใจอ่อนขี้สงสารเกินไปแล้ว แล้วแบบนี้จะดัดนิสัยเจ้าบ้าขี้เซานั่นได้ยังไง ”

                    “ ก็... ”

                    “ ช่างเหอะ อาจารย์มาแล้ว รีบปลุกเจ้าบ้านั่นเร็ว ”

                    เลออนเนลนั่งลงข้างเฟรริล เซฮันริวเหลือบมองด้วยหางตาส่งสายตาเยียบเย็นให้เลออนเนล  เป็นสัญญาณให้เด็กหนุ่มรู้ตัวว่าเขาไม่พอใจกับการกระทำเมื่อตะกี้ ทำเอาเลออนเนลขนลุกซู่ เสียวสันหลังวาบ รู้สึกบรรยากาศโดยรอบดูอึมครึม ชวนอึดอัด เหมือนจะหายใจไม่ออก เลออนเนลมือเย็นเฉียบ ใจตุ้มๆต่อมๆ กลืนน้ำลายเอื๊อกก่อนจะรวบรวมความกล้าแล้วหันไปยิ้มแห้งผงกหัวขอโทษอยู่หลายที จนเซฮันริวพอใจบรยากาศโดยรอบเลยดูผ่อนคลายลง

                    เฟรริลหันไปเขย่าตัวฟรานเบาๆ เขย่าอยู่หลายทีฟรานยังไม่ยอมตื่นง่ายๆ เซฮันริวหันมามอง ในมือมีลูกไฟลูกน้อยๆพลิ้วไหวไปมา เป็นเชิงบอกว่าถ้าเฟรริลยังไม่สามารถปลุกฟรานให้ตื่นก่อนที่อาจารย์จะเริ่มสอนได้ เขาจะเป็นคนลงมือเอง       

                    เฟรริลส่งสายตาขอร้อง พร้อมกับส่ายหัวว่าอย่าเพิ่งลงมือ เขาเขย่าตัวฟรานแรงขึ้น เหมือนว่าเฟรริลจะนึกวิธีอะไรดีๆออก เด็กหนุ่มยื่นหน้าเข้าไปใกล้ข้างหูฟราน ริมฝีปากบางกระซิบเบาๆเพียงแค่ให้ฟรานได้ยิน พริบตานั้นเด็กหนุ่มจอมขี้เซาลืมตาโพรง หน้าซีดถอยกรูดจนเกือบหงายหลังตกเก้าอี้ยังดีที่เฟรริลคว้ามือไว้ได้ทัน ไม่งั้นคงได้ลงไปนอนแอ้งแม้งให้กลายเป็นที่ขบขันของเพื่อนร่วมชั้นเรียนและอาจถูกล้อไปอีกนาน ฟรานหันซ้ายหันขวาสายตาล่อกแล่กเหมือนกำลังมองหาใครบางคน พอเห็นคนที่กำลังมองหากำลังใช้สายตาอันเยียบเย็นแถมเย็นชาเพ่งมองมา ฟรานถึงกับขนลุกเกรียวเย็นวาบทั่วทุกรูขุมขน เขารีบหลบอยู่หลังเฟรริลแล้วแอบมองอย่างกล้าๆกลัวๆ 

                    เลออนเนลที่เห็นเหตุการณ์โดยตลอดมองตาค้าง อึ้งที่เฟรริลทำยังไงให้ฟรานจอมขี้เซาอันดับหนึ่งตื่นได้
     

                    เฟรริลกระซิบอะไรกับเจ้านั่น

                     ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นแบบเก็บอาการไม่อยู่ เลออนเนลจึงหันไปถามเฟรริล

                    “ เจ้ากระซิบอะไรกับเจ้าบ้าขี้เซานั่น ถึงทำให้ตื่นได้ ”

                    เฟรริลคลี่ยิ้มบาง และเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า

                    “ ข้าแค่บอกว่า ถ้าเจ้ายังไม่ยอมตื่นอีกเซฮันริวจะจุดไฟเผาก้นเจ้าพร้อมกับใช้สายฟ้าผ่าใส่เจ้าแบบไม่ยั้งและไม่ออมแรงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

                    เลออนเนลนิ่งอึ้งไปหลายวิ คิดไม่ถึงว่าเฟรริลที่เป็นคนใจดี สุภาพ น่ารัก น่าทะนุถนอม จะพูดขู่คนก็เป็น

                    มันไม่เข้ากับหน้าตาน่ารักอย่างเจ้าเลยนะ

                    เลออนเนลทำตาปริบๆ เฟรริลเอียงคอเล็กน้อยมองตาแป๋วเหมือนเด็กๆ ใบหน้ายังคงระบายไปด้วยรอยยิ้ม เฟรริลเลิ่กคิ้วขึ้นอย่างสงสัยเมื่อเห็นเลออนเนลจ้องเขานานซะจนพาลให้คิดว่าเขาพูดอะไรผิดหรือเปล่า เฟรริลกำลังจะอ้าปากถามพลันถูกเสียงๆหนึ่งดึงความสนใจของทั้งสองให้หันไปมองหน้าห้อง  มันเป็นเสียงอันคุ้นหูไม่ว่าจะฟังสักกี่ทีก็ยังคงนุ่มนวลเพราะพริ้งสดใสดังระฆังแก้วชวนให้รู้สึกโล่งสบายใจ

                    “ สวัสดี นักเรียนทุกคน ”

                    เรสเซอเรลทักทายนักเรียนด้วยรอยยิ้มละไมสดใส ดวงตาสีทองมักจะมองนักเรียนแต่ละคนด้วยแววตาอบอุ่น

                    “ สวัสดีครับ/ค่ะ ”

                    นักเรียนทุกคนลุกขึ้นโค้งคำนับทำความเคารพ และพูดพร้อมกันด้วยน้ำเสียงสดใสท่าทางกระตือรือร้น ยกเว้นเจ้าปีศาจจอมเย็นชาที่ชอบทำหน้าตายไร้อารมณ์เป็นกิจวัตรที่แค่ค้อมศีรษะเล็กน้อย และฟรานจอมขี้เซาที่ยืนหาวไปพูดไปแบบฟังไม่ได้ศัพท์

                    “ เมื่อเช้าเราได้เรียนกันไปแล้วเกี่ยวกับการใช้เวทมนตร์ขั้นพื้นฐาน และแหล่งกำเนิดพลังเวท ในช่วงบ่ายข้าอยากทดสอบพลังของพวกเจ้าว่าอยู่ในระดับไหน ”

                    ดวงตาสีทองที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอมองนักเรียนแต่ละคน เมื่อเห็นว่าทุกคนอยู่ในอาการตั้งใจฟังยกเว้นฟรานที่ยังคงนั่งหาวหวอดๆตาเริ่มปรืออีกรอบ เรสเซอเรลจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนน่าฟังอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวว่า

                    “ ง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก แค่พวกเจ้าซัดพลังให้เต็มที่ใส่กำแพงนั่น ”

                    เรสเซอเรลชี้ไปที่กำแพงด้านขวามือของเขาซึ่งอยู่ปลายสุดของห้อง มันเป็นกำแพงหินสีขาวธรรมดาทั่วไปสูงประมาณหนึ่งช่วงตัวที่ดูบอบบางไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ ไม่ต้องถึงขั้นซัดพลังเวทหรือคลื่นพลังใส่หรอกแค่ถ้าโดนอะไรหนักๆกระแทกเข้าก็อาจพังคลืนทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลงอย่างง่ายดาย แล้วจะให้ซัดพลังใส่สุดแรงเกิดเนี่ยนะ แค่เอาค้อนเหล็กใหญ่ๆมาทุบทีสองทีก็คงแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว นักเรียนทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกันเป็นเสียงเดียว

                    ดวงตาสีทองที่ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอไล่มองนักเรียนแต่ละคน เมื่อเห็นว่าพวกเขายังคงนิ่งเงียบไม่มีใครถามหรือมีข้อสงสัยอะไร ชายหนุ่มผู้ถูกนักเรียนพร้อมใจกันยัดเยียดฉายา เทพจำแลงกาย จึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสดใสชวนน่าฟังพาลให้เคลิบเคลิ้ม

                    “ ในเมื่อไม่มีใครสงสัยหรืออยากถามอะไร งั้นมาเริ่มการทดสอบกันเลย ”

                    เรสเซอเรลมองรายชื่อที่อยู่ในมือ และเรียกชื่อคนแรก

                    “ฮาลตัน ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาล รูปร่างเล็กสันทัดน่าจะสูงประมาณไหล่ของฟราน เขาอยู่หอเดียวกับพวกฟรานและเคยอยู่กลุ่มเดียวกับฟรานตอนสอบเข้าเรียน เดินออกมายืนหน้าสแตนในมือกำคาเวทแน่น ใบหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ

                    เรสเซอเรลยิ้มบางให้เด็กหนุ่ม ฮาลตันที่สบเข้ากับรอยยิ้มชวนน่าเคลิบเคลิ้มหลงใหลถึงกับหน้าแดงระเรื่ออย่างกับแอปเปิ้ลสุกปลั่ง เขาก้มหน้างุดใจเต้นโครมครามเหมือนมันจะหลุดออกมานอกอก

                    ฮาลตันเดินก้มหน้าเข้าไปหาเรสเซอเรลไม่กล้ามองใบหน้าอันงดงามหมดจดได้รูปซึ่งมันอาจทำให้เขาใจเต้นระทึกถึงขั้นลมใส่ก็เป็นได้

                    เด็กหนุ่มหยุดอยู่หน้ากำแพงสีขาวสะอาดตาห่างประมาณหนึ่งช่วงตึก เขาหลับตาสูดลมหายใจลึกตั้งสมาธิมั่น เด็กหนุ่มค่อยๆลืมตา ในมือกำคฑาเวทแน่น ลูกแก้วบนหัวคฑาส่องแสงสีฟ้านวล ฮาลตันยกคฑาเวทขึ้นพร้อมร่ายเวทโจมตี กลุ่มก้อนเวทมนตร์ขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่กำแพงอย่างไม่ยั้ง แรงประทะทำให้เกิดเสียงดังสนั่น ฝุ่นฟุ้งตลบกลบทัศนวิสัยการมองเห็นสภาพการณ์ที่อยู่เบื้องหน้า ทำให้ไม่รู้เลยว่าตอนนี้กำแพงมีสภาพเป็นอย่างไร พลังเวทที่รุนแรงขนาดนี้ปะทะเข้ากับกำแพงที่ดูบอบบางที่แค่ใช้ค้อนทุบก็คงพังลงมาอย่างง่ายดาย ถึงไม่ต้องเดาก็พอบอกได้เลยว่ามันจะมีสภาพเช่นไร

                    กลุ่มนักเรียนยืนมองกันตื่นตะลึง ต่างเพ่งมองฝ่ากลุ่มควันที่ยังคงฟุ้งตลบเพื่อดูผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ทุกคนคิดเหมือนกันว่าจะได้เห็นคือสภาพอันน่าเวทนาของกำแพงผู้น่าสงสารที่ถูกพลังเวทอัดใส่ แตกละเอียดเป็นเศษเล็กเศษน้อย

                   

                    ฝุ่นควันเบาบางลง ฮาลตันหายใจถี่ลุ้นระทึก นักเรียนทุกคนต่างชะเง้อคอมองไปยังกำแพงสีขาวอันน่าเวทนาเป็นจุดเดียว เมื่อฝุ่นควันมลายหายไป ฮาลตันถึงกับตาโตตื่นตะลึง เขากระพริบตาถี่ๆจ้องแล้วจ้องอีกอย่างไม่เชื่อสายตา นักเรียนที่เป็นผู้ชมยืนมองตาค้างตัวแข็งทื่อ กำแพงที่ดูบอบบางเพียงแค่ใช้ค้อนทุบก็สามารถพังทลายลงอย่างง่ายดายกลับยังคงตั้งตระหง่านสีขาวสะอาดตาไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใดๆ ทั้งๆที่ถูกพลังเวทอัดเข้าใส่อย่างรุนแรงจนเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นถึงขนาดทำให้กำแพงเวทเกราะป้องกันที่กั้นระหว่างสแตนที่นั่งกับบริเวณทดสอบสั่นสะเทือนเป็นระลอกคลื่น

