คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ผู้ต้องสงสัย
ตารางเรียนของนักเรียนปีหนึ่งหอตะวันออกช่างสุดแสนจะน่าสงสาร วันจันทร์ทั้งวันต้องเรียนกับอาจารย์จอมโหด ‘ คาลเลสเตอร์ ’ นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าถึงขั้นเกลียดก็มี วันอังคารต้องเจอกับวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์และประวัติศาสตร์โลกที่นักเรียนทั้งโรงเรียนโหวตให้เป็นสุดยอดน่าเบื่ออันดับหนึ่งของโรงเรียนมากกว่าสิบปีซ้อน! แต่นักเรียนหออื่นจะเรียนสองวิชานี้คนละวัน ช่างน่าสงสารพวกหอตะวันออกจริงๆ มีหวังได้หลับคาโต๊ะเบื่อตายไปข้างหนึ่ง
วันพุธค่อยน่าสนุกหน่อยเพราะเป็นวิชาการใช้เวทมนตร์เบื้องต้นที่มีอาจารย์ขวัญใจนักเรียนทั้งโรงเรียนเป็นผู้สอน วิชานี้เรียนทั้งวันช่วงเช้าเป็นทฤษฏีช่วงบ่ายเป็นภาคปฎิบัติ หอที่ต้องมาร่วมชะตากรรมด้วยกันคือหอเหนือ แต่มันคงไม่ค่อยน่าสนุกเท่าไหร่สำหรับพวกที่ไม่ค่อยถนัดทางด้านเวทมนตร์ วันพฤหัสเจอวิชาปรัชญาและตรรกวิทยาที่นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างพร้อมใจกันโหวตให้เป็นวิชาสุดงงงวยและเข้าใจยากที่สุดในโลก สอนโดยอาจารย์ที่ดูป้ำๆเอ๋อๆหน่อยๆ ช่วงบ่ายเป็นวิชาสมุนไพรเป็นวิชาที่ฟรานชื่นชอบที่สุดจะเรียกว่าเป็นของถนัดเลยก็ได้ วันศุกร์ช่วงเช้าเจอวิชาปราบเซียนในตำนานสุดโหดหิน ‘ วิชาการคำนวณ ’ ตัวเลข ตัวเลข แล้วก็ตัวเลข มีแต่ตัวเลข ทำให้นักเรียนปีหนึ่งทุกรุ่นน้ำตาร่วงมาแล้วเกินครึ่งชั้นปี! ส่วนช่วงบ่ายว่างไม่มีเรียนเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดรองจากวันหยุดสุดสัปดาห์ที่นักเรียนจะได้เป็นอิสระจากการเรียนอันหนักหน่วง
ฟรานนั่งดูตารางสอนใจห่อเหี่ยวน้ำตาแทบร่วง วิชาการคำนวณ ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ทำไมถึงมีวิชาที่ต้องใช้สมองในการท่องจำเยอะขนาดนี้ ไอ้วิชาที่ถนัดอาจารย์ที่เป็นคนสอนก็ดันเห็นเขาเป็นศัตรูทั้งๆที่ไม่เคยสร้างความแค้นอะไรให้เลยโอกาสจะสอบผ่านเป็นศูนย์ชัวร์ ยังดีหน่อยที่มีวิชาสมุนไพรของถนัดอีกอย่างไม่งั้นคงไม่มีวิชาไหนสอบผ่านได้แน่ๆ แต่ถ้าจับตัวคนร้ายที่คิดลอบสังหารเจ้าชายได้เร็วเมื่อไหร่ภารกิจก็จบเร็วเท่านั้น และก็ไม่ต้องทนนั่งเรียนวิชายากๆพวกนั้นให้ตกแล้วตกอีกช้ำใจเล่น จะได้กลับไปใช้ชีวิตสบายหัวสมองเป็นนักดาบรับจ้างเหมือนเดิม
ฟรานฮึดสู้อย่างมีหวังดวงตาวาวโรจน์เป็นประกาย เขาหยิบขนมปังทาเนยมาเคี้ยวตุ้ยๆอย่างอารมณ์ดี
นอกจากคุ้มกันเฟรริล ถ้าข้าช่วยพวกองครักษ์หาตัวคนร้ายเจอได้เร็ว ข้าก็จะได้หลุดพ้นออกไปจากโรงเรียนนี้เร็วขึ้น ข้าก็ไม่ต้องมานั่งเรียนอะไรยากๆแบบนี้อีก ฮ่าๆๆๆ
“ ฟรานรีบไปกันเถอะจะสายแล้ว ”
เฟรริลเร่งเร้ามองดูนาฬิกาสีหน้ากังวลไม่อยากเข้าเรียนแบบฉิวเฉียดเหมือนเมื่อวานอีก ฟรานลุกขึ้นพร้อมกับหยิบขนมปังทาเนยอีกสองแผ่นไปด้วย
เฟรริลคว้าข้อมือฟรานพาวิ่งหน้าตั้ง เลออนเนลและเซฮันริวล่วงหน้าไปก่อนนานแล้ว ฟรานวิ่งไปกินขนมปังไปอย่างทุลักทุเลแทบติดคอตาย เขาพยายามบอกเฟรริลให้ปล่อยมือเขาวิ่งตามเองได้ แต่เฟรริลคงไม่ได้ยินตั้งหน้าตั้งตาวิ่งลากฟรานมุ่งมั่นไปให้ถึงห้องเรียนให้ทันเวลาจนฟรานเกือบสะดุดขาตัวเองล้มหลายครั้ง
ในที่สุดทั้งสองมาถึงทันเวลาก่อนจะเริ่มเรียนห้านาที เฟรริลเปิดประตูสายตามองหาที่นั่งว่าง มือยังคงกำข้อมือฟรานแน่น เขาลากฟรานเดินเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว ฟรานหน้าเหวอเซไปตามแรงลากเกือบล้มลงไปนอนจูบพื้นเพราะดันสะดุดขาตัวเอง
ในห้องมีโต๊ะยาวสองแถวแถวละเจ็ดตัว โต๊ะตัวหนึ่งนั่งได้สี่คน ด้านหน้าๆมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว เฟรริลจึงลากฟรานไปนั่งข้างหลัง สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องเด็กหนุ่มทั้งสองเป็นตาเดียว แม้แต่พวกหอตะวันออกถึงแม้จะเจอกันทั้งวันคืนก็อดที่จะมองตามไม่ได้
เด็กหอที่มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์คาบเดียวกับเด็กหอตะวันออกคือหอเหนือ พวกเขาแต่ละคนดูท่าทางเหมือนพวกแก่เรียน หรือเรียกอีกอย่างก็คืออัจฉริยะนั่นแหล่ะ มีเสียงร่ำลือกันว่าคนที่ได้อยู่หอเหนือมีแต่พวกหัวกะทิหรือไม่ก็พวกอัจฉริยะ แถมแต่ละคนยังหน้าตาดีท่าทางเหมือนลูกคุณหนูอีกต่างหาก
เฟรริลลากฟรานมานั่งโต๊ะตัวสุดท้ายฝั่งติดหน้าต่างซึ่งพวกหอตะวันออกนั่งอยู่ เลออนเนลลุกตามไปนั่งข้างๆเฟรริล เซฮันริวมองตามสีหน้าเฉยชาเขายังคงนั่งที่เดิมไม่คิดที่จะลุกตามไปด้วย
วิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เป็นวิชาที่สุดแสนจะน่าเบื่อเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนครองแชมป์อันดับหนึ่งมากกว่าสิบปีซ้อน อาจารย์ที่สอนซึ่งอายุมากแล้วก็สอนได้น่าเบื่อพอกัน ใช้น้ำเสียงเนิบๆช้าๆระดับเดียวกันตลอดทั้งคาบ ทำเอานักเรียนเกินครึ่งห้องเข้าสู่ห้วงนิทราหลับปุ๋ย ส่วนหนึ่งหันเหความสนใจทำอย่างอื่น บางคนเอาหนังสือวิชาคาบต่อไปมานั่งอ่าน บางคนเอาการบ้านมานั่งลอก มีเป็นส้วนน้อยของน้อยที่ตั้งใจเรียนจริงๆ
ประตูห้องเรียนถูกเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามา เสื้อคลุมสีขาวพลิ้วสะบัดตามการเคลื่อนไหว ผมสีฟ้ายาวถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่งอย่างเรียบร้อย ใบหน้าอันงดงามหมดจดได้รูปมีรอยยิ้มชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้ประดับไว้อยู่เสมอ ดวงตาสีทองอันอบอุ่นมองนักเรียนแต่ละคนอย่างเอ็นดู
สายตาของนักเรียนทุกคู่จับจ้องมาที่ชายหนุ่ม ทุกคนเกิดอาการค้างนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด จากนั้นเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอย่างดีใจระคนแปลกใจ
“ นักเรียน เงียบก่อน ”
เรสเซอเรลเอ่ยเสียงนุ่มพร้อมกับตบมือ ใบหน้าอันงดงามยังคงประดับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เสียงฮือฮาอย่างกับผึ้งแตกรังค่อยๆเงียบลง นักเรียนทุกคนมองเขาด้วยแววตาลิงโลด มีเสียงพึมพำเบาๆพอจับใจความได้ว่า ‘ อาจารย์เรสเซอเรลจะมาสอนแทนเหรอ ’ ‘ ดีจัง ไม่ต้องเรียนกับอาจารย์แก่ๆคนเดิม ’ ‘ ถ้าอาจารย์เรสเซอเรลสอน ข้าจะตั้งใจเรียนทุกครั้งเลย ’