                    ฮาลตันกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ หน้าถอดสี แววตาดูเหมือนเสียความมั่นใจเป็นอย่างมาก เขายืนนิ่งมองกำแพงสีขาวสะอาดตาอันไร้รอยขีดข่วนใดๆค้างอยู่นาน จนเรสเซอเรลเดินเข้าไปจับไหล่และเรียกชื่ออย่างเป็นห่วง ฮาลตันจึงได้สติกลับมาและหันไปหาอาจารย์สีหน้าเหมือนจะร้องไห้

                    “ ไม่เป็นไร เจ้าทำได้ดีที่สุดแล้ว ”

                    ดวงตาสีทองดูอบอุ่นมองเด็กหนุ่มอย่างห่วงใย น้ำเสียงนุ่มนวลช่วยปลอบประโลมให้เขารู้สึกดีขึ้น ริมฝีบางคลี่ยิ้มน้อยๆให้ฮาลตัน มือเรียวบางบีบไหล่เขาเบาๆเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจ ฮาลตันที่สบเข้ากับรอยยิ้มที่สามารถทำให้ใจคนมองหลอมละลายได้ภายในพริบตาก้มหน้างุด ใบหน้าแดงก่ำอย่างกับผลแอปเปิ้ลสุก ใจเต้นรัวอย่างคุมไม่อยู่ เรสเซอเรลตบไหล่ฮาลตันเบาๆสองสามที และบอกเขาให้กลับไปนั่งที่ ก่อนจะหันหน้าไปทางสแตนที่นั่งพลางก้มมองรายชื่อที่อยู่ในมือ และพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสดใสชวนน่าฟังว่า

                    “ คนต่อไป จาร์นิคส์ ”

                    นักเรียนชายผมกระเซิงสีน้ำตาลดำเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน รูปร่างสูงได้สัดส่วน ดูองอาจเหมือนพวกอัศวิน ใบหน้ารูปไข่เกลี้ยงเกลา จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีใช่ได้แต่ไม่ถึงขนาดอาจารย์เรสเซอเรลผู้แสนใจดี ลุกขึ้นยืนก้าวลงมาจากสแตนชั้นบนสุดอย่างมาดมั่น นักเรียนหอตะวันตกต่างส่งเสียงโห่ร้องเชียร์โดยเฉพาะพวกผู้หญิงที่ส่งเสียงดังกว่าเพื่อนไม่เว้นแม้แต่นักเรียนหญิงหอตะวันออกที่เอากับเขาด้วย พวกผู้ชายเพื่อนร่วมหอเลยออกอาการหมั่นไส้ ทำเสียงชิไม่สบอารมณ์พาลมองนักเรียนหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นอย่างไม่ถูกชะตา                  
                  

                    จาร์นิคส์หยุดยืนอยู่หน้ากำแพงสีขาวจุดเดียวกับที่ฮาลตันเคยยืน เขาหลับตาลงสูดลมหายใจลึก มือขวากำดาบแน่นตั้งท่าเตรียมพร้อมโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นแววตามุ่นมั่นพร้อมกับดีดตัวพุ่งเข้าหากำแพงอย่างรวดเร็ว เขาชักดาบออกมาและวาดดาบขึ้นกลางอากาศ เกิดคลื่นพลังพุ่งเข้าใส่กำแพงซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า แรงปะทะทำให้เกิดเสียงดังสนั่นฝุ่นฟุ้งตลบ กำแพงเวทเกราะป้องกันที่กั้นระหว่างสแตนที่นั่งและบริเวณทดสอบเกิดการสั่นไหวเป็นระลอกคลื่นตามแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น

                    ฟรานจ้องมองตาไม่กระพริบอย่างสนใจ ในฐานะนักดาบเหมือนกันเขาอดชื่นชมไม่ได้ในความเก่งกาจสามารถของหมอนั่น คนคนนั้นอาจมีฝีมือพอๆกันหรือเหนือกว่าฟราน ฟรานเองก็มีฝีมือดาบเก่งกาจไม่แพ้ใครเพียงแต่ไม่สามารถใช้เพลงดาบที่สามารถปล่อยคลื่นพลังแบบนั้นได้

                    ฝุ่นควันที่เกิดจากแรงปะทะมลายหายไป เผยให้เห็นกำแพงสีขาวสะอาดตาที่ไร้รอยขีดข่วนใดๆเช่นเดิม จาร์นิคส์เอียงคอมองยักไหล่แบบไม่ยี่หระ แต่ใบหน้ากลับถอดสี เขาเก็บอาการรู้สึกผิดหวังกลัวเสียฟอร์มที่ไม่สามารถทลายกำแพงนั่นได้ทั้งๆที่เขาใช้เพลงดาบท่าไม้ตายก้นหีบที่เขาภูมิใจที่สุดและแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ยังไม่อาจทำให้เจ้ากำแพงบ้านั่นมีแม้กระทั่งรอยขีดข่วน!

                    เพื่อนๆที่ส่งเสียงเชียร์ต่างตกอยู่ในอาการอึ้งกิมกี่ พวกเขาสัมผัสได้ว่าเพลงดาบที่จาร์นิคส์ใช้มีพลังการทำลายที่รุนแรงที่แม้แต่หินผาก็สามารถถูกทำลายลงเป็นเศษเล็กเศษน้อยได้ จาร์นิคส์ถอนใจเฮือก และหมุนตัวเดินกลับมาดนิ่งไปนั่งที่สแตน ในขณะที่เรสเซอเรลปรบมือและกล่าวชื่นชมเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสดใสด้วยคำพูดที่สามารถทำให้คนฟังมีกำลังใจเพิ่มขึ้น

                    “ ยอดเยี่ยมมาก เป็นเพลงดาบที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ถ้าเจ้าได้รับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นอีกละก็ รับรองว่ากำแพงแค่นี้คงไม่คณามือเจ้า ”

                    เรสเซอเรลส่งยิ้มบางให้พร้อมกับมองเขาอย่างเอ็นดู จาร์นิคส์ที่สบเข้ากับรอยยิ้มแสนหวานรีบหลุบตาต่ำอย่างไม่ได้ตั้งใจ เขาพยักหน้าหงึก ใบหน้าแดงระเรื่อ ใจเต้นรัวเร็ว ไอ้ความรู้สึกที่ผิดหวังเมื่อกี้พอได้ยินคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคของเรสเซอเรลกลับทำให้เขารู้สึกโล่งและมีแรงฮึดสู้อย่างน่าประหลาด

                    การทดสอบยังคงดำเนินต่อไป คนแล้วคนเล่าก็ไม่อาจทำอะไรกำแพงนั่นได้แม้แต่รอยขีดข่วน กำแพงนั่นยังคงตั้งตระหง่านสีขาวสะอาดตาเหมือนที่เคยเป็นมา

                    เฟรริลเองก็ทุ่มพลังสุดตัว เขาเลือกใช้เวทที่แรงที่สุดจนเพื่อนในห้องส่งเสียงฮือฮาชื่นชมไม่ได้กับความสามารถของเขา ก็ยังไม่สามารถทำอะไรกำแพงหินนั่นได้

                    แม้แต่เด็กหนุ่มเผ่าปีศาจที่อยู่หอตะวันตก ชนเผ่าที่ขึ้นชื่อเรื่องพลังเวทที่มีอานุภาพการทำลายล้างสูงก็ยังไม่สามารทำอันตรายกำแพงหินที่ดูบอบบางแต่ไม่บอบบางลงได้

                     มาถึงตาฟรานเขากระชับดาบในมือแน่น แล้วพุ่งเข้าหากำแพงอย่างมาดมั่น เขาฟาดดาบลงกำแพงเต็มแรง ทว่ามีเพียงแค่เสียงโลหะกระทบหินดังสะท้อนก้องทั่วห้อง พร้อมกับส่งแรงสั่นสะเทือนไปยังตัวเขา ทำให้ฟรานสั่นกึกๆตามแรงสะเทือนนั่นไปด้วย

                    มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นในหมู่นักเรียน เอ่อ...ถ้าฟังให้ดีน่าจะเป็นเสียงหัวเราะมากกว่า ฟรานรู้สึกทั้งอายทั้งชาทั่วทั้งแขนและนิ้วมือ เลออนเนลขำก๊ากออกมาดังๆอย่างไม่เกรงใจคนถูกขำเลยสักนิด ฟรานอยากเอาด้ามดาบกระแทกเข้าปากนั่นจริงๆ แต่เขาก็อดกลั้นไว้ทำได้เพียงชักสีหน้าไม่สบอารมณ์ เดินกลับที่นั่งหัวเสียระคนอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี เฟรริลหันมาชมพลางปลอบใจเขาว่าทำได้ดีแล้ว เป็นเพลงดาบที่ดีที่สุดที่เขาเคยเห็นมา ถึงจะอย่างนั้นแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฟรานรู้สึกดีขึ้นสักนิด ฟรานพยายามทำเป็นไม่สนใจไม่ใส่ใจกับเสียงหัวเราะที่ดูจะโอเวอร์ซะเกินขนาดของเลออนเนล

                    เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าข้าหรอก เอาดาบฟันไปฟันมาแถมเกือบหงายหลังล้มอีก ท่าก็ไม่สวยเท่าข้า เฮอะ

                    ฟรานแขวะในใจ พลางส่งสายตามองค้อนไม่สบอารมณ์ ขณะเจ้าตัวถูกมองยังหัวเราะไม่หยุด

                    พอมาถึงตาเซฮันริว เขาแค่สะบัดมือเบาๆส่งคลื่นพลังเวทสายหนึ่งเข้าปะทะกำแพง ผลลัพธ์ก็เหมือนกับคนอื่นอย่างไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

                    ความจริงแล้วกำแพงสีขาวสะอาดตาเป็นกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นจากเวทมนตร์ที่ทรงพลังในระดับหนึ่งโดยเรสเซอเรล หัวหน้าแผนกเวทมนตร์ มันก็ไม่แปลกหรอกที่นักเรียนซึ่งมีพลังเวทในระดับปกติธรรมดาจะไม่สามารถทลายมันลงได้ หากสามารถพังมันลงมาได้ล่ะก็คงมีพลังในระดับครึ่งหนึ่งของเรสเซอเรล

                    เสียงกริ่งหมดเวลาดังขึ้นพร้อมกับการทดสอบของนักเรียนคนสุดท้ายเสร็จสิ้น นักเรียนต่างพากันทยอยออกจากห้องบางคนตรงดิ่งกลับหอ บางคนไปห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลทำการบ้าน และมีส่วนน้อยที่เข้าไปคุยกับอาจารย์เรสเซอเรลเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนไปเมื่อเช้า

                    เฟรริลคว้าข้อมือฟรานกำแน่นชนิดที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่ยอมให้แกะออกพร้อมกับลากออกไปโดยที่ฟรานยังไม่ทันตั้งตัว เด็กหนุ่มเซถลาไปข้างหน้าตามแรงดึงเกือบล้มหน้าทิ่ม เขาหน้าเหวอร้องถามเสียงหลง

                    “ เจ้าจะลากข้าไปไหน ”

                    “ ห้องสมุด เมื่อวานยังหาข้อมูลไม่ได้เลย ”

                    “ ช้าๆก็ได้ ไม่ต้องรีบหรอก ห้องสมุดมันไม่หนีไปไหน 

                    ฟรานร้องบอกในขณะที่เขาถูกลากกึ่งวิ่งกึ่งเดิน ขาแทบพันกันพาลจะล้มเอาอยู่หลายรอบ เลออนเนลเห็นเฟรริลลากฟรานออกไปอย่างรวดเร็ว เขารีบคว้ากระเป๋าสะพายวิ่งตามไปติดๆ ปากก็ร้องเรียกให้เฟรริลรอด้วย เซฮันริว เจ้าปีศาจจอมเย็นชา ฉายาที่ฟรานตั้งให้ มองพวกเขาทั้งสามด้วยแววตาเรียบเฉย สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ

                    ก่อนที่เฟรริลจะก้าวพ้นประตู เขาหันกลับมาเรียกเพื่อนทั้งสองให้รีบตามไปห้องสมุดไวๆ เลออนเนลน่ะไม่ต้องห่วงหมอนั่นแทบตามติดเฟรริลยังกะเงาตามตัว ส่วนเซฮันริวหยิบกระเป๋าขึ้นสะพายแล้วเดินตามไปอย่างเสียไม่ได้ สีหน้าและแววตายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม ฟรานเคยคิดวางแผนแกล้งจะทำให้เซฮันริวทำสีหน้าแบบอื่นบ้าง แต่เขาก็ต้องล้มเลิกความคิดนั้นไปเพราะกลัวจะถูกสายฟ้าผ่ากับลูกไฟเผาก้นของเซฮันริวมากกว่า

                    ตลอดทางที่เฟรริลลากฟรานเดินไปอย่างรวดเร็ว นักเรียนที่พวกเขาเดินผ่านต่างหันมามองอย่างสนใจ แล้วหันไปซุบซิบกัน ทำเอาฟรานรู้สึกอายอย่างบอกไม่ถูก เขาเรียกเฟรริลในระดับเสียงที่ให้ได้ยินกันแค่สองคน

                    “ อะ...เอ่อ ข้าเดินเองได้ ปล่อยมือเถอะ ”

                    “ ไม่ได้หรอก ”

                    ฟรานคิ้วมุ่นถามกลับอย่างข้องใจ

                    “ ทำไมอ่ะ ”

                    “ ข้ากลัวว่าเจ้าจะแอบกลับไปนอนต่อที่ห้องน่ะสิ ”

                    เฟรริลตอบกลับเสียงเข้มไม่แม้จะหันมามองคนถาม ยังคงตั้งหน้าตั้งตาลากฟรานไปให้ถึงหอสมุด

                    เจ้าเห็นข้าเป็นคนแบบนั้นเรอะ ถึงข้าจะชอบหลับในห้องเรียนแต่ข้าก็มีความรับผิดชอบพอนะ ถึงบางครั้งไอ้ตัวขี้เกียจมันจะเอาชนะได้ก็เถอะ เอ่อ...แต่ก็น้อยครั้งนะไม่ได้บ่อยสักหน่อย

                    “ ข้าไม่ทำแบบนั้นหรอก ปล่อยให้ข้าเดินเองเหอะ คนอื่นมองกันใหญ่แล้ว ”

                    “ ไม่ได้ ”

                    เฟรริลยื่นคำขาดและยังคงลากฟรานต่อไปไม่สนคำทัดทานแกมขอร้องของคนถูกลากเลยแม้แต่น้อย

                    ฟรานหันมองซ้ายมองขวา นักเรียนที่พวกเขาเดินผ่านต่างหยุดมองกันมากขึ้น แถมเริ่มจับกลุ่มซุบซิบกันอีก เฟรริลเป็นเจ้าชายก็ย่อมเป็นที่จับตามองอยู่แล้ว และยิ่งทำแบบนี้มันยิ่งกลายเป็นจุดสนใจมากขึ้นไปอีก ถ้าแค่นี้มันคงไม่ทำให้ฟรานช็อกเท่ากับคำซุบซิบที่มันดันดังเกินกว่าจะเป็นเสียงซุบซิบแว่วเข้าหูเขาเต็มสองรูหู

                    นั่นเจ้าชายเฟรริลนี่ กำลังจูงมือเด็กผู้หญิงคนนั้นไปไหนน่ะ

                    นี่คือเสียงซุบซิบของเด็กสาวกลุ่มแรกที่เขาเดินผ่าน เอ่อ...ในสภาพแบบนี้ถ้าจะเรียกให้ถูก คือ ถูกลากผ่านซะมากกว่า

                    ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครนะ ได้จับมือกับเจ้าชายด้วย

                    ประโยคที่ทำให้ฟรานช็อกประโยคที่สองตามมาติดๆจากกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เขาถูกลากผ่านกลุ่มถัดมา

                    เป็นแฟนกันเหรอ

                    ประโยคสุดท้ายนี่เด็ดจริงๆ ทำเอาฟรานเบิกตาโตค้างอึ้ง เขาหันขวับไปมอง เด็กสาวสามคนที่เพิ่งซุบซิบพวกเขาไปหยกๆก็มองมาที่พวกเขาเช่นกัน พวกเธอมองฟรานแบบแปลกๆ เอ่อ...สายตาเหมือนจะอิจฉานิดๆ รู้สึกไปเองป่าวหว่า เหมือนกับ...

                    หน้าตาเหมือนกันเลย จะเป็นเนื้อคู่หรือเปล่านะ ถึงจะน่าอิจฉา แต่เธอก็สวยจริงๆ

                    …..

                    ประโยคสุดท้ายของท้ายสุด มันทำให้ฟรานหน้าชา รู้สึกเซ็งในทันที

                    พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงเรอะ มองยังไงให้เป็นผู้หญิง เครื่องแบบมันก็บ่งบอกอยู่ว่าไม่ใช่  ฮึ่ย เซ็ง แม้แต่ผู้หญิงยังมองว่าข้าเป็นผู้หญิง แล้วข้าจะจีบสาวที่ไหนได้ล่ะเฟ้ย พวกเจ้าคือกลุ่มแรกเลยที่ข้าไม่คิดจีบแน่ มีตาแต่ไร้แววชะมัด มองคนหน้าตาดีอย่างข้าเป็นผู้หญิงไปได้

                  

                    ฟรานโวยวายลั่นในใจ มองเด็กสาวกลุ่มนั้นเคืองๆ อยากจะพูดออกมาอยู่หรอก แต่ถ้าขืนทำแบบนั้นได้เสียภาพพจน์สุภาพบุรุษผู้แสนดีหมด

                    เลออนเนลร้องเรียกตะโกนซะดังลั่น ในขณะที่วิ่งมาทันพวกเขาก่อนจะเปิดประตูเข้าหอสมุด เฟรริลหันมาส่งยิ้มให้และหยุดยืนรอเขา ดวงตาสีน้ำทะเลเหล่มองฟราน พลันเบิกตาโตแววตาเป็นประกายเหมือนเห็นเรื่องสนุก

                    “ เจ้าขี้เซา! ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีรสนิยมแบบนี้ด้วย ”

                    ความเคืองที่ถูกผู้หญิงกล่าวหาว่าเป็นผู้หญิงถูกแทนที่ด้วยคำพูดที่ชวนให้หงุดหงิดจนอยากจะตื้บเจ้าของคำพูดประโยคนั้น

     

                    ใครเป็นเจ้าขี้เซากันฟร้า ข้ามีชื่อนะเฟ้ย                
                                                                                   

                    แล้วที่เจ้าบ้านั่นพูดหมายถึงอะไร รสนิยมอะไร?

                    ฟรานคิ้วมุ่นมองกลับอย่างข้องใจ เขากำลังจะถามกลับไปแต่ถูกขัดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นพร้อมกับดวงตาสีม่วงอมเงินที่ไล่มองเขาแบบแปลกๆตั้งแต่หัวจรดเท้า

                    “ คงมีใครเล่นตลก เจ้าไม่รู้สึกหรือไงว่ามัน... ”

                    เซฮันริวหยุดพูดแค่นั้น พลางส่ายหน้าเหมือนสังเวชในสภาพของฟราน คนถูกมองเลิ่กคิ้วขึ้นตอบกลับอย่างแปลกใจ

                    “ ก็...ก็รู้สึกเย็นๆที่ขา แต่มันไม่ทันได้มีเวลารู้สึกผิดสังเกตอ่ะดิ ก็ดันถูกเฟรริลลากมาตลอดทาง 

                    ฟรานหันไปทางเฟรริล สีหน้าของหมอนั่นดูอึ้งตกตะลึงไม่น้อย ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองฟรานตาโตแบบแปลกๆ แถมยังกระพริบตาถี่ๆหลายทีเหมือนกับไม่เชื่อในสิ่งที่ตาตัวเองเห็น

                    “ มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ ”

                    ฟรานเริ่มใจเสียมองหน้าเพื่อนเลิ่กลั่ก เลออนเนลเอามือปิดปากกลั้นหัวเราะตัวงอ เซฮันริวมองเขาด้วยแววตาชวนสังเวชยังไงไม่รู้แถมยังปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรอีก  ส่วนเฟรริลก็เอาแต่จ้องฟรานนิ่งเหมือนยังอยู่ในอาการตกตะลึงค้างยังไงยังงั้น

                    เฮ้ย! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

                    ฟรานอดรนทนไม่ไหวเข้าไปจับตัวเฟรริลเขย่าเบาๆ และถามซ้ำอีกครั้ง ดูเหมือนตอนนี้เพี่อนทั้งสามเริ่มทำให้เขาตื่นตระหนก

                    “ เฟรริล เฮ้ เฟรริล ”

                    ฟรานเรียกซ้ำเสียงดังขึ้น เฟรริลสะดุ้งโหยงเหมือนตื่นจากภวังค์ เขาหันไปมองฟรานตื่นๆ

                    “ เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า ข้าเรียกอยู่ตั้งนาน ”

                    “ เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่... ”

                    เฟรริลนิ่งเงียบอีกครั้ง สีหน้าลังเลที่จะพูดต่อ กลัวว่าถ้าพูดไปแล้วอาจจะทำให้ฟรานไม่สบายใจ

                    “ เจ้าใส่ชุดนี้เหมาะมากเลยอ่ะ ”

                    เลออนเนลมองฟรานสายตาวิบวับ เดินวนมองรอบตัวเขาด้วยสายตาเหมือนเด็กหนุ่มมองหญิงสาว ฟรานละความสนใจจากเฟรริล หันไปถามเลออนเนลอย่างข้องใจ

                    “ ชุดอะไร? ”

                    เลออนเนลยักคิ้วหลิ่วตา มือลูบคาง ไล่มองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตากะลิ้มกะเหลี่ยเป็นประกายอย่างมีความหมาย

                     ฟรานหน้าเสียก้มดูชุดตัวเอง จากนั้นตามมาด้วยเสียงร้องลั่นที่บ่งบอกว่าตื่นตกใจขนาดหนัก

                    เฮ้อ คงไม่ต้องบอกแล้วมั้ง

                    เฟรริลถอนใจเฮือก ดวงตาสีฟ้าใสยังคงมองฟรานด้วยความห่วงใยอยู่เสมอนับตั้งแต่ได้พบกันเป็นครั้งแรก และนับจากนี้ก็เช่นกัน

                    “ นะ...นี่มันอะไร! ทำไมข้าอยู่ในชุดนี้! 

                    ฟรานจับกระโปรงที่ยาวเลยเข่าขึ้นมาดู สีหน้าตื่นตระหนก เขาจำได้ว่าตอนออกจากห้องก็ใส่กางเกงจนกระทั่งถูกเฟรริลลากไปหอสมุด ก็ยังเป็นกางเกง?