เรสเซอเรลมองนักเรียนแต่ละคนด้วยแววตาอันอบอุ่น พวกเขานั่งนิ่งเหมือนตกอยู่ในภวังค์ความงดงาม ดวงตาแต่ละคู่จับจ้องเรสเซอเรลจนไม่อาจละสายตาไปจากความงามของเทพจำแลงกายผู้ซึ่งงามเหนือยิ่งกว่าสตรีได้
เรสเซอเรลยิ้มละไมอย่างเอ็นดู นักเรียนชายหญิงบางคนถึงขั้นเกือบเป็นลมเมื่อได้เห็นรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนนั้น ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงใสและนุ่มนวลดั่งระฆังแก้วว่า
“ อาจารย์ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เพิ่งจะเกษียณเมื่อเทอมที่แล้วและยังไม่มีอาจารย์ใหม่มาสอน ข้าก็เลยรับหน้าที่มาสอนแทนในเทอมนี้ชั่วคราว ”
นักเรียนต่างส่งเสียงเฮลั่นดีอกดีใจที่ไม่ต้องเรียนกับอาจารย์แก่ๆน้ำเสียงโมโนโทนชวนให้หลับปุ๋ยคนนั้นอีกต่อไป มีเพียงเซฮันริวคนเดียวที่ยังคงนั่งนิ่งไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับคนอื่นๆ ด้วยเหตุที่หมอนั่นชอบทำหน้าเฉยชาไม่รู้ร้อนรู้หนาวไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆเป็นกิจวัตร บวกกับชอบทำมาดนิ่งๆเยือกเย็นแถมแผ่ออร่าอำมหิตอยู่ตลอดเวลาทำให้บรรยากาศรอบตัวดูเย็นยะเยือกจนคนรอบข้างพากันถอยห่างไม่อยากเข้าใกล้ ฟรานเลยตั้งฉายาให้ว่า ‘ เจ้าชายปีศาจจอมเย็นชา ’
“ เอาล่ะๆ เงียบก่อน จะเริ่มเรียนกันแล้ว "
เรสเซอเรลทำเสียงดุสีหน้าขึงขัง แต่น้ำเสียงที่พวกนักเรียนได้ยินนั้นช่างนุ่มนวลไม่เหมือนจะเป็นการดุและสีหน้าที่ดูเหมือนเรสเซอเรลจะตั้งใจทำให้ดูขึงขังจริงจังมันกลับช่างดูอ่อนโยนและใจดีมากกว่า แต่ถึงอย่างนั้นเสียงจ้อกแจ้กอย่างกับนกกระจอกแตกรังก็เงียบสงบลงในทันที สายตาทุกคู่จับจ้องเรสเซอเรล นักเรียนทุกคนตั้งหน้าตั้งตาและตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่ ทว่าความสนใจของนักเรียนเหล่านั้นมันจะอยู่ที่สิ่งไหนระหว่างความงามอันน่าหลงใหลของอาจารย์ผู้ซึ่งงดงามดั่งเทพจำแลงกายหรือเนื้อหาที่เรียนกันแน่ ถ้าถามพวกนักเรียนละก็....
คำตอบมันก็รู้ๆกันอยู่ ไม่ว่าใครก็ต้องตอบอันแรกอยู่แล้วชัวร์ล้านเปอร์เซ็นต์!!!
ตลอดเวลาสามชั่วโมงของการเรียนไม่มีนักเรียนคนไหนหลับสักคนเพราะสมาธิและความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าอันแสนงดงามของเรสเซอเรล สมุดจดว่างเปล่าสะอาดสะอ้านกันถ้วนหน้าแม้แต่พวกหอเหนือที่ได้ชื่อว่าเป็นเด็กเรียนและขยันมากที่สุดก็เป็นไปกับเขาด้วย!
ใครจะไปทำใจมีสมาธิเรียนลงได้ล่ะในเมื่อมีอาหารตาอยู่ตรงหน้าตลอดเวลาแบบนี้ ใบหน้าอันงดงามที่มักแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนอยู่เสมอ ดวงตาคู่สวยที่ดูอบอุ่นราวกับพระอาทิตย์ ไม่ว่าใครที่ได้มองก็ไม่อาจละสายตาไปได้ เอ่อ...ยกเว้นอยู่สองคนที่ไม่ได้มีอาการเหมือนนักเรียนคนอื่นๆ คนแรกคือเฟรริล เขาตั้งหน้าตั้งตาและตั้งใจจดเนื้อหาที่อาจารย์เรสเซอเรลสอนอย่างสนอกสนใจ ส่วนอีกคนก็เจ้าชายปีศาจหน้าตายที่ไม่ว่าจะเจอสิ่งสวยงามขนาดไหนขนาดอาจารย์เรสเซอเรลที่งดงามดั่งเทพจำแลงกายอยู่เบื้องหน้าหมอนั่นไม่มีทีท่าว่าจะสนใจแถมทำหน้าหน่ายๆเสียด้วยซ้ำ ถ้าเกิดเจอเหตุการณ์ที่มันน่าตื่นเต้นหมอนั่นคงไม่มีอารมณ์ร่วมกับคนอื่นเขาหรอกมั้งคงได้แต่ทำท่าเย็นชาตีหน้าขรึมเป็นอย่างเดียว
ฟรานที่นั่งอยู่ริมขวา มือขวาจับปากกานิ่งวางอยู่บนสมุดจด มีแต่ลายเส้นยึกยือตามแรงขยับของแขนซึ่งขยับตามจังหวะการโยกตัว มืออีกข้างเท้าคางไว้ทำท่าเหมือนตั้งใจเรียน ศีรษะก้มลงเล็กน้อยเหมือนกำลังมองสมุด แต่ดวงตากลับปิดสนิท เด็กหนุ่มกำลังหลับสัปหงกอยู่ในท่าเหมือนกำลังจดเลคเชอร์! ไม่มีใครสังเกตเห็นเพราะความสนใจทั้งหมดรวมทั้งสายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่อาจารย์เรสเซอเรลผู้งดงามดั่งเทพจำแลงกาย มีเพียงเฟรริลซึ่งนั่งข้างๆสังเกตเห็นรจึงคอยสะกิดปลุกให้ฟรานตื่น พอฟรานรู้สึกตัวก็จดอะไรขยุกขยิกแบบคนไม่มีสติ จากนั้นไม่กี่วินาทีต่อมาก็...มือเท้าคางก้มหน้ากลับไปอยู่ในท่านั่งหลับแบบเลคเชอร์ต่อ
เฟรริลก็ยังคงเพียรพยายามที่จะปลุกฟรานให้ตื่นอย่างไม่ลดละ จนสุดท้ายเฟรริลเริ่มถอดใจปล่อยให้เจ้าเพื่อนขี้เซาหลับฝันหวานจนหมดชั่วโมงเรียน
เสียงออดหมดเวลาเรียนดังขึ้น เจ้าตัวขี้เซาขยับตัวบิดขี้เกียจหาวหวอดๆเหมือนรู้เวลา เฟรริลเก็บหนังสือลงกระเป๋าพลางถอนหายใจเหนื่อยอ่อนที่ปลุกฟรานไม่สำเร็จ รู้สึกผิดที่ปล่อยให้เพื่อนหลับ เฟรริลตั้งมั่นว่าวิชาต่อไปจะไม่ปล่อยให้เจ้าตัวขี้เซามีโอกาสได้หลับอีก แต่จะทำยังไงล่ะ เจ้าตัวขี้เซายิ่งปลุกยากอยู่ด้วย จะใช้วิธีรุนแรงเหมือนเซฮันริวมันก็ไม่ดี เฟรริลคิดไม่ตกได้แต่ทอดถอนใจ สายตาเหลือบมองฟรานอย่างเป็นห่วง แต่เจ้าตัวคนที่ถูกเป็นห่วงคงไม่รู้สึกรู้สาอะไรหรอกเอาแต่ยืนหาวอยู่หลายหวอดแถมเร่งเร้าให้เฟรริลไปเร็วๆกลัวโรงอาหารเต็มไม่มีที่นั่ง เลออนเนลมองฟรานอย่างหมั่นไส้และลุกเดินตามอย่างเสียไม่ได้
โรงอาหารกลางตอนกลางวันคนแน่นจนแทบจะเบียดกันตาย ที่นั่งก็แทบจะไม่มีห้องอาหารประจำหอจะเปิดเฉพาะตอนเช้ากับเย็น ดังนั้นตอนพักเที่ยงนักเรียนทั้งสี่ชั้นปีจึงมาอัดแน่นกันอยู่ที่โรงอาหารกลางภายในตึกเรียน
เลออนเนล เฟรริลและฟราน ยืนมองภายในโรงอาหารที่เต็มไปด้วยฝูงนักเรียนตาปริบๆ พวกเขาเดินฝ่าฝูงนักเรียนหาที่นั่งว่าง ถึงแม้ฟรานจะตัวสูงแต่ด้วยรูปร่างที่บอบบางทำให้ถูกเบียดกระเด็นกระดอนและไหลไปตามฝูงชน เขาถูกนักเรียนตัวสูงร่างกำยำชนกระเด็นล้มก้นจ้ำเบ้า โชคดีที่เฟรริลตาไวคว้าฟรานไว้ได้ทันก่อนที่จะถูกคลื่นนักเรียนถาโถมเหยียบจนแบน
“ โรงอาหารหรือสนามรบอ่ะเนี่ย คนเยอะอย่างกับหนอน ”
เลออนเนลบ่นอุบทำหน้าเหยเก สายตายังคงมองหาที่นั่งว่างและไปสะดุดอยู่ที่ที่หนึ่ง โต๊ะริมหน้าต่างตัวนั้นมีเด็กหนุ่มผมดำยาวท่าทางหยิ่งๆไม่น่าคบนั่งอยู่คนเดียว สีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก บรรยากาศรอบตัวเขาดูอึมครึมเย็นยะเยือกพิกล มีแค่ที่ตรงนั้นที่ไม่มีนักเรียนคนไหนกล้าเฉียดเข้าใกล้หรือกระทั่งเดินผ่าน!