                    “ ข้าต้องถามเจ้ามากกว่า นึกครึ้มอะไรถึงเอาชุดผู้หญิงมาใส่ ”

                    เลออนเนลเลิกแกล้งมองฟรานด้วยสายตากะลิ้มกะเหลี่ยเหมือนที่เด็กหนุ่มมองหญิงสาว และถามฟรานอย่างข้องใจบวกอยากรู้เป็นที่สุด

                    “ ข้าจะเอาเวลาไหนมาเปลี่ยนชุด ในเมื่อข้าถูกเฟรริลลากมาตลอดทาง แถมเจ้ายังวิ่งตามมาติดๆ ”

                    ฟรานตอบกลับน้ำเสียงดูตื่นๆ เขาก้มมองชุดตัวเองสีหน้าเหยเกทำท่าเหมือนอยากจะร้องไห้ ไม่ใช่แค่กางเกงถูกเปลี่ยนเป็นกระโปรงอย่างเดียว แม้แต่เสื้อก็ถูกเปลี่ยนด้วยกลายเป็นเสื้อตัวเล็กลงและมีเอวคอดเข้ารูปแบบเดียวกับเสื้อนักเรียนหญิงเผยให้เห็นรูปร่างของฟรานที่ดูเพรียวบางที่ผู้หญิงหลายคนเห็นแล้วเป็นต้องอิจฉา พูดง่ายๆก็คือฟรานผู้น่าสงสารถูกผู้หวังดีประสงค์ร้ายเปลี่ยนให้ทั้งชุด เด็กหนุ่มผู้โชคร้ายได้แต่คอตกทอดถอนใจอย่างสังเวชในสภาพตัวเอง

                    เออ มันก็จริง แต่ก็มีช่วงหนึ่งที่คลาดสายตาตอนเลี้ยวที่มุมตึกนี่นา แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าบ้าขี้เซาจะเปลี่ยนชุดตอนไหนเฟรริลคงไม่ร่วมมือทำอะไรแผลงๆแบบนี้หรอก แล้วมันเพราะอะไร?

                    เลออนเนลกอดอกมองฟรานสีหน้าครุ่นคิด

                    จะว่าไปฟรานก็เหมาะกับชุดนี้จริงๆ ดูได้จากสายตาหลายคู่ยังคงจับจ้องมาที่ฟรานโดยเฉพาะพวกผู้ชายที่มองเขาไม่ต่างกับเจอสาวสวย ส่วนพวกผู้หญิงบางคนก็มองเขาอย่างชื่นชมในความงามและรูปร่างที่สาวๆหลายคนใฝ่ฝัน และมีบางพวกที่มองฟรานผู้น่าสงสารด้วยความอิจฉา

                    ฟรานรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่จ้องมองมา แถมอายจนไม่รู้จะอายยังไงกับสภาพตัวเองในตอนนี้ เขาเป็นผู้ชายทั้งแท่งแมนเต็มร้อยแต่กลับต้องมาอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนหญิง เป็นใครก็คงอยากจะเผ่นหนีจากตรงนี้ไปให้ไกลให้พ้นจากสายตาประชาชีที่จ้องมองกันเป็นจุดเดียวชนิดไม่กระพริบตาให้เร็วที่สุด ถ้าทำได้เขาอยากหายตัวไปซะเดี๋ยวนี้ แต่มันดันติดตรงที่วิชาเวทของเขามันบรมห่วยขั้นเทพอ่ะดิ

                    ฟรานส่งสายตาพร้อมบอกเพื่อนทั้งสามให้รีบไปจากตรงนี้ ครั้นจะกลับหอก็ต้องเจอกับสายตามากมายที่มองเขา ตามมาด้วยคำซุบซิบที่ชวนให้อารมณ์เสียเล่น แค่นั้นยังไม่เท่าไหร่เพราะคนพวกนั้นยังไม่รู้จักเขา แต่เพื่อนร่วมหอเนี่ยดิถ้าขืนให้เห็นเขาอยู่ในสภาพนี้ล่ะก็มีหวังได้ถูกล้อไปตลอดสี่ปีแน่ๆ  

                    ไม่น๊า ภาพพจน์ที่อุตส่าห์สร้างมาได้ป่นปี้หมด ขืนให้พวกนั้นเห็นอาจจะคิดว่าข้าเป็นพวกชอบอะไรแปลกๆแน่เลยอ่ะ

                    ฟรานคิดฟุ้งซ่าน เตลิดไปไกล

                    งั้นก็เหลือทางเดียวคือเข้าไปหลบในหอสมุดแล้วให้ใครสักคนกลับไปเอาชุดที่หอมาเปลี่ยนให้ เอ่อ...จะหวังพึ่งเจ้าปีศาจจอมเย็นชากับเจ้าตัวแสบก็คงไม่ได้ เจ้าพวกนั้นคงเมินไม่ยอมช่วยแน่ๆ แต่ถ้าเป็นเฟรริลคงรีบกลับไปเอาให้เขาในทันที แต่จะปล่อยให้เฟรริลคลาดสายตาไปไม่ได้ ถ้าเกิดพวกมือสังหารโผล่มาตอนนั้นก็แย่อ่ะดิ ฟรานคงได้โดนหัวหน้าหน่วยองครักษ์จับยัดเข้าซังเตข้อหาละเลยหน้าที่จนเป็นเหตุทำให้เจ้าชายได้รับอันตราย

                    ยิ่งคิดฟรานก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เขาเอามือกอดอกตัวสั่นเล็กน้อย

                    ถ้างั้นก็คงเหลือทางเลือกสุดท้ายคือรอจนกว่าจะค่ำ พวกเพื่อนที่หอคงจะเข้าห้องไปจนเกือบหมดแล้ว

                    พอคิดได้ดังนั้น ดวงตาสีน้ำตาลกลับเป็นประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังอีกครั้งไล่ความรู้สึกหดหู่เมื่อตะกี้ออกไปได้เกือบหมด เฟรริลมองเขาอย่างเป็นห่วงเมื่อตะกี้ยังดูเศร้าหดหู่อยู่เลยแต่ไหงตอนนี้กลับยิ้มออกมาแบบแปลกๆ เฟรริลกำลังจะถามเขาแต่ก็ถูกฟรานพูดขัดขึ้นชวนให้เข้าไปหลบอยู่ในหอสมุดจนกว่าจะมืด เฟรริลพยักหน้าหงึกแล้วจับมือฟรานกำลังจะเปิดประตูเข้าไปก็ถูกเสียงอันเยียบเย็นดึงความสนใจให้หันไปมอง

                   

                    “ ข้าเจอตัวต้นตอที่เปลี่ยนชุดเจ้าแล้ว ดูนั่น ”

                    เซฮันริวชี้ไปที่สิ่งมีชีวิตสีฟ้าตัวจิ๋วขนาดเท่าฝ่ามือ ใบหูแหลมยาว มีใบไม้สองสามใบห่อคลุมร่างกาย เส้นผมสีน้ำตาลไหม้ของมันตั้งตรงดูแข็งกระด้าง ดวงตากลมโตสีแดงเหมือนทับทิมปูดโปนออกมาอย่างน่ากลัวเหมือนมันจะหลุดออกมาไม่เข้ากับโครงหน้าที่ดูเล็กกลมพอๆกับตัวของมัน

                     เจ้าภูตจิ๋วพอรู้ตัวว่ามีคนจับตามอง มันกระโดดออกจากที่ซ่อนหลังเสา  กระโดดเด้งดึ๋งไปตามทางเดินแถมไม่ได้มีแค่หนึ่งแต่ยังกะโดดตามออกมาจากหลังเสาตลอดทางเดินเป็นสิบตัว ถ้าแค่นั้นมันคงไม่ถูกเรียกว่าจอมวายร้ายตัวแสบหรอก มันไม่ได้แค่กระโดดเปล่าๆมันยังร่ายมนตร์ใส่คนที่มันกระโดดผ่านสร้างความแตกตื่นวุ่นวายไปทั่ว ไม่ว่าจะทำให้ลื่นล้มก้นกระแทก สลับสับเปลี่ยนเสื้อผ้าจากของผู้หญิงเป็นของผู้ชายจากของผู้ชายเป็นผู้หญิง ยังดีนะที่มันไม่ได้มีความสามารถที่จะเปลี่ยนเพศคนได้ ไม่งั้นได้เกิดเรื่องยุ่งวุ่นวายแน่ๆ

                    “ นั่นตัวอะไร? ”

                    ฟรานมองเจ้าตัวประหลาดจิ๋วอย่างสนใจลืมเรื่องที่จะหลบเข้าไปอยู่ในหอสมุดซะสนิท

                    “ นิมเซย ภูตจิ๋วตัวแสบที่ชอบสร้างความวุ่นวาย โดยเฉพาะกับมนุษย์และคนที่มันชอบ มันจะตามตอแยไปเรื่อยๆจนชีวิตเจ้ามีแต่ความวุ่นวาย ไม่อาจหาความสงบสุขได้อีก ”

                   

                    “ ห๊า!

                    ฟรานร้องเสียงหลง เซฮันริวหันมามองเขาด้วยสายตาเยียบเย็นชวนสยอง คนถูกมองรีบเอามือปิดปากโดยอัตโนมัติ

                    “ ไม่รู้จักเหรอ ”

                    ฟรานส่ายหัวดิกในขณะที่มือยังปิดปากอยู่ ดวงตาสีม่วงอมเงินละสายตาจากเขาและหันไปมองเจ้าตัวประหลาดจิ๋วสีฟ้าที่ยืนอยู่ตรงเท้าฟราน มันแหงนหัวเล็กๆของมันจ้องมองฟรานด้วยดวงตาปูดโปนสีแดงแบบตาไม่กระพริบ ตาไม่กระพริบจริงๆก็มันไม่มีหนังตานี่นา แถมมันยังฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันแหลมซี่เล็กๆเรียงเป็นแถวเต็มปากชวนขนลุกขนพอง

                    ฟรานขยับถอยหลังก้าวหนึ่ง มันกระโดดดึ๋งตามหนึ่งดึ๋ง ฟรานก้าวถอยหลังจนติดกำแพงหอสมุดเจ้าตัวจิ๋วมันก็ยังกระโดดดึ๋งๆตามมาติดๆมายืนอยู่ตรงปลายเท้า แล้วแหงนหน้ามองเขาด้วยดวงตาสีแดงปูดโปน พร้อมกับแสยะยิ้มกว้างน่าสะอิดสะเอียน ฟรานรู้สึกขนลุกซู่อย่างบอกไม่ถูก

                    “ ดูเหมือนมันจะชอบเจ้านะ ”

                    เซฮันริวปรายตามองเจ้าภูตจิ๋วประหลาดแววตาเย็นชาพร้อมแผ่จิตสังหาร พาลให้บรรยากาศรอบข้างดูอึมครึมชวนอึดอัดมากขึ้นไปกว่าเดิม  

                    นิมเซยกระดิกหูหันขวับมามองเหมือนมันสัมผัสจิตสังหารที่รุนแรงได้ ดวงตาสีแดงปูดโปนจ้องเขม็งมายังเซฮันริวพร้อมแยกฟันซี่เล็กๆส่งเสียงขู่ฟ่อ พลางขยับประชิดติดขาฟรานมากขึ้น  ฟรานเขยิบถอยหนีไปหลบเกาะหลังเฟรริล เจ้าจิ๋วตัวแสบมันก็ยังอุตส่าห์วิ่งตามมาเกาะหลบหลังขาเขาพร้อมกับโชว์ฟันแหลมซี่เล็กๆส่งเสียงขู่เซฮันริวฟ่อๆ

                    อันที่จริงพวกนิมเซยมันไม่ถูกกับพวกปีศาจอยู่แล้วด้วยพลังด้านมืดที่มีอย่างมหาศาลทำให้มันรู้สึกเป็นอันตรายเหมือนกำลังถูกคุกคาม

                    ฟรานกระโดดโหยงตัวลอยสะบัดขาที่ถูกนิมเซยเกาะติดหนึบชนิดที่ตุ๊กแกยังอาย เฟรริลรีบเข้าไปช่วย ร้องบอกให้ฟรานอยู่นิ่งๆเขาจะดึงภูตจิ๋วตัวแสบบออกให้ แต่ฟรานเอาขาหลบกลัวว่าถ้าทำอะไรผลีผลามอาจทำให้นิมเซยหันไปทำร้ายเฟรริล

                    “ เจ้าอยู่นิ่งๆสิ ข้าจะเอามันออกให้ ”

                    “ ไม่เป็นไร ”

                    ฟรานจับตัวเฟรริลเอาไว้ แล้วเอาขาที่ถูกนิมเซยเกาะหนึบถอยออกห่างเฟรริล

                    “ เจ้าไม่ควรทำแบบนั้น มันจะทำให้นิมเซยคิดว่าเจ้าจะทำร้ายมัน แล้วหันมาเล่นงานเจ้า ”

                    เซฮันริวปรามเสียงเยียบเย็น ฟรานพยักหน้าเห็นด้วยขณะที่ยังคงจับตัวเฟรริลเอาไว้ คนถูกปรามเลยต้องหยุดสิ่งที่กำลังจะทำแต่โดยดีสีหน้าจ๋อย มองฟรานอย่างเป็นห่วง

                    “ แล้วไม่มีวิธีไล่มันไปเหรอ "

                    ฟรานยังคงพยายามสลัดขาให้นิมเซยหลุด เจ้าภูตจิ๋วตัวแสบยิ่งเกาะหนึบแถมยิ้มเยาะชอบใจ ฟรานทำหน้าเซ็งมองนิมเซยเขม็งด้วยสายตาแค้นเคือง เขาปล่อยตัวเฟรริลเปลี่ยนมาจับข้อมือเอาไว้กันไม่ให้เฟรริลทำอะไรเสี่ยงๆแบบคาดไม่ถึง เพราะถึงจะทำท่าเหมือนจะยอมเชื่อฟัง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ยอมรามือง่ายๆ สายตายังคงจ้องนิมเซยหาจังหวะทำอะไรสักอย่างเพื่อเอานิมเซยออกจากขาฟราน

                    “ มี ”

                    เฟรริลและฟรานหันไปทางเซฮันริวเป็นตาเดียวเลิกสนใจเจ้าภูตจิ๋วไปชั่วขณะรอฟังคำพูดต่อไป เจ้าภูตจิ๋วนิมเซยมองพวกเขาเลิ่กลั่กเอียงคอทำหน้างงๆ

                    “ จนกว่าเจ้าจะตาย หรือไม่ก็กำจัดมัน ”

                    “ ..... ”

                    ฟรานยืนนิ่งอึ้งรับประทานพูดอะไรไม่ออก มันช่างเป็นคำตอบที่ดีจริงๆ ไม่ตอบจะดีซะกว่ามั้ง

                    โอ๊ย!

                     เจ้าบ้านี่ดันมากัดข้า

                    นิมเซยฝังฟันซี่เล็กๆลงบนเนื้อขาขาวๆของฟรานอย่างเต็มรัก แล้วดีดตัวกระโดดดึ๋งหนีหายไปอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงสดไหลพรากออกมาเป็นสาย ความเจ็บปวดแผ่ซ่านลามไปทั่วขาอย่างรวดเร็ว ฟรานเซเล็กน้อยแต่ยังทรงตัวได้

                    “ ข้าลืมบอกไป ในน้ำลายของนิมเซยมีพิษขนาดล้มสัตว์ใหญ่ๆได้ทั้งตัว ระวังอย่าถูกมันกัด ไม่งั้นเจ้าได้ตายโดยไม่รู้ตัว ”

                    “ ช้าไปแล้ว...เฟ้ย ”

                    ร่างบางทรุดฮวบ เฟรริลถลาเข้าไปรับไว้ได้ทัน สีหน้าตื่นตระหนก ดวงตาสีฟ้าใสเหลือบไปเห็นเลือดสีแดงสดไหลอาบเต็มขาฟราน เฟรริลเบิกตาโตร้องเรียกเด็กหนุ่มเสียงหลง

                    “ ฟราน!

                    ร่างบางซบกับอกเฟรริล ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด หน้าอกกระเพื่อมอย่างผิดปกติบ่งบอกถึงการหายใจที่ติดขัด เฟรริลหน้าถอดสีร้องเรียกฟรานซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างตื่นตระหนกพร้อมกับตบแก้มเรียกสติเขาเบาๆแต่กลับไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ

                    ตัวฟรานเย็นลงอย่างรวดเร็ว เฟรริลกุมมือฟรานสีหน้าร้อนรนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ร้องเรียกฟรานอยู่แบบนั้น

                    “ รีบพาไปห้องพยาบาล เร็ว!

                    เซฮันริวย้ำเสียงเข้ม แต่สีหน้ายังคงเย็นชาไร้อารมณ์เช่นเดิม ดวงตาสีม่วงอมเงินมองอาการฟรานแววตาแฝงความเคร่งเครียดและข้องใจ เหมือนมีอะไรบางอย่างผิดปกติ! 
         

                    เฟรริลหามร่างอันไร้สติของฟรานขึ้นมาอย่างทุลักทุเลด้วยเหตุที่ตัวเองก็ร่างบางอยู่แล้ว เลออนเนลที่ยืนอยู่ด้านหลังฟรานเลยต้องเข้าไปช่วยพยุงอีกข้างอย่างเสียไม่ได้

                    “ ข้าอุ้มเอง ”

                    เซฮันริวเข้าไปอุ้มร่างฟรานขึ้นมาอย่างง่ายดายและไม่มีทีท่าออกอาการว่าหนัก เขารีบเร่งเดินอย่างรวดเร็วจนเฟรริลและเลออนเนลต้องวิ่งตาม

                    พวกเขาไปถึงห้องพยาบาลภายในเวลาไม่กี่นาที เซฮันริววางร่างบางลงบนเตียง เฟรริลรีบวิ่งไปตามอาจารย์พยาบาลทว่ากลับไม่พบใคร เขายิ่งร้อนใจมากยิ่งขึ้นนึกอะไรไม่ออกทำอะไรไม่ถูก จนเซฮันริวพูดเรียกสติเขา


                   
    “ เจ้าใช้เวทรักษาเป็นไหม ”

                    “ เป็น ”

                    น้ำเสียงเฟรริลทั้งสั่นทั้งร้อนรน เขาเป็นห่วงฟรานกลัวเขาจะเป็นอะไรไป และที่กลัวมากที่สุดคือกลัวการสูญเสีย เฟรริลไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ในใจลึกๆเหมือนกับรู้สึกคุ้นเคยและผูกพันกันมานาน หรืออาจเป็นเพราะ.....

                    “ ใช้เวทประคองอาการไว้ อย่าให้พิษลุกลามไปมากกว่านี้ ”

                    เฟรริลพยักหน้ารับ ร่ายเวทโดยไม่รอช้า ลูกแก้วบนหัวคฑาเวทส่องแสงสว่างสีขาวนวล  มือข้างหนึ่งวางอยู่เหนือตัวฟรานไอเวทสีขาวไหลออกจากมือเข้าห่อหุ้มทั่วร่างบางซึ่งนอนสงบนิ่งอยู่บนเตียง

                    “ เลออนเนลไปตามอาจารย์เรสเซอเรลมา ”

                    คนถูกสั่งชี้ที่ตัวเอง เซฮันริวหรี่ตามองเยียบเย็น สีหน้าเย็นยะเยือกมากกว่าปกติ

                    “ เร็ว!

                    เซฮันริวย้ำเสียงเข้ม เลออนเนลสะดุ้งโหยงขนลุกซู่พยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะรีบวิ่งแจ้นออกไปตามที่เซฮันริวบอก

                   

                    “ แว้กกก อูย ”

                    “ เป็นอะไรไหม ”

                    เรสเซอเรลช่วยพยุงเลออนเนลที่วิ่งมาชนเขาล้มก้นกระแทกพื้นอย่างไม่เป็นท่าตรงประตูทางเข้าห้องพยาบาล เลออนเนลร้องซะดังลั่นจนเซฮันริวหันไปมอง แววตายังคงไว้ซึ่งความเยียบเย็นเหมือนเช่นเคย แต่ท่าทางที่แสดงออกกลับตรงกันข้ามดูเหมือนดีใจที่เห็นความช่วยเหลือมาถึงทันเวลา        

                    “ อะ...อาจารย์ ขอโทษครับ ”

                    เลออนเนลก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เรสเซอเรลยิ้มให้อย่างใจดี และถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนระคนห่วงใย

                    “ มีอะไรหรือเปล่าถึงได้ดูรีบร้อนขนาดนี้ ”

                    “ คือ...คือ ”

                    ด้วยความรีบร้อนบวกกับอารามตกใจทำให้เลออนเนลพูดติดขัดนึกคำพูดที่อยากจะพูดไม่ออก เรสเซอเรลมองไปทางกลุ่มเฟรริล สีหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและสิ่งที่เลออนเนลต้องการจะบอก เหมือนกับอ่านใจคนได้

                    “ ข้าเข้าใจแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าช่วยเพื่อนเจ้าได้แน่ ”

                    เรสเซอเรลยิ้มให้อย่างอ่อนโยน ก่อนจะเดินตรงเข้าไปยังเตียงที่มีร่างบางนอนสงบนิ่งซึ่งถูกห่อหุ้มไว้ด้วยไอเวทรักษาของเฟรริล

                    “ ข้าจัดการต่อเอง เจ้าชายไปพักเถอะ ”

                    เฟรริลยิ้มดีใจที่ความเชื่อเหลือมาถึง เขาลดมือลงแสงบนลูกแก้วค่อยๆจางหายจนดับสนิท เฟรริลถอยออกมายืนอีกฝั่ง เขาเป็นห่วงฟรานมากจนไม่อาจละสายตาไปได้และอยากจะอยู่ใกล้ๆจนกว่าฟรานจะปลอดภัย

                    ดวงตาสีทองสังเกตอาการของร่างอันไร้สติ เขาหรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด และเริ่มร่ายเวทรักษา ลูกแก้วบนคฑาเวทส่องแสงสีทองสว่างไสว ไอเวทสีทองนวลไหลออกจากมือที่วางเหนือร่างบางเข้าห่อหุ้มจนทั่วร่าง

                    “ มันน่าสงสัย ”

                    คุณชายปีศาจจอมเย็นชาพูดโพล่งขึ้น ดวงตาสีม่วงอมเงินมองร่างอันไร้สติของฟรานอย่างสนใจระคนข้องใจ เลออนเนลหันไปมองเซฮันริวแล้วหันไปมองฟรานทำหน้าตาครุ่นคิดตาม เฟรริลยืนเกาะริมเตียงไม่ยอมห่างจากฟรานสีหน้าวิตกกังวลเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย ภาวนาขอให้ฟรานปลอดภัย

                    “ พิษของนิมเซยถึงมันจะสามารถล้มสัตว์ใหญ่ได้ แต่มันก็ไม่น่าออกฤทธิ์เร็วขนาดนี้ เหยื่อจะไม่สลบในทันที แต่ร่างกายจะเริ่มอ่อนแรงลง รู้สึกเจ็บปวดทุรนทุรายเหมือนร่างกายจะฉีกขาด เส้นประสาทจะถูกทำลายและตายในที่สุดภายในหนึ่งชั่วโมง ”

                    “ แต่ฟรานกลับสลบในทันที หน้าซีด ปากเขียวคล้ำ หายใจติดขัด มันเป็นอาการที่ผิดแผกต่างจากอาการถูกพิษนิมเซย ”