“ เฟรริล ข้าเจอที่ว่างแล้ว ”
เลออนเนลตะโกนเรียกเพื่อน แข่งกับเสียงจ้อกแจ้กจอแจยิ่งกว่ากระจอกแตกรัง
“ ตรงไหน? ”
เฟรริลลากฟรานฝ่าฝูงนักเรียนเดินตรงมายังเลออนเนลที่กำลังกวักมือเรียกเขา ฟรานถูกคนโน้นกระแทกทีคนนั้นกระแทกที แถมสะดุดขาตัวเองเกือบล้มหน้าคะมำ!
“ นั่นไง ตรงที่เจ้าบ้าหน้าตายนั่งอ่ะ ”
เลออนเนลชี้มาที่โต๊ะริมหน้าต่างที่เด็กหนุ่มผมดำยาวนั่งอยู่คนเดียว เฟรริลเอียงตัวมองตาม
“ เซฮันริว ”
ไหงมีแต่ที่ตรงนั้นที่ไม่ทีใครเดินผ่านเลยอ่ะ อย่าว่าแต่เดินผ่านเลย แค่เดินเข้าไปใกล้ยังไม่มีเล๊ย เจ้าบ้านั่นคงปล่อยรังสีอำมหิตอีกแล้วดิ คนถึงไม่กล้าเฉียดเข้าไปใกล้
ฟรานวิพากษ์วิจารณ์ในใจ ตัวเขาเองก็ไม่ได้นึกรังเกียจอะไรจะให้นั่งด้วยก็ได้ แต่ถ้าเลือกได้ก็ขออยู่ห่างสักหน่อยก็ดี อยู่ใกล้ทีไรมันทำให้รู้สึกหนาวสะท้านเย็นยะเยือกขนลุกซู่ไปทั้งตัว ถึงแม้จะอยู่ห้องเดียวกันก็เถอะแต่มันก็ยังไม่ชินสักที
“ ช่าย ไปกันเถอะ ”
เลออนเนลท่าทางดีใจ รีบเดินนำลิ่วไปก่อนเพื่อน เฟรริลรีบลากฟรานตามไปติดๆ ขนาดตัวของเฟรริลก็บอบบางและสูงพอๆกับฟราน เด็กหนุ่มอาศัยความเร็วและความคล่องตัวลอดฝ่าฝูงชนไปได้ไม่ยาก ส่วนฟรานที่ถูกลากกลับชนคนโน้นทีคนนี้ทีเกือบล้มคะมำอีกหลายรอบ
ฟรานร้องเรียกให้เฟรริลปล่อยมือเขาอยู่หลายครั้ง แต่เฟรริลคงไม่ได้ยินอีกเหมือนเคย ทำให้เขาต้องเดินตามอย่างทุลักทุเล
“ เซฮันริว~ นั่งด้วย ”
คนถูกเรียกเหลือบมองด้วยแววตาเย็นชา และเบนสายตากลับมาจดจ้องที่หนังสือเหมือนเดิม ไม่พูดอะไรสักคำ
เลออนเนลถือว่าที่เซฮันริวเงียบคือไม่ปฏิเสธ และมันก็มีเก้าอี้ว่างสามตัวพอดี เลออนเนลจัดแจงวางหนังสือฝั่งติดหน้าต่างตรงข้ามเซฮันริว แล้วเขาก็ดึงหนังสือและกระเป๋าจากเฟรริลมาวางไว้ที่นั่งข้างๆ จากนั้นก็ลากเฟรริลออกไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ด้วยกันโดยไม่สนใจคำทักท้วงที่ให้รอฟรานก่อน
ฟรานยืนนิ่งอึ้งไปหลายวิ เจ้าบ้านั่นถ้าไม่ชอบขี้หน้าเขาก็ไม่เห็นต้องแสดงออกนอกหน้าขนาดนี้ เห็นแล้วรู้สึกยัวะเป็นบ้า ฟรานวางกระเป๋าบนเก้าอี้ข้างๆเซฮันริว ระบายลมพรืดไม่สบอารมณ์ เซฮันริวเหลือบมองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร และหันกลับไปอ่านหนังสือเหมือนเดิม
ฟรานกำลังจะอ้าปากถามเซฮันริวว่ากินข้าวหรือยัง สายตาดันเหลือบไปเห็นจานอาหารที่ว่างเปล่าซึ่ง วางอยู่ข้างหน้าเซฮันริว เด็กหนุ่มเลยหุบปากหันหลังเดินเข้าไปในฝูงชนและถูกกลืนหายไปไม่รู้ว่าจะรอดออกไปสั่งอาหารที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าได้หรือจะถูกฝูงชนเหยียบแบนซะก่อน
หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเลออนเนลและเฟรริลค่อยๆเบียดฝูงชนออกมาพร้อมกับถาดอาหารในมือ เฟรริลมองหาฟรานและถามหาเขา เซฮันริวพูดสั้นๆแค่ว่า ‘ ไปสั่งอาหาร ’ ในขณะที่สายตายังคงจดจ่อที่หนังสือ เฟรริลพยักหน้ารับรู้พลางมองเข้าไปในฝูงชนอดห่วงไม่ได้
สิบนาทีต่อมามีเด็กหนุ่มผมทองยาวสะดุดล้มพุ่งถลาออกมาจากฝูงชนตรงมาที่โต๊ะของพวกเซฮันริว แถมร้องโวยวายเสียงดังลั่นเรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างให้หันมามองได้ไม่น้อย
ฝูงนักเรียนที่เดินกันขวักไขว่ต่างหยุดชะงักและหันมามองที่ต้นเสียงเป็นตาเดียว เฟรริลหน้าตื่นถลาไปช่วยพยุงฟรานลุกขึ้น พร้อมกับถามอย่างเป็นห่วง
“ บาดเจ็บตรงไหนไหม ”
ฟรานส่ายหน้าว่าไม่เป็นไรพลางมองขนมปังในอ้อมกอดสีหน้าสลดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ ฉันน่ะไม่เป็นไรแต่ซุปเปอร์จัมโบ้แซนวิชนี่อ่ะดิ แบนแต๊ดแต๋เลยอ่ะ ”
เฟรริลมองแซนวิชขนาดใหญ่ยาวครึ่งตัวคนในมือฟรานที่แบนแต้ดไส้ทะลักออกมายังดีที่มีกระดาษห่อไว้ชั้นนึงไม่งั้นเสื้อฟรานคงเต็มไปด้วยซอสมะเขือเทศและไส้แซนวิช
เฟรริลปลอบใจฟรานและเสนอให้กินข้าวเที่ยงกับเขา ฟรานส่ายหน้าและพูดขึ้นว่า
“ ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไร ถึงเจ้าซุปเปอร์จัมโบ้แซนวิชจะแบนแต๊ดแต๋มันก็ยังกินได้ล่ะน่า แถมมันยังไม่หล่นพื้นด้วย ”
“ เจ้ากินแค่แซนวิชจะอิ่มเหรอ ”
เฟรริลอดห่วงไม่ได้ มองแท่งขนมปังแบนๆที่ฟรานเรียกมันว่าซุปเปอร์จัมโบ้แซนวิช ซึ่งก่อนที่มันจะถูกฟรานล้มทับมันเคยเป็นแท่งขนมปังกลมยาวมาก่อน ตรงกลางยัดไส้สารพัดเนื้อทั้งเนื้อปลา ไก่ กุ้ง หมู หมึก ซึ่งสามารถเลือกไส้ได้ตามใจชอบว่าอยากใส่ไส้อะไรแต่ฟรานเล่นสั่งใส่เนื้อหมดทุกอย่างรวมทั้งสารพัดผักไม่ว่าจะมีกี่ชนิดฟรานบอกให้ใส่หมด ไส้แซนวิชชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสมะเขือเทศ มายองเนส และมัสตาร์ด สีสันเลยออกมาดูแปลกพิกล ให้ความรู้สึกว่ามันจะกินได้แน่เหรอ
“ อิ่มสิ นี่มันซุปเปอร์จัมโบ้แซนวิชเลยนะ ”
ฟรานทำท่าทางและน้ำเสียงแบบเด็กๆ ตาโตเป็นประกายเหมือนเด็กได้ของถูกใจ
“ ใหญ่ขนาดนั้น ไม่อิ่มก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ”
เลออนเนลพูดแขวะชักสีหน้าหมั่นไส้ แล้วตักอาหารเข้าปากทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ฟรานมองเจ้าตัวกวนบาทาตาขวางพลางยัดแซนวิชเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆไม่สบอารมณ์ มือกำแซนวิชแน่นจนไส้ทะลักออกมาเกือบหมด คงคิดว่าเจ้าซุปเปอร์จัมโบ้แซนวิชเป็นเลออนเนลแหงๆ
ชิ เจ้าบ้านี่ นับวันยิ่งกวนบาทาขึ้นทุกวัน ข้าเคยไปสร้างความแค้นอะไรให้เจ้านักหนาถึงแขวะข้าได้อยู่เรื่อย จะญาติดีกันมั่งไม่ได้เลยใช่ไหม เป็นเพื่อนร่วมห้องที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันถึงสี่ปีเชียวนะ
ฮึ่ย พอคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับคนพรรค์นี้ตั้งสี่ปี ชวนให้หงุดหงิดจริงเฟ้ย!
ฟรานกัดแซนวิชคำโตเคี้ยวตุ้ยๆ หันหน้าออกนอกโต๊ะไม่อยากเห็นหน้าคนบางคน
เด็กหนุ่มเลิ่กคิ้วขึ้นสีหน้าแปลกใจพอเห็นกลุ่มคนที่ยืนล้อมรอบหันมามองพวกเขาแถมยังซุบซิบอะไรกันอีกแต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือนักเรียนมุงพวกนั้นทำไมถึงได้ยืนห่างไกลจากโต๊ะพวกเขาไปหลายช่วงตัวเหมือนกลัวอะไรบางอย่าง หรือว่า...
ฟรานหันไปมองคนข้างๆที่ปล่อยรังสีเยือกเย็นออกมาตลอดเวลาส่งผลให้บรรยากาศรอบๆโต๊ะดูอึมครึมเย็นยะเยือกชวนสยองขวัญสั่นประสาท ฟรานทอดถอนใจแล้วกัดแซนวิชต่อหันไปมองนอกหน้าต่างไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง
เหตุที่โต๊ะฟรานถูกนักเรียนมุงและพากันซุบซิบอะไรบางอย่างส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาดันมานั่งโต๊ะที่ไม่มีใครกล้าเดินผ่านแม้แต่แมลงสักตัวยังไม่กล้าเข้าใกล้! และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือดันมีเจ้าชายมานั่งด้วย แต่อีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญยิ่งกว่าที่เป็นต้นเหตุให้คนอื่นๆหันมามองก็เป็นเพราะเจ้าตัวซุ่มซ่ามฟรานที่ดันสะดุดล้มและร้องซะเสียงดังลั่นเรียกความสนใจให้คนรอบข้างหันมามองได้ไม่น้อย โต๊ะพวกเขาเลยกลายเป็นจุดสนใจไปในที่สุด
เซฮันริวหันไปส่งสายตามาดร้ายพร้อมกับแผ่กระจายรังสีเยือกเย็น นักเรียนมุงทั้งหลายพากันหุบปากและสลายตัวอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเลยกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง
วิชาประวัติศาสตร์โลกเป็นอะไรที่น่าเบื่อชวนให้ง่วงนอนเป็นอย่างมาก แล้วยิ่งเรียนตอนบ่ายด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะมีใครสามารถฝืนทนนั่งเรียนโดยไม่หลับ นักเรียนปีหนึ่งที่โชคร้ายต้องเรียนประวัติศาสตร์เวทมนตร์ตอนบ่ายก็คือหอตะวันออกและหอใต้
โชคดีที่เมื่อเช้าอาจารย์ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์เกษียณและได้อาจารย์เรสเซอเรล อาจารย์ขวัญใจนักเรียนมาสอนแทน ไม่งั้นหอตะวันออกมีหวังได้หลับคาโต๊ะเบื่อตายไปข้างหนึ่งหรือไม่ก็อาจถึงขั้นเก็บเอาไปฝันร้ายนอนไม่หลับตลอดทั้งเทอม!
วิชาประวัติศาสตร์โลกเป็นวิชาที่น่าเบื่อครองแชมป์อันดับหนึ่งร่วมกับวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์มากกว่าสิบปีซ้อน อาจารย์ที่สอนอายุอานามก็พอๆกับอาจารย์ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์เวทมนตร์ที่เพิ่งเกษียณไป สไตล์การสอนคล้ายๆกับอาจารย์ประวัติศาสตร์เวทมนตร์ น้ำเสียงเนิบๆช้าๆโมโนโทนตลอดทั้งคาบชวนให้นักเรียนเกือบทั้งห้องเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาอันรวดเร็ว!
ฟรานจัดแจงท่าทางเตรียมนั่งหลับแบบเล็คเชอร์เนียนๆ มือขวาจับปากกาวางอยู่บนสมุดจด มือซ้ายเท้าคางก้มหน้าเล็กน้อยเหมือนกำลังมองสมุด เฟรริลหน้านิ่วคิ้วมุ่นมองฟรานอย่างเป็นห่วง เขาต้องพูดเตือนฟรานสักที ขืนปล่อยไว้ไม่ตั้งใจเรียนแบบนี้พอถึงปลายภาคตัวฟรานเองจะลำบาก เฟรริลทอดถอนใจและพูดขึ้นว่า
“ ฟราน ข้าไม่อยากบ่นเจ้าหรอกนะ แต่ถ้าเจ้ายังไม่ขยันเอาแต่หลับในเวลาเรียนแบบนี้ ปลายภาคเจ้าจะลำบาก ”
นี่ขนาดไม่อยากบ่นยังมาเป็นชุด แล้วถ้าอยากบ่นขึ้นมาไม่ล่อทั้งวันเลยเรอะ
สรุปเจ้าเป็นเพื่อนข้าหรือเป็นแม่ข้ากันแน่
ฟรานบ่นพึมทำหน้าเบ้เหมือนเด็กหัวดื้อที่ไม่คิดทำตามคำสอนของผู้ใหญ่ แต่ก็พยักหน้าหงึกๆรับฟังไปอย่างงั้น
“ คร้าบๆ ข้าจะพยายามตั้งใจเรียน ”
ฟรานนอนเลื้อยฟุบหน้าแนบกับโต๊ะ หันหน้าไปทางเฟรริลแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ เฟรริลหรี่ตามองเหมือนพี่ชายมองน้องชายที่กำลังจับผิดในคำพูด สีหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ ไม่ใช่ ‘จะพยายาม’ แต่ต้องตั้งใจต่างหาก ”
เฟรริลบ่นน้ำเสียงกึ่งดุทำหน้าจริงจังเหมือนพี่ชายที่กำลังตักเตือนน้องชายจอมดื้อเกเรไม่ยอมเชื่อฟังผู้ใหญ่ แต่เสียงที่ฟรานได้ยินมันดูอ่อนโยนและนุ่มนวลมากกว่าจะเป็นการดุ สีหน้าที่ตั้งใจทำให้ดูจริงจังมันกลับดูใจดีซะมากกว่า เฟรริลเม้มปากยืนกอดอก ตั้งใจจะเทศนาฟรานอีกรอบ เหมือนฟรานจะรู้ทันเลยชิงตัดหน้าพูดขึ้นว่า
“ โอเคๆ ข้าจะตั้งใจเรียน ไม่หลับอีกแล้ว ”
เฉพาะคาบนี้เท่านั้นนะ ขืนปล่อยให้เจ้าบ่นต่อมีหวังข้าหูชาแน่
ฟรานฉีกยิ้มกว้างดึงแขนเฟรริลให้นั่งลง คนถูกดึงนั่งลงอย่างเสียไม่ได้แต่ก็ไม่วายหันขวับส่งสายตาดุๆให้เหมือนเป็นการบอกว่า ถ้าไม่ตั้งใจเรียนเตรียมตัวเตรียมใจเจอคำเทศนาชุดใหญ่เอาไว้ได้เลย ฟรานสะดุ้งเฮือกรู้สึกร้อนๆหนาวๆเย็นวาบทั่วตัว เขาเลยยิ้มแห้งหัวเราะแหะๆ เบือนหน้าหนีไปอีกทางไม่กล้าสบตา
ประตูห้องเรียนถูกเปิดออกพร้อมกับชายหนุ่มร่างสูงโปร่งก้าวเข้ามา เสื้อคลุมสีขาวตามแบบฉบับนักเวทพลิ้วสะบัดตามการเคลื่อนไหว ผมสีฟ้ายาวถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่งอย่างเรียบร้อย ใบหน้าอันงดงามหมดจดได้รูปมีรอยยิ้มชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้ประดับไว้อยู่เสมอ ดวงตาสีทองอันอบอุ่นมองนักเรียนแต่ละคนอย่างเอ็นดู
สายตาของนักเรียนทุกคู่จับจ้องไปที่ชายหนุ่ม ทุกคนเกิดอาการค้างนิ่งเหมือนถูกมนตร์สะกด จากนั้นเกิดเสียงฮือฮาขึ้นอย่างดีใจระคนแปลกใจ
“ อาจารย์เรสเซอเรลจะมาสอนแทนใช้ไหมคะ ”
นักเรียนหญิงผมแดงร้องตะโกนสีหน้าตื่นเต้น เรสเซอเรลยิ้มละไมพยักหน้าเล็กน้อย
“ ใช่ ข้าจะมาสอนแทนอาจารย์ประวัติศาสตร์โลกที่เพิ่งเกษียณไปเมื่อเทอมที่แล้ว ”
นักเรียนทั้งห้องกระโดดโลดเต้นโห่ร้องดีใจ
“ อาจารย์มาสอนถาวรเลยใช่ไหมครับ ”
เสียงนักเรียนชายคนหนึ่งตะโกนแทรกเสียงโห่ร้อง เรสเซอเรลมองนักเรียนชายคนนั้นด้วยแววตาอบอุ่น และยิ้มน้อยๆทำเอานักเรียนคนนั้นหน้าแดงระเรื่อก้มหน้างุดโดยอัตโนมัติ