                    “ ที่เจ้าพูดมาถูกส่วนหนึ่ง ฟรานโดนพิษนิมเซยด้วยและพิษร้ายแรงอีกตัวหนึ่ง ซึ่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นพิษอะไร ฟรานที่โดนพิษร้ายแรงถึงสองตัวเลยทำให้อาการทรุดหนักอย่างรวดเร็วถึงขั้นวิกฤต ถ้าข้ามาช้าไปกว่านี้ ฟรานอาจจะไม่รอด

                    เรสเซอเรลลดมือลง แสงในลูกแก้วค่อยๆจางลงจนดับสนิท เขามองอาการของฟรานอย่างพึงพอใจ สีหน้าของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงเริ่มดีขึ้นแก้มที่เคยขาวซีดเริ่มมีสีเลือดฝาด ปากที่เคยเขียวคล้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูอมแดง อาการหายใจที่หอบติดขัดกลับเข้าสู่สภาวะปกติ อาการโดยรวมดีขึ้นจนเรียกได้ว่าเกือบหายเป็นปกติ เหลือเพียงแค่ฟรานจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่เท่านั้นขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเขาเองซึ่งอาจจะกินเวลาสองถึงสามวัน

                    “ พิษอีกตัว? ”

                    เฟรริลและเลออนเนลพูดขึ้นพร้อมกันน้ำเสียงแปลกใจไม่น้อย เซฮันริวยืนนิ่งพยักหน้าเล็กน้อยเห็นด้วย เพราะเขาเองก็คิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน

                    “ เป็นไปได้ยังไง? ในเมื่อฟรานถูกนิมเซยกัดแค่ตัวเดียว ”

                    เฟรริลแย้งหน้าตาบ่งบอกว่าไม่เข้าใจเป็นอันมาก และมันไม่น่าจะมีทางเป็นไปได้

                    “ นั่นแหล่ะคือเรื่องที่ข้าสงสัย ”

                    เรสเซอเรลเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟรานถึงได้รับพิษร้ายแรงอีกตัวที่สามารถทำให้ตายได้ภายในเวลาไม่กี่นาที ทั้งๆที่โดนเพียงแค่นิมเซยกัดเท่านั้น แล้วพิษตัวนั้นมันมาจากไหน?

                    “ เป็นไปได้ไหมที่นิมเซยตัวนั้นจะเป็นลูกผสมระหว่างนิมเซยกับเพนกัส ”

                    เลออนเนลพูดโพล่งขึ้นมา เซฮันริวหันขวับส่งสายตาเยียบเย็นที่ทำให้คนถูกมองหนาวสะท้านไปถึงกระดูก และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือกพาลให้คนฟังขนลุกซู่โดยไม่รู้ตัว

                    “ เจ้าก็เห็นว่ามันเป็นนิมเซยไม่ใช่นิมกัส ”

                    “ แหะๆข้าแค่สันนิษฐานอ่ะ ”

                    เลออนเนลเสียงอ่อย หัวเราะแห้ง พอเซฮันริวหันกลับไปเขาก็แลบลิ้นปลิ้นตาทำท่าพูดล้อเลียน เหมือนเซฮันริวจะรู้ว่าเลออนเนลทำอะไร เขาหันมาส่งสายตามาดร้ายทำเอาเจ้าตัวแสบเย็นวาบหนาวเข้าถึงขั้วหัวใจ เขารีบเสมองไปทางอื่นทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แทน

                    นิมกัสนั้นเป็นภูติประเภทหนึ่ง เป็นลูกครึ่งระหว่างนิมเซยและเพนกัส ขนาดตัวเหมือนเพนกัสคือใหญ่เป็นเท่าหนึ่งของนิมเซย หูแหลมยาวกว่านิมเซยเท่าตัว สีตัว ขนาดหัว และลูกตาเหมือนนิมเซยทุกกระเบียดนิ้ว ที่กลางหัวกลมโตมีขนสีน้ำตาลดำแข็งกระด้างตั้งตรงเหมือนไม้กวาดคล้ายๆทรงพั้งค์ขึ้นเป็นแถวยาวไปจนถึงตลอดกลางหลัง มันมีฟันซี่เล็กๆแหลมคม และเขี้ยวยาวเรียวเล็กที่อุดมไปด้วยพิษร้ายที่สามารถล้มสัตว์ตัวโตๆได้ภายในไม่กี่นาที 
                 

                    เฟรริลมองฟรานอย่างเป็นห่วง กุมมือเขาไว้ไม่ยอมห่าง เรสเซอเรลเข้าไปบีบไหล่เบาๆและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลายว่า

                    “ อย่าได้กังวลเลยเจ้าชาย ฟรานปลอดภัยแล้ว อีกไม่นานก็จะฟื้น ”

                    เฟรริลพยักหน้าเล็กน้อยไม่ยอมละสายตาไปจากฟราน ถึงแม้เรสเซอเรลจะรับรองว่าฟรานปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่ตราบใดที่ฟรานยังไม่ฟื้นเขาก็ไม่อาจวางใจและอดห่วงไม่ได้

                    “ มันน่าสงสัยจริงๆว่าเจ้าขี้เซาโดนพิษอีกตัวได้ยังไง ”

                    เลออนเนลครุ่นคิดสีหน้าบ่งบอกว่าข้องใจ ก็ในเมื่อคนที่ยืนใกล้ฟรานก็มีแค่พวกเขาสามคนกับอีกหนึ่งนิมเซยตัวต้นเหตุ แล้วไอ้พิษบ้านี่มันจะมาจากไหน?

                    เรสเซอเรลตรวจอาการฟรานอีกครั้งเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติจึงวางใจ ดวงตาสีทองมองร่างอันไร้สติของฟรานอย่างครุ่นคิด เขายังคงสงสัย การที่ฟรานถูกพิษอีกตัวมันยังมีที่น่าสงสัยอีกหลายจุด

                    “ ขอบคุณอาจารย์มากนะครับ ถ้าอาจารย์มาไม่ทันฟรานคง... ”

                    เฟรริลโค้งขอบคุณเรสเซอเรลอย่างสุดซึ้ง เรสเซอเรลโค้งตอบและยิ้มให้อย่างใจดี พลางบอกว่าไม่เป็นไรด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                   

                    “ ดีนะที่อาจารย์มาทัน ว่าแต่อาจารย์พยาบาลหายไปไหนเนี่ยไม่เห็นเลย ”

                    เลออนเนลหันซ้ายหันขวามีแต่เตียงตั้งเรียงรายฝั่งละห้าตัว กับโต๊ะไม้ขนาดกลางซึ่งตั้ง ณ.สุดมุมห้อง บนโต๊ะถูกจัดเรียงเอกสารไว้อย่างเป็นระเบียบไร้ซึ่งผู้เป็นเจ้าของซึ่งควรจะนั่งประจำอยู่ตรงนั้น และด้านหลังโต๊ะมีตู้ยาที่ถูกอัดแน่นไปด้วยยาหลากหลายชนิดอีกเกือบสิบตู้

                    “ อาจารย์ดีลน่าลาหยุดหนึ่งอาทิตย์ข้าก็เลยรับหน้าที่นี้แทน แต่วันนี้ข้ามีสอนทั้งวันเลยไม่ได้อยู่ที่ห้องพยาบาล ”

                    “ ถ้าเกิดมีคนป่วยจะทำยังไงอ่ะครับ ”

                    เรสเซอเรลไม่ตอบแต่กลับยิ้มอย่างมีความหมาย  และขอตัวกลับไปทำงานต่อที่ห้องหัวหน้าแผนกเวทมนตร์ ปล่อยให้เลออนเนลงุนงงหน้าเอ๋อรอฟังคำตอบที่ไม่ได้คำตอบไว้แบบนั้นในเมื่อไม่ได้คำตอบในสิ่งที่ถามเจ้าตัวแสบเลยคิดหาคำตอบเองไปต่างๆนานาด้วยสมองอันน้อยนิดพอๆกับฟราน

                    ชายหนุ่มปิดประตูห้องพยาบาล ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นแฝงความแคลงใจกับคนๆหนึ่งที่หลบซ่อนอยู่ในเงาหลังเสาหน้าห้อง

                    “ ข้าหวังว่าคงไม่ใช่ฝีมือเจ้าหรอกนะ ”

                    คนถูกทักทำเสียงหึในลำคอ เขายืนกอดอกหลังพิงกำแพง ดวงตาสีเขียวเข้มมองคู่สนทนานิ่งแววตาคมปลาบเหมือนจะสามารถเฉือนฝ่ายตรงข้ามออกเป็นชิ้นๆได้

                    “ เจ้าพูดเรื่องอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจ ”

                    ดวงตาสีทองจ้องมองคู่สนทนานิ่งเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางสิ่ง คาลเลสเตอร์มองกลับด้วยแววตาเย็นชาทว่าแฝงการข่มขู่ในตัว

                    “ ช่างเถอะ ขอตัว ”

                    เรสเซอเรลหมุนตัวกำลังจะก้าวขาเดินกลับถูกคาลเลสเตอร์คว้าแขนเอาไว้ ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องมองเรสเซอเรลอย่างมีความหมายเหมือนต้องการบอกอะไรบางอย่าง แต่แล้วกลับปล่อยมือแล้วเดินจากไปโดยไม่มีคำพูดใดๆออกมา เรสเซอเรลคิ้วมุ่น ดวงตาสีทองมองตามแผ่นหลังที่ไกลออกไปจนลับตาอย่างครุ่นคิด

                   

                    โอย มึนหัว เมื่อยชะมัด

                    แสบตา ใครเปิดม่านเนี่ย

                    ฟรานลืมตาตื่นพร้อมกับยกแขนขึ้นบังแสงแดดที่ส่องลอดผ้าม่านที่กำลังพลิ้วไหวตามสายลมที่พัดผ่าน เด็กหนุ่มรู้สึกหนักๆที่แขนขวาเหมือนมีอะไรทับอยู่ เขาหันไปมองพลันเบิกตาโตลุกพรวดอย่างตกใจ แต่แล้วกลับล้มฟุบเอามือกุมหัว รู้สีกเหมือนห้องมันหมุนวนจนน่าคลื่นไส้ เฟรริลที่นอนหนุนแขนฟรานสะดุ้งตื่น พอเห็นสีหน้าฟรานที่กำลังทรมานเขาก็ใจเสีย ร้องเรียกอาจารย์เรสเซอเรลอย่างร้อนรน ใจหนึ่งก็อยากวิ่งไปตามอาจารย์มาดูอาการแต่อีกใจก็ห่วงฟรานไม่อยากทิ้งเขาไว้คนเดียว

                    “ ฟราน! เจ้าเป็นอะไร!

                    เฟรริลใจคอไม่ดีที่เห็นฟรานนอนตัวงอเอามือกุมหัวอย่างทรมาน เขาพาลคิดไปว่าพิษอาจจะถอนออกไม่หมดแล้วเกิดกำเริบขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มเข้าไปจับตัวฟรานพลางร้องเรียกเรสเซอเรลน้ำเสียงร้อนรน

                    ฟรานเอามือออก อาการมึนหัวค่อยทุเลาลงห้องกลับมาเป็นปกติไม่หมุนวนเหมือนตอนแรก เขาหันไปหาเฟรริลที่ร้องเรียกเขาอย่างเป็นห่วง

                    “ แค่มึนหัวนิดหน่อย ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ”

                    ฟรานยิ้มให้ หน้าตายังคงอิดโรยเป็นเพราะเพิ่งฟื้นตัวจากการถูกพิษ เฟรริลโผเข้ากอดฟรานน้ำตารื้น คนถูกกอดหน้าเหวอทำอะไรไม่ถูก เฟรริลกอดฟรานแน่นและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

                    “ ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่ ดีจริงๆที่ไม่เป็นอะไรแล้ว ”

                    เฟรริลกระชับวงแขนแน่นขี้นซบหน้าลงบนไหล่ฟราน ตัวของเขาสั่นเทิ้มมีเสียงสะอื้นไห้เบาๆ เด็กหนุ่มรู้สึกไหล่ของเขาเปียกชื้นและมีน้ำอุ่นๆหยดลงมา ฟรานกอดตอบพลางตบหลังเบาๆ ความรู้สึกบางอย่างมันเอ่อล้นเต็มหัวใจ เขารู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากที่เคยได้รับจากลุงของเขา เหมือนส่วนที่ขาดหายไปมันถูกเติมเต็ม

                    “ หยุดร้องเถอะ ”

                    ฟรานดันตัวเฟรริลออก และเช็ดน้ำตาให้พร้อมกับยิ้มแป้นเพื่อยืนยันว่าเขาไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เฟรริลพยักหน้าหงึก เขาหยุดร้องแล้ว พอเห็นรอยยิ้มฟรานพลอยทำให้เขายิ้มออกมาด้วย

                    “ เอ่อ...เจ้าเฝ้าข้าตลอดทั้งคืนเลยเหรอ ”

                    “ ใช่ ”

                    เฟรริลตอบกลับน้ำเสียงสดใส ใบหน้าที่ดูอิดโรยกลับมีชีวิตชีวาขึ้นทันตา

                    “ ขอบใจนะ ”

                    ฟรานตอบเขินๆ ใบหน้าที่เคยขาวซีดกลับแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย

                    แย่แล้ว! ให้คนระดับเจ้าชายมาเฝ้าไข้เนี่ยนะ ขืนเรื่องนี้ไปเข้าหูหัวหน้าหน่วยองครักษ์จอมโหด มีหวังข้าโดนยัดคุกใต้ดินขังลืมแหงๆ หรือไม่ก็อาจถึงขั้น...ประหารชีวิต! อ้ากกกกก ไม่น๊า ฮือๆ

                    ฟรานเริ่มคิดฟุ้งซ่าน แต่ใจจริงเขารู้สึกขอบคุณในความห่วงใยของเฟรริลที่มีให้เขาเสมอและมากมายซะจนไม่รู้จะตอบแทนยังไง

                    ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองฟรานคิ้วมุ่น เอ่อ...น่าจะเป็นการจ้องตามากกว่า ฟรานรู้สึกแปลกใจว่าทำไมเฟรริลถึงจ้องเขาซะขนาดนั้น พอนึกขึ้นได้ว่าตนได้ลืมสิ่งสำคัญอะไรบางอย่าง เขารีบก้มหน้างุดหลุบตาต่ำหลบสายตาเฟรริลที่จ้องตาไม่กระพริบ

                    แย่แล้ว! ลืมเปลี่ยนสีตา

                    เฟรริลเอียงคอมองสงสัยในการกระทำของฟราน แต่ที่สงสัยยิ่งกว่านั้นคือสีตา สีตาที่ผิดแผกไปจากเดิมมันไม่ใช่สีน้ำตาลที่เขาเคยเห็นอยู่ทุกวัน แต่เป็นสีชมพูสดใสที่งดงามเหมือนดั่งอัญมณีน้ำงาม มันสวยงามชวนมองจนไม่อาจละสายตาได้ คราวนี้เขาแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ได้ตาฝาดเพราะเขาเห็นแบบเดียวกันนี้ถึงสองครั้ง และเห็นในระยะประชิดหน้าเกือบจะชนกันห่างเพียงไม่กี่เซนต์

                    “ ตาเจ้า? ”

                    “ ตาข้า? มีอะไรงั้นเหรอ ”

                    ฟรานแกล้งถามน้ำเสียงใสซื่อทำเป็นไม่รู้ แต่ใจหายวูบ เต้นระทึก เขายังคงก้มหน้าแกล้งเอามือเหมือนขยี้ตา เฟรริลยังไม่ยอมแพ้จับหน้าฟรานให้เงยขึ้น คนถูกจับก็ขืนสุดฤทธิ์

                    “ ตาเจ้าเป็นอะไร ”

                    “ แค่ฝุ่นเข้าตา ”

                    ฟรานแข็งขืนก้มหน้างุด เฟรริลยื่นหน้าเข้าไปใกล้พยายามแงะมือทั้งสองของฟรานที่ปิดหน้าออก เขาต้องการพิสูจน์ยืนยันสิ่งที่ตัวเองเห็นให้แน่ชัดว่าไม่ได้ตาฝาด

                    “ ขอข้าดูหน่อย ข้าจะช่วยเอาออกให้ ”

                    “ ไม่เป็นไร ข้าเอาออกเองได้ มันใกล้ออกแล้ว ”

                    แย่แล้ว! ทำไมใช้เวทเปลี่ยนสีตาไม่ได้

                    ฟรานหน้าถอดสีตัวเย็นวาบ สมองตื้อคิดอะไรไม่ออก เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงใช้เวทเปลี่ยนสีตาไม่ได้ แต่ยังไงจะให้เฟรริลเห็นสีตาไม่ได้เด็ดขาด ไม่งั้นตัวจริงของเขาอาจจะถูกเปิดเผย ชีวิตเขาได้จบเห่แน่แถมอาจทำให้ภารกิจล้มเหลวไม่เป็นท่า

                    มือฟรานถูกดึงออกทั้งสองข้าง จังหวะนั้นเฟรริลเสียหลักล้มลงกดร่างฟรานลงบนเตียงโดยไม่ตั้งใจ เฟรริลคร่อมร่างบาง มือทั้งสองข้างที่จับข้อมือฟรานกดลงบนเตียงยันตัวไม่ให้ล้ม หน้าทั้งสองห่างกันเพียงไม่กี่เซนต์ ฟรานหน้าเหวอตกใจเผลอลืมตา ทำให้เฟรริลเห็นดวงตาสีชมพูสดใสชัดเจน เขาจ้องมองดวงตาคู่นั้นอย่างไม่อาจละสายตาด้วยเพราะความสวยงามที่เหมือนดั่งอัญมณีน้ำงามที่ไม่อาจตีเป็นราคาได้ และเป็นสีที่แปลกตาที่ไม่อาจพบได้ในมนุษย์

                    ฟรานใจหายวาบ หัวใจแทบหยุดเต้นดันพลาดทำในสิ่งที่อาจนำอันตรายมาสู่ชีวิต นอกจากจะไม่สามารถใช้เวทเปลี่ยนสีตาได้แล้ว ยังถูกเห็นสีตาที่แท้จริงแบบชัดๆจังๆอีก คงไม่สามารถหาข้อแก้ตัวที่มันฟังดูขึ้นเพื่อรอดพ้นจากสถานการณ์วิกฤตที่ถึงขั้นย่ำแย่ให้รอดตัวไปได้

                    ฟรานกลืนน้ำลายฝืดคอ หันหน้าหลบสายตาที่จ้องมองไม่กระพริบ เขายิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ สมองตื้อ พยายามใช้สมองที่มีอยู่อย่างน้อยนิดหรือแทบไม่ค่อยมีหาคำแก้ตัวที่พอจะถูไถหรืออย่างน้อยก็ต้องทำให้เบี่ยงประเด็นออกจากเรื่องตาของเขาต่อให้เป็นเหตุผลที่แถแบบข้างๆคูๆถ้ามันช่วยให้เขารอดพ้นได้ก็ยังดีกว่าถูกล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริง

                    เฟรริลยังคงจ้องเขานิ่งโดยอยู่ในท่าเดิมและไม่มีทีท่าว่าจะปริปากพูดคำใดออกมานานอยู่เป็นนาที ฟรานใจคอไม่ดีเริ่มคิดฟุ้งซ่าน

                    แย่แล้ว! เฟรริลต้องรู้แน่ว่าข้าเป็นออร์แลนไทล์ ทำไงดี จะแก้ตัวยังไง

                    เฟรริลยิ่งฉลาดอยู่ด้วย ต่อให้แก้ตัวยังไง หมอนั่นไม่มีทางเชื่อแน่ ทำไงดี!!!

                    ฟรานทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ เขาคิดหาคำแก้ตัวมากมายหลายตลบ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดไหนมันก็ไม่ช่วยให้เขาหลุดพ้นจากการถูกล่วงรู้ตัวจริงไปได้ เพราะดันมีหลักฐานชิ้นสำคัญที่ยืนยันมัดตัวเขาว่าเป็นออร์แลนไทล์แสดงให้เห็นอยู่ทนโท่ชัดเจนระยะประชิดซะขนาดนี้

                    ฟรานสะดุ้งเฮือกรู้สึกลมหายใจอุ่นๆรดบนคอขาวเรียวเขาเป็นจังหวะ เฟรริลยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ใกล้ซะจนหน้าผากแทบจะติดกัน ฟรานใจเต้นไปเป็นส่ำ ในเมื่อไม่สามารถหลบดวงตาสีชมพูได้อีก เขาตัดสินใจหลับตาปี๋ ถึงแม้การกระทำแบบนี้มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยก็ตาม ในเมื่อเฟรริลเห็นดวงตาสีชมพูเขาแบบชัดๆไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากถูกจ้องมองอีก

                             

                    “ เจ้าเป็น... ”

                    ฟรานใจตุ้มๆต่อมๆ แต่คำพูดของเฟรริลถูกขัดด้วยเสียงเปิดประตูและเสียงฝีเท้าที่รีบเร่งซึ่งดึงความสนใจเขาไป ทำให้คำพูดสุดท้ายกลืนหายไปในลำคอ

                    เฟรริลผละจากฟรานลุกขึ้นโค้งทำความเคารพอาจารย์หัวหน้าแผนกเวทมนตร์ เรสเซอเรลโค้งตอบเช่นเดียวกัน ฟรานที่เป็นอิสระรีบหันหลังเอาผ้าห่มคลุมโปง พยายามใช้เวทเปลี่ยนสีตาอีกครั้ง ผลก็ยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปกติเมื่อใช้เวทเปลี่ยนสีตาจะรู้สึกเหมือนมีอะไรอุ่นๆไหลวนอยู่ในดวงตาเพียงชั่วขณะเดียว นั่นแสดงว่าใช้เวทเปลี่ยนสีตาได้สำเร็จ เวลาคลายเวทเปลี่ยนสีตาจะให้ความรู้สึกเช่นเดียวกันเพียงแต่อะไรอุ่นๆนั้นจะไหลวนออกจากดวงตา

                    “ ขอโทษที่ข้ามาช้า เกิดอะไรขึ้น ฟรานเป็นอะไร ”

                    ดวงตาสีทองอบอุ่นมองฟรานที่คุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วหันไปทางเฟรริลถามขึ้นอย่างห่วงใย

                    “ ข้าเห็นฟรานล้มฟุบท่าทางทรมาน นึกว่าพิษถอนออกไม่หมดแล้วกำเริบขึ้นมาอีก ข้าไม่รู้จะทำยังไง เลยร้องเรียกอาจารย์ครับ ”

                    เฟรริลทำหน้าเหมือนคนทำผิด เรสเซอเรลลูบหัวเขาอย่างเอ็นดูเป็นเชิงปลอบว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร ไม่เห็นต้องทำหน้าแบบนั้น มีเสียงอู้อี้ดังขึ้นลอดผ้าห่ม ดึงให้ทั้งสองคนหันไปมอง

                    “ คือ...ข้าคงลุกเร็วเกินไปเลยทำให้มึนหัว ”

                    “ อืม...ก็อาจเป็นไปได้ แล้วทำไมเจ้าถึงคลุมโปงแบบนั้น หรือไม่สบายตรงไหน ขอข้าดูหน่อย ”

                    เรสเซอเรลแตะที่ไหล่ฟรานเบาๆ ยังไม่ทันได้จับหรือดึงฟรานรีบจับผ้าห่มแน่นขดตัวเป็นก้อนกลมชนิดที่ว่าดึงยังไงก็ไม่ออก เรสเซอเรลคลี่ยิ้มบาง ดวงตาสีทองมองฟรานอย่างเข้าใจในบางสิ่ง

                    “ มะ...ไม่เป็นไรครับ ข้าสบายดีแล้ว แค่แดดมันแยงตา เอ่อ...ง่วงนิดหน่อย ”

                    “ เจ้ามีแค่อาการมึนหัวอย่างเดียวใช่ไหม ”

                    “ ครับ ”

                    ข้าหายดีแล้วอาจารย์รีบไปสักทีเถอะ

                    “ ไม่มีอาการอย่างอื่นอีกใช่ไหม ”

                    “ ครับ ”

                    ไม่มีแล้วคร้าบ อารจารย์รีบไปสักที มันกดดันรู้ไหม ข้ากลัวความลับแตกจะแย่แล้ว ไม่มีสมาธิใช้เวทเปลี่ยนสีตาเลย โฮๆ

                    “ อาจารย์ครับ ฟรานไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหมครับ ”

                    “ ถ้าแค่มึนหัวอย่างเดียวไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย อาจเป็นเพราะหลับไปนานถึงสามวันแล้วลุกขึ้นมาอย่างกระทันหันก็ทำให้เกิดอาการมึนหัวได้ ”

                    “ สามวัน!