“ ใช่ ตั้งแต่วันนี้เป็นตันไปข้าจะมาสอนประจำวิชานี้ แต่ประวัติศาสตร์เวทมนตร์ข้ารับสอนชั่วคราวจนกว่าจะหาอาจารย์ใหม่มาแทนได้ ”
“ ทำไมอาจารย์ไม่สอนประวัติศาสตร์เวทมนตร์ถาวรไปเลยล่ะคะ ”
นักเรียนหญิงที่นั่งหน้าสุดยกมือถามเสียงดังฟังชัด แต่กลับก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ใบหน้าขาวนวลแดงระเรื่อเล็กน้อย เรสเซอเรลยิ้มละไม มองนักเรียนหญิงคนนั้นอย่างเอ็นดูก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลชวนให้เคลิบเคลิ้ม
“ ข้าก็อยากสอนประจำอยู่หรอก แต่ข้ามีงานล้นมืออยู่มากบวกกับเวลาที่ไม่ค่อยเอื้ออำนวยเท่าไหร่ ”
เรสเซอเรลทำหน้าเสียดายที่ไม่อาจรับงานสอนเพิ่มได้อีกแม้เพียงหนึ่งวิชา เพราะตอนนี้เขาต้องสอนถึงสองวิชา นอกจากนี้ยังมีงานของหัวหน้าแผนกเวทมนตร์ที่มันล้นจนทำแทบไม่ทัน แค่นี้เรสเซอเรลก็แทบจะไม่มีเวลาได้พักหายใจหายคอหรือแม้กระทั่งนอนหลับพักผ่อน
นักเรียนแต่ละคนบ่นเสียดายหน้าเศร้าผิดหวังที่เทอมหน้าอาจจะไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์เวทมนตร์กับอาจารย์ขวัญใจนักเรียนผู้แสนอ่อนโยน ใจดี และงดงามดั่งเทพจำแลงกายอีก
“ เอาล่ะๆ เงียบก่อน จะเริ่มเรียนกันแล้ว ”
เสียงนกกระจอกแตกรังค่อยๆเงียบลง ห้องเรียนกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่บุรุษผู้งดงามเหนือสตรี นักเรียนแต่ละคนนั่งตัวตรงทำท่าทำทางตั้งใจเรียนแต่จะมีสมาธิเรียนกันหรือเปล่านั่นก็อีกเรื่องในเมื่ออาหารตาอาหารใจอยู่ตรงหน้าระยะใกล้แบบนี้ ใครบ้างล่ะที่จะอดใจไม่มองสิ่งสวยงามตรงหน้าได้ไหว อาจเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับหอตะวันออกเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้งที่สมาธิของพวกเขาจดจ่ออยู่ที่ดวงหน้าอันงดงามของอาจารย์ผู้งามเลิศดั่งเทพจำแลงกายจนไม่เป็นอันเรียนคือแทบไม่ได้ฟังเนื้อหาที่เรสเซอเรลสอนเลย ไม่สิ ไม่เข้าหูเลยสักกะพยางค์เดียวมากกว่า สมุดจดนี่สะอาดสะอ้านขาวหมดจดไร้การขีดเขียนใดๆ
“ ทุกคนเปิดไปที่หน้าเก้าสิบ วันนี้เราจะมาเรียนประวัติของชนเผ่าออร์แลนไทล์กัน ”
เสียงเปิดกระดาษดังพรึ่บพรั่บ ฟรานเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะพอได้ยินคำว่า ‘ ออร์แลนไทล์ ’ พลันสบเข้ากับดวงตาสีทองที่ไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้า เรสเซอเรลยิ้มละไมมองฟรานอย่างอ่อนโยน เด็กหนุ่มผู้ถูกมองรีบหลุบตาต่ำโดยอัตโนมัติ แก้มขาวนวลอมชมพูค่อยๆแดงระเรื่อใกล้เคียงกับสีเปลือกแอปเปิ้ล
“ ข้าชอบเรื่องของออร์แลนไทล์มากที่สุดเลยล่ะ เรื่องราวของพวกเขามีน้อยคนนักที่จะรู้มันเลยทำให้พวกเขาเป็นชนเผ่าที่ดูลึกลับและน่าค้นหา ”
เฟรริลหันไปคุยกับฟราน น้ำเสียงสดใสดูตื่นเต้น สีหน้าสนใจใคร่รู้เหมือนเด็กที่กำลังรอฟังนิทานที่ตัวเองชื่นชอบ
“ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาหายสาบสูญไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ”
เฟรริลทอดถอนใจ สีหน้าที่ตื่นเต้นเมื่อกี้กลับดูเศร้าลงเล็กน้อย
“ มีบางกระแสลือว่าพวกเขาถูกมนุษย์ล่าจนสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ บางกระแสก็ว่าพวกเขาอพยพย้ายถิ่นไปยังดินแดนอันไกลโพ้นที่ที่ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันย่างกรายไปถึง ”
“ ข้าก็เคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน "
เลออนเนลยื่นหน้า พูดแทรกขึ้น เฟรริลหันไปยิ้มบางให้และพูดต่อว่า
“ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากเห็นสักครั้งว่าพวกเขาจะงดงามสมดังคำร่ำลือหรือเปล่า มีคนร่ำลือกันว่าชาวออร์แลนไทล์นั้นเป็นชนเผ่าที่งดงามมากทั้งหญิงและชายจนไม่สามารถแยกได้เลยว่าเป็นเพศไหน ”
ดวงตาสีฟ้าใสเป็นประกายเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง เฟรริลหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะได้พบกับชนเผ่าที่ตนเองชื่นชอบและชื่นชมมานาน
ก็อยากจะบอกหรอกนะว่ามีออร์แลนไทล์ตัวเป็นๆนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งหนึ่งคน แต่ถ้าขืนบอกไปแล้วเกิดมีคนอื่นรู้เข้าข้าก็เดือดร้อนแย่ดิ ข้ายังไม่อยากมีชีวิตแบบหลบๆซ่อนๆหนีพ่อค้าทาสไปชั่วชีวิตหรอกนะ
ฟรานยิ้มหน้าแห้งกลืนน้ำลายเอื๊อก แล้วก็ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วแกล้งทำเป็นสนใจอยากรู้อยากเห็นเหมือนเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก
“ จริงเหรอ! ข้าไม่เคยรู้มาก่อน พวกเขาสวยขนาดนั้นเลยเหรอ ”
เฟรริลยิ้มแป้นพยักหน้า ดีใจที่มีคนสนใจเรื่องเดียวกัน เขาเปิดหนังสือประวัติศาสตร์โลกไปยังหน้าที่มีรูปวาดชาวออร์แลนไทล์ รูปนั้นมีใบหน้าได้รูปสวยหมดจดงดงามดูไม่ออกเลยว่าเป็นหญิงหรือชาย ผมสีทองเหลือบเงินยาวเลยเอว รูปร่างสูงโปร่งแลดูบอบบาง ผิวพรรณขาวผุดผ่อง ดวงตาสีชมพูสดใสเป็นประกายดุจอัญมณีน้ำงาม ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูงดงามไม่เหมือนมนุษย์ เหมือนเทพในนิทานปรัมปราที่มักเล่าให้เด็กฟังก่อนนอน
“ สวยจัง ”
ฟรานทำเสียงและสีหน้าชื่นชมซะโอเวอร์ เขาแกล้งมองดูรูปนั้นอย่างเคลิบเคลิ้มเหมือนถูกมนตร์สะกด
“ ใช่ไหมๆ สวยใช่ไหมล่ะ เขาว่ากันว่าตัวจริงสวยกว่าในรูปเยอะ ”
“ จริงเหรอ! ”
ฟรานทำตาโตเป็นประกายออกอาการประหลาดใจเกินจริง เฟรริลพยักหน้าหงึกๆ
“ ข้าชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าตัวจริงจะสวยกว่าในรูปจริงๆหรือเปล่า ”
มันก็แหงอยู่แล้วตัวจริงสวยกว่าในรูปเยอะ เฮ้ย! ดูดีต่างหาก
ดวงตาสีฟ้าใสสะดุดมองอยู่ที่ผมของฟราน เวลาที่เส้นผมสะท้อนกับแสงจะเห็นเป็นประกายเงินเหลือบอยู่บนเส้นผมสีทอง เฟรริลเอื้อมมือไปจับและลูบอย่างเบามือ เขาไม่เคยเห็นเส้นผมแบบนี้มาก่อนลักษณะแบบนี้มันคล้ายกับ.....
“ สีผมของเจ้าคล้ายกับออร์แลนไทล์เลย แถมยังนุ่มมากอย่างกับใยไหม ”
ฟรานหันขวับไปมองตาโตหน้าตื่น คิดจะดึงผมกลับยังดีที่นึกได้ยั้งมือไว้ทันไม่งั้นอาจทำให้เฟรริลเกิดความสงสัย ฟรานยังคงปล่อยให้เฟรริลลูบผมเขาต่อไปใจหนึ่งก็อยากดึงผมกลับแต่อีกใจก็กลัวว่าจะเกิดพิรุธ ฟรานหน้าเริ่มซีดกลัวความลับแตกคิดหาเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง จากสมองที่ไม่ค่อยถูกใช้งานตอนนี้มันถูกเค้นอย่างหนักเพื่อหาคำแก้ต่างดีๆ
“ เอ่อ...ข้าบำรุงผมดีน่ะมันก็เลยนุ่ม ”
“ งั้นเหรอ เจ้ามีสูตรอะไรดีๆ บอกข้ามั่งสิ ข้าก็อยากให้ผมนุ่มเหมือนเจ้าบ้าง ”
“ ดะ...ได้ ”
ฟรานกระตุกยิ้มฝืนๆ หัวเราะแห้ง
เวรล่ะสิ ข้าจะไปหาสูตรบำรุงผมที่ไหนล่ะเนี่ย งานเข้าแล้วไง ไม่น่าแถส่งเดชเลย ฮือๆ ลุงจินข้าจะทำไงดี
ฟรานร้องคร่ำครวญในใจ หัวสมองว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกมืดแปดด้านจนปัญญา
“ ดีจัง ขอบใจนะ ”
“ อะ...อื้อ ”
ฟรานตอบรับอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ
“ จะว่าไปสีผมของเจ้าเหมือนกับออร์แลนไทล์เลย สีทอง...เหลือบเงิน ”
เฟรริลผลิกผมฟรานดูไปมา ดวงตาสีฟ้าใสจดจ้องอย่างไม่วางตาเหมือนเด็กเพิ่งเคยเห็นของแปลก
“ จะ...เจ้าตาฝาดหรือเปล่า ผมข้าเป็นสีทองธรรมดานะ ”
น้ำเสียงฟรานสั่นอย่างหวั่นวิตกกลัวความลับจะแตก เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายเอื๊อกรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทุกรูขุมขน
“ อืม จริงด้วย สีทองเหลือบเงินจริงๆ ”
เลออนเนลจับผมฟรานส่องกับแสงผลิกไปมา เกิดเป็นประกายเงินเหลือบอยู่บนเส้นผมสีทอง
“ จะว่าไปผมเจ้ามันนุ่มมากเกินผิดมนุษย์มนาอ่ะ นุ่มอย่างกับใยไหม จริงด้วย! ผมของออร์แลนไทล์ก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน ”
“ ใช่ที่ไหนเล่า! ข้าแค่บำรุงดีต่างหาก ”
ฟรานดึงผมออกจากมือเลออนเนลแววตาตื่นตระหนก หน้าซีดเผือด เลออนเนลเลิ่กคิ้วมองฟรานอย่างข้องใจ
“ อะไรกัน จับแค่นี้ทำเป็นหวงไปได้ ”
“ ปะ...เปล่าสักหน่อย ”
ปากตอบปฏิเสธแต่กลับเบือนหน้าหนีไม่กล้าสบตาด้วย
“ แล้วทำไมเจ้าต้องตื่นเต้นขนาดนั้น เจ้าไม่ได้เป็นออร์แลนไทล์สักหน่อย หรือว่า... ”
เลออนเนลยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน เด็กหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีน้ำตาลเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ฟรานใจเต้นรัวเร็วอย่างหวาดหวั่นระคนวิตกจนแทบจะหลุดออกมานอกอกกลัวจะถูกล่วงรู้ความลับที่ไม่อาจให้ใครรู้ได้
จะให้รู้ไม่ได้ว่าข้าเป็นออร์แลนไทล์ ไม่งั้นข้าได้ถูกตามล่าไปชั่วชีวิตแน่
ฟรานพยายามเค้นสมองอันมีอยู่น้อยนิดคิดหาคำแก้ต่างดีๆหากความลับเกิดแตกขึ้นมา ทว่าเหมือนฟ้าเบื้องบนยังคงเห็นใจส่งเสียงสวรรค์ลงมาช่วยเบี่ยงความสนใจเจ้าบ้าตัวแสบเลออนเนลไปได้
“ ข้างหลังอย่ามัวแต่คุย ตั้งใจเรียนกันหน่อย ”
อาจารย์หนุ่มรูปงามดุทั้งสามคนแต่น้ำเสียงที่ได้ยินมันดูนุ่มนวลชวนน่าฟังมากกว่าจะเป็นการดุเสียอีก ฟรานที่กำลังจะจนมุมเกือบถูกล่วงรู้ความลับเลยรอดตัวไปอย่างหวุดหวิด เด็กหนุ่มทอดถอนใจอย่างโล่งอก ต้องขอบคุณอาจารย์เรสเซอเรลจริงๆที่ช่วยชีวิตเขาไว้ เกือบความลับแตกไปแล้ว
“ ขอโทษครับ ”
เฟรริล ฟราน และเลออนเนลขอโทษเสียงอ่อยหน้าจ๋อย หยุดคุยกันแล้วหันกลับไปตั้งใจเรียนสายตาจดจ่อที่หนังสือ แต่เลออนเนลก็ยังไม่วายที่จะหันมาคุยกับฟรานให้เขาใจหายวาบเล่น
“ ข้าเคยได้ยินมาว่า ผมของออร์แลนไทล์สามารถเอาไปขายได้เป็นเงินมหาศาลชนิดที่ว่ามีกินมีใช้สบายกันไปหลายปี น่าเสียดายถ้าเจ้าเป็นออร์แลนไทล์จริงๆ ข้ากะว่าจะขอปอยผมเจ้าสักกำเล็กๆเอาไปขายเป็นค่าขนมหน่อยอ่ะ ”
น้ำเสียงเหมือนจะพูดเล่นๆแต่แววตาที่เลออนเนลมองฟรานมันกลับเป็นตรงกันข้ามเหมือนแฝงความนัยอะไรบางอย่าง
พูดออกมาได้อย่างกับเป็นเรื่องง่ายๆเลยนะ ต่อให้เจ้ารู้ข้าก็ไม่ให้หรอก ยิ่งตอนนี้ในตลาดมืดแม้แต่แค่เส้นผมสักเส้นของออร์แลนไทล์ยังเป็นที่ต้องการสูง ทำให้ราคาพุ่งขึ้นจนน่าตกใจ ถ้าขืนมีเส้นผมออร์แลนไทล์โผล่เข้าไปในตลาดมืดล่ะก็ มีหวังได้กลายเป็นข่าวใหญ่โต พวกนักค้าทาสได้แห่กันออกตามล่าข้าพลิกหาทั่วแผ่นดินชนิดกัดไม่ปล่อยแน่ ข้าได้สูญสิ้นอิสรภาพจริงๆก็งานนี้แหล่ะ เฮ้อ!