                    ฟรานลุกพรวดขึ้นมาพอนึกได้ว่ายังไม่สามารถใช้เวทเปลี่ยนสีตาได้ เขารีบพลิกตัวเอาผ้าห่มคลุมหันหลังให้ทั้งสองคนที่จ้องมองเขาด้วยสายตางงๆระคนแปลกใจ ดวงตาสีทองมองเขายิ้มๆอย่างมีนัย

                 

                    “ ท่านเองก็ไม่ควรมานอนฟุบอยู่ที่นี่ น่าจะกลับไปพักที่ห้อง อากาศตอนกลางคืนก็เย็นมาก อาจทำให้ท่านไม่สบายได้ ”

                    “ ข้าแข็งแรงดี ไม่เป็นหวัดง่ายๆหรอกครับ แต่ข้าอดห่วงฟรานไม่ได้ ก็เลย... ”

                    “ นอนเฝ้าตลอดทั้งสามคืน ”

                    เรสเซอเรลยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เฟรริลยิ้มเขินอาย พยักหน้าหงึก

                    “ คนที่ถูกพิษรุนแรงขนาดนี้จะไม่สามารถใช้เวทได้ประมาณสองสามวัน แต่หลังจากนั้นพอร่างกายฟื้นตัว จะสามารถใช้เวทได้เหมือนเดิม ”

                    เฟรริลมองอาจารย์ตาแป๋วพยักหน้าน้อยๆ สีหน้าที่เขินอายเมื่อกี้แปรเปลี่ยนเป็นความห่วงกังวลเหมือนเดิมแต่ไม่มากเท่าเหมือนเมื่อสามวันก่อน เรสเซอเรลคลี่ยิ้มบางพลางบีบไหล่เขาเบาๆ

                    คำพูดประโยคนั้นเหมือนเป็นคำพูดลอยๆที่จงใจพูดกับฟรานด้วยเช่นกัน เด็กหนุ่มเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับหน้าซีดรู้สึกเย็นวาบทั่วทุกรูขุมขน สาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถใช้เวทเปลี่ยนสีตาได้เป็นเพราะแบบนี้เองเหรอ ฟรานทอดถอนใจอย่างสุดเซ็ง

                    “ ถ้ามีอะไรก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ ”

                    “ ขอบคุณครับอาจารย์ ”

                    เฟรริลโค้งขอบคุณ เรสเซอเรลค้อมศีรษะลงเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับเสียงปิดประตูตามหลัง

                   

                    “ เจ้านอนเฝ้าข้าตลอดสามคืนเลยเหรอ ”

                    ฟรานส่งเสียงอู้อี้ออกมาจากใต้ผ้าห่ม มันฟังแทบไม่ได้ศัพย์หากไม่ตั้งใจฟังดีๆ แต่สำหรับคนที่ประสาทหูดีอย่างเฟรริลมันไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา

                    “ อือ ”

                    เฟรริลตอบสั้นๆแผ่วเบา ดวงตาสีฟ้าใสยังคงมองฟรานอย่างห่วงใยโดยไม่ยอมละสายตาไปไหน เหมือนกลัวว่าหากละสายตาเพียงเสี้ยววินาทีอาจจะไม่ได้เห็นฟรานอีก

                    “ ขอบใจนะ ”

                    ฟรานตอบน้ำเสียงอู้อี้ เขาทั้งซึ้งใจและรู้สึกเขินๆยังไงอย่างบอกไม่ถูก

                    เจ้าช่างเป็นคนดีที่สุดในโลกเลย หน้าตาก็ดีแถมใจดีอีกต่างหาก คอยห่วงใยข้าที่เป็นเพียงแค่เพื่อนสามัญชนคนธรรมดา ผิดกับเจ้าเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนที่ใจจืดใจดำ ไม่เห็นจะเหลียวแลมาเยี่ยมข้าบ้าง ช่างเหอะไม่เห็นต้องไปสนใจเจ้าเพื่อนแล้งน้ำใจสองคนนั่น อย่างน้อยก็มีเฟรริลเพื่อนรักที่คอยห่วงใยและคอยดูแลอยู่ข้างๆ ใครจะโชคดีเท่าข้าเนี่ยได้คนระดับเจ้าชายมาเฝ้าไข้

                    เฮ้ย! ไม่ใช่ดิ ข้าต้องเป็นฝ่ายดูแลเจ้าชายไม่ใช่ให้เจ้าชายดูแลข้า ฮือๆ ถ้าเกิดหัวหน้าหน่วยองครักษ์จอมโหดรู้เข้ามีหวัง... อ้าก ไม่อยากจะคิด

                    อีกอย่างเจ้าไม่ควรทำแบบนี้เลย ถ้าเกิดพวกคนร้ายมันจู่โจมเข้ามาแล้วใครจะปกป้องเจ้าได้ แถมยังทำให้ภารกิจข้าล้มเหลวอีก ฮือๆ

                    ฟรานคร่ำครวญคิดฟุ้งซ่าน ใจหนึ่งก็ดีใจอยู่หรอกที่เฟรริลคอยห่วงใยมาคอยเฝ้าไข้ แต่อีกใจก็กลัว ทั้งกลัวคนร้ายที่จะบุกเข้ามาทำร้ายเฟรริลเมื่อไหร่ก็ได้แล้วยังมีหัวหน้าหน่วยองครักษ์จอมโหดที่พร้อมจะลงโทษเขาทุกเมื่อหากภารกิจล้มเหลว

                    เฟรริลนั่งลงบนเตียงหลังพิงฟรานที่ยังคงนอนหันหลังคลุมโปง ฟรานสะดุ้งเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจดึงความสนใจเขาไปได้ ตอนนี้เขากำลังจดจ่อพยายามใช้เวทเปลี่ยนสีตาให้ได้อีกครั้ง ในเมื่ออาจารย์เรสเซอเรลบอกว่าเขาจะใช้เวทไม่ได้สองสามวัน แต่ตอนนี้ปาเข้าไปวันที่สี่แล้วมันก็น่าจะใช้ได้สิ และในที่สุด...ความพยายามก็ไม่สูญเปล่า ฟรานสามารถใช้เวทเปลี่ยนสีตาได้สำเร็จ ขณะที่เขาโห่ร้องดีใจเงียบๆในใจนั้นก็ถูกน้ำเสียงชวนให้รู้สึกเศร้าหมองและเสียงถอนหายใจเบาๆดึงความสนใจให้หันไปฟัง 

                   

                    ข้าคิดว่าเพื่อนคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างเวลาที่เราเดือดร้อนและพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือ คอยรับฟังเวลาที่เรามีเรื่องไม่สบายใจ บางครั้งก็อาจเป็นที่ปรึกษา และสามารถคุยกันได้ทุกเรื่อง ถ้าเกิดเจ้ามีอะไรอยากเล่าให้ข้าฟัง ข้าพร้อมที่จะรับฟังเสมอ ข้าอยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าข้าจะคอยอยู่เคียงข้างเจ้าและคอยปกป้องเจ้าตลอดไป ”

                    ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ฟรานใจตุ้มๆต่อมๆรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี

                    เฟรริลเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมพูดอะไรแปลกๆ หรือว่า...เขาจะรู้แล้วว่าข้าเป็น...

                   

                    คงไม่มั้ง ถ้าไม่งั้นคงพูดอะไรออกมาแล้ว แต่ทำไมรู้สึกอึดอัดใจไม่ดีเลยอ่ะแถมยังบอกว่าจะปกป้องข้าอีก ข้าต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายปกป้องเจ้า ขืนเป็นแบบนี้ข้าก็แย่อ่ะดิ ถ้าเกิดหัวหน้าหน่วยองครักษ์จอมโหดรู้เข้ามีหวัง... ข้าโดนเจี๋ยนแหงมๆ ฮือๆๆๆ  

                    ฟรานพยายามคิดในแง่ดีปลอบใจตัวเองแต่ก็ดันคิดในแง่ลบอีกจนได้พาลทำขวัญเสียอีกรอบ แต่ความจริงจะเป็นเช่นใดนั้นไม่มีใครรู้นอกจากตัวเฟรริลเอง

                    “ เอ่อ...เรื่องเมื่อกี้ ข้าขอโทษด้วยที่เสียมารยาท ข้าแค่อยากจะ... ”

                   

                    “ เฟรริล ไปกินข้าวเช้ากันเถอะ ”

                    เสียงสดใสของเลออนเนลดังมาก่อนตัวขัดจังหวะการสนทนาของเฟรริล เขาถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นยืนและส่งยิ้มบางให้เพื่อนทั้งสอง

                    เลออนเนลวิ่งถลามาหยุดอยู่หน้าเฟรริล เขาชะโงกหน้ามองก้อนแปลกประหลาดที่ขดอยู่ใต้ผ้าห่มแล้วหันไปถามเฟรริลสีหน้าสงสัย

                    “ เจ้าบ้าขี้เซาเป็นอะไร ทำไมนอนคลุมโปงแบบนั้น ”

                    “ เห็นบอกว่าแดดแยงตา ”

                    “ เจ้านั่นฟื้นแล้วเหรอ หลับไปตั้งสามวันเต็ม ไม่น่าเชื่อว่าจะถึกเหมือนกันเห็นบอบบางอ่อนแออย่างกับผู้หญิง ”

                    “ ข้าไม่ได้อ่อนแอแล้วก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงด้วย ”

                    ฟรานลุกพรวดน้ำเสียงโมโหไม่น้อย เขาจ้องเลออนเนลเคืองๆแก้มป่องไม่พอใจที่มาดูถูกกัน เฟรริลหน้าเหวอตกใจหันไปมองฟราน แต่พอเห็นสีตาของฟรานกลับมาเป็นสีน้ำตาลเหมือนเดิม เขาก็ถอนใจโล่งอก เซฮันริวมองฟรานนิ่งแววตาเฉยชา สีหน้าไร้อารมณ์เหมือนทุกที แต่หลังดวงตาสีม่วงอมเงินคู่นั้นกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่ง

                    อีกฟากในเงามืดซึ่งหลบพ้นจากสายตาทุกคู่ มีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองกลุ่มของเด็กหนุ่มทั้งสี่ฉายแววเจตนาร้าย เซฮันริวรู้สึกถึงจิตสังหารอันแผ่วเบา เขาหันไปมองหน้าห้องพยาบาลทว่าดวงตาคู่นั้นได้หายไปพร้อมกับความมืดซึ่งถูกแสงแดดอ่อนยามเช้าสาดส่องเข้ามา ขับไล่

     
                                             ........................................................................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×