ฟรานเหลือบมองเลออนเนลแบบไม่สบอารมณ์ ขณะที่เอนหลังพิงเก้าอี้ยืดตัวยาว มันเกือบจะกลายเป็นนอนเสียมากกว่านั่ง ถ้าพนักปรับเอนได้ฟรานคงไม่รีรอรีบปรับเอนให้อยู่ในท่านอนที่เหมือนกับนั่ง
เสียงกริ่งหมดเวลาเรียนดังขึ้น ก่อนที่นักเรียนจะลุกฮือพร้อมใจกันกรูออกจากห้อง เสียงใสนุ่มนวลของเรสเซอเรลดังขึ้นดึงความสนใจของนักเรียนทุกคนให้หยุดชะงักหันมามอง
เรสเซอเรลส่งยิ้มละไม และพูดขึ้นว่า
“ การบ้านวันนี้ ให้ไปค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับชนเผ่าออร์แลนไทล์ และเขียนรายงานส่งในคาบ อาทิตย์หน้า ”
นักเรียนแต่ละคนหน้าเหี่ยว ขานรับเสียงอ่อย บางคนขอต่อรองขอเป็นอีกสองสัปดาห์เพราะข้อมูลเกี่ยวกับออร์แลนไทล์นั้นมีบันทึกไว้น้อยมาก อาจต้องหาหนังสือทุกเล่มในห้องสมุดและก็ไม่แน่ว่าอาจจะไม่มีด้วย อาจารย์หนุ่มยิ้มบางและพูดขึ้นว่า
“ หาเท่าที่หาได้ แล้วเขียนบรรยายสรุปสั้นๆ ”
“ ครับ/ค่ะ ”
เสียงขานรับดูแข็งขันขึ้นมาหน่อย ตอนแรกทุกคนคิดว่าต้องทำรายงานเป็นเล่มแต่พอได้ยินคำว่า ‘สรุปสั้นๆ’ จากหน้าเหี่ยวเสียงจ๋อยพลันแววตาเป็นประกายหน้าระรื่นทันตา
เย็นวันนั้นนักเรียนหอตะวันออกและหอใต้เลยได้การบ้านวิชาประวัติศาสตร์โลกประเดิมเป็นการบ้านแรกของการเปิดเทอมแรก
เฟรริลชวนเพื่อนทั้งสามไปหาข้อมูลที่ห้องสมุด เลออนเนลกระดี๊กระด๊าวิ่งนำหน้าแถมลากเฟรริลไปด้วย คนถูกลากเอื้อมมือจะคว้าข้อมือฟรานแต่ก็คว้าได้แต่ลมเพราะถูกลากไปอย่างรวดเร็ว เฟรริลจึงได้แต่มองแล้วตะโกนบอกให้ฟรานรีบตามมาเร็วๆห้ามแอบกลับไปหลับที่ห้อง ฟรานยิ้มแห้ง พยักหน้าหงึกๆและพูดขึ้นว่า
“ ข้าจะรีบตามไป รับรองไปแอบกลับไปหลับต่อที่ห้องชัวร์ ”
เฟรริลส่งสายตาแบบกำชับย้ำให้รีบตามไปเร็วๆก่อนจะถูกลากหายไปตรงหัวมุมทางเดิน ฟรานถอนใจเฮือกแล้วเร่งฝีเท้าเป็นกึ่งเดินกึ่งวิ่ง
เฮอะ! เจ้าบ้านั่นจะรีบไปไหนน่ะ ห้องสมุดมันไม่หนีไปไหนหรอก แถมดันลากเฟรริลไปด้วย ถ้าเกิดพวกคนร้ายโผล่เข้ามาจู่โจมกระทันหันแล้วข้าจะเข้าไปคุ้มกันทันไหมน่ะ
ฟรานบ่นพึมพำแล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งตาม ใจจริงไม่อยากจะไปหรอกไอ้เจ้าห้องที่มีแต่หนังสือๆเห็นแล้วตาลาย เขาอยากกลับไปนอนกลิ้งเกลือกบนเตียงนุ่มๆที่ห้องมากกว่า แต่จำต้องไปด้วยหน้าที่บังคับ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องคอยคุ้มกันเฟรริลละก็ เขาคงชะแว้บหนีกลับไปนอนเล่นสบายใจเฉิบอยู่ที่ห้องไปแล้ว ส่วนเซฮันริวเดินตามไปอย่างเงียบๆไม่คิดจะรีบร้อนหรือเร่งฝีเท้าตามสองคนนั้น สีหน้าของหมอนั่นยังคงเหมือนเดิมเย็นชาไร้ความรู้สึกใดๆ แถมยังปล่อยไอเย็นยะเยือกพาลให้บรรยากาศรอบข้างดูอึมครึมทำเอาคนที่เดินผ่านไปมารู้สึกผวาไม่กล้าเฉียดเดินเข้ามาใกล้ นับประสาอะไรกับฟรานที่เดินอยู่ข้างๆยังรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทุกรูขุมขนทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าหนาว
หอสมุดของแซงเคอร์เป็นตึกคล้ายปราสาทโบราณแยกออกจากอาคารเรียน มีหลังคาแหลมสูง ตัวตึกก่อด้วยอิฐสีน้ำตาลไหม้ ขนาดของมันใหญ่เป็นครึ่งหนึ่งของอาคารหลัก ประตูทางเข้าเป็นทรงโค้งขนาดใหญ่สูงกว่าตัวคนหลายสิบเท่า ทำมาจากไม้มะฮอกกานี สลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม ระหว่างตึกเรียนและหอสมุดมีทางเดินเชื่อมถึงกัน
หอสมุดมีทั้งหมดห้าชั้น ภายในหอสมุดโอ่โถงและกว้างขวางมาก ถูกตกแต่งเอาไว้อย่างวิจิตรงดงาม แต่ละชั้นเต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่อัดแน่นหนังสือจนเต็มเรียงรายเป็นแถวสุดลูกหูลูกตา มีที่ไว้สำหรับนั่งอ่านหนังสือตั้งอยู่ติดริมหน้าต่างหลายสิบที่เรียงเป็นแถวอย่างเป็นระเบียบ
ฟรานมองความอลังการของหอสมุดอย่างตื่นตะลึง เขาหันซ้ายหันขวาอย่างตื่นตาตื่นใจเหมือนเด็กที่เพิ่งเคยเห็นอะไรแปลกใหม่เป็นครั้งแรก
” โห! สุดยอดเลยอ่ะ ข้าเพิ่งเคยเห็นที่แบบนี้เป็นครั้งแรก ไม่คิดว่าหอสมุดจะสวยขนาดนี้ แถมยังมีแต่หนังสือเต็มไปหมด ”
“ เจ้าก็พูดแปลก ถ้าหอสมุดไม่มีหนังสืออยู่เต็มไปหมดแล้วจะให้มีอะไร ”
เลออนเนลพูดแขวะฟรานได้น่ากวนบาทามาก ฟรานหันไปทำตาเขม่นใส่อย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะถูกเบนความสนใจด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลของเฟรริล
“ หอสมุดของแซงเคอร์ได้ชื่อว่าเป็นหอสมุดที่สวยที่สุดในโลกเลยล่ะ ”
“ จริงเหรอ! ”
น้ำเสียงฟรานดูตื่นเต้นไม่น้อยลืมอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อตะกี้ไปได้ในทันที เฟรริลพยักหน้าน้อยๆก่อนจะหันไปคุยกับบรรณารักษ์
“ อาจารย์ครับ จะหาหนังสือที่เกี่ยวกับประวัติของออร์แลนไทล์ได้ที่ไหนครับ ”
หญิงวัยกลางคนใส่แว่นเรียวแหลมมีสายคล้องคอ เงยหน้าขึ้นมองเฟรริล เธอยิ้มหวานให้และพูดขึ้นว่า
“ หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติต่างๆอยู่ชั้นสองจ้ะ ”
“ ขอบคุณครับ ”
ฟรานเอียงคอมองประตูไม้โอ๊คที่ถูกล็อกกุญแจอย่างแน่นหนาหลังเคาน์เตอร์บรรณารักษ์คิ้วมุ่นสงสัย
“ เฟรริล หลังประตูนั่นมีอะไร ทำไมถึงล็อกซะขนาดนั้น ”
เฟรริลหันไปมองตามที่ฟรานชี้บอก และพูดขึ้นว่า
“หลังประตูบานนั้นมีทางเดินสู่ชั้นใต้ดิน มันเป็นที่เก็บหนังสือต้องห้าม และอนุญาตให้เฉพาะอาจารย์และนักเรียนที่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากอาจารย์ใหญ่แล้วเท่านั้น ”
“ งั้นเหรอ ”
ฟรานมองประตูบานนั้นอย่างสนใจ ก่อนจะละสายตาและวิ่งตามเพื่อนทั้งสามที่เดินนำหน้าไปถึงบันไดขึ้นชั้นสอง
ทั้งสี่คนค้นหาข้อมูลของออร์แลนไทล์ยังไม่ถึงหนึ่งส่วนของชั้นสอง เวลาก็ล่วงเลยเข้าสู่ยามราตรีกาล พระจันทร์ดวงกลมโตลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า ดวงดาวนับร้อยนับพันดวงส่องแสงระยิบระยับขับให้ท้องนภาสว่างไสว
“ โห มืดแล้วอ่ะ ”
เลออนเนลหันไปมองนอกหน้าต่าง พลางปิดหนังสือเล่มสุดท้ายในกองหนังสือที่ตั้งอยู่ด้านหน้า บนโต๊ะเต็มไปด้วยภูเขาหนังสือที่สูงท่วมหัวหลายสิบกอง ฟรานนอนเลื้อยเอาหน้าแนบกับหนังสือที่เปิดค้างไว้ครึ่งเล่ม สายตามองออกไปข้างนอกอย่างเลื่อนลอย
“ หิวแล้วอ่ะ กลับกันเถอะ ”
ฟรานพูดเสียงอ่อย แถมมีเสียงท้องร้องดังเป็นลูกคู่ เฟรริลหันไปมองฟรานอมยิ้มน้อยๆ และพูดขึ้นว่า
“ วันนี้พอเท่านี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาหาใหม่ ”
“ เย้ รีบไปกันเถอะ เดี๋ยวไปไม่ทันห้องอาหารปิด ”
ฟรานกระโดดดีใจตัวลอย ยิ้มบานหน้าระรื่น รีบคว้ากระเป๋าสะพายบ่า กำลังจะวิ่งแจ้นออกไปก็ถูกมือๆหนึ่งจับไหล่ไว้ พร้อมกับเสียงเยียบเย็นที่ทำเอาคนฟังแทบขวัญผวา
“ เดี๋ยว! เก็บหนังสือไปไว้ในรถเข็นให้เรียบร้อยก่อน ”
ฟรานกลืนน้ำลายเอื๊อกพยักหน้าหงึกๆ ขนลุกเกรียวทั่วตัวโดยพร้อมเพรียง รู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วทุกรูขุมขน เขารีบยกภูเขาหนังสือใส่รถเข็นโดยไวไม่แม้จะหันไปมองเจ้าของมือและเสียงนั้น กลัวว่าถ้าหันไปคงได้ประสานสายตากับดวงตาสีม่วงอมเงินที่ยังคงไว้ซึ่งความเย็นยะเยือกตลอดเวลา ที่คงจ้องมองเขาด้วยแววตาเย็นชาไร้เมตตา ไม่เป็นมิตร และเหมือนจะเฉือนคนที่ถูกมองออกเป็นชิ้นๆได้เลย
ไม่นานพวกเขาเก็บกองภูเขาหนังสือลงรถเข็นจนหมด ฟรานรีบวิ่งแจ้นไปถึงประตูก่อนใครเพื่อน แล้วหันมากวักมือเรียกให้เพื่อนอีกสามคนรีบตามมาเร็วๆ เสียงท้องร้องโอดครวญอย่างหิวโหยดังแข่งกับเสียงเรียกของฟรานอย่างเป็นจังหวะ เฟรริลอมยิ้มขำให้กับท่าทางเหมือนเด็กของฟราน ก่อนจะวิ่งเหยาะๆตามไป เลออนเนลเบ้ปากทำเสียงชิไม่สบอารมณ์แต่ก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น ส่วนเซฮันริวยังคงเดินด้วยความเร็วเท่าเดิมไม่มีทีท่าจะเดินให้เร็วขึ้นแถมยังแผ่รังสีเย็นยะเยือกพาลให้บรรยากาศรอบข้างอึมครึมชวนขวัญผวาอีก
ฟรานกับเฟรริลเดินนำหน้ามาด้วยกัน ตามมาด้วยเลออนเนลและเซฮันริวที่ยังคงเดินเอื่อยเฉื่อยดูไม่รีบร้อนหรือคิดที่จะเร่งฝีเท้าขึ้นแต่อย่างใด ฟรานเดินไปก็กระโดดโลดเต้นแบบเด็กๆ ปากก็คุยกับเฟรริลอย่างสนุกสนานแต่สายตากลับกวาดมองโดยรอบอย่างระวัง เขารู้สึกเหมือนถูกใครบางคนกำลังติดตามและจ้องมองพวกเขาตั้งแต่ออกจากห้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์โลกจนกระทั่งถึงตอนนี้ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเหลือบไปเห็นเงาสายหนึ่งหลบวูบเข้าไปหลังเสาด้านขวาที่พวกเขาเดินผ่านมาได้ไม่นาน มันทิ้งระยะห่างจากพวกเขาพอสมควร ฟรานหรี่ตาลง สัญชาตญาณเตือนเขาให้ระวังว่าเจ้าเงาดำน่าสงสัยนั่นต้องไม่มาดีแน่
ฟรานเดินมาได้ครึ่งทางก็หยุดเดินเอาซะดื้อๆ เขาแกล้งทำหน้าตื่น น้ำเสียงร้อนรน
“ เฟรริล ข้าลืมของไว้ที่ห้องสมุด พวกเจ้ากลับไปกันก่อน ”
“ ข้าไปเป็นเพื่อน ”
ข้านี่แสดงได้สมบทบาทจริงๆ อิอิ
ฟรานแอบยิ้มในใจชมตัวเอง ที่เห็นสายตาเพื่อนๆจ้องมองมาแบบเชื่อสนิท
เอ๋! เดี๋ยวก่อน ไปเป็นเพื่อนเหรอ? เฮ้ย!
“ ไม่เป็นไร พวกเจ้ากลับไปกันก่อนเดี๋ยวไม่ทันห้องอาหารปิด ”
คราวนี้ฟรานหน้าตื่นของจริง รีบปฏิเสธเสียงหลง
ถ้าเจ้าขืนไปกับข้า ข้าก็ทำงานไม่สะดวกดิ แถมความลับจะแตกอีก ถ้าเป็นแบบนั้นมีหวังข้าก็ชวดเงินก้อนมหาศาลกันพอดี
“ แต่ว่า... ”
เฟรริลยังคงดื้อดึงที่จะไปเป็นเพื่อน ฟรานเลยรีบพูดขัดขึ้นพร้อมกับตบไหล่เบาๆ
“ น่าๆ ข้าไปคนเดียวได้ ฝากเจ้าเก็บอาหารเย็นมาเผื่อข้าด้วย ข้าไปก่อนล่ะ ”
ฟรานวิ่งหน้าตั้งย้อนกลับไปทางเดิม เขาหยุดวิ่งและหันกลับมามอง เมื่อเพื่อนทั้งสามคนเดินไปจนลับตา ฟรานพูดขึ้นเสียงเยียบเย็นว่า
“ เจ้าแอบตามพวกข้าทำไม ”
ฟรานเข้าประชิดถึงตัวเงาดำน่าสงสัยที่หลบอยู่หลังเสาอย่างรวดเร็ว มือขวาชักดาบจ่อคอ มือซ้ายจับไหล่ดันร่างเงาดำกระแทกติดเสา คงจะแรงไปจนผู้ต้องสงสัยส่งเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บ “ เดี๋ยวๆๆๆๆๆ ”
เสียงเด็กหนุ่มร้องห้ามเสียงหลง มือซ้ายอันสั่นเทาพยายามดันดาบออกจากคอให้มากที่สุด ที่แท้เจ้าเงาดำต้องสงสัยเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่อายุน่าจะพอๆกับฟราน ใบหน้าตกกระซีดเผือดอย่างกับกระดาษขาว
“ เจ้าแอบตามพวกข้าทำไม ”
ฟรานถามย้ำเสียงเหี้ยมขัดกับใบหน้าที่ดูน่ารักราวกับเด็กสาว
“ คะ...คือ ขะ...ข้า ”
เจ้าตัวน่าสงสัยอ้ำอึ้งน้ำเสียงตะกุกตะกัก ฟรานตีหน้าเข้มกดดาบจนติดผิวลำคอ เด็กหนุ่มผู้ต้องสงสัยร้องโวยวายลั่น ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ มือไม้ขาสั่นเข่าอ่อน ท่าทางเหมือนจะเป็นลม
“ ตอบมา! ไม่งั้นคอเจ้าได้หลุดจากบ่าแน่! ”
ฟรานข่มขู่เสียงเหี้ยม สีหน้าขึงขังแต่มันกลับดูไม่น่ากลัวเลยสักนิด ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ดูน่ารักมากกว่า
“ ขะ...ข้า ข้าแค่จะเอาของมาให้เจ้า โปรดรับไว้ด้วย ”
เด็กหนุ่มยื่นช่อดอกไม้ช่อเล็กๆให้ฟรานด้วยมืออันสั่นเทา เขาก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา
ฟรานรับช่อดอกไม้ช่อน้อยอย่างงุนงง เด็กหนุ่มเงยหน้ามองฟรานแวบหนึ่ง ใบหน้าเขาแดงระเรื่ออย่างกับแอปเปิ้ลสุกปลั่ง ก่อนจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็วทิ้งให้ฟรานยืนเอ๋ององูสองตัวรับประทานมึนตึ้บไปหลายนาที
เจ้าบ้านั่นให้ดอกไม้ข้า? หมายความว่าไง? แอบชอบข้างั้นเหรอ?
“ เฮ้ย!!! เจ้าบ้านั่นคิดว่าข้าเป็นผู้หญิงเรอะ! แว้กกกก!!! กลับมานี่นะเฟ้ย! ข้าเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง! ”
ฟรานแหกปากโวยวายลั่นเรียกเจ้าเด็กหนุ่มนั่น ทั้งๆที่หมอนั่นวิ่งหายลับตาไปนานเป็นชาติ
“ บ้าที่สุด! มีตาแต่ไร้แววจริงๆ ข้าออกจะหน้าตาแมนหล่อเลิศเพอร์เฟคขนาดนี้ มองยังไงให้เป็นผู้หญิงไปได้ ”
เอ เหมือนจะมีคนเคยเข้าใจผิดแบบนี้มาแล้วนี่หว่า เฮอะ! แย่ชะมัด!
ฟรานดึงผ้าพันคอมาคลุมศีรษะและผมจนมิด ก่อนจะเดินกลับหอด้วยอารมณ์ขุ่นมัวระคนหงุดหงิด
“ ชิ! เจ้าบ้านั่นยังมีความผิดอีกกระทง ดันทำให้ข้าระแวงตั้งนาน นึกว่าเป็นคนร้ายซะอีก อย่าให้เจอตัว ไม่งั้นละน่าดู ”
ฟรานเดินบ่นอย่างหัวเสีย เขาหันซ้านหันขวาเมื่อไม่เห็นใครก็รีบวิ่งตัดสนามหญ้าเข้าตัวตึก เส้นผมที่หลุดออกมาจากผ้าพันคอแต่เดิมที่เป็นสีทองบัดนี้เมื่อถูกแสงจันทร์มันได้แปรเปลี่ยนเป็นสีเงินงดงามดุจแสงดาว
การกระทำทุกอย่างของฟรานอยู่ในสายตาคู่หนึ่งซึ่งลอบมองจากในเงามืดมาโดยตลอด เหมือนฟรานจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง เด็กหนุ่มหันขวับกลับมา ทว่าสายตาซึ่งแฝงเจตนาร้ายคู่นั้นได้หายไป พร้อมกับแสงจันทร์ที่ถูกเมฆดำทะมึนลอยมาบดบัง
............................................................................................................................................................................
ความคิดเห็